เหตุการณ์ที่รู้จักกันในนามสั้นๆ ว่า “14 ตุลา” นั้น เป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทยเมื่อเดือนตุลาคม พุทธศักราช 2516 เยาวชนคนหนุ่มสาวที่เป็นนักเรียนนิสิตนักศึกษาได้ร่วมกับประชาชนจำนวนแสน เรียกร้องให้รัฐบาลคณาธิปไตยถนอม-ประภาส-ณรงค์ ปลดปล่อยนิสิตนักศึกษา อาจารย์ และนักการเมือง 13 คนที่ถูกจับกุม ฐานเรียกร้องรัฐธรรมนูญ แต่กลับถูกรัฐบาลตั้งข้อหาว่ากระทำการผิดกฎหมายมั่วสุมชักชวนให้มีการชุมนุมทางการเมืองในที่สาธารณะเกินกว่า 5 คน บ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐ เป็นกบฏภายในพระราชอาณาจักรและมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์
ระหว่างวันที่ 9-12 ตุลาคม นักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชนชุมนุมประท้วงโดยสันติวิธี ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันเสาร์ที่ 13 ประชามหาชนเดินขบวนสำแดงพลังครั้งยิ่งใหญ่ที่ดูประหนึ่งว่ากระแสคลื่นมนุษย์จักท่วมท้นถนนราชดำเนิน ในวันที่ 14-15 ถัดมาก็เกิดความรุนแรง เยาวชนคนหนุ่มสาวถูกปราบปรามด้วยอาวุธร้ายเป็นผลให้เกิดการลุกฮือขึ้นทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด และแล้วเผด็จการก็ล้มลง ผู้นำคณาธิปไตย ถนอม-ประภาส-ณรงค์ ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ
นับแต่นั้นมา เหตุการณ์ 14 ตุลา ก็ได้รับการเล่าขานสืบต่อกันมาปีแล้วปีเล่า มีการขนานนามเหตุการณ์นี้ต่างๆ นานา เช่น วันมหาวิปโยค วันมหาปิติ การปฏิวัติคุกคาม การปฏิวัติของนักศึกษา
ความยิ่งใหญ่และผลกระทบของเหตุการณ์ต่อการเมืองการปกครองของไทย ถูกนำไปเปรียบเทียบกับเหตุการณ์สำคัญๆ ก่อนหน้านั้น เช่น การปฏิวัติ 24 มิถุนายน พุทธศักราช 2475 หรือกับเหตุการณ์ที่ตามมาภายหลัง เช่น พฤษภามหาโหด พุทธศักราช 2535 เป็นต้น
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ มหากวีรัตนโกสินทร์ กล่าวถึงเหตุการณ์ 14 ตุลา ว่า
และแล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฏ
เป็นความงดความงามใช่ความชั่ว
อันอาจขุ่นอาจขันหม่นมัว
แต่ก็เริ่มจะเป็นตัวจะเป็นตน
พอเสียงร่ำรัวกลองประกาศกล้า
ก็รู้ว่าวันพระมาอีกหน
พอปืนเปรี้ยงแปลบไปในมณฑล
ก็รู้ว่าประชาชนจะชิงชัย
(เพียงความเคลื่อนไหว ประชาชาติ 5 ตุลาคม 2517)
แน่นอน ปรากฏการณ์ 14 ตุลา 2516 มิได้อุบัติขึ้นมาในเวลาเพียงไม่กี่วันไม่กี่คืนแต่เป็นการสั่งสมของความกดดันของการเมืองการปกครองไทยที่อยู่ใต้ระบบเผด็จการเป็นเวลายาวนาน อยู่ภายใต้วัฏจักรแห่งความชั่วร้ายหรือวงจรอุบาทว์ที่มีการยึดอำนาจปฏิวัติรัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่แล้วฉีกทิ้งทำลาย สิทธิเสรีภาพที่ประชาชนชาวไทยพึงมีพึงได้ถูกปฏิเสธและเหยียบย่ำเป็นเวลายาวนานหลายสิบปี อำนาจการเมืองการปกครองแทนที่จะเป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ก็ตกอยู่ในมือของคณาธิปไตยเพียงไม่กี่คน ทั้งนี้ โดยอาศัยกลไกของรัฐและข้าราชการทหาร ตำรวจ และพลเรือน เป็นเครื่องมือ
ในสมัยที่บ้านเมืองขาดสิทธิเสรีภาพและการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ขบวนการนิสิตนักศึกษาก่อตัวขึ้นอย่างเงียบและช้าๆ นักเรียนนิสิตนักศึกษาเริ่มตระหนักในบทบาทและศักยภาพของ “คนหนุ่มคนสาว” เกิดจิตสำนึกในความเป็น “คนรุ่นใหม่” และก็เริ่มตั้งคำถามต่อความ “เป็นปัญญาชน” ของตน ดังที่ วิทยากร เชียงกูล นักศึกษาคนหนึ่งในสมัยนั้นปรารภว่า
ฉันเยาว์ฉันเขลาฉันทึง
ฉันจึงมาหาความหมาย
ฉันหวังเก็บอะไรไปมากมาย
สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว
(เพลงเถื่อนแห่งสถาบันยูงทอง วันสถาปนา 2511)
นักเรียนนิสิตนักศึกษาในทศวรรษ 2510 กลายเป็น “เยาวชน-คนหนุ่มสาว-รุ่นใหม่” ที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเศรษฐกิจไทย คนรุ่นนี้เติบโตขึ้นมาในบรรยากาศของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ แต่การพัฒนานั้นก็นำมาซึ่งปัญหาช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวย ระหว่างชนบทกับเมือง ระหว่างภาคเกษตรกรรมกับภาคอุตสาหกรรม
เยาวชน-คนหนุ่มสาว-รุ่นใหม่ ตั้งคำถามต่อความไม่พัฒนาของการเมืองการปกครองไทย ที่มีการสืบทอดอำนาจกันอยู่ในหมู่ของคณาธิปไตยจาก จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ สู่จอมพล ถนอม กิตติขจร และทำท่าจะสืบทอดไปยังจอมพล ประภาส จารุเสถียร ยืดเยื้อกันมาเป็นเวลาทศวรรษ ในขณะเดียวกันเยาวชนเหล่านั้นก็ตั้งคำถามต่อระบบการเมืองของโลกในยุคสมัยของสงครามเย็นที่มีการแบ่งเป็น 2 ค่าย มีการเผชิญหน้ากันระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต มีการต่อต้านและปราบปรามคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรง โดยเฉพาะในกรณีของสงครามอินโดจีน ประเทศไทยถูกดึงเข้าไปอยู่ท่ามกลางของความขัดแย้ง กลายเป็นฐานทัพของสหรัฐอเมริกา ที่จะใช้ในการทิ้งระเบิดทางอากาศโจมตีเวียดนาม กัมพูชา ลาว
ช่วงปีพุทธศักราช 2512-2515 เยาวชน-คนหนุ่มสาว-รุ่นใหม่ ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทเพื่อสังคมอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เข้าร่วมสังเกตการณ์การเลือกตั้งทั่วไปในปีพุทธศักราช 2512 ออกค่ายอาสาพัฒนาชนบทวิพากษ์วิจารณ์สังคม มีบทบาทเป็นพลังผลักดันให้เกิดนโยบายต่างประเทศที่ไม่ฝักใฝ่เฉพาะฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ต่อต้านการครอบงำทางเศรษฐกิจโดยต่างประเทศ ต่อต้านความหรูหราฟุ่มเฟือย กังวลและห่วงใยการขาดดุลย์การชำระเงิน รวมไปจนกระทั่งการเสนอแนวทางในการรักษาทรัพยากรและสภาพแวดล้อม ศิลปะและวรรณกรรมเพื่อชีวิต เยาวชน-คนหนุ่มสาว-รุ่นใหม่ รวมตัวกันต่อต้าน “ภัยขาว-ภัยเหลือง และภัยเขียว” รวมตัวกันเป็นกลุ่มอิสระตามสถาบันการศึกษาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระดับมหาวิทยาลัย ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นระดับวิทยาลัยการศึกษาหรือวิทยาลัยครู เรื่อยลงไปจนถึงระดับโรงเรียนมัธยม และก็เกิดองค์กร เช่น ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (2513) ศูนย์กลางนักเรียนแห่งประเทศไทย
ระหว่างปีพุทธศักราช 2514-2516 ท่ามกลางกระแสของการเปลี่ยนแปลงบทการเมืองระดับโลก นั่นคือจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดของความเย็นการเมืองระหว่างประเทศ เปลี่ยนจากการเผชิญหน้าของ 2 ค่าย กลายเป็นการเมือง 3 เส้า สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต และจีน ส่วนการเมืองภายในของไทยที่ดูว่าจะก้าวไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยบ้าง กล่าวคือ มีประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปีพุทธศักราช 2511 และมีการเลือกตั้งทั่วไปเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษในปีพุทธศักราช 2512 ก็ตาม แต่ก็ปิดฉากลงอีกด้วยวงจรอุบาทว์ของการยึดอำนาจรัฐบาลจอมพล ถนอม กิตติขจร “ปฏิวัติตนเอง” ในปีพุทธศักราช 2514
เมื่อถึงจุดนี้ พฤติกรรมของคณาธิปไตย ถนอม-ประภาส-ณรงค์ ก็กลายเป็นสิ่งที่สังคมไทยไม่สามารถจะยอมรับต่อไปอีกได้ การปิดกั้นเสรีภาพ ผนวกกับความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารราชการ ความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจ ข้าวยากหมากแพง ข้าวสารขึ้นราคา การใช้อภิสิทธิ การเล่นพรรคเล่นพวก ในบรรยากาศที่ไม่เป็นประชาธิปไตยดูเหมือนจะมีพลังของนิสิตนักศึกษาเท่านั้นที่สามารถจะเป็นหัวหอก เคลื่อนไหว คัดค้าน และผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ในบ้านเมือง
ปีพุทธศักราช 2518 ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย กลายเป็นศูนย์รวมของการแสดงออกซึ่งความไม่พอใจต่อการผูกขาดอำนาจของเผด็จการคณาธิปไตยเดินขบวนประท้วงสินค้าญี่ปุ่นในปลายปี 2515 ประณามการใช้อิทธิพลของเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปล่าสัตว์ ณ ทุ่งใหญ่ คัดค้านการลบชื่อหรือขับไล่นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง 9 คนออกในกลางปี 2516
ผลสุดท้าย เยาวชน-คนหนุ่มสาว-รุ่นใหม่ ก็ได้ข้อสรุปว่า ปราศจากเสียซึ่งสิทธิเสรีภาพและการปกครองในระบอบประชาธิปไตย การแก้ไขปัญหาต่างๆ ของประเทศไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมก็เป็นไปได้ยาก จากบทสรุปของการชุมนุมกรณีรามคำแหง 9 เมื่อ 21-22 มิถุนายน 2516 ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก็นำมาซึ่งการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ
กวีนักศึกษาในนามของ รวี โดมพระจันทร์ สะท้อนความรู้สึกของยุคสมัยออกมาว่า
ตื่นเถิดเสรีชน
อย่ายอมทนก้มหน้าฝืน
หอกดาบกระบอกปืน
หรือทนคลื่นกระแสเรา
(“เศษสาตร์” เฉลิมฉลองวาระปิดตึกเรียนใหม่ คณะเศรษฐศาสตร์ มธ. 2515)
ศุกร์ 5 ตุลาคม 2516
ธีรยุทธ บุญมี อดีตเลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย บัณฑิตวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้ประสานงานกลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญ พร้อมด้วยสมาชิกประมาณ 10 คน เปิดแถลงข่าวที่บริเวณสนามหญ้าท้องสนามหลวง ด้านอนุสาวรีย์ทหารอาสา โดยมีวัตถุประสงค์คือ
- เรียกร้องให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญโดยเร็ว
- จัดหลักสูตรสอนอบรมรัฐธรรมนูญสำหรับประชาชน
- กระตุ้นประชาชนให้สำนึกและหวงแหนในสิทธิเสรีภาพ
ธีรยุทธ บุญมี นำรายชื่อผู้ลงนามเรียกร้องรัฐธรรมนูญ 100 คนแรกประกอบด้วยบุคคลต่างๆ มาเปิดเผย เช่น พล.ต.ต.สง่า กิตติขจร นายเลียง ไชยกาล นายพิชัย รัตตกุล นายไขแสง สุกใส นายประพันธ์ศักดิ์ กมลเพชร รวมทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัย เช่น ดร.เขียน ธีรวิทย์ ดร.บุญสนอง บุณโยทยาน ดร.ปราโมทย์ นาคทรรพ ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช อาจารย์ทวี หมื่นนิกร เป็นต้น รวมทั้งจดหมายเรียกร้องจากนักเรียนไทยในนิวยอร์ค
ทันทีที่ข่าวนี้ออกมา พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร รองเลขาธิการ ก.ต.ป. (คณะกรรมการติดตามผลการปฏิบัติราชการ) บุตรของ จอมพล ถนอม กิตติขจร และบุตรเขยของ จอมพล ประภาส จารุเสถียร ได้ให้สัมภาษณ์ว่า มีอาจารย์ในมหาวิทยาลัยบางคนกำลังดำเนินการให้นิสิตนักศึกษาเดินขบวนและหากมีการเดินขบวนแล้วไม่ผิดกฎหมายอีก ก็จะนำทหารมาเดินขบวนบ้างเพราะทหารก็ไม่อยากจะไปรบเหมือนกัน
เสาร์ 6 ตุลาคม 2516
สมาชิกของกลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญประมาณ 20 คน เดินแจกใบปลิวและหนังสือ ซึ่งอัญเชิญพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไว้บนปก
“ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้า ไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิ์ขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของราษฎร”
ผู้เรียกร้องถือป้ายโปสเตอร์ 10 กว่าแผ่น มีใจความเช่น “น้ำตาเราตกใน เมื่อเราไร้รัฐธรรมนูญ” “จงคืนอำนาจแก่ปวงชนชาวไทย” “จงปลดปล่อยประชาชน” “ประชาชนต้องการรัฐธรรมนูญ” เป็นต้น กลุ่มเรียกร้องออกเดินจากบริเวณตลาดนัดสนามหลวง ไปบางลำภู ผ่านสยามสแควร์ และเมื่อถึงประตูน้ำ เวลาประมาณ 14.00 น. ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลและสันติบาลจับกุมไปทั้งหมด 11 คน ซึ่งมีทั้งอาจารย์ นิสิตนักศึกษา นักหนังสือพิมพ์และนักการเมือง ทั้งหมดถูกแจ้งข้อหา “มั่วสุมชักชวนให้มีการชุมนุมทางการเมือง” ผิดประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 4 ที่ห้ามชุมนุมเกินกว่า 5 คน ผู้ต้องหาถูกนำไปไว้ที่กองบังคับการตำรวจสันติบาลกอง 2 จนกระทั่งเวลาเที่ยงคืน จึงย้ายไปคุมขังไว้ที่โรงเรียนตำรวจนครบาลบางเขน ทางตำรวจปฏิเสธไม่ยอมให้เยี่ยมและห้ามประกัน
อาทิตย์ 7 ตุลาคม 2516
ตลอดช่วงบ่ายและค่ำของวันที่ 6 ถึงเช้าวันที่ 7 ตุลาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจค้นสำนักงานตลอดจนบ้านพักของผู้ต้องหาและผู้เกี่ยวข้อง และได้จับนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงเพิ่มขึ้น 1 คน รวมเป็น 12 คน ตลอดระยะเวลาดังกล่าว ตัวแทนของนิสิตนักศึกษาจากสถาบันต่างๆ พยายามวิ่งเต้นที่จะเข้าเยี่ยมและประกันเพื่อนของตน
13.00 น. ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยออกแถลงการณ์มีใจความตอนหนึ่งว่า “จากการกระทำของกลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญ เป็นการดำเนินการโดยเปิดเผยและสันติวิธี เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนในเรื่องสิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย แต่รัฐบาลได้สั่งจับบุคคลกลุ่มนี้แล้วสร้างสถานการณ์ขึ้นเพื่อยัดเยียดข้อหาร้ายแรงแก่ประชาชนกลุ่มนี้ เป็นการส่อเจตนารมณ์ที่แท้จริงของรัฐบาล ที่ไม่ต้องการให้ประชาชนได้เข้าใจถึงสิทธิและเสรีภาพอันชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตย เพื่อตนจะได้ครองอำนาจไปตลอดกาล และไม่มีรัฐบาลที่ไหนในโลกที่จะปราบปรามประชาชนที่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพ นอกจากรัฐบาลของพวกเผด็จการฟาสซิสต์ และคอมมิวนิสต์เท่านั้น”
ในขณะเดียวกัน องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือ อมธ. ก็มีการเคลื่อนไหวเรียกประชุมด่วน มีมติให้ศึกษาสถานการณ์ ติดโปสเตอร์ชี้แจงข้อเท็จจริง
จันทร์ 8 ตุลาคม 2516
ตอนเช้า วันแรกของการสอบประจำภาคของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีโปสเตอร์โจมตีรัฐบาลปิดทั่วบริเวณ ที่วิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร นักศึกษาชุมนุมอภิปรายโจมตีรัฐบาลเรียกร้องให้ปล่อยผู้ถูกจับกุมทั้งหมด ให้รัฐบาลชี้แจงเรื่องรัฐธรรมนูญให้ชัดเจน พร้อมๆ กันนี้นักศึกษาสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ก็เข้าชื่อถึงนายกรัฐมนตรี ให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกจับกุม
วันเดียวกันนี้ พล.ต.ต.ชัย สุวรรณศร ผู้บังคับการตำรวจสันติบาลได้ออกหมายจับนายไขแสง สุกใส อดีตนักการเมืองในข้อหาว่าอยู่เบื้องหลังกลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ส่วนจอมพล ประภาส จารุเสถียร ผู้ดำรงตำแหน่งทั้งรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรักษาการอธิบดีกรมตำรวจ ให้สัมภาษณ์ด้วยข้อความที่เสมือนระเบิดลูกใหญ่ตก ว่ากลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญมีแผนจะล้มรัฐบาล และกล่าวว่ามีการค้นพบเอกสารคอมมิวนิสต์ทั้งภาษาไทย จีน และอังกฤษ เป็นจำนวนมาก
อนึ่ง จากบันทึกรายงานการประชุมกระทรวงมหาดไทยครั้งที่ 28/2516 วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม 2516 ซึ่งมี จอมพล ประภาส จารุเสถียร เป็นประธานนั้น ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องการเรียกร้องรัฐธรรมนูญและมีความเห็นว่าทางราชการอาจจะทำการปราบปรามผู้เรียกร้อง ทั้งยัง “เชื่อว่านิสิตนักศึกษาจะเสียไปราว 2 เปอร์เซ็นต์จากจำนวนเป็นแสนคน” โดยอ้างว่า “จำต้องเสียสละเพื่อความอยู่รอดของบ้านเมือง”
บ่ายวันนั้น นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดอภิปรายที่หน้าหอประชุมใหญ่ และขึ้นรถไปเยี่ยมเพื่อนๆ ที่ โรงเรียนตำรวจนครบาลบางเขน ต่อมาคณาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ส่งตัวแทนประมาณ 60 คนไปเยี่ยม อาจารย์ทวี หมื่นนิกร 1 ใน 12 ผู้ต้องหา แต่ถูกปฏิเสธการเข้าเยี่ยมอาจารย์ทั้งหมดจึงลงชื่อพร้อมเขียนข้อความไว้ว่า We Shall Overcome
ค่ำวันนั้น อมธ.ประชุมลับ และมีมติให้เลื่อนการสอบไล่โดยไม่มีกำหนด นักศึกษากิจกรรมแยกย้ายกันเอาโซ่ล่ามประตู เอาปูนปลาสเตอร์อุดรูกุญแจห้องสอบ ตัดสายไฟฟ้าช้าเพื่อให้ลิฟท์ใช้การไม่ได้
อังคาร 9 ตุลาคม 2516
เช้าตรู่ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปรากฏธงดำครึ่งเสาเหนือยอดโดม ประตูทางเข้ามีประกาศ “งดสอบ” ด้านท่าพระจันทร์มีผ้าผืนใหญ่ข้อความว่า “เอาประชาชนคืนมา” ส่วนอีกผืนว่า “เราเรียกร้องรัฐธรรมนูญเป็นกบฏหรือ” นักศึกษาเมื่อเข้าห้องสอบไม่ได้ต่างทยอยไปชุมนุมและฟังการอภิปรายโจมตีรัฐบาลอย่างเผ็ดร้อน ณ บริเวณลานโพธิ์ ซึ่งนำโดยสองนักศึกษาชายหญิง เสกสรรค์ ประเสริฐกุล และ เสาวนีย์ ลิมมานนท์ มีนักศึกษาแพทย์ศิริราช ค่อยๆ ข้ามฟากมาสมทบ ส่วนที่วิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตรชุมนุมเป็นวันที่สอง ออกแถลงการณ์ให้ปล่อยผู้ต้องหาภายในวันที่ 15 ตุลาคม และให้ประกาศรัฐธรรมนูญในวันที่ 10 ธันวาคม ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง นักศึกษาเริ่มชุมนุมอภิปรายเรียกร้องให้รัฐบาลปล่อยตัวผู้ถูกจับกุม และให้มหาวิทยาลัยเลื่อนการสอบ
บ่ายวันนั้น ฝนตกโปรยปราย สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ประชุมฉุกเฉิน มีมติให้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาทั้ง 13 คน ให้อธิการบดีเลื่อนการสอบออกไปให้ต่อสู้ด้วยวิธีอหิงสา ประท้วงตลอดวัน ตลอดคืน หากไม่ได้ผลให้ใช้วิธีรุนแรง
บ่ายวันเดียวกันนั้นอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 205 คน ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีขอให้ “พิจารณาปล่อยบุคคลเหล่านี้ เพื่อป้องกันมิให้สถานการณ์ลุกลามและรุนแรงยิ่งขึ้น”
รัฐบาลตอบโต้ด้วยการที่ จอมพล ถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีประกาศใช้มาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองกับผู้ต้องหา ซึ่งให้อำนาจเบ็ดเสร็จแก่นายกรัฐมนตรี โดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมทางกฎหมายแต่อย่างใด พร้อมกันนั้นทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐก็ประกาศสำทับให้นิสิตนักศึกษาปฏิบัติตามกำหนดการสอบอย่างเคร่งครัด
คืนนั้น ฝนตกหนาเม็ด สู้ร่วมชุมนุมหาถอยหนีไม่ บ้างกางร่ม บ้างเอาหนังสือพิมพ์คลุมหัว ฟังการอภิปรายโจมตีรัฐบาล สลับกับการแสดงละครเสียดสีการเมือง เกือบเที่ยงคืนฝนตกหนัก อากาศหนาวผู้ร่วมชุมนุมจึงย้ายจากลานโพธิ์เข้าไปในหอประชุมใหญ่
พุธ 10 ตุลาคม 2516
สายวันนั้น ฝนหยุดตก นักศึกษาทยอยกลับมาชุมนุมที่ลานโพธิ์พร้อมกับนำคำแถลงการณ์มาอ่านเผยแพร่ เช่น คณาจารย์มหาวิทยาลัยรามคำแหงคัดค้านการกระทำของรัฐบาล อาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขอให้รัฐบาลรอบคอบ สภาอาจารย์ธรรมศาสตร์เห็นว่าการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตใจ เพื่อประโยชน์แก่สังคมเป็นส่วนรวม เป็นสิทธิขั้นมูลฐานของประชาชนทุกคนในอารยะประเทศ สโมสรเนติบัณฑิตแถลงว่าการกล่าวหาบุคคลทั้ง 13 “เป็นการจงใจใส่ความอันเป็นเท็จ”
สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดลแถลงว่า “บุคคลใดที่ทำการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจแห่งปวงชนแล้ว ถือว่ากลุ่มบุคคลนั้นได้กระทำเพื่อชาติ เพื่อประชาชน” ส่วนทางองค์การนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กล่าวว่า “จะดำเนินการประท้วงจนกว่าจะประสบผลสำเร็จ” ในขณะเดียวกันศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ก็ก้าวเข้ามารับช่วงงานชุมนุมอย่างเป็นทางการจาก อมธ. พร้อมทั้งออกแถลงการณ์วิงวอนให้ประชาชนร่วมต่อสู้ มิฉะนั้นแล้ว “ประเทศไทยก็ยังคงอยู่ในโลกมืดของอำนาจธรรม ไม่มีทางที่จะเห็นแสงสว่างแห่งคุณธรรมไปได้เลย”
วันพุธที่ 10 ตุลาคม ลานโพธิ์ได้กลายเป็นศูนย์กลางของการชุมนุมนับแต่เที่ยงวัน นักศึกษาวิทยาลัยครูพระนคร วิทยาลัยครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยาและวิทยาลัยครูธนบุรี ประมาณ 1 พันคนก็มาถึง ติดตามมาด้วยนักศึกษาวิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร ในช่วงบ่าย พร้อมทั้งมีข่าวว่าวิทยาลัยวิชาการศึกษา 8 แห่งทั่วประเทศ จะหยุดเรียนตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ที่สำคัญก็คือ นักเรียนมัธยมและนักเรียนอาชีวะ ทั้งจากวิทยาลัยและสถาบันในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ต่างก็ส่งตัวแทนขึ้นมาประกาศงดสอบ งดเรียน ผู้แทนนักเรียนอาชีวะประกาศร่วมต่อสู้ นักเรียนช่างกลคนหนึ่งตะโกนว่า “ถ้าต้องการเครื่องทุ่นแรงก็ขอให้บอกมา” วันนั้นการชุมนุมแน่นขนัดเป็นหมื่น เต็มล้นลานโพธิ์และระเบียงคณะศิลปศาสตร์ จนต้องมีมติให้ย้ายการชุมนุมไปยังสนามฟุตบอล
ในวันเดียวกันนี้รัฐบาลได้เพิ่มความตึงเครียดของสถานการณ์ขึ้น โดยที่จอมพล ถนอม กิตติขจร ให้สัมภาษณ์ว่าพบหลักฐานฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์จึงตั้งข้อหาคอมมิวนิสต์อีกกระทงหนึ่ง
พฤหัสบดี 11 ตุลาคม 2516
เช้าตรู่วันที่ 11 ตุลาคม นิสิตนักศึกษานิมนต์พระสงฆ์ประมาณ 200 รูป ทำบุญตักบาตรในบริเวณสนามฟุตบอล แล้วอภิปรายโจมตีรัฐบาลต่อตั้งแต่ช่วงเช้า นักเรียนนิสิตนักศึกษาจากสถาบันต่างๆ ทยอยเข้าเป็นทิวแถวอย่างมีระเบียบ นิสิตเกษตรฯ งดสอบ เช่ารถ 70 คัน ประมาณ 4 พันคนมุ่งสู่ธรรมศาสตร์ นักศึกษาวิทยาลัยครูจันทรเกษมตามมาสมทบอีก 33 คัน นักเรียนช่างกล นักศึกษารามคำแหง นักศึกษาวิทยาลัยครูต่างๆ มาถึงในเวลาต่อมา จนทำให้มีผู้ร่วมชุมนุมประมาณ 5 หมื่นคน โฆษกบนเวทีด้านตึก อมธ. ด้านแท้งก์น้ำกล่าวว่า พรุ่งนี้นักเรียนอนุบาลจะมาร่วมชุมนุมด้วย
ตอนสายวันนั้น จอมพล ประภาส จารุเสถียร เริ่มเจรจาด้วยการให้นายสมบัติ ธำรงธัญญาวงศ์ เลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยและคณะเข้าพบ ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่ได้ ฝ่ายนิสิตนักศึกษายืนยันให้รัฐบาลปล่อยตัวผู้ต้องหาทั้ง 13 คน แต่รัฐบาลยืนกรานจะดำเนินการด้วยมาตรา 17 ในคืนนั้นก็มีการประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นการด่วน ตั้งศูนย์ปราบปรามจลาจลขึ้นที่สวนรื่นฤดี มีจอมพล ประภาส จารุเสถียร เป็นผู้อำนวยการ
คืนวันนั้นเช่นกัน การชุมนุมดำเนินไปอย่างเผ็ดร้อนและแน่นขนัดนักเรียนนิสิตนักศึกษาได้รับความสนับสนุนจากหลายทิศหลายทางมีทั้งเงินบริจาคหลายแสนบาท มีทั้งอาหารและผลไม้หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย นักเรียนไทยจากสหรัฐอเมริกา เยอรมนี และออสเตรเลีย ส่งจดหมายมาสนับสนุนการต่อสู้พร้อมส่งเงินบริจาคสมทบ
ศุกร์ 12 ตุลาคม 2516
หลังการชุมนุมติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน ถนนทุกสายของผู้ฝักใฝ่หาเสรีภาพและประชาธิปไตยก็มุ่งสู่ธรรมศาสตร์ การจราจรบนถนนในกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะสายที่จะไปธรรมศาสตร์ติดขัดขนาดหนัก คลาคล่ำไปด้วยขบวนนักเรียนนิสิตนักศึกษา ที่ถือป้ายและโปสเตอร์เดินมุ่งสู่ธรรมศาสตร์ ขบวนแล้วขบวนเล่า มีทั้งจากในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ตั้งแต่ระดับประถมไปจนสูงกว่าปริญญาตรี จากภาครัฐและภาคเอกชน ยิ่งสายคนก็ยิ่งแน่น ในสนามฟุตบอลมีคนร่วมชุมนุมเป็นจำนวนแสน
12.00 น. ของวันนั้น ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ยื่นคำขาดว่า ให้รัฐบาลปลดปล่อยบุคคลเหล่านั้นภายในเวลา 24 ชั่วโมง นับตั้งแต่เวลา 12.00 น. ของวันที่ 12 ตุลาคม 2516 เป็นต้นไป หากในเวลา 12.00 น. ของวันที่ 13 ตุลาคม 2516 ทางศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ยังมิได้รับคำตอบอันเป็นที่พอใจ ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยจะได้พิจารณาใช้มาตรการในขั้นเด็ดขาดต่อไป
ตอนบ่าย พลตรี ประกอบ จารุมณี อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เรียกผู้แทนหนังสือพิมพ์เข้าไปกำชับเกี่ยวกับการรายงานข่าว ปรามมิให้ใช้คำว่า “หวั่นจะนองเลือด” ไม่ให้ใช้คำว่าคนมาชุมนุมเป็น “แสน” บ้าง ทั้งนี้สืบเนื่องจากการที่หนังสือพิมพ์รายวันทั้งภาษาไทยและอังกฤษ เช่น ประชาธิปไตย ไทยรัฐ เดลินิวส์ สยามรัฐ ตลอดจน The Nation และ Bangkok Post ได้ติดตามรายงานข่าวอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นผลให้การเรียกร้องรัฐธรรมนูญเป็นที่รับรู้ในคนหมู่มากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนทั่วประเทศ ทำให้นักเรียนนิสิตนักศึกษาของสถาบันการศึกษาในต่างจังหวัดมีการเคลื่อนไหวชุมนุมประท้วงสอดคล้องกันไปกับปรากฏการณ์ในกรุงเทพฯ เช่น ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
จากการชุมนุมที่เข้มแข็งและจำนวนมากมายมหาศาลหลายแสนนี้ ทำให้รัฐบาลจำต้องยอมให้มีการประกันตัวผู้ต้องหา มีผู้เสนอประกันตัวให้ แต่ผู้ต้องหาทั้ง 13 ไม่ยอมรับการประกัน เนื่องจากไม่รู้จักผู้ค้ำประกันแต่อย่างใด ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแถลงว่าการที่รัฐบาลยอมให้ประกันตัวและดูเหมือนจะอุปโลกน์ผู้ค้ำประกันนั้น เป็นการบ่ายเบี่ยงเจตนารมณ์ ศูนย์ฯ ยืนยันที่จะให้ปล่อยตัวโดยไม่มีเงื่อนไข
คืนนั้น การชุมนุมประท้วงดำเนินต่อไป คลื่นมนุษย์เบียดเสียดยัดเยียดกันอยู่กว่า 2 แสนคน คืนนั้น อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ส่วนหนึ่งนำตัวแทนนักศึกษา 2 คนเข้าไปรายงาน ณ พระตำหนักจิตรลดาเพื่อขอให้นำความขึ้นกราบบังคมทูลให้ทรงทราบสถานการณ์และการกระทำของนิสิตนักศึกษา ต่อไปในคืนวันนั้นเช่นกันวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ได้ประกาศเตือนพ่อแม่ผู้ปกครองมิให้ปล่อยลูกหลานมาร่วมชุมนุม โดยอ้างว่ามีนักเรียนหรือบุคคลกลุ่มหนึ่งเตรียมการที่จะใช้อาวุธ
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายข่าวของศูนย์กลางนิสิตนักศึกษา ได้รับข่าวว่ามีการเสริมกำลังทหารอย่างแน่นหนาบริเวณสวนรื่นฤดี บางแห่งมีการนำรถหุ้มเกราะ รถดับเพลิงทหาร รถถังออกมาตั้ง ทางตำรวจโรงพักชนะสงคราม มีตำรวจหนาแน่น มีการจ่ายอาวุธและกระสุนเต็มอัตรา และได้ร่วมกับตำรวจสายตรวจนครบาล ทั้งทหารและตำรวจต่างก็มีแผนในการปราบปรามจลาจล โดยจะใช้ทหารราบ 11 รักษาพระองค์ ทหารพลร่มจากศูนย์สงครามพิเศษ และรถถังจากกองพันทหารม้าที่ 4 มีกำลังหนุนจากกองพลทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ และทหารจากกองพล ปตอ. ส่วนทางด้านตำรวจนั้น จะใช้กำลังจากศูนย์ปราบปรามพิเศษนครบาลบางเขน
เสาร์ 13 ตุลาคม 2516
วันนี้เป็นวันแห่งคำขาดของศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยเป็นวันที่ทุกคนรอคอยด้วยใจระทึก การประท้วง ชุมนุม อภิปราย สลับการร้องเพลง การแสดงละคร การอ่านบทกวีดำเนินไปตลอดคืน จนกระทั่งฟ้าสาง เมื่อเวลาประมาณตี 5 นายสมบัติ ธำรงธัญญวงศ์ พร้อมด้วยกรรมการศูนย์ฯ ได้นำการร้องเพลงชาติและกล่าวสาบานต่อที่ชุมนุม ที่จะเทิดทูนชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และรัฐธรรมนูญ เช้าวันนั้นนักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชนแน่นขนัดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนกระทั่งล้นทะลักออกไปบริเวณรอบนอก ทุกคนต่างรอคอยเวลา 12.00 น.
และแล้ว เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ผู้นำนักศึกษาที่ได้รับแต่งตั้งเฉพาะกิจเป็นหัวหน้าปฏิบัติการเดินขบวนก็ประกาศว่า “พี่น้องชาวไทยที่รักทั้งหลาย เราได้ให้โอกาสรัฐบาลมานานแล้ว 5 วัน 5 คืน ที่เราได้นั่งอดตาหลับขับตานอน ตากแดดตากน้ำค้างเพื่อเรียกร้องสิทธิของเรา ได้รับการเพิกเฉยความไม่แยแสจากรัฐบาล 24 ชั่วโมงที่เรายื่นคำขาดใกล้จะมาถึงแล้ว ท่านพร้อมแล้วใช่ไหม? ที่จะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดกับสองตระกูลกินเมืองเหล่านั้น”
“ในที่สุด....เที่ยงตรงของวัน (เสาร์) ที่ 13 ตุลาคม....ทุกคนยืนขึ้นพร้อมจะออกไปเผชิญกับทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจจะเกิดขึ้น....กรรมการศูนย์ฯ นำมวลชนสวดมนต์ ร้องเพลงชาติ และเพลงสรรเสริญพระบารมี ตามด้วยเสียงไชโยโห่ร้องอย่างสนั่นหวั่นไหว”
“รูปขบวนซึ่งได้รับการเตรียมไว้อย่างดี....ก็เริ่มทะลักออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หน่วยคอมมานโดทะลวงฝ่าฝูงชนเป็นรูปหัวหอกตามด้วยทัพธงซึ่งเป็นนักศึกษาหญิงล้วน….”
(สมาน เลือดลงหัก วันมหาปิติ)
12.30 น. รถบัญชาการ “เริ่มตีวงกลับ....กองอาสาสมัครหญิงถือธงไตรรงค์จัดแถว และเริ่มเดินออก ติดตามด้วยแถวอาสาสมัครหญิงถือธงธรรมจักร และอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์.... หน่วยหมีและหน่วยกล้าตายชายรวมพล....มีกระสอบข้าวและพริกไทยไว้สู้กับสุนัขตำรวจ มีตะขอและเชือกพลาสติกไว้จัดการกับเครื่องกีดขวาง....ท้ายขบวน….มีรถบรรทุกน้ำและถุงพลาสติกกระดาษเช็ดหน้า....ไว้ป้องกันแก๊สน้ำตา”
(ภูมิสัน โรจน์เลิศจรรยา วันมหาปิติ)
“ตอนนี้รถบัญชาการขยับตัวออกมา....หน่วยกนก 50 ออกมาอารักขา....มวลชนก็ทะลักตามมาจากสนามฟุตบอล.....ผู้คนระบายออกจากสนามฟุตบอลทีละข้าง ระหว่างแถบซ้ายของทาง ลอดใต้ตึกโดมกับแถบขวาสลับกัน ประมาณบ่าย 2 โมงกว่า ฝูงชนยังออกไม่ถึงครึ่งสนาม....คลื่นมนุษย์ไหลมาอย่างกับน้ำป่าไหลท่วมธรรมศาสตร์ ฝูงชนเคลื่อนตัวออกจากสนามฟุตบอลมาออกันอยู่เต็มปากทางลอดตึกโดม แล้วก็ไหลลอดตึกโดยเลี้ยวขวาไปตามถนนเป็นแนวยาวเหยียด....ระลอกแล้วระลอกเล่าจาก 12.30 น. จนถึง 15.30 น. ลอดใต้ตึกห้องสมุดทางด้านประตูท่าพระอาทิตย์ เลียบเชิงสะพานปิ่นเกล้า แล้วเข้าถนนพระราชดำเนิน ข้ามสะพานผ่านพิภพลีลามุ่งสู่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ประมาณกันว่าวันนั้นมีนักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชนเข้าร่วมเดินขบวนถึงกว่า 5 แสนคน และมีการถ่ายทอดออกโทรทัศน์ทางช่อง 4 และช่อง 7 การจัดรูปขบวนของนักเรียนนิสิตนักศึกษาในวันนั้นจัดเป็นแถวรูปหน้ากระดาน 5 ขบวนอย่างเป็นระเบียบ พร้อมด้วยสัญลักษณ์ของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่นำมาใช้ในการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ และมีขบวนรถบรรทุกขนาดเล็กจำนวน 13 คัน ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่รถบัญชาการ ตามมาด้วยรถพยาบาล รถสวัสดิการ รถเสบียง รถพัสดุแสงเสียงและไฟฟ้า และรถระวังหลัง
การเดินขบวนครั้งยิ่งใหญ่นี้มีการเตรียมการป้องกันรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ทั้งนี้เพราะกระแสข่าวว่า อาจจะมีการปราบปรามจากทหารและตำรวจเล็ดลอดออกมาเป็นระยะๆ ดังนั้น นักเรียนอาชีวะที่ประกอบกันเข้าเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัย จึงกระจายออกเป็นถึง 10 หน่วยด้วยกัน คือ หน่วยคอมมานโด หน่วยหมี หน่วยเฟืองป่า หน่วยฟันเฟือง หน่วยเซฟ หน่วยกนก 50 หน่วยวิษณุ หน่วยช้าง หน่วยเสือเหลือง และหน่วยจ็อด
วันนั้น ตลอดวันของเสาร์ที่ 13 ตุลาคม ในขณะที่การเดินขบวนคลาคล่ำถนนราชดำเนิน ตัวแทนของศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาได้เข้าพบเจรจาขั้นสุดท้ายกับจอมพล ประภาส จารุเสถียร เมื่อได้รับคำตอบว่าจะปล่อยผู้ต้องหาทั้ง 13 คน และจะร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จภายใน 1 ปี จากนั้นตัวแทนของศูนย์ฯ ก็ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อเวลา 16.20 - 17.20 น.
17.30 น. เสกสรรค์ ประเสริฐกุล หัวหน้าปฏิบัติการเดินขบวน สั่งเคลื่อนขบวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมุ่งสู่ลานพระบรมรูปทรงม้า พร้อมๆ กับการที่กรรมการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยกลับเข้ามาพบจอมพล ประภาส จารุเสถียร อีกครั้งหนึ่งระหว่าง 17.40 - 18.30 น. เพื่อทำหนังสือสัญญาตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร
20.00 น. วิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ประกาศว่ารัฐบาลยอมรับข้อเสนอของศูนย์กลางนิสิตนักศึกษา ยอมปล่อยผู้ต้องหาและจะประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ในปีต่อไปตัวแทนของนิสิตนักศึกษาและผู้แทนพระองค์พยายามดำเนินการให้มีการสลายตัวของฝูงชนที่ยังคงชุมนุมอยู่เป็นเรือนแสน บรรยากาศทั่วไปเต็มไปด้วยปัญหาการติดต่อประสานงาน ความตึงเครียดและข่าวลือต่างๆ นานา ในทางร้ายต่อผู้นำนิสิตนักศึกษากรมประชาสัมพันธ์ออกแถลงการณ์ว่า “ได้มีนักเรียนหรือบุคคลกลุ่มหนึ่งเตรียมการที่จะใช้อาวุธร้ายแรงต่างๆ ในวันที่ 13 ตุลาคม 2516” และเมื่อ 22.00 น. ก็มีแถลงการณ์อีกว่า “บัดนี้ ปรากฏว่าได้มีบุคคลบางคนที่มิใช่นักศึกษาถือโอกาสอภิปรายโจมตีรัฐบาลและยุยงส่งเสริมให้เกิดความวุ่นวายต่อไป”
23.30 น. พีรพล ตรียะเกษม นายก อมธ. กระชับกับเสกสรรค์ว่า บัดนี้กรรมการศูนย์ที่ไปเข้าเฝ้าชะตาขาดหมดแล้ว ทำให้เสกสรรค์ ประเสริฐกุล สั่งเคลื่อนขบวนจากลานพระบรมรูปทรงม้าไปยังสวนจิตรลดา “เพื่อหวังเอาพระบารมีเป็นที่พึ่ง” เมื่อเวลาใกล้จะเที่ยงคืน
อาทิตย์ 14 ตุลาคม 2516
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสผ่านทางวิทยุและโทรทัศน์ เมื่อเวลา 19.15 น. ความตอนหนึ่งว่า “วันนี้เป็นวันมหาวิปโยค....เกิดการปะทะกัน และมีคนได้รับบาดเจ็บ....ความรุนแรงได้ทวีขึ้นทั้งพระนคร ถึงขั้นจลาจล....มีคนไทยด้วยกันต้องเสียชีวิต”
นับแต่หลังเที่ยงคืนของวันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม นักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชนที่ชุมนุมประท้วงกันมาหลายวันหลายคืน ก็มารวมกันอยู่บริเวณหน้าสวนจิตรลดาอย่างแน่นขนัด “เพื่อหวังพระบารมีเป็นที่พึ่ง” เวลาประมาณตี 5 ขณะที่มีการเริ่มสลายตัวของฝูงชน ก็เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น
เชิดสกุล เมฆศรีวรรณ นักหนังสือพิมพ์ที่ทั้งเห็นเหตุการณ์วิกฤตและสูญเสียดวงตาไปหนึ่งดวงในวันนั้น เล่าเป็นประจักษ์พยานว่า
“…ที่บริเวณหน้าสวนจิตรลดา ช่วงถนนพระราม 5 ใกล้กับถนนราชวิถี พ.ต.อ.วสิษฐ์ เดชกุญชร ผู้แทนพระองค์ “ได้อ่านพระบรมราโชวาท ให้ฝูงชนฟังจบแล้วฝูงชนก็เริ่มสลายตัวตามพระราชประสงค์....กลุ่มนักเรียนอาชีวะถือว่าเป็นหน่วยกล้าตายที่มีอาวุธพวกไม้ แป๊ปน้ำกันเกือบทุกคน ต่างได้ทิ้งอาวุธ พร้อมกับทำลายระเบิดขวด....ฝูงชนที่จะกลับทางถนนราชวิถี (กลับ) ถูกสลัดกั้นด้วยตำรวจคอมมานโด...ตำรวจเหล่านี้มีไม้พลอง โล่ หวาย และปืนยิงแก๊สน้ำตา....ภายใต้การบัญชาการ ของ พล.ต.ท.มนต์ชัย พันธุ์คงชื่น (ผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ) และ พล.ต.ต.ณรงค์ มหานนท์ (บัญชาการตำรวจนครบาล)
ฝูงชน....เมื่อรู้แน่ว่าไม่ได้รับการอนุญาตให้ผ่านออกไป....ก็เริ่มมีปฏิกิริยาด้วยการใช้ข้าวห่อขว้างปาใส่ตำรวจ....ฝูงชนที่ถูกสกัดกั้นรายหนึ่ง ได้ใช้ท่อนไม้ขว้างใส่ถูกตำรวจได้รับบาดเจ็บนายหนึ่ง....หลังจากนั้นให้หลังไม่ถึงสิบนาที รถตำรวจที่ใช้ปราบจลาจลติดไซเรนสองคัน ก็พุ่งเข้าใส่กลุ่มฝูงชนโดยมีตำรวจคอมมานโดสวมหมวกกันน็อคทั้งนครบาลและกองปราบ พร้อมด้วยสองนายตำรวจผู้อื้อฉาวจากคดีทุ่งใหญ่....ก็ตามเข้าไปใช้กระบองหวดเข้าฝูงชนทันที ไม่ว่าเด็กหรือผู้หญิง....
การนองเลือดได้เริ่มจากจุดนี้....สร้างความเคียดแค้นให้ฝูงชนมากขึ้น เมื่อเห็นเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งถูกเบียดตกคลอง....และเด็กนักเรียนหญิงอีกคนหนึ่งถูกแก๊สน้ำตาล้มฟุบ....ฝูงชนที่หนีได้ก็ปีนป่ายกำแพงเข้าไปในสวนสัตว์ และใช้ก้อนหินขว้างปาใส่ตำรวจ อีกส่วนหนึ่งก็ตรูกันเข้าวังสวนจิตรฯ โดยมีมหาดเล็กเป็นคนเปิดให้เข้าไป การปะทะใช้เวลาประมาณ 15 นาที คือเริ่มตั้งแต่เวลา 6.30 ถึง 6.45 น.”
(เชิดสกุล เมฆศรีวรรณ “ฟ้าสางที่ข้างสวนจิตรฯ” วันมหาปิติ)
จากจุดปะทะเล็กๆ ณ บริเวณหน้าสวนจิตรลดาฯ เหตุการณ์ก็บานปลายลุกลามไปอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ รัฐบาลใช้กำลังทหารและตำรวจปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงอย่างรุนแรงในขณะที่นักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชนตอบโต้ด้วยการก่อความวุ่นวาย บุกเข้ายึดและทำลายสถานที่บางแห่งที่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจเผด็จการคณาธิปไตย พยายามยึดกรมประชาสัมพันธ์ที่ให้ข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนตลอดจนสถานีตำรวจ
นับแต่ 10.00 น. เป็นต้นไป รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์เป็นระยะๆ กล่าวหาว่ามีกลุ่มนักเรียนบุกรุกเข้าไปในพระราชฐานสวนจิตรลดาและก่อวินาศกรรม ในขณะเดียวกันก็เกิดข่าวลือแพร่สะพัดว่า นักศึกษาหญิงที่ถือธงไตรรงค์ในวันเดินขบวนถูกตำรวจตีตาย เด็กผู้ชายถูกถีบเตะตกคูน้ำจนตาย สร้างความโกรธแค้นให้กับผู้ร่วมชุมนุมเป็นอย่างยิ่งสถานการณ์รุนแรงหนักขึ้น
รัฐบาลส่งทหารเละตำรวจออกปราบ มีทั้งรถถังและเฮลิคอปเตอร์ จุดปะทะและนองเลือดมีตลอดสายถนนราชดำเนิน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บางลำภู เป็นเวลาถึง 10 ชั่วโมง พร้อมๆ กับมีคำสั่งห้ามประชาชนออกนอกบ้านระหว่าง 22.00 - 05.30 น. ประกาศปิดโรงเรียนและสถาบันการศึกษาในกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ และกำหนดให้บริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และศิลปากรเป็นเขตอันตราย เตรียมพร้อมที่จะทำการกวาดล้างใหญ่
14.00 น. สำนักงานกองสลากกินแบ่ง และตึก ก.ต.ป. ถูกไฟเผา นักเรียนและประชาชนต่อสู้อย่างทรหด ยึดรถเมล์ใช้วิ่งชนรถถัง แต่ก็ถูกยิงเสียชีวิต ผู้บาดเจ็บถูกหามเข้าส่งโรงพยาบาลศิริราชตลอดเวลา
(ลาวเฉียง)
คึกคักหนักแน่นดังแผ่นผา
กลมเกลียวแกล้วกล้าสดใส
ฟันเฟืองฟาดฟันบรรลัย
กนกห้าสิบให้ชีวิตพลี
(สร้อย)
เจ้าหนุ่มสาวเอย เจ้าเคยแล้วหรือยัง (ซ้ำ)
ตายเพื่อสร้าง ตายเพื่อสร้างเสรี
มือเปล่าตีนเปล่าก้าวหน้า
ยอมให้เข่นฆ่าไปเป็นผี
ถือหลักศักดิ์สิทธิ์เสรี
พูดกันดีดีแล้วตั้งนาน
(สร้อย)
เจ้าหนุ่มสาวเอย เจ้าเคยแล้วหรือยัง (ซ้ำ)
ตายเพื่อสร้าง ตายเพื่อสร้างเสรี
กดขี่ข่มเหงคะเนงร้าย
เผด็จการก้าวก่ายเสียทุกด้าน
ชาวนาเป็นศพกบดาน
ชาวบ้านเป็นซากยากจน
(สร้อย)
เจ้าหนุ่มสาวเอย เจ้าเคยแล้วหรือยัง (ซ้ำ)
ตายเพื่อสร้าง ตายเพื่อสร้างเสรี
มือเปล่าตีนเปล่าห้าวหาญ
แกว่งกระบองคลุกคลานกลางถนน
นี่คือพลังของประชาชน
ทุกคนสืบเลือดบางระจัน
(สร้อย)
เจ้าหนุ่มสาวเอย เจ้าเคยแล้วหรือยัง (ซ้ำ)
ตายเพื่อสร้าง ตายเพื่อสร้างเสรี
มาเถิดมาสร้างเมืองใหม่
สร้างประเทศเราให้เป็นสวรรค์
ใครมาข่มเหงรังแกกัน
ประชาชนเท่านั้นลุกฮือเอย
(สร้อย)
เจ้าหนุ่มสาวเอย เจ้าเคยแล้วหรือยัง (ซ้ำ)
ตายเพื่อสร้าง ตายเพื่อสร้างเสรี
(สุจิตต์ วงษ์เทศ “กล่อมวีรชน” แต่งให้วงดนตรีไทยเจ้าพระยา ทำนอง ตับพระลอเสี่ยงน้ำ ธันวาคม 2516)
18.10 น. จอมพล ถนอม กิตติขจร ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
19.15 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสทางวิทยุและโทรทัศน์ ทรงขอให้ทุกฝ่ายระงับเหตุแห่งความรุนแรง และทรงแต่งตั้ง ศาสตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ องคมนตรี และนายกพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย เป็นนายกรัฐมนตรีแทน
23.00 น. สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีพระราชดำรัสทางโทรทัศน์ แสดงความห่วงใย และ 23.30 น. ศาสตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ปราศรัยทางโทรทัศน์ ขอให้ทุกฝ่ายคืนสู่ความสงบและประกาศจะใช้รัฐธรรมนูญภายใน 6 เดือน
อย่างไรก็ตาม 24.00 น. ของคืนวันนั้น จอมพล ถนอม กิตติขจร ในตำแหน่งของผู้บัญชาการทหารสูงสุด ยังคงออกแถลงการณ์ว่ามีผู้ที่ “พยายามนำลัทธิการปกครองอื่นที่เลวร้ายมาล้มล้างการปกครองแบบประชาธิปไตย” จึงขอให้เจ้าหน้าที่ “ปฏิบัติหน้าที่จนสุดความสามารถ” ซึ่งก็คือการปราบปรามนักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชนก็ยังคงดำเนินไป
ตลอดคืนนั้น มีการต่อสู้ระหว่างนักเรียน ประชาชนและตำรวจ ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลผ่านฟ้า ฝ่ายนักเรียนและประชาชนปักหลักสู้จากตึกบริษัทเดินอากาศไทย และป้อมพระกาฬ ส่วนที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมีการชุมนุมอยู่อีกเป็นจำนวนหมื่น ผู้นำศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาฯ ขาดการติดต่อ ซ้ำมีข่าวลือว่าบางคนเสียชีวิต เช่น เสกสรรค์ ประเสริฐกุล และเสาวณีย์ ลิมมานนท์ จึงมีการจัดตั้ง “ศูนย์ปวงชนชาวไทย” ขึ้นชั่วคราว เพื่อประสานงานและคลี่คลายสถานการณ์ ท้องฟ้าแถบถนนราชดำเนินเป็นสีแดง มีไฟควันพวยพุ่งอยู่เป็นหย่อมๆ การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยดำเนินไปตลอดคืน
จันทร์ 15 ตุลาคม 2516
ตลอดคืนที่ผ่านมา นักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชน ยังคงยืนหยัดชุมนุมกันหนาแน่นที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย คำประกาศเตือนและขู่ของรัฐบาลหาเป็นผลไม่ กลับมีคนออกจากบ้านมาร่วมชุมนุมไม่ขาดระยะรัฐบาลมีประกาศหยุดราชการในวันนี้เป็นกรณีพิเศษ และมีประกาศปิดธนาคารทุกแห่ง
ในขณะเดียวกันนักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชน ก็ยืนหยัดต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยว มีการลุกฮือเป็นจุดๆ ทั่วกรุงเทพมหานคร และในบางท้องที่ต่างจังหวัด โดยเฉพาะที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลผ่านฟ้า และสถานีตำรวจนางเลิ้ง นักเรียนและประชาชนพยายามต่อสู้บุกเข้ายึดและเผาตลอดคืนจนรุ่งเช้า
จากข้อเท็จจริงที่ว่า แม้จอมพล ถนอม กิตติขจร จะลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วก็ตาม แต่ก็ยังดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด และก็ยังปรากฏว่าการปราบปรามนักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชนยังดำเนินอยู่ต่อไป พร้อมกับมีแถลงการณ์ว่ามีผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ส่งพลพรรคมีอาวุธร้ายเเรงสวมรอยเข้ามา ยิ่งทำให้เห็นว่าเป็นการสร้างความเท็จ สร้างความโกรธแค้นและเกลียดชังยิ่งขึ้น ทำให้นักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชนเกิดพลังในการต่อสู้ต่อไป แม้จะบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากก็ตาม
จากการปราบปรามอย่างรุนแรงและไร้มนุษยธรรม ใช้ทั้งรถถังเฮลิคอปเตอร์ อาวุธสงครามหนัก ทหารและตำรวจจำนวนร้อย ทำให้เกิดความขัดแย้งในวงการรัฐบาลอย่างหนัก มีทหารและตำรวจที่ไม่เห็นด้วย พลเอก กฤษณ์ สีวะรา ผู้บัญชาการทหารบกเอง ก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีการรุนแรงนี้ ทางด้านทหารอากาศและทหารเรือ ก็เห็นด้วยกับทางฝ่ายของผู้บัญชาการทหารบก กลายเป็นแรงผลักดันให้จอมพล ถนอม กิตติขจร ต้องลาออกจากตำแหน่ง และท้ายที่สุดคณาธิปไตยทั้งสาม ถนอม-ประภาส-ณรงค์ ก็ต้องเดินทางออกจากประเทศไทยไป เหตุการณ์ทั้งหมดจึงสงบลงโดยพลันทันทีที่มีการประกาศว่าบุคคลทั้ง 3 ได้เดินทางออกนอกประเทศแล้วเมื่อ 18.40 น.
เมื่อเดือนตุลาคม พุทธศักราช 2516 เยาวชนคนหนุ่มสาวหลายคนออกจากบ้านไปร่วมกับความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ หลายคนไม่ได้กลับบ้านอีกเลย บางคนกลับไปด้วยร่างกายพิการ บางคนกลับไปด้วยความรู้สึกใหม่เหตุการณ์ 14-15 ตุลาคม มีผู้เสียชีวิต 77 คน บาดเจ็บ 857 คน
วันที่ 14-15 ตุลาคม 2516 วีรชนคนหนุ่มสาวเดินออกจากบ้าน และเดินเข้าสู่ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์และตำนาน ที่จะต้องจดจำกันไว้ในแผ่นดินนี้ ชั่วกาลนาน
กางปีกหลีกบินจากเมือง เจ้านกสีเหลืองจากไป
เจ้าบินไปสู่เสรี บัดนี้เจ้าชีวาวาย ฮือ....ฮือ....
เจ้าเหิรไปสู่ห้วงหาว เมฆขาวถามเจ้าคือใคร
อาบปีกด้วยแสงตะวัน เจ้าฝันถึงโลกสีใด ฮือ...ฮือ...
(วินัย อุกฤษณ์ “นกสีเหลือง”)
(พูด) “คุณจำได้ไหม เหตุการณ์เมื่อวันที่ 14-15 ตุลาคม...คุณจำได้ไหม รอยเลือด คราบน้ำตา....และฝันร้ายของผู้คน วีรชนคนหนุ่มสาวของเราได้ตายไปท่ามกลางห่ากระสุนและแก๊สน้ำตา ตายไปขณะชูสองมืออันวางเปล่าขึ้นเรียกร้องหาเสรีภาพ ณ บัดนี้ ขอให้พวกเราจงหยุดนิ่ง และส่งใจระลึกถึงไปยังพวกเขาเหล่านั้น อย่างน้อยก็เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ และจะได้เป็นกำลังใจสำหรับผู้ที่จะอยู่ต่อสู้ต่อไป”
จงเป็นไปเถิดคนกล้า ความฝันสูงค่ากว่าใด
เจ้าบินไปจากรวงรัง ข้างหลังเขายังอาลัย
กางปีกหลีกบินจากเมือง เจ้านกสีเหลืองจากไป
เจ้าคือวิญญาณเสรี บัดนี้เจ้าชีวาวาย
(วินัย อุกฤษณ์ “นกสีเหลือง”)
หมายเหตุ :
- ชาญวิทย์ เกษตรศิริ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขียนครั้งแรกเมื่อกันยายน 2536 สำหรับเป็นสคริปวีดิโอ อนุกรรมการของที่ระลึก 60 ปี ธรรมศาสตร์
- บทความนี้ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่จากผู้เขียนแล้ว
ที่มา : เอกสารวิชาการหมายเลข 2 โครงการ “บรรยายสาธารณะ-ตลาดวิชา-มหาวิทยาลัยประชาชน 30 ปี 14 ตุลา กับประชาธิปไตยไทย” 2516-2546