บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่เอกสารต้นฉบับและวิเคราะห์เนื้อหาคำแถลงการณ์ของนายปรีดี พนมยงค์ เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ณ บ้านพักอองโตนี ประเทศฝรั่งเศส เกี่ยวกับการถอนตัวจากการทาบทามเจรจาระหว่างฝ่ายไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม ซึ่งเป็นกรณีศึกษาทางการทูตที่สะท้อนถึงความรับผิดชอบทางจริยธรรมของปรีดี ตลอดจนปัญหาที่เกิดจากการแทรกแซงของผลประโยชน์ส่วนตนในการดำเนินการของรัฐ
เบื้องหลังคำแถลง: บริบททางการเมืองและมนุษยธรรม
ในช่วงต้นทศวรรษ 2510 สงครามเวียดนามเริ่มเข้าสู่ระยะที่สหรัฐฯ พยายามถอนตัว ขณะที่เวียดนามเหนือกำลังสร้างเงื่อนไขสันติภาพใหม่ในเวทีโลก ชาวเวียดนามจำนวนมากอาศัยอยู่ในประเทศไทยในฐานะผู้ลี้ภัยตั้งแต่ยุคสงครามอินโดจีนครั้งที่ 1 และตกอยู่ในภาวะไม่แน่นอนทางสถานะและความมั่นคง
รัฐบาลไทยภายใต้จอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร จึงมีความประสงค์จะส่งชาวเวียดนามเหล่านี้กลับประเทศเดิมโดย “ไม่สร้างปัญหาทางมนุษยธรรม” และได้มีการริเริ่มติดต่อผ่านเส้นทางไม่เป็นทางการเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งเชิงรัฐ ซึ่งนำไปสู่การร้องขอให้นายปรีดี พนมยงค์ อดีตผู้นำเสรีไทยและบุคคลที่ได้รับความไว้วางใจจากเวียดนามเหนือ ช่วยประสานเบื้องต้นกับท่านโว วัน ซุง เอกอัครราชทูตเวียดนาม ณ กรุงปารีส
นายปรีดี พนมยงค์ ได้รับการติดต่อจากศาสตราจารย์วิจิตร ลุลิตานนท์ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2516 ให้ช่วยทาบทามเอกอัครราชทูตเวียดนามเพื่อเปิดการเจรจา โดยอ้างว่ารัฐบาลไทยพร้อมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการส่งตัวผู้อพยพ และรับซื้อทรัพย์สินของผู้ลี้ภัยในราคายุติธรรม โดยมีหลักการมนุษยธรรมกำกับ แม้ปรีดีจะมิใช่พวกของรัฐบาลไทยในขณะนั้น แต่ก็ยินยอมช่วย “เพื่อมิตรภาพระหว่างราษฎรไทยกับราษฎรเวียดนาม” ภายใต้เงื่อนไขว่า การเจรจาจะจำกัดเฉพาะศาสตราจารย์วิจิตรเพียงผู้เดียว และต้องแยกผลประโยชน์ส่วนบุคคล (ธุรกิจของนายสำเภา ศิริสัมพันธ์) ออกจากการทาบทามทางการเมือง
ในวันที่ 10 มิถุนายน 2516 นายปรีดีเป็นผู้เปิดบ้านต้อนรับท่านโว วัน ซุง และเชิญศาสตราจารย์วิจิตรเข้าพบเพื่อมอบบันทึกข้อเสนอของฝ่ายไทย ทูตเวียดนามแสดงท่าทีเป็นมิตรและรับเรื่องเพื่อนำเสนอต่อรัฐบาลในฮานอย โดยยืนยันว่าความสัมพันธ์ระหว่างราษฎรไทย–เวียดนามยังคงมีรากฐานแห่งมิตรภาพ
คำตอบของรัฐบาลเวียดนามที่ได้รับเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2516 มีสาระสำคัญ 2 ข้อ คือ:
- ไทยต้องยุติการสมรู้ร่วมคิดกับสหรัฐฯ ในการกระทำศัตรูต่ออินโดจีน
- ไทยต้องรับรองความปลอดภัยและศักดิ์ศรีของชาวเวียดนามในประเทศไทย รวมถึงปล่อยตัวผู้ถูกควบคุมตัว
ความล้มเหลวของกระบวนการ: เมื่อผลประโยชน์ส่วนตนบั่นทอนความน่าเชื่อถือ
แม้ศาสตราจารย์วิจิตรจะปฏิบัติตามหลักการทางการทูตอย่างเคร่งครัด แต่ในเวลาต่อมา นายสำเภา ศิริสัมพันธ์ ได้กระทำการโดยพลการ เช่น
- ให้ข่าวเท็จว่าตนเป็นหัวหน้าคณะเจรจา
- อ้างว่ามีการลงนามตกลงกับเวียดนามแล้ว ทั้งที่ความจริงเพิ่งอยู่ในขั้นทาบทาม
- ให้สัมภาษณ์สื่อหลายฉบับโดยไม่ปรึกษาผู้เกี่ยวข้อง
- จงใจบิดเบือนบทบาทของปรีดีและศาสตราจารย์วิจิตร
ยิ่งไปกว่านั้น หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ยังตัดภาพของปรีดีออกจากภาพถ่ายสำคัญในวันหารือกับท่านโว วัน ซุง โดยเหลือเพียง “แขนขวา” ในภาพ ทำให้ปรีดีรู้สึกว่าถูกดูหมิ่นอย่างร้ายแรง และตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการกระทำโดยมีแรงจูงใจทางการเมือง
เมื่อเหตุการณ์ลุกลาม นายปรีดีจึงออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2516 ถึงบรรณาธิการหลายสื่อ เช่น สังคมศาสตร์ปริทัศน์ และบางกอกโพสต์ พร้อมแนบจดหมายถึงนายเท่ห์ จงคดีกิจ และนายสุทธิชัย หยุ่น[1] และขอให้แก้ไขข้อมูล และขอถอนตัวจากกระบวนการทั้งหมด
ใจความสำคัญของคำแถลง:
- ขอยุติบทบาทในการทาบทามเพราะมีบุคคลแอบอ้างชื่อไปหาประโยชน์ส่วนตัว
- ขอยืนยันว่าทำด้วยจิตบริสุทธิ์เพื่อชาติและมิตรภาพระหว่างประชาชน
- ขอให้รัฐบาลไทยถือโอกาสนี้ดำเนินการเลิกสถานะสงครามโดยไม่ประกาศกับเวียดนาม
- ขอดำรงไว้ซึ่ง “คุณธรรมของนักหนังสือพิมพ์ที่ดี” ด้วยการแก้ข่าวที่ผิดความจริง
บทเรียนทางการเมืองและการทูตจากปรีดี พนมยงค์
แถลงการณ์นี้สะท้อนจริยธรรมทางการเมืองและท่าทีของผู้นำที่ใส่ใจต่อผลกระทบของ “ข่าวปลอม” (Fake News) และการแสวงหาประโยชน์ส่วนตนต่อศักดิ์ศรีของประเทศ
- ภาวะผู้นำ – ปรีดีแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแยกแยะประโยชน์สาธารณะออกจากผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม โดยถอนตัวทันทีเมื่อเห็นว่าความน่าเชื่อถือกำลังถูกบั่นทอน
- มิตรภาพระหว่างประชาชน – ปรีดีให้ความสำคัญกับ “ราษฎรต่อราษฎร” มากกว่ารัฐต่อรัฐ
- บทบาทของสื่อ – เรียกร้องให้สื่อยึดหลักจริยธรรมในการรายงานข่าว และไม่ตกเป็นเครื่องมือของผู้แสวงหาผลประโยชน์
ภาคผนวก: เอกสารต้นฉบับ
- คำแถลงของปรีดี พนมยงค์ (ฉบับเต็ม)
- สำเนาบันทึกของศาสตราจารย์วิจิตร ลุลิตานนท์
- จดหมายถึงนายเท่ห์ จงคดีกิจ (บางกอกโพสต์)
- จดหมายถึงนายประยูร วิญญรัตน์ (เพื่อแจ้งคุณพันศักดิ์ วิญญรัตน์)
“ผู้ที่ใช้สามัญสำนึกจากรูปธรรมที่ประจักษ์ ย่อมเข้าใจว่า ได้มี Hostilité ซึ่งเป็นสถานะสงครามโดยไม่ประกาศสงคราม เราทุกคนต้องช่วยกันเลิกมันเสีย เพื่อประโยชน์ของชาติ”
— ปรีดี พนมยงค์




เรื่อง การถอนตัวออกจากการทาบทามระหว่าง ผู้แทนไทยกับเอกอัครรัฐทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม ประจำกรุงปารีสเกี่ยวกับการอพยพชาวเวียดนามที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยกลับสู่ถิ่นฐานเดิม
อองโตนี ประเทศฝรั่งเศส
วันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖
เรียน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ สังคมศาสตร์ปริทัศน์
ด้วยปรากฏว่ามีบุคคลนำเรื่องผิดความจริงและผิดมรรยาทการทูตให้สัมภาษณ์และแจ้งแก่หนังสือพิมพ์ในประเทศไทยหลายฉบับ พิมพ์เผยแพร่เรื่องการทาบทามเอกอัครรัฐทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามประจำกรุงปารีส เกี่ยวกับการอพยพชาวเวียดนามที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยกลับสู่ถื่นฐานเดิม
ข้าพเจ้ามิได้ถือว่าหนังสือพิมพ์ต้องรับผิดชอบ แต่ผู้ให้สัมภาษณ์และผู้ให้ข่าวนั้นเองต้องรับผิดชอบต่อความเสียหาย ที่เกิดขึ้นแก่ชาติไทยและมิตรภาพระหว่างราษฎรไทยกับราษฎรเวียดนาม ทำให้การทาบทามขั้นต่อไปต้องสะดุดหยุดลง
ข้าพเจ้าจึงมีความจำเป็นต้องขอชี้แจงต่อหนังสือพิมพ์และนิตยสารในประเทศไทย ถึงข้อเท็จจริงแห่งความเป็นมาของการทาบทามเอกอัครรัฐทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามดังต่อไปนี้ เพื่อขอให้หนังสือพิมพ์และนิตยสารช่วยชี้แจงต่อมวลราษฎรไทยด้วยจะขอบคุณเป็นอันมาก
ข้อ ๑. เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๑๖ ศาสตราจารย์วิจิตร ลุลิตานนท์ และ นายสำเภา ศิริสัมพันธ์ กับ นายประสิทธิ์ ชุณหชัชวาลกุล พร้อมด้วย นายขวัญจิตร ลุลิตานนท์ ได้มาพบ ข้าพเจ้าที่บ้านพักชานกรุงปารีส แสดงหลักฐานว่าการเจรจาเรื่องการอพยพชาวเวียดนามจากประเทศไทยระหว่างผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศไทยและผู้แทนสภากาชาดไทย กับฝ่ายสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามนั้น ไม่อาจดำเนินต่อไปได้ ดังนั้นศาสตราจารย์วิจิตรฯ กับคณะจึงได้รับความเห็นชอบจากจอมพลประภาส จารุเสถียร รองนายกรัฐมนตรี ขอให้ข้าพเจ้าช่วยทาบทามเอกอัครรัฐทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามประจำกรุงปารีส เกี่ยวกับการอพยพชาวเวียดนามกลับสู่ถิ่นฐานเดิม โดยมีข้อเสนอใหม่กว่าเดิมสรุปความตามที่ปรากฏในสำเนาคำแปลบันทึกภาษาฝรั่งเศสของศาสตราจารย์วิจิตร ลุลิตานนท์ เพื่อยื่นต่อเอกอัครรัฐทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามประจำกรุงปารีส ดังต่อไปนี้
บันทึก
ข้าพเจ้า ศาสตราจารย์วิจิตร ลุลิตานนท์ ผู้ลงนามข้างท้ายนี้ อดีตเลขาธิการมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแห่งประเทศไทยได้รับเกียรติขอความกรุณาช่วยเหลือจาก ฯพณฯ ปรีตี พนมยงค์ ด้วยความยินยอมเห็นชอบของจอมพลประภาส จารุเสถียร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแห่งประเทศไทย ในอันที่จะทาบทามเจรจากับผู้แทนของรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม ในเรื่องข้อเสนอใหม่เกี่ยวกับการส่งชาวเวียดนามในประเทศไทยกลับถิ่นฐานเดิม
โดยที่ได้พิจารณาถึงสภาพการณ์ปัจจุบันแห่งสาธารณรัฐประชาชิปไตยเวียดนาม คือการที่ได้มีการลงนามในข้อตกลงสันติภาพ รัฐบาลไทยย่อมปรารถนาที่จะให้มีการส่งชาวเวียคนามอพยพในประเทศไทยกลับคืนถื่นเดิมโดยเร็วที่สุดที่จะเป็นได้
ในการนี้ รัฐบาลไทยฝ่ายเดียวพร้อมที่จะรับภาระค่าใช้จ่ายในการขนส่งทางอากาศและมิใช่โดยวิธีการที่กำหนดไว้ในข้อตกลงเดิม ถ้าชาวเวียดนามอพยพประสงค์จะจำหน่ายทรัพย์สินของตน รัฐมาลไทยก็พร้อมที่จะรับซื้อในราคาเป็นธรรม
หากหลักการดังกล่าวมาข้างต้น ถ้ารัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามรับตกลง รัฐบาลไทยก็จะได้แต่งตั้งคณะผู้มีอำนาจเต็ม (โดยมีศาสตราจารย์วิจิตร ลุลิตานนท์ด้วยผู้หนึ่ง) เพื่อทำการเจรจากับผู้แทนรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชิปไตยเวียดนาม ณ กรุงปารีสต่อไป
วันที่ ๙ มิถุนายน พศ. ๒๕๑๖
กรุงปารีส
( ลงชื่อ)
วิจิตร ลุลิตานนท์
ข้อ ๒. ข้าพเจ้าได้แจ้งแก่คณะที่มาพบว่า ข้าพเจ้ามิใช่พรรคพวกของรัฐบาลไทยปัจจุบัน (รัฐบาลถนอม กิตติขจร) แต่เห็นว่าการที่รัฐบาลไทยมีข้อเสนอใหม่พร้อมที่จะออกค่าขนส่งแต่ฝ่ายเดียว แทนที่จะออกค่าขนส่งคนละครึ่งตามข้อตกลงระหว่างไทยกับเวียดนามฉบับเดิม และพร้อมที่จะซื้อทรัพย์สินของผู้อพยพโดยราคาที่เป็นธรรมนั้น มีเหตุผลที่จะขอทาบทามฝ่ายเวียดนามได้
ดังนั้นเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ประเทศชาติและมิตรภาพระหว่างราษฎรไทยกับราษฎรเวียดนาม ข้าพเจ้าก็จะช่วยติดต่อกับท่านโววันซุง เพื่อให้ศาสตราจารย์วิจิตรฯผู้เดียวเข้าพบ โดยมีเงื่อนไขว่า ศาสตราจารย์วิจิตร ๆ จะต้องเจรจาเฉพาะปัญหาหลักการทางการเมืองเกี่ยวกับการอพยพชาวเวียดนามเท่านั้น โดยไม่เกี่ยวกับธุรกิจการค้าที่เป็นเรื่องของนายสำเภา ศิริสัมพันธ์ กับพรรคพวกจะติดต่อกับรัฐบาลไทยเอง
เมื่อทุกคนในคณะตกลงตามเงื่อนไขที่ข้าพเจ้าได้กำหนดไว้แน่ชัดดังนั้นแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้โทรศัพท์ขอพบท่านโววันซุง ที่สถานทูดสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม แต่ท่านโววันซุงได้ตอบมาว่า ท่านจะมาพบข้าพเจ้าที่บ้านพักของข้าพเจ้าในวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๑๖ เวลา ๑๖.๐๐ น.
เมื่อท่านโววันซุงมาถึงบ้านพักข้าพเจ้าตามกำหนดแล้ว ข้าพเจ้าได้เชิญท่านผู้นี้สนทนาที่ห้องรับแขกโดยมีภรรยาข้าพเจ้าร่วมอยู่ด้วย ข้าพเจ้าได้เล่าความเป็นมาโดยสังเขปของเรื่องนี้และย้ำกับท่านโววันซุงว่า ข้าพเจ้ามิใช่พวกของรัฐบาลไทยปัจจุบัน หากรับเป็นคนกลางก็เพราะเห็นแก่มิตรภาพระหว่างราษฎรไทย กับราษฎรเวียดนาม ท่านโววันซุงรับว่าเข้าใจข้าพเจ้าดี ครั้นแล้วข้าพเจ้าจึงขออนุญาตเชิญศาสตราจารย์วิจิตร ๆ ผู้เดียวขึ้นมาพบท่านโววันชุงในห้องรับแขก
ศาสตราจารย์วิจิตรฯ เป็นผู้ชี้แจงให้ท่านโววันซุงทราบถึงการได้รับความเห็นชอบจากจอมพลประภาส ๆ และได้ยื่นบันทึกตามที่กล่าวในข้อ ๑. ท่านโววันซุงรับว่ามีความยินดีที่จะเสนอบันทึกของศาสตราจารย์วิจิตรๆ ต่อไปยังรัฐบาล ถ้าต้องการเร็วก็จะส่งโทรเลขไปให้ แต่ข้าพเจ้าขอร้องว่าโดยที่ท่านโววันซุงจะกลับไปฮานอยในเร็วๆ นี้ ขอให้ท่านนำบันทึกนั้นไปเสนอนายกรัฐมนตรีฟามวันดงโดยเฉพาะ ซึ่งท่านโววันซุงก็รับช่วยเหลือตามที่ข้าพเจ้าขอร้องนั้น
ในการทาบทามสนทนากับท่านโววันซุงในห้องรับแขกที่บ้านพักของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าได้ขออนุญาตถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกซึ่งก็ปรากฏมีรูปบุคคลเพียง ๔ คนเท่านั้น คือ (๑) ข้าพเจ้า, (๒) ท่านโววันซุง (๓) ภรรยาข้าพเจ้า, (๔) ศาสตราจรรย์วิจิตรฯ มิได้มีผู้อื่นใดร่วมด้วยเลย เมื่อศาสตราจารย์วิจิตรฯ ได้กลับกรุงเทพฯ แล้วได้ทำบันทึกและเสนอรูปภาพนี้แก่จอมพลประภาส ฯ เป็นหลักฐาน
ข้อ ๓. ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน อุปทูตรักษาการสถานเอกอัครรัฐทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามที่ปารีสได้นำคำตอบของรัฐบาลมาแจ้งแก่ข้าพเจ้าว่า รัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม ตั้งจุดยืนหยัดจากรากฐาน "มิตรภาพอันเป็นประเพณีระหว่างราษฎรเวียดนามกับราษฎรไทย" และหลัก ๕ ประการแห่งการคงอยู่อย่างสันติ (ระหว่างประเทศที่มีระบบสังคมต่างกัน) ฉะนั้นเพื่อก่อให้เกิดสภาพที่เหมาะสมในการเจรจาเรื่องการอพยพชาวเวียดนามจากประเทศไทยกลับสู่เวียดนามตามบันทึกของศาสตราจารย์วิจิตรฯ นั้น รัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไดยเวียดนามเรียกร้องให้รัฐบาลไทยปฏิบัติตามเงื่อนไข ๒ ประการต่อไปนี้ก่อนคือ
๑. การดำเนินไปสู่การยุติร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับอเมริกันในการกระทำอันเป็นศัตรูทางสงคราม (actes hostiles) ต่อราษฎรอินโดจีน
ข้าพเจ้าถามว่าหมายถึงจะต้องดำเนินการอย่างไร อุปทูตตอบว่า รัฐบาลไทยย่อมรู้ดี - ข้าพเจ้าถามว่าจะต้องดำเนินงานทันทีหรือเป็นขั้น ๆ ไป อุปทูตตอบว่ารอดูว่ารัฐบาลไทยจะตอบอย่างไร
๒. การปฏิบัติเคร่งครัดต่อบทบัญญัติที่ตกลงระหว่างสภากาชาดทั้งสอง ข้าพเจ้าถามว่ามีเรื่องอะไรบ้าง อุปทูตตอบว่าการประกันความปลอดภัยแห่งชีวิตและทรัพย์สินของชาวเวียดนามที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย การก่อเงื่อนไขความเป็นอยู่ที่เป็นปกติของชาวเวียดนาม ปล่อยชาวเวียดนามที่ถูกคุมชังให้เป็นอิสระ ข้าพเจ้าได้นำคำตอบของฝ่ายเวียดนามแจ้งให้ศาสตราจารย์วิจิตร ๆ ทราบโดยจดหมายของข้าพเจ้าลงวันที่ ๒๑ มิถุนายน
ข้อ ๔. ศาสตราจารย์วิจิตรๆ ได้ตอบจดหมายและส่งโทรเลขมาถึงข้าพเจ้าหลายฉบับ มีใจความว่ากำลังรอคำวินิจฉัยของฝ่ายรัฐบาลไทย แต่ศาสตราจารย์วิจิตรฯ ได้รักษามรรยาททางการทูตโดยมิได้ให้สัมภาษณ์ หรือให้ข่าวหนังสือพิมพ์อย่างใด นับตั้งแต่ได้พบท่านโววันซุงในเดือนมิถุนายนจนกระทังบัดนี้
ต่อมาระหว่างวันที่ ๓๑ สิงหาคมกับวันที่ ๒๑ กันยายน ปีนี้ นายสำเภา ศิริสัมพันธ์ ได้ทำไปโดยพลการ ให้สัมภาษณ์และให้ข่าวแก่หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษและภาษาไทยหลายฉบับติดต่อก้น ซึ่งเป็นการ ผิดมรรยาททางการทูตและผิดความจริงหลายประการ อาทิ
ก. อ้างว่าเมื่อตนได้รับความเห็นชอบจากจอมพลประภาส จารุเสถียรในวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๑๖ แล้ว ตนได้แจ้งให้ข้าพเจ้าทราบ และว่าข้าพเจ้าได้บอกเขาให้จัดตั้งคณะบุคคลขึ้นเพื่อเดินทางไปปารีสทันที เพราะเป็นระยะเวลาที่ทูตเวียดนามเหนือกำลังจะเดินทางไปฮานอย
ข้าพเจ้าขอปฏิเสธว่าข้าพเจ้าไม่เคยรับแจ้งจากนายสำเภาฯ มาก่อนที่ศาสตราจารย์วิจิตรๆ และนายสำเภาฯ มาพบข้าพเจ้าในวันที่ ๙ มิถุนายน เลย และข้าพเจ้าไม่เคยบอกให้นายสำเภาฯ จัดคณะขึ้นเพื่อมาพบข้าพเจ้าที่ปารีส พวกเขาได้มากดกระดิ่งที่หน้าบ้านในเช้าวันที่ ๙ มิถุนายนนั้นเพื่อขอมาเยียมข้าพเจ้า แล้วก็ได้แสดงหลักฐานการมาพบข้าพเจ้าดังที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้วในข้อ๑.
ข. อ้างว่านายประโพธ เปาโรหิตย์ ร่วมกับตนมาพบข้าพเจ้าที่กรุงปารีส แต่ตามความจริงนั้นนายประโพธฯ มิได้มาพบข้าพเจ้าตามที่นายสำเภาฯ อ้าง ยิ่งกว่านั้นข้าพเจ้าไม่เคยพบนายประโพธฯ เป็นเวลากว่า ๒๗ ปีมาแล้วจนถึงขณะนี้
ค. ต่อมานายสำเภาฯ โดยพลการแสดงตนต่อหนังสือพิมพ์ว่าเป็นหัวหน้าในการเจรจากับฝ่ายเวียดนามโดยศาสตราจารย์วิจิตรๆ กับนายประโพธฯ เป็นเพียง "Associates" คือผู้ร่วมมือเท่านั้น ข่าวที่ให้แก่หนังสือพิมพ์บางฉบับได้ยกนายประโพธฯ ขึ้นอยู่ในอันตับเหนือกว่าศาตราจารย์วิจิตรฯ
ง. ในหนังสือพิมพ์บางฉบับได้เอารูปนายสำเภาฯ ถ่ายกับข้าพเจ้าและศาสตราจารย์วิจิตรฯ ที่หน้าบ้านพักข้าพเจ้าซึ่งเป็นรูปทำนองเดียวกันกับญาติมิตร ซึ่งมาเยี่ยมข้าพเจ้าถ่ายไว้เป็นที่ระลึกนั้นมาลงพิมพ์มีคำอธิบายใต้รูปว่า "สมาชิกแห่งคณะธุรกิจเอกชน นายสำเภาฯ (ซ้าย) นายวิจิตรฯ (ขวา) ถ่ายกับนายปรีดีฯ ที่บ้านกรุงปารีสของผู้นี้ อันเป็นที่ตั้งการเจรจาลับเรื่องการอพยพ (ชาวเวียดนาม)"
ส่วนรูปภาพผู้ที่สนทนาทาบทามกับท่านโววันซุงตามที่ข้าพเจ้ากล่าวในข้อ ๑. ว่าเพียง ๔ คน คือ (๑) ข้าพเจ้า (๒) ท่านโววันซุง (๓) ภรรยาข้าพเจ้า (๔) ศาสตราจารย์วิจิตรฯ นั้น ปรากฏในหนังสือพิมพ์ "บางกอกโพสต์ " ฉบับ ๑ กันยายน ค.ศ. ๑๙๗๒ เพียง ๓ คนเท่านั้น โดยตัดรูปข้าพเจ้าออกไปเหลือแต่แขนขวาของคนหนึ่งไม่มีลำตัวและหน้าของคนนั้น
จ. ได้อ้างว่าได้มีข้อตกลงกับท่านโววันซุงแล้วกับได้มี " Initial" คือการลงนามย่อยังเหลือแต่การลงนามขั้นสุดท้าย ทั้งนี้ ผิดจากความจริง เป็นที่เสียหายแก่ท่านโววันซุง เพราะเรื่องอยู่เพียงชั้นติดต่อทาบทามเท่านั้น ยังมิได้มีข้อตกลงอย่างใดเลย ส่วนภาพที่ปรากฏใน "บางกอกโพสต์ " ฉบับ ๒ กันยายน แสดงว่านายสำเภาฯ กำลังเปิดแฟ้มเอกสารให้ พล ต.ต. ชัย สุวรรณศร ดูนั้น นายพลผู้นี้ย่อมเห็นได้เองว่ามิได้มีข้อตกลงที่ทำกับท่านโววันซุงแต่อย่างใดเลย ดังนั้น สถานเอกอัครรัฐทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามประจำกรุงปารีสจึงออกแถลงการณ์ปฏิเสธข่าวที่ว่าได้มีการเจรจาตกลงกับฝ่ายไทยดังที่นายสำเภาฯ อ้างแพร่หลายในหนังสือพิมพ์
ข้อ ๕. ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ศาสตราจารย์วิจิตรฯ และนายสำเภาฯ ได้มาพบข้าพเจ้าที่บ้านพักชานกรุงปารีสโดยมีนายประเสริฐ ศิริพิพัฒน์, นายสุนทร โภคาชัยพัฒน์ และนายขวัญจิตร ลุลิตานนท์ ร่วมมาฟังการสนทนากับข้าพเจ้าด้วย การสนทนามีขึ้น ๓ ครั้งคือ
ก. วันที่ ๒๓ กันยายน เวลาบ่าย ได้พิจารณาเรื่องต่อไปนี้
(๑) สำเนาเอกสารความเป็นมาของทางราชการจนคณะรัฐมนตรีมีมติที่จะส่งผู้แทนของกระทรวงมหาดไทยมาเจรจากับฝ่ายเวียดนามที่ปารีส ปรากฏว่ามีข้อความหลายประการที่ขัดกับที่นายสำเภาฯ ให้สัมภาษณ์และให้ข่าวหนังสือพิมพ์
(๒) ข้าพเจ้าได้เตือนนายสำเภาฯ อย่าใช้วิธีบลัฟ
(๓) ข้าพเจ้าได้ต่อว่านายสำเภาฯ หลายประการที่ให้ข่าวหนังสือพิมพ์ผิดจากความจริง และผิดมรรยาทการทูต อันทำให้เกิดความเสียหายแก่ท่านโววันซุงและข้าพเจ้าซึ่งรับช่วยเหลือแนะนำให้ศาสตราจารย์วิจิตรฯ ได้พบและทาบทามท่านโววันซุง
ข. วันที่ ๒๕ กันยายน เวลาบ่าย ได้พิจารณาเรื่องต่อไปนี้
(๑) การต่อว่านายสำเภาฯ ที่ค้างมาจากการสนทนาในวันก่อน เพื่อหาทางแก้ไขให้การทาบทาม กับฝ่ายเวียดนามได้ดำเนินไปโดยถูกต้องตรงกับที่ศาสตราจารย์วิจิตรๆ และนายสำเภาฯ ได้รับปากข้าพเจ้าเมื่อเดือนมิถุนายน
(๒) ข้าพเจ้าได้ทำคำชี้แจงว่าด้วย "ข้อสังเกตเกี่ยวกับการทาบทามเอกอัครรัฐทูตสาธารณรัฐประชาริปไตยเวียดนาม ณ กรุงปารีส เรื่องการอพยพผู้ลี้ภัยชาวเวียดนามกลับถิ่นฐานเดิมของเขา" เพื่อให้ผู้ที่ร่วมสนทนารับทราบไว้หลายประการ รวมทั้งให้ข้อสังเกตว่าจะต้องปฏิบัติตามบันทึกที่ศาสตราจารย์วิจิตรฯลงวันที่ ๔ มิถุนายน ที่ยื่นต่อท่านโววันซุงอย่างเคร่งครัด และผู้แทนรัฐบาลไทยที่จะมาเจรจาต่อไปนั้นต้องมีหลักฐานแน่นอนมาแสดงว่าเป็นตัวแทนจริงของรัฐบาลไทยจะต้องตอบฝ่ายเวียดนามตามเงื่อนไขประการว่าสิ่งใดทำได้ก็บอกว่าทำได้ สิ่งใดทำไม่ได้ก็ต้องบอกว่าทำไม่ได้ จะใช้วิธีพูดคลุมเครือไม่ได้ จะต้องชำระสะสางข่าวผิด ๆ ที่ให้แก่หนังสือพิมพ์นั้นให้หมดไป จะต้องเตรียมสถิติมาให้พร้อม ข้าพเจ้าได้ย้ำว่าให้ถือเอาเรื่องหลักการทางการเมืองของประเทศชาติเป็นสำคัญเหนือธุรกิจการค้า
ค. วันที่ ๒๗ กันยายนเวลาบ่าย นายสำเภาฯ ขอให้ศาสตราจารย์วิจิตรฯ มาแจ้งว่าเขาติดธุระไปประเทศอังกฤษจึงมิได้มาร่วมสนทนาด้วย คงมีเหลือแต่ผู้อื่น ที่เคยมาร่วมสนทนาในวันที่ ๒๐ และ ๒๕ กันยายน
(๑) เรื่องสนทนาในครั้งนี้ มีเรื่องค้างไว้จากวันก่อนจึงยกยอดมาสรุปในวันนี้อีก นอกจากนั้น ข้าพเจ้าได้ทำคำชี้แจงในหัวข้อว่า "คำเตือนสติผู้รักชาติให้คำนึงถึงการมีสถานะสงครามโดยไม่ประกาศสงครามระหว่างประเทศกับสาธารณรัฐประชาริปโดยเวียดนาม" โดยสรุปว่า ผู้ที่ใช้สามัญสำนึกจากรูปธรรม ที่ประจักษ์ และผู้รู้กฎหมายระหว่างประเทศกับผู้ทำงานทางการทูต อีกทั้งผู้รับผิดชอบในการเมืองของประเทศย่อมรู้ตามรูปธรรมที่ประจักษ์ว่าได้มี "Hostilite" อันเป็นสถานะสงครามโดยไม่ประกาศสงคราม กับสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม ทุกคนต้องยกประโยชน์สำคัญของชาติเหนือการค้าหาทำไรโดยจะต้องช่วยกันหาทางเลิกสถานะสงครามโดยไม่ประกาศสงครามนั้น ข้าพเจ้าได้อ้างตัวอย่างระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งรัฐบาลสมัยนั้นได้ก่อสถานะสงครามโดยประกาศสงครามกับอังกฤษ และ ส.ร.อ. และโดยไม่ประกาศสงครามกับจีน ฝรั่งเศส ขบวนการเสรีไทยได้ใช้ความพยายามทำให้อังกฤษและ ส.ร.อ. รับรอง ว่าประกาศสงครามที่รัฐบาลไทยทำต่อประเทศทั้งสอง “เป็นโมฆะ” ส่วนจีน, ฝรังเศส และสหภาพโซเวียดที่เป็นสัมพันธมิตรในครั้งกระนั้น ก็ไม่ยอมเลิกสถานะสงครามหรือกลับคืนสู่สภาพปกติได้ง่ายๆ ขบวนการเสรีไทยและรัฐบาลบางชุดภายหลังสงครามได้ใช้ความพยายามให้ประเทศเหล่านี้ยอมเลิกสถานะสงคราม ซึ่งเป็นทางให้ประเทศไทยได้รับรองเป็นสมาชิกสหประชาชาติ ถ้าพิจารณาถึงท่าที่ที่ท่านฟามวันดงตอบมาว่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามตั้งจุดยืนหยัดจากรากฐานแห่งมิตรภาพ อันเป็นประเพณีระหว่างราษฎรเวียดนามกับราษฎรไทยแล้ว ข้าพเจ้าเห็นว่าฝ่ายไทยควรถือโอกาสนี้ดำเนินการอย่างถูกต้องในการปฏิบัติเพื่อเลิกสถานะสงครามกับประเทศนั้นให้เสร็จไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ อันจะเป็นผลดีแก่ชาติและราษฎรไทย ข้าพเจ้าจึงขอร้องผู้ที่ร่วมสนทนาวันนี้ให้ถือเอาประโยชน์ของชาติและราษฎรดังกล่าวนี้เป็นหลักสำคัญยิ่งกว่าจะหากำไรจากการขนส่งชาวเวียดนาม
(๒) ข้าพเจ้าแจ้งว่า ข้าพเจ้าได้ทำหน้าที่แนะนำศาสตราจารย์วิจิตรฯ ให้รู้จักกับท่านโววันซุงแล้ว ต่อไปเมื่อผู้แทนรัฐบาลไทยมาปารีสก็ขอให้ศาสตราจารย์วิจิตรฯ รับภาระแนะนำต่อท่านโววันซุง ส่วนท่านโววันซุงจะให้พบหรือไม่ ณ ที่ใดก็สุดแท้แต่ท่านผู้นี้ ศาสตราจารย์วิจิตรฯ ขอให้ข้าพเจ้าช่วยแนะนำผู้แทนรัฐบาลไทย ข้าพเจ้าบอกว่าข้าพเจ้าจะแจ้งให้ท่านโววันซุงทราบได้
ข้อ ๖. ต่อมาในวันที่ ๑ ตุลาคม และ ๔ ตุลาคม ข้าพเจ้ามีโอกาสสนทนากับท่านโววันซุง และชี้แจงความเป็นมาให้ท่านทราบแล้ว และได้แจ้งว่าคณะรัฐมนตรีไทยได้มีมดิจะส่งผู้แทนมาทาบทามเจรจากับท่านโววันซุงที่ปารีส ขอให้ท่านทราบไว้ ส่วนท่านจะพิจารณาอย่างไรนั้นก็สุดแท้แต่ท่าน ส่วนข้าพเจ้านั้นขอยุติภาระที่ถูกขอร้องจากผ่ายไทยไว้แต่เพียงเท่านี้ โดยขอให้ท่านโววันซุงนำความเสียใจของข้าพเจ้าเสนอรัฐบาลของท่านในการที่มีผู้เอาเรื่องผิดความจริงและผิดมรรยาทการทูต ให้สัมภาษณ์และแจ้งข่าวแก่หนังสือ พิมพ์หลายฉบับ
ขอแสดงความนับถือ
(นายปรีดี พนมยงค์)

อองโตนี ประเทศฝรั่งเศส
วันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2516
คุณประยูร วิญญรัตน์ ที่รัก
ผมได้แนบสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้ มายังคุณเพื่อหราบเพื่อขอให้คุณแจ้งแก่คุณพันศักดิ์ให้ทราบด้วย
และขอให้ช่วยจัดการตามสมควร เพื่อป้องกันความเสียหายอันเกิดขึ้นแก่ประเทศชาติรวมทั้งผมผู้ซึ่งมีความบริสุทธิ์ใจ ที่จะช่วยชาติตามที่มีผู้ขอร้องโดยไม่ใด้เกี่ยวข้องกับพวกที่เอาผมเป็นสะพานเพื่อสร้างความรำรวยของตนในการค้า
คนเวียดนามอพยพ
1. "คำแถลงการณ์ของนายปรีดี พนมยงค์ เรื่องการถอนตัวออกจากการทาบทามระหว่างผู้แทนฝ่ายไทยกับเอกอัครรัฐทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามประจำกรุงปารีสเกี๋ยวกับการอพยพชาวเวียดนาม ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยกลับสู่ถิ่นฐานเดิม"
2. สำเนาจดหมายของผมถึงนายเท่ห์ จงคดีกิจ
3. สำเนาจดหมายของผมถึงนายสุทธิชัย หยุ่น
นอกจากนี้ ผมได้ส่งจดหมายตรงไปยังนายกสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยเพื่อให้เขาช่วยคัดสำเนาแจกแก่หนังสือพิมพ์และนิตยสารในประเทศไทยทุกฉบับ ผมจึงขอให้คุณพันศักดิ์ ช่วยไปติดต่อทางสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ว่าเขาได้รับจดหมายของผมและแถลงการณ์นั้นหรือยัง และเขาได้จัดการไปอย่างไร ถ้าหากจดหมายของผมถึงเขาล่าช้ากว่าจดหมายของผมที่ถึงคุณฉบับนี้ ก็ขอให้คุณพันศักดิ์ช่วยคอยติดตามและควรจะนำแถลงการณ์ของผมลงในหนังสือพิมพ์และนิตยสารฉบับใดอีกบ้าง ก็ขอให้ช่วยดำเนินการให้ด้วย
อนึ่ง สำหรับหนังสือพิมพ์ภาษาไทย 2 ฉบับที่เคยลงข่าวเรื่องนี้ คือไทยรัฐกับเดลินิวส์นั้น ผมได้ส่งคำแถลงตรงไปยังเขาด้วยแล้ว
หนังสือพิมพ์ตัดภาษาอังกฤษที่คุณช่วยส่งมาให้นั้นได้รับแล้วด้วยความขอบคุณ
โอกาสนี้ขอส่งความรักและคิดถึงมายังคุณ คุณบุญหลงและคุณพันศักดิ์ด้วย

อองโตนี ประเทศฝรั่งเศส
วันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2516
เรียน คุณเท่ห์ จงคดีกิจ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ "บางกอกโพสต์
ข้าพเจ้าขอส่ง “แถลงการณ์ของนายปรีดี พนมยงค์ เรื่องการถอนตัวออกจากการทาบทามระหว่างผู้แทนฝ่ายไทยกับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามประจำกรุงปารีส เกี่ยวกับการอพยพชาวเวียดนามที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยกลับสู่ถิ่นฐานเดิม” มายังท่าน เพื่อขอให้ท่านแปลเป็นภาษาอังกฤษให้ตรงกับต้นฉบับภาษาไทยที่แนบมาอย่างถูกต้อง ครบถ้วนขบวนความ แล้วนำลงในหนังสือพิมพ์ของท่าน
ในการที่ข้าพเจ้าต้องขอร้องท่านดังกล่าว ก็เพราะหนังสือพิมพ์ของท่านได้นำเอาข้อความที่ผิดจากความจริงและผิดมรรยาทการทูตที่บางคนให้สัมภาษณ์ หรือให้ข่าวแก่หนังสือพิมพ์ของท่านลงพิมพ์แพร่หลายเป็นเวลาหลายวัน ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชาติไทย และทำให้มิตรภาพระหว่างราษฎรไทยกับราษฎรเวียดนามต้องสะดุดหยุดลง
ข้าพเจ้าเชื่อว่าแถลงการณ์ของข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้าได้ลงลายมือชื่อนั้น ท่านซึ่งเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่ดีย่อมถือว่าข้าพเจ้า เป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือได้ยิ่งกว่าบุคคลที่ท่านรับเอาคำแจ้งของพวกเขามาลงในหนังสือพิมพ์อันมีเกียรติของท่าน
ข้าพเจ้าขอชี้แจงเพิ่มเติมมายังท่านด้วยว่า ในการสนทนากับบุคคลที่ปรากฏนามในแถลงการณ์ของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นการสนทนาในวันที่ 23 กันยายนปีนี้ ข้าพเจ้าได้ต่อว่านายสำเภาฯ หลายประการ ที่ให้ข่าวแก่หนังสือพิมพ์ผิดจากความจริงและผิดมรรยาทในการทูต และนายสำเภาฯ ไม่ได้ขอให้ท่านแก้ข่าวให้ถูกต้อง แต่นายสำเภาฯ กลับกล่าวว่าเขาได้ขอให้ท่านแก้ไขแล้ว แต่ท่านไม่ยอมให้แก้
ข้าพเจ้าได้ต่อว่าอีกเรื่องหนึ่ง คือ การที่หนังสือพิมพ์ของท่าน ฉบับวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1975 ได้ตัดรูปข้าพเจ้าซึ่งปรากฏอยู่ในภาพถ่ายหมู่ 4 คน ที่ถ่ายเมื่อวันที่ 20 มิถุนายนปีนี้ โดยจงใจให้เหลือเพียง 3 คน ได้แก่ (1) ท่านโว วัน ซุง (2) ภรรยาข้าพเจ้า (3) ศาสตราจารย์วิจิตรฯ ส่วนรูปข้าพเจ้า เหลือเพียงแขนขวาของคนหนึ่ง ไม่มีลำตัวและใบหน้าของคนนั้น
ข้าพเจ้าถือว่านี่เป็นการดูหมิ่นข้าพเจ้าอย่างร้ายแรง นายสำเภาฯ แก้ตัวว่า ท่านได้แจ้งกับเขาว่ารัฐบาลไทยห้ามมิให้ท่านนำรูปข้าพเจ้าลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ของท่าน ข้าพเจ้าตอบว่า เมื่อท่านมาพบข้าพเจ้าเมื่อประมาณ 2 ปีมาแล้ว ท่านยังสามารถนำคำสัมภาษณ์และรูปถ่ายของข้าพเจ้าไปลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ของท่านได้อยู่
เหตุใดท่านจึงตัดรูปข้าพเจ้าออกไปดังกล่าวแล้ว?
ขอให้ท่านชี้แจงความจริงแก่ข้าพเจ้าในเรื่องนี้ด้วย โดยอาศัยคุณธรรมของนักหนังสือพิมพ์ที่ดี จะขอบคุณมาก
ด้วยความนับถือ
(นายปรีดี พนมยงค์)
[1] สุทธิชัย หยุ่น เริ่มทำงานเป็นผู้ช่วยหัวหน้าข่าวที่บางกอกโพสต์ โดยมีหัวหน้าข่าว เท่ห์ จงคดีกิจ เป็นเจ้านายคนแรก ต่อมาสุทธิชัยได้ก่อตั้ง นสพ. เดอะวอยซ์ออฟเนชั่น ในปี 2514