ในการบำเพ็ญกุศล เนื่องในวันคล้ายวันเกิด นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส
ณ ตำหนักสมเด็จฯ วัดมหาธาตุ
11 พฤษภาคม 2526
ที่มา : พุทธจักร ปีที่ 37 ฉบับที่ 5 พฤษภาคม 2526
ท่านผู้มีเกียรติแลวิสาสิกชนผู้เจริญทั้งหลาย
วันนี้อาตมภาพรู้สึกมีความสุขใจเป็นพิเศษ ที่ได้เป็นเจ้าของสถานที่จัดต้อนรับดวงวิญญาณของ ฯพณฯ รัฐบุรุษอาวุโส ดร. ปรีดี พนมยงค์ เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้บำเพ็ญกุศลอุทิศวิบากกัลปนาผล ไปสนองดวงวิญญาณของท่านในปรโลกเบื้องหน้าตามคติธรรมทางพระพุทธศาสนา
อันที่จริง เมื่อว่าตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาแล้ว คนแท้คือใจนั้นไม่ได้ตาย แต่คนปลอมคือร่างกายที่เกิดมานั่นแหละตายได้ ถ้าเราเข้าใจตามนี้ก็ไม่น่าจะเสียดาย หรือไม่น่าจะไม่อยากตาย แก่แล้วอยู่ไปก็ลำบาก ตายเสียดีกว่า เช่น อาตมภาพขณะนี้มีอายุ 80 ปีแล้ว อยู่ไปก็ลำบาก ถ้าตายแล้วไปเกิดใหม่ในร่างกายใหม่ได้ก็จะดี ดังนั้นจึงไม่น่าเสียดายอะไร
ข้อที่ว่าคนแท้นั้นหมายเอาจิตใจ ส่วนคนปลอมหมายเอาร่างกาย ถ้าคิดได้อย่างนี้ก็จะเข้ากับสุภาษิตที่ว่าใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ข้อนี้ก็น่าฟังเพราะเป็นสุภาษิตที่สอดคล้องกับความจริงตามสภาวะ สาเหตุที่ถือว่าใจเป็นนาย เพราะใจเป็นผู้สั่งให้กายทำงาน ส่วนกายมีหน้าที่คอยรับใช้ตามคำบัญชาการของใจ ถ้าใจไม่สั่งให้กายทำงาน กายก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าใจถูกบาปอกุศลครอบงำก็จะสั่งให้กายทำบาป วาจาพูดโกหกหลอกลวง แต่ถ้าใจมีกุศลธรรมคือไม่โลภ ไม่โกรธ และไม่หลงแล้ว ใจก็จะสั่งให้กายทำและวาจาพูดในสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล เพราะฉะนั้นข้อที่ว่าใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว จึงมีความหมายที่ฟังได้ชัด และถูกต้องตามสัจธรรมอย่างแท้จริง
ฯพณฯ รัฐบุรุษอาวุโส ดร. ปรีดี พนมยงค์ ได้ทำงานอันเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติอย่างไรบ้าง ในฐานะที่อาตมภาพเป็นพระ เห็นจะไม่ต้องพูดย้ำอีกก็ได้ เพราะหนังสือพิมพ์และคนทั่ว ๆ ไปได้พูดให้เป็นที่ปรากฏอยู่แล้ว นอกจากคนหูหนวกตาบอดเท่านั้น ที่ไม่ยอมรับรู้และมองไม่เห็นผลงานของท่าน แม้กระนั้นคนหูหนวกตาบอดก็จะต้องรู้เห็นความจริงในข้อนี้อยู่นั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงไม่จำเป็นต้องพูดว่า ฯพณฯ รัฐบุรุษอาวุโส ดร. ปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้พลิกแผ่นดินใหม่ ให้พวกเราได้อยู่อาศัย เพราะแต่ก่อนนั้นพวกเราเป็นเพียงผู้อาศัยแผ่นดินเขาอยู่ ถ้าเราทำไม่ดีเขาก็จะขับไสไล่ส่งให้เข้าคุกเข้าตะราง หรือนำไปตัดคอทิ้งเสีย
ในสมัยที่ ฯพณฯ รัฐบุรุษอาวุโส ดร. ปรีดี พนมยงค์ มีอำนาจเป็นใหญ่เป็นโต ท่านได้ใช้สติปัญญาพลิกแผ่นดิน กลบอำนาจเหล่านั้นทิ้งเสีย พร้อมทั้งเปิดทางให้ราษฎรมีอำนาจในการปกครองตัวเองด้วยการเลือกผู้แทนราษฎรขึ้นมาทำหน้าที่บริหารประเทศชาติ การเลือกผู้แทนราษฎรในระยะแรก ๆ นั้นดำเนินไปด้วยดี และเป็นไปตามเป้าหมายอย่างแท้จริง แต่น่าเสียดายที่การเลือกผู้แทนราษฎรในปัจจุบันนี้มีการใช้อามิสสินจ้างเป็นเครื่องล่อใจประชาชนกันมาก และอามิสสินจ้างนี้เองที่กลายมาเป็นเครื่องปิดบังปัญญาของประชาชนมิให้มองเห็นความจริงตามสภาวะธรรมได้
เพราะเมื่อจิตใจถูกความโลภครอบงำเสียแล้ว ปัญญาก็จะไม่เกิดขึ้น เรียกว่าถูกความโลภเข่นฆ่าให้ตายไปในที่สุด ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า โภคตณฺหาย ทุมฺเมโธ หนฺติ อญฺเญว อตฺตนํ แปลว่า โภคสมบัติย่อมฆ่าคนโง่ เหมือนฆ่าตนเอง ฉะนั้นอาตมภาพอยากจะพูดคำนี้ให้ดัง ๆ และอยากพูดอยู่เสมอ ๆ เพื่อให้คนไทยทั่วประเทศได้ยินคำนี้โดยทั่วถึงว่า โภคสมบัติที่พวกเราอยากได้กันนักหนานั้นมันกลับมาฆ่าตัวเราเอง และมิใช่ฆ่าเฉพาะตัวเราเท่านั้น มันฆ่าชาติและศาสนาอีกด้วย
เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ พวกเราก็อย่าไปหลงไหลต่ออามิสสินจ้างหรือโภคสมบัติให้มากนัก อาตมภาพเคยถามญาติโยมอยู่เสมอ ๆ ว่า รถยนต์ชั้นดียี่ห้อเบนซ์ที่ซื้อมาราคาแพงหลายแสนบาทนั้น ใครเป็นผู้นั่งรถยนต์คันนั้น ก้นนั่งใช่ไหม และถ้าญาติโยมตายแล้วจะขี่รถยนต์คันนั้นไปเกิดใหม่ได้ไหม เมื่อถูกถามอย่างนี้ก็ได้แต่พากันหัวเราะแฮะ ๆ เพราะไม่มีใครตอบได้สักคนว่าสามารถขี่รถยนต์ไปเกิดใหม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราท่านทั้งหลายก็ไม่ควรเห็นแก่ทรัพย์สินเงินทองอันเป็นสมบัติของทาสให้มากนัก เพราะความจริงก็เป็นที่ปรากฎแล้วว่า รถยนต์คันแพง ๆ นั้นเป็นสมบัติของทาสคือ ก้น อันเป็นส่วนของกายเป็นผู้นั่ง แต่ใจซึ่งเป็นนายไม่เคยได้นั่งรถยนต์คันดังกล่าวนี้เลย แม้จะรู้ความจริงกันอยู่อย่างนี้ แต่เราท่านทั้งหลายก็ยังยอมเสียเงินทองกันเป็นจำนวนมากมาย เพียงเพื่อต้องการให้คนใช้ คือกายได้รับความสะดวกสบายเท่านั้น นับว่าน่าเสียดายมาก
เมื่อประมาณ 2-3 ปีมานี้ อาตมภาพได้ไปเยี่ยม ฯพณฯ รัฐบุรุษอาวุโส ดร. ปรีดี พนมยงค์ ที่บ้านพักชานกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ได้สนทนากันอยู่นาน และขณะที่กำลังสนทนากันอยู่นั้น อาตมภาพได้ถามท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ว่า ท่านปรีดีจะกลับไปอยู่เมืองไทยเมื่อไร อาตมภาพอยากให้ท่านปรีดีกลับไปอยู่เมืองไทยด้วยกัน แต่ท่านผู้หญิงตอบว่า “ท่านเจ้าคุณมาแล้ว เมื่ออยากทราบก็ขอให้ถามท่านโดยตรงดีกว่า ดิฉันตอบแทนท่านได้ยาก ขอให้ท่านเจ้าของถามเอาเอง”
อาตมภาพจึงได้เจริญพรถามท่านว่า “ท่านจะกลับไปอยู่เมืองไทยเมื่อไร เวลานี้เหตุการณ์ทุกอย่างได้คลี่คลายไปพอสมควร ท่านน่าจะกลับไปอยู่เมืองไทยได้แล้ว” ท่านตอบว่า “ถ้ารัฐบาลให้การรับรองอย่างเป็นทางการว่า คณะของกระผมทุกคนเป็นผู้มีความบริสุทธิ์ กระผมก็พร้อมที่จะกลับไปอยู่เมืองไทย แต่ถ้ารัฐบาลจะให้การรับรองความบริสุทธิ์ให้แก่กระผมเพียงคนเดียวก็จะไม่กลับไป” การที่ท่านตอบอย่างนี้น่าจะหมายความว่า ท่านเป็นห่วงบริษัทบริวารที่เคยร่วมงานสำคัญ ๆ มาด้วยกัน แต่ในที่สุดท่านก็ไม่มีโอกาสได้กลับมาเมืองไทย เพราะท่านได้มรณกรรมเสียแล้ว เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคมนี้เอง ที่บ้านพักชานกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
ความจริง การที่คนเราจะไปเกิดหรือไปตายที่ไหนนั้น เป็นสิ่งที่รู้ไม่ได้ แม้พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสสอนไว้ว่า ไม่มีใครรู้ว่าที่เกิดและที่ตายของแต่ละคนนั้นอยู่ที่ไหน ไม่มีใครสามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่า ตนจะไปตายตรงนั้นตรงนี้ ไม่ว่าจะตายบนบก บนอากาศ ในน้ำ หรือถูกแผ่นดินสูบ สิ่งเหล่านี้ไม่มีใครทำนายได้
เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ การที่ร่างกายของ ฯพณฯ รัฐบุรุษอาวุโส ดร. ปรีดี พนมยงค์ ได้แตกสลายไปตามหลักแห่งสภาวธรรม เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2526 นี้ พวกเราทั้งหลาย ทั้งในฐานะที่เคยเป็นคณะศิษยานุศิษย์และเป็นวิสาสิกชนคนที่เคยรักใคร่นับถือและคุ้นเคยกัน เพราะการทำอย่างนั้นไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใดแก่ผู้ที่ตายไปแล้ว นอกจากจะก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานแก่ตนเองโดยถ่ายเดียวเท่านั้น อย่าว่าแต่ร่างกายของ ฯพณฯ รัฐบุรษอาวุโส ดร. ปรีดี พนมยงค์ จะแตกสลายเลย แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ที่ทรงดำรงอยู่ในฐานะเป็นบรมครูของเทวดา และมนุษย์ในโลกทั้งสามก็เหมือนกัน พระวรกายของพระองค์ก็มิได้ดำรงอยู่ตลอดไป แต่ได้แตกสลายไปในที่สุด ดังที่เราท่านทั้งหลายทราบกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว
การที่ท่านทั้งหลายมาร่วมกันทำบุญอุทิศให้แก่ดวงวิญญาณของ ฯพณฯ รัฐบุรุษอาวุโส ดร. ปรีดี พนมยงค์ เช่นนี้ บางท่านอาจเกิดความสงสัยว่า ดวงวิญญาณของท่านจะได้รับหรือไม่ ก็ขอให้ท่านทั้งหลายมาพิจารณาก่อนว่าคนเรานั้นมี 2 ชั้น คือ ชั้นนอกหรือเปลือก ได้แก่ กาย และชั้นใน หรือแก่น ได้แก่ใจ ทรัพย์สินเงินทอง ช้าง ม้า วัว ควาย ไร่นา หรือบ้านช่อง รถยนต์ เป็นต้น ถือว่าเป็นสมบัติของกาย ซึ่งมีหน้าที่เพียงเป็นบ่าวเท่านั้น เมื่อร่างกายคือบ่าวแตกสลายตายไป ก็ไม่สามารถนำเอาสมบัติเหล่านี้ติดตัวไปสู่ปรโลกได้ ต้องทิ้งไว้ให้เป็นสมบัติของคนอื่นหมด ส่วนใจนั้นมีบุญกุศลเป็นสมบัติและใจจะดำรงอยู่ตราบเท่าที่เหตุปัจจัยจะตามเหล่าเลี้ยงได้
พระพุทธเจ้าตรัสเปรียบเทียบตัวคนเราว่าเป็นเหมือนรถ คือ อิทํ สรีรยนฺตํ : รถยนต์ คือ สรีระร่างกายคันนี้, จตุกฺกํ : มีล้อสี่ล้อ, นวทฺวารํ : มีท่อไอเสียเก้าท่อ, สรีรํ : มีร่างกายเป็นตัวถัง, จิตฺตํ : มีจิตใจเป็นเครื่องยนต์, ปญฺญานิ : มีบุญกุศลเป็นน้ำมัน, สติโทวารากา : มีสติเป็นโชเฟอร์ พระพุทธเจ้าตรัสต่อไปว่า รถยนต์คันนี้จะตายแล่นต่อไปไม่ได้ด้วยเหตุ 2 ประการ คือ สภาพรถเก่าเกินไปจนไม่สามารถซ่อมแซมให้ดีขึ้นได้ เรียกว่า ตายเพราะหมดอายุ อีกประการหนึ่ง สภาพรถยังใหม่อยู่ แต่น้ำมันหมดไม่สามารถวิ่งต่อไปได้เรียกว่าตายเพราะหมดบุญ ตัวคนเราก็เหมือนกับรถคันนี้ คือตายด้วยเหตุที่สำคัญ 2 ประการ ได้แก่ ตายเพราะหมดอายุกับตายเพราะหมดบุญ พระพุทธเจ้าทรงกำหนดอายุของคนเราไว้เป็นเกณฑ์ว่าอยู่ได้ประมาณ 100 ปี จะอยู่ได้มากกว่านี้บ้างก็ไม่มากนัก เราจะเห็นว่าคนเราบางคนตายตั้งแต่อายุยังน้อย บางคนอยู่จนแก่ตาย ซึ่งท่านทั้งหลายก็คงจะทราบกฎเกณฑ์ดังกล่าวเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เพราะวิญญาณของคนเรานั้นมิได้ตายไปตามร่างกายแต่อย่างใด
ดังนั้น การที่ท่านทั้งหลายพากันมาทำบุญอุทิศให้แด่ดวงวิญญาณของ ฯพณฯ รัฐบุรุษอาวุโส ดร. ปรีดี พนมยงค์ ในวันนี้ ถ้าหากดวงวิญญาณของท่านได้ทราบ และอนุโมทนาสาธุการต่อการกระทำของท่านทั้งหลายแล้ว บุญกุศลที่อุทิศไปนี้ก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ดวงวิญญาณของท่านประสบแต่ความสุขความเจริญในสัมปรายภพสมตามที่ท่านทั้งหลายต้องการ
อนึ่งการที่ท่านทั้งหลายน้อมระลึกถึงคุณูปการต่าง ๆ ที่ ฯพณฯ รัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ ได้เคยทำไว้ แล้วพากันมาบำเพ็ญกุศลอุทิศให้แด่ดวงวิญญาณของท่านในวันนี้ นับว่าเป็นการกระทำที่ควรแก่การอนุโมทนาสาธุการเป็นอย่างยิ่ง ดังพุทธสุภาษิตที่ว่า “นิมิตฺตํ สาธุรูปานํ กตญฺญู กตเวทิตา” ซึ่งมีความหมายว่า ความเป็นผู้รู้คุณของผู้มีคุณแก่ตนเองอย่างชัดแจ้งถูกต้อง และความเป็นผู้สามารถรักษาคุณความดีที่ผู้อื่นทำไว้แก่เราไม่ให้สูญหายไป เรียกว่าเป็นผู้มีกตเวทิตา
ดังนั้น ถ้าพวกเรานึกถึง ฯพณฯ รัฐบุรุษอาวุโส ดร. ปรีดี พนมยงค์ ก็ต้องทำตนให้รู้จักท่านให้ถูกต้องอย่างแท้จริง จากนั้น จงช่วยกันรักษาคุณงามความดีที่ท่านทำไว้แก่พวกเราอย่าให้สูญหายไปเสีย แต่ถ้าพวกเราไม่รู้จักคุณงามความดีของท่าน จะทำให้พวกเรากลายเป็นคนอกตัญญูไป และถ้าพวกเราไม่สามารถรักษาคุณงามความดีของท่านได้ ก็จะกลายเป็นอกตเวทิตา เรื่องนี้จะไปโทษใครไม่ได้ เพราะตัวเองไม่ได้ศึกษาให้รู้ และไม่คิดจะรักษาคุณงามความดีนั้นให้คงได้ แม้พระพุทธศาสนาก็เหมือนกัน ถ้าพระสงฆ์สาวกตลอดจนอุบาสกอุบาสิกาไม่พยายามศึกษาให้เกิดความรู้อย่างถ่องแท้ และปฏิบัติตามหลักคำสอนนั้นอย่างจริงจัง ป่านนี้พระพุทธศาสนาสูญหายไปนานแล้ว แต่ที่พระพุทธศาสนายังตกเป็นมรดกสืบต่อมาถึงพวกเราจนทุกวันนี้ ก็เพราะพระสงฆ์สาวกและอุบาสกอุบาสิกาได้ศึกษาและปฏิบัติหลักธรรมดังกล่าวแล้ว
ดังนั้น การที่พวกเราจะรักษาและสืบต่อเจตนารมย์ของ ฯพณฯ รัฐบุรุษอาวุโส ดร. ปรีดี พนมยงค์ ให้คงอยู่ตลอดไปได้นั้น พวกเราก็จะต้องศึกษาพิจารณาถึงคุณงามความดีที่ท่านได้ทำไว้ให้ถ่องแท้ถูกต้องตามสภาวะที่เป็นจริง และต้องพยายามรักษาสืบต่อเจตนารมณ์ของท่านให้ดำรงอยู่คู่กับประเทศไทยให้นานที่สุด เพื่อจะได้เป็นประโยชน์แก่เยาวชนของชาติบ้านเมืองต่อไปในอนาคต ถ้าท่านทั้งหลายทำได้เช่นนี้ ก็จะตรงกับพุทธสุภาษิตที่ว่า นิมิตฺตํ สาธุรูปานํ กตญฺญูกตเวทตา คือความเป็นผู้รู้จักคุณงามความดีของผู้มีอุปการะคุณอย่างถูกต้องถ่องแท้ และเป็นผู้สามารถรักษาคุณงามความดีของผู้นั้นไว้ได้ อย่าให้สูญหายไป ย่อมชื่อว่าเป็นตราของคนดีอย่างแท้จริง
ท่านผู้เป็นคณะศิษยานุศิษย์และวิสาสิกชนใน ฯพณฯ รัฐบุรุษอาวุโส ดร. ปรีดี พนมยงค์ ทั้งหลาย ขอให้ท่านจงพากันศึกษาปฏิปทา ทัศนคติและเจตนารมณ์ของ ฯพณฯ ให้ถูกต้อง และจงช่วยกันรักษาสืบต่อผลงานของ ฯพณฯ ไว้อย่าให้สูญหาย ส่วนการที่ท่านทั้งหลายพากันมาบำเพ็ญกุศลอุทิศให้แด่ดวงวิญญาณของ ฯพณฯ รัฐบุรุษอาวุโส ดร. ปรีดี พนมยงค์ ในวันนี้ อาตมภาพขออนุโมทนาและชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ขอให้ดวงวิญญาณของ ฯพณฯ ได้โปรดมารับทราบ และอนุโมทนารับเอาวิบาก บุญกุศลที่คณะศิษยานุศิษย์ญาติสนิทมิตรสหายและวิสาสิกชนทั้งหลาย อันมีคุณสุภา ศิริมานนท์ และคุณ ส. ศิวรักษ์ เป็นกำลังสำคัญในการดำเนินงานวันนี้ เพื่อให้สำเร็จผลสมความปรารถนาจงทุกประการ และขอให้ดวงวิญญาณของ ฯพณฯ ได้โปรดมาอภิบาลคุ้มครองคณะศิษยานุศิษย์ ญาติสนิทมิตรสหายและวิสาสิกชนทั้งหลาย เพื่อให้มีโอกาสได้ประพฤติดีปฏิบัติชอบและประกอบการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ ฯพณฯ จงทุกประการเทอญ.