Focus
- การจำกัดสิทธิเลือกตั้งของบุคคลสัญชาติไทยซึ่งมีบิดาเป็นคนต่างด้าวตามพระราชบัญญัติเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 กับการออกแบบคุณสมบัติผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่จำกัดสิทธิเฉพาะกลุ่ม ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนที่หยุดชะงักอันเป็นผลมาจากบริบททางการเมือง

พีรพันธ์ พาลุสุข
ที่มา: ความทรงจำที่งดงาม อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายพีรพันธุ์ พาลุสุข
การเลือกตั้งเป็นกลไกสำคัญในการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของประชาชนในการเลือกบุคคลไปเป็นตัวแทนของตนเพื่อทำหน้าที่ในการดำหนดแนวนโยบายและจัดตั้งรัฐบาลเพื่อบริหารประเทศ หลักประชาธิปไตยเพื่อบริหารประเทศ หลักประชาธิปไตยในเรื่องเลือกตั้งก็คือ การเลือกตั้งก็คือ การเลือกตั้งจะต้องเป็นการทั่วไป และเสมอภาค
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2522 ซึ่งมีขึ้นตามข้อกำหนดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2521 ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ประเทศไทยได้มีสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้งหนึ่งอย่างไรก็ดีแม้ว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ รัฐบาลได้ทุ่มเทโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งแต่ปรากฏว่าจำนวนผู้ไปใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะที่กรุงเทพฯมหานคร มีผู้ไปใช้สิทธิเพียงร้อยละ 19.45 เท่านั้น
การที่มีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งน้อยทำให้ผู้รับผิดชอบในการจัดการเลือกตั้งและพรรคการเมืองหลายพรรควิตกกังวลต่ออนาคตของประเทศ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งน้อย โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครนั้น เป็นที่ยอมรับกันว่าเนื่องมาจากกฎหมายเลือกตั้งที่กำหนดคุณสมบัติและการขอใช้สิทธิเลือกตั้งของบุคคลสัญชาติไทยแต่บิดคนต่างด้าว
ก. บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
ปกติรัฐธรรมนูญจะบัญญัติถึงสิทธิเลือกตั้งและสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญหลายฉบับไม่กำหนดคุณสมบัติของผู้เลือกตั้งและผู้สมัครรับเลือกตั้ง แต่รัฐธรรมนูญฉบับ (เช่น รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492, 2511) ได้กำหนดว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องมีสัญชาติไทย แต่ถ้าบิดาเป็นคนต่างด้าวก็จะต้องมีคุณสมบัติเพิ่มเติมตามกฎหมายเลือกตั้งด้วย ส่วนรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 ถือสัญชาติเป็นสำคัญ กล่าวคือ ผู็ที่มีสัญชาติไทยตามกฎหมายย่อมมีสิทธิเลทอกตั้ง และ พ.ร.บ.เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2517 ได้ยกเลือกเรื่องสิทธิเลือกตั้งของบุคคลสัญชาติไทยแต่บิดาเป็นคนต่างด้าว ฉะนั้น ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2518, 2519 บุคคลสัญชาติไทย (เว้นแต่ผู้ได้สัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ) จึงมีสิทธิเลือกตั้งเท่าเทียมกัน
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511 มาตรา 92 ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้เลือกตั้งไว้ดังนี้
1) เป็นผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิด แต่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยซึ่งบิดาเป็นคนต่างด้าวต้องมีคุณสมบัติตามกำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
2) มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ในวันที่ 1 มกราคม ของปีที่มีการเลือกตั้งและ
3) มีชื่ออยู่ในทะเบียนในเขตเลือกตั้ง
ข. พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522

มาตรา 17 แห่ง พ.ร.บ.เลือกตั้งดังกล่าวข้างต้นนี้ ได้กำหนดว่าบุคคลผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิดมีสิทธิเลือกตั้งตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
มาตรา 18 แห่ง พ.ร.บ.นี้ ได้กำนหดคุณสมบัติของบุคคลผู้มีสัญชาติไทยซึ่งบิดาเป็นคนต่างด้าว จะเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ นอกจากคุณสมบัติที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว ยังต้องมีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ คือ
1) สอบไล่ได้ไม่ต่ำกว่าชั้นมัธยมปีที่ 6 หรือชั้นมัธยมศึกาาปีที่ 3 หรือเทียบเท่า
2) รับหรือเคยรับราชการทหาร
3) เป็นหรือเคยเป็นข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำไม่น้อยกว่า 5 ปี
4) เป็นหรือเคยเป้นสมาชิกจังหวัด สมาชิกสภากรุงเทพมหาานคร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สมาชิกเทศบาล สมาชิกสภาเมืองพัทยา กรรมการสุขาภิบาล กรรมการสภาตำบล กำนัน หรือผู้ใหญ่บ้าน
5) เสียหรือเคยเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดา หรือภาษีโรงเรือนและที่ดิน หรือภาษีบำรุงท้องถิ่นที่ตามกฎหมายติดต่อกันมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี
คุณสมบัติ 4 ประการแรก เป็นคุณสมบัติที่กำหนดขึ้นโดยหลักการเดียวกันกับ พ.ร.บ.เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน 4 ฉบับ ซึ่งถือได้ว่าเป็นกฎหมายหลัก คือ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน พ.ศ. 2475, พ.ศ. 2490, พ.ศ. 2499 และ พ.ศ. 2511 ส่วนคุณสมบัติประการที่ 5 เป็นหลักการที่เพิ่มมาใหม่
แต่ภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 และได้มีการแก้ไข พ.ร.บ.เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน พ.ศ. 2511 ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 ซึ่งตาม พ.ร.บ.เลือกตั้งสมาชิกผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2517 มาตรา 8 ได้ยกเลิกความในมาตรา 16 แห่ง พ.ร.บ.เลือกตั้งสมาชิกสภาผุ้แทนราษฎร พ.ศ. 2511 ฉนั้นตาม พ.ร.บ.เลือกตั้ง พ.ศ. 2517 ผู้มีสัญชาติไทยแต่บิดาเป็นคนต่างด้าว จึงไม่ถูกจำกัดสิทธิเลือกตั้งด้วยการกำหนดคุณสมบัติพิเศศอีก ยิ่งกว่านั้น การกำหนดคุณสมบัติในการเลือกตั้งตาม พ.ร.บ.เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 นอกจากจะเป็นการย้อนกลับสู่อดีตแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2517 เป็นคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งซึ่งมีสัญชาติไทยและสัญชาติอื่นด้วยในขณะเดียวกัน (เช่น บิดเป็นคนต่างด้าว) มาเป้นคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ฉะนั้นในปี 2522 ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จึงถูกกำจัดลงไปอีกมาก ส่วนคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้ง พ.ร.บ.เลือกตั้ง พ.ศ. 2522 กลับไปถือเอาการศึกษาเป็นสำคัญ โดยคิดว่าผู้ที่ได้เข้าศึกษาตามกำหนดเวลาในโรงเรียนจนจบ ม.ศ.5 หรือเทียบเท่า หรือได้ศึกษาในสถาบันการศึกษาชั้นสูงในประเทศจนจบปริญญาตรีเป็นผู้มีความรับผิดชอบเพียงพอการกำหนดคุณสมับติเช่นนี้ทำให้อดีตสมาชิกสภาผู้แทนหลายคนไม่มีสิทธิสมัครเลือกตั้งในปี 2522
ค. เหตุผลในการจำกัดสิทธิ
หลักทั่วไปในการกำหนดเงื่อนไขการใช้สิทธิเลือกตั้งคือ การมีสัญชาติของชาตินั้น ๆ มีความสามารถตามกฎหมายและไม่เป็นบุคคลผู้ถูกห้ามใช้สิทธิเลือกตั้ง
เหตุผลในการกำหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งมีสัญชาติไทยแต่บิดาเป็นคนต่างด้าวตาม พ.ร.บ.เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 ปรากฎตามความเห็นของคณะกรรมาธิการแปรญัตติเป็นสำคัญเพราะถึงแม้จะมีผู้ขอแปรญัตติคัดคุณสมบัติก็ได้เห็นชอบกับร่างของคณะกรรมาธิการ กล่าวคือ กรรมาธิการแปรญัติอธิบายว่า การกำหนดคุณสมบัติเช่นนี้เป็นไปตามหลักรัฐศาสตร์ ซึ่งมีเหตุผลและคํานึงถึงหลักการในการใช้สิทธิแก่บุคคลมากที่สุด ให้มีข้อจํากัดน้อยที่สุด โดยวัดพื้นฐานความจงรักภักดีต่อประเทศไทยจากการรับราชการ การเสียภาษี และวัดความรับผิดชอบจากระดับการศึกษา แต่เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังน่าจะอยู่ที่ความเกรงกลัวอิทธิพลทางเศรษฐกิจของคนต่างด้าว จึงหามาตรการทางกฎหมายจํากัดคนเหล่านี้ออกไปเสียจากการเลือกตั้ง ประธานกรรมาธิการแปรญัตติกล่าวถึงเรื่องนี้ว่าคณะกรรมาธิการเห็นว่าลูกต่างด้าวควรแสดงความรับผิดชอบต่อประเทศไทยจึงกําหนดเงื่อนไขดังกล่าวขึ้นและกล่าวเสริมว่า “...ลูกต่างด้าวบางชาติเลือดแรง ในเรื่องนี้สมาชิกเป็นห่วง ถือเป็นกองทัพไม่มีอาวุธ” ลูกต่างด้าวบางชาติในที่นี้หมายถึงใคร เป็นเรื่องที่จะพิจารณาต่อไปว่าเรื่องนี้กระทบใครมากที่สุด
2. ผลกระทบจากการจำกัดสิทธิเลือกตั้งของบุคคลชาติไทย แต่บิดาเป็นคนต่างด้าวตาม พ.ร.บ.เลือกตั้ง พ.ศ. 2522

ผลกระทบจากการกําหนดคุณสมบัติของลูกต่างด้าว ก่อให้เกิดกระแสการคัดค้านอย่างกว้างขวางก่อนการเลือกตั้ง และส่งผลไปถึงจํานวนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งด้วย
กระแสคัดค้านเรื่องนี้มาจากหลายฝ่ายที่มองว่าเป็นการสร้างความแตกแยกขึ้นในประเทศ พรรคการเมืองหลายพรรคได้หยิบเอาประเด็นนี้มาหาเสียง และถือเป็นนโยบายที่จะต้องเข้าไปแก้ไข ส่วนลูกต่างด้าวเองปฏิกิริยาคัดค้านมีมากขึ้น เมื่อถูกเรียกให้ไปแสดงหลักฐานต่อเจ้าหน้าที่อําเภอเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติอื่น ๆ ที่กําหนดไว้ในกฎหมายเลือกตั้ง จึงจะมีสิทธิในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (คือมีชื่อในบัญชีรายชื่อผู้เลือกตั้ง) และหากไม่ไปแสดงหลักฐานดังกล่าว อาจถูกปรับหรือถูกลงโทษตามกฎหมายการทะเบียนราษฎรได้ กระทรวงมหาดไทยให้เหตุผลในเรื่องนี้ว่าคุณสมบัติที่กําหนดไว้ในกฎหมายเลือกตั้ง 5 ประการนั้น เจ้าหน้าที่ไม่สามารถตรวจสอบได้จากทะเบียนบ้านเพราะรายการต่าง ๆ ในทะเบียนบ้านไม่ได้บันทึกเรื่องเหล่านี้ไว้ หากเจ้าหน้าที่ไม่มีหลักฐานตรวจสอบเกี่ยวกับคุณสมบัติเหล่านี้ก็ไม่อาจคัดชื่อลงในบัญชีรายชื่อผู้เลือกตั้งได้ซึ่งจะทําให้กลายเป็นผู้ไม่มีสิทธิเลือกตั้งไป แต่เมื่อมีการแสดงเป็นปฏิปักษ์จากคนไทย (ที่เป็นลูกต่างด้าว) ซึ่งมีความรู้สึกถูกแบ่งแยกหรือลดลงเป็นพลเมืองอีกขั้นหนึ่งนั้น ในวันที่ 20 มีนาคม 2522 กระทรวงมหาดไทยจึงได้ยกเลิกคําสั่งที่ให้ลูกต่างด้าวไปรายงานตัวเสีย แม้ไม่ไปรายงานตัวก็ไม่ต้องรับโทษ เพียงแต่ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง ส่วนลูกต่างด้าวที่ประสงค์จะมีสิทธิเลือกตั้งก็ให้นําหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กฎหมายกําหนดไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ก่อนวันที่ 7 เมษายน 2522 เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้เพิ่มชื่อในบัญชีรายชื่อผู้เลือกตั้งให้
ผลกระทบที่สําคัญอันเนื่องมาจากการ กําหนดคุณสมบัติของลูกต่างด้าวถือเป็นสาเหตุอย่างหนึ่งที่ทําให้มีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งน้อย กองการเลือกตั้งกระทรวงมหาดไทย ได้แถลงเมื่อ 19 เมษายน 2522 ว่าจํานวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศมีทั้งสิ้น 21,260,921 คน เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งสัญชาติไทยบิดาเป็นคนไทยมีจํานวน 21,200,357 คน ส่วนบุคคลสัญชาติไทยแต่บิดาเป็นคนต่างด้าวมีจํานวน 860,934 คน ซึ่งได้นําหลักฐานไปแสดงขอใช้สิทธิลงคะแนนจํานวน 123,521 คน ในจํานวนนี้เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 60,564 คนและไม่มีสิทธิเลือกตั้ง 62,957 คน ในจํานวนผู้มีบิดาเป็นต่างด้าวนี้ ปรากฏว่าเป็นผู้อยู่ในกรุงเทพฯ เสียจํานวน 438,460 คน (เท่ากับร้อยละ 24.08 ของผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งในกรุงเทพฯ) ไปแสดงหลักฐานต่ออําเภอขอใช้สิทธิเลือกตั้งเพียง 49,661 คน ในจํานวนนี้เป็นผู้มีสิทธิลงคะแนนเพียง 20,222 คน พิจารณาจากตัวเลขเหล่านี้ย่อมเขาใจได้ว่าจากข้อกําหนดตามมาตรา 18 แห่ง พ.ร.บ.เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 ผู้ที่ถูกตัดสิทธิ์มากที่สุดคือลูกชาวจีนซึ่งเกิดในประเทศไทย เพราะลูกต่างด้าวในประเทศไทยนั้นเป็นชาวจีนเสียเป็นส่วนใหญ่
3. การแก้ไข
ความสําคัญของการเลือกตั้งอยู่ที่การ เลือกให้ได้ผู้แทนที่ดี และได้รัฐบาลที่ดีมีเสถียรภาพ การเข้าร่วมการเลือกตั้งของประชาชนจึงสําคัญอย่างยิ่งเพราะยิ่งประชาชนเข้าร่วมการเลือกตั้งน้อยอาจจะทําให้เกิดความรู้สึกว่าสมาชิกสภาผู้แทนมิใช่ผู้แทนของปวงชนได้ กรณีบุคคลสัญชาติไทยซึ่งมีบิดาเป็นคนต่างด้าวนั้น เรารู้ได้ว่ามีจํานวนเท่าใด ส่วนใหญ่เชื้อชาติใด และบุคคลเหล่านี้ก็มีสิทธิเลือกตั้ง แต่เมื่อ พ.ร.บ.เลือกตั้ง พ.ศ. 2522 ย้อนกลับสู่อดีต และเป็นการจํากัดสิทธิผู้มีสัญชาติไทย ซึ่งบิดาเป็นคนต่างด้าวย่อมกระเทือนความสามัคคีในชาติ หรือมิฉะนั้นก็แสดงว่า นโยบายที่พยายามผสมกลมกลืนคนเหล่า นี้ให้เกิดความรู้สึกเป็นหนึ่งในสังคมไทยนั้นไม่ถูกต้อง จึงหันไปสร้างความรู้สึกชาตินิยมอย่างที่เคยทําในอดีต
ในขณะนี้รัฐบาลได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ. แก้กฎหมายเลือกตั้งที่รัฐบาลรับมาพิจารณาก่อนรับหลักการจากสภาผู้แทนราษฎรพร้อมกับร่างของรัฐบาลเอง ตามรายงานข่าวแจ้งว่าคณะรัฐมนตรีเห็นว่าสิทธิในการเลือกตั้งของลูกต่างด้าวควรให้มีคุณสมบัติเพียงจบการศีกษาภาคบังคับก็พอส่วนข้อกําหนดในการเสียภาษีให้ใช้หลักเกณฑ์เดิม แต่ให้รวมถึงคู่สมรสด้วยการตรวจคุณสมบัติเจ้าหน้าที่จะต้องไปตรวจสอบเองมิใช่ให้ผู้มีสิทธิไปแสดงคุณสมบัติอย่างที่แล้วมา ส่วนคุณสมบัติของลูกต่างด้าวในการสมัครรับเลือกตั้งคงให้เป็นไปตามกฎหมายเลือกตั้งปัจจุบัน
อันที่จริงในการแก้ไขกฎหมายเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับคุณสมบัติของลูกต่างด้าวนี้ น่าจะได้พิจารณาตามหลักกฎหมายที่มีอยู่ประกอบด้วย กล่าวคือตาม พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2508 ได้กําหนดหลักการได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามหลักสืบสายโลหิตและหลักดินแดน ฉะนั้นโดยหลักกฎหมายแล้ว ไม่ว่าจะได้สัญชาติไทยโดยหลักใดอย่างหนึ่งอย่างใดย่อมมีฐานะเป็นพลเมืองเช่นกัน จะต้องเสียภาษีจะต้องรับราชการทหาร รวมทั้งมีหน้าที่อย่างอื่นต่อรัฐในทํานองเดียวกัน แต่เมื่อมีการเลือกตั้งผู้ที่มีสัญชาติไทยโดยการเกิด แต่บิดาเป็นคนต่างด้าวกลับถูกจํากัดสิทธิ จึงขัดกับหลักความเสมอภาคกับตามกฎหมาย ซึ่งรัฐธรรมนูญได้รับรองไว้ ซ้ํายังเป็นการขัดกับหลักสิทธิมนุษยชน ว่าด้วยสิทธิเลือกตั้งของพลเมืองด้วย
อย่างไรก็ตามหากเห็นว่าผู้มีสัญชาติ ไทยเพราะเกิดในราชอาณาจักรไทย โดย มีบิดาเป็นคนต่างด้าวไม่จงรักภักดีต่อประเทศไทยก็อาจจะถูกถอนสัญชาติไทย ได้ตามข้อกําหนดใน พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 17, 18 นอกจากนี้ยังมีประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ยังบัญญัติให้ถอนสัญชาติไทยของบุคคลซึ่งเกิดในราชอาณาจักรไทยโดยบิดาเป็นคนต่างด้าว หรือมารดาเป็นคนต่างด้าวแต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายและในขณะเกิดบิดามารดาเป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตหรือได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในประเทศไทยเพียงชั่วคราว หรือเป็นผู้เข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง เช่น ผู้อพยพ เป็นต้น บุคคลดังกล่าวนี้หากเกิดในประเทศไทยหลังวันที่ 13 ธันวาคม 2515 จะไม่ได้สัญชาติไทยตามหลักดินแดน
อีกประการหนึ่ง การจํากัดสิทธิของบุคคลสัญชาติไทย ซึ่งบิดาเป็นคนต่างด้าวย่อมจะไม่ถูกต้องตามหลักสถานภาพและสิทธิของบุคคลตามกฎหมาย กล่าวคือ ตาม พ.ร.บ.เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2517 บุคคลดังกล่าวมีสิทธิเลือกตั้งเช่นเดียวกับผู้มีสัญชาติไทยโดยบิดาเป็นคนไทย แต่ในปี 2522 บุคคลเหล่านี้กลับถูกตัดสิทธิที่ตนเคยมีอยู่โดยชอบไป กฎหมายเกี่ยวกับสิทธิทางการเมืองของพลเมืองที่บัญญัติขึ้นมาภายหลังจะต้องมุ่งหมายให้เกิดความสงบสุขในสังคมมุ่งจัดระเบียบสังคมในอนาคต มิใช่มาตัดการกระทําหรือสิทธิอันชอบธรรมที่กฎหมายก่อน ๆ ได้รับรองไว้ มิฉะนั้นก็จะก่อให้เกิดการกีดกันทางการเมืองซึ่งจะทําให้เกิดผลย้อนหลังอย่างไม่เป็นธรรมต่อสถานภาพและสิทธิของบุคคลและทําให้เกิดความรู้สึกแบ่งพลเมืองออกเป็น 2 พวก
สรุป
หากพิจารณาข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้มีสัญชาติไทยที่บิดาเป็นคนต่างด้าวเป็นผู้ที่เกิดในประเทศไทยมีความผูกพันกับประเทศไทย ในทางการเมืองก็น่าจะพยายามทําให้เกิดความรู้สึกว่าอยู่ในสังคมเดียวกัน และในทางกฎหมายก็จะต้องเคารพต่อสิทธิของพลเมืองและความเสมอภาคกันทางกฎหมาย จึงน่าจะพิจารณายกเลิกการกําหนดคุณสมบัติในการเลือกตั้งของบุคคลสัญชาติไทยซึ่งบิดาเป็นคนต่างด้าวเสีย และให้สิทธิเลือกตั้งแก่บุคคลเหล่านี้ ไม่น้อยกว่าหลักการของ พ.ร.บ.เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2517.
ในขณะที่ประเทศของเรามีสิทธิประชาธิปไตย กฎหมายที่เป็นเครื่องมือของผู้ปกครองก็ได้ถูกยกเลิกไป แต่เมื่อคราใดที่ประเทศไทยเราถูกพาเข้าสู่ยุคมืดของอํานาจเผด็จการ กฎหมายต่าง ๆ โดยประกาศคณะปฏิรูปฯ, ปฏิวัติก็ได้ถูกนํามาใช้อย่างมากมาย เพื่อเป็นเครื่องมือของอํานาจเผด็จการ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง ประกาศเหล่านั้นไม่สมควรที่จะถูกเรียกว่าเป็นกฎหมายได้เลย เพราะไม่ได้ผ่านขั้นตอนนิติบัญญัติ เป็นการใช้อํานาจโดยคนกลุ่มน้อย แม้จะมีกฎหมายที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนไทยอยู่อย่างมากมายก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถยับยั้งความต้องการสิทธิเสรีภาพของประชาชน เราในฐานะกลุ่มนักศึกษากฎหมาย จึงใคร่ประมวลภาพเหตุการณ์ภายหลังการปฏิวัติเมื่อ 20 ตุลาคม 2520 อันเป็นผลให้พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อแสดงให้เห็นว่ากฎหมายที่ไม่เป็นธรรมเหล่านี้ มีผลกระทบกระเทือนต่อสิทธิเสรีภาพ สวัสดิภาพ และความปลอดภัยของประชาชนอย่างไรบ้าง
ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในสายตา ในความทรงจํา มันมิใช่หยุดยั้งอยู่เพียงแค่นี้ ยังจะเกิดต่อไปอีกเรื่อย ๆ หากว่ากฎหมายที่ไม่เป็นธรรมเหล่านั้นยังไม่ได้ยกเลิก
หมายเหตุ:
- บทความชิ้นนี้มีการปรับปรุงชื่อโดยกองบรรณาธิการ สถาบันปรีดี พนมยงค์จาก “พรบ.เลือกตั้ง 2522” เป็น “พรบ.เลือกตั้ง 2522 สิทธิเลือกตั้งใต้เงาเผด็จการ” โดยตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2522
บรรณานุกรม :
- พีรพันธ์ พาลุสุข, เรื่อง “พรบ.เลือกตั้ง 2522”, รพี' 22, (กรุงเทพฯ : บริษัท ธนพัฒนาทรัสท์ จำกัด, 2522), หน้า 91-95.