Focus
- กองบรรณาธิการได้คัดสรรบทบาทของนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นักการเมืองจากจังหวัดอุบลราชธานี ที่ในช่วงเวลาสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้าเป็นสมาชิกขบวนการเสรีไทย ผ่านการสร้างสรรค์ของนายหนหวย
- บทความมุ่งเสนอบทบาทและชีวิตของนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ในฐานะนักการเมืองผู้ต้องการให้ประชาชนในพื้นที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และบทบาทในฐานะสมาชิกขบวนการเสรีไทย

ทองอินทร์ ภูริพัฒน์
วัตถุประสงค์อันเป็นยอดปรารถนาของ “เสรีไทย” ก็เป็นเช่นเดียวกับวัตถุประสงค์ของกรมหมื่นเทพพิพิธ, พระเจ้าตากสิน, เจ้าพระยานคร, เจ้าพระยาพิษณุโลก และเจ้าพระฝาง เมื่อคราวกรุงศรีอยุธยาต้องตกอยู่ภายใต้การยึดครองของทหารต่างชาติ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๑๐ นั่นเอง ทุกคนยึดมั่นอยู่ในใจว่า จะทำทุกวิถีทางเพื่อกวาดล้างขับไล่กองทหารต่างชาติออกจากเมืองไทย เพื่อให้ชาติไทยได้มีอธิปไตยโดยสมบูรณ์ และจะกระทำทุกวิถีทางที่จะนำความสงบสุขมาสู่ไทย ทุกคนพร้อมที่จะเอาชีวิตเข้าแลก
งานของขบวนการเสรีไทยได้ขยายวงและขอบเขตของการปฏิบัติออกไปทุกที่ ขบวนการนี้ได้ติดต่อกับสัมพันธมิตรเป็นที่เรียบร้อย และยังส่งนิสิตนักศึกษาตลอดจนคนไทยผู้รักชาติส่วนหนึ่งไปรับการฝึกวิชาทหารนอกประเทศ นอกจากนี้ เสรีไทยนอกประเทศซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่วอชิงตันสหรัฐอเมริกาก็ได้ส่งเสรีไทยหลายนายเข้ามาติดต่อประสานงาน คนกล้าหาญไม่น้อยได้เสียชีวิตในการปฏิบัติภาระกิจอันนี้ แต่ “กรุงศรีอยุธยายังไม่สิ้นคนดี” ขบวนการเสรีไทยทั้งในและนอกประเทศ จึงประสานงานกันได้อย่างราบรื่น ขณะนั้นคือระหว่างกลางปีพุทธศักราช ๒๔๘๗
เสียงกระซิบกระซาบเกี่ยวกับขบวนการเสรีไทยเริ่มขึ้นทั่วไป การกระทําของเสรีไทยผู้รักชาติย่อมผิดกฎหมายบ้านเมือง รัฐบาลยุคนั้นจึงจ้องตะครุบตัวอยู่ทุกโอกาส หน่วยสืบราชการลับของกองทัพต่างชาติที่ยึดครองเมืองไทยเริ่มระแคะระคาย การสืบสวนหาต้นตอเสรีไทย เพื่อจะทำลายล้างก็ได้เกิดขึ้น สารวัตรทหารของกองทัพต่างชาติซึ่งเรียกว่า “เค็มเป้” ได้ทุ่มเทกำลังคน กำลังสมองและกำลังเงินเพื่อการนี้อย่างไม่อั้น แต่ก็จับไม่มั่นคั้นไม่ตาย เพราะไม่มีคนไทยคนไหนทรยศต่อขบวนการเสรีไทยเป็นขบวนการที่ตั้งขึ้นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่คนไทยทุกคนก็ยอมรับว่า ขบวนการเสรีไทยนี้แหละ ที่จะนำชาติให้พ้นภัยในที่สุด คนที่ทำงานเพื่อชาติที่เหน็ดเหนื่อยและเอาชีวิตเข้าแลกในขณะนั้น ก็คือบุคคลในขบวนการเสรีไทยทุกคน
ครั้นแล้วในระหว่างปลายปี ๒๔๘๗ นั้น อวสานของรัฐบาลยุคนั้น โดยมีจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ก็ได้มาถึง รัฐบาลชุดนั้นแพ้เกมการเมืองในพระที่นั่งหินอ่อน จึงได้กราบถวายบังคมลาออกไปนายควง อภัยวงศ์ ได้รับมอบหมายให้จัดตั้งคณะรัฐบาลขึ้นแทน ครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งแรกของระบอบประชาธิปไตย คือเปลี่ยนจากรัฐบาลทหารมาเป็นรัฐบาลพลเรือน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายชื่อคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์นั้น มีหลายนายเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ ๑ ซึ่งประชาชนเป็นผู้เลือกตั้ง นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ เป็นคนหนึ่งในจำนวนนี้
รัฐบาลภายใต้การนำของนายควง อภัยวงศ์ ได้เปิดทางนานาประการ เพื่ออำนวยความสดวกให้แก่ขบวนการเสรีไทย พลพรรคเสรีไทยที่ไปฝึกวิชาทหารต่างประเทศทะยอยกันกลับคืนสู่มาตุภูมิอย่างองอาจและเย้ยหยันมหามิตร ด้วยการโดดร่มลงสู่สนามบินลับหลายแห่งในประเทศ นายทหารชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายสัมพันธมิตรเล็ดลอดเข้ามาสังเกตการในประเทศไทย โดยความร่วมมือช่วยเหลือและคุ้มกันของพรรคเสรีไทย
ขณะนั้นฝ่ายอักษะกำลังตกเป็นเบี้ยล่าง เยอรมันปราชัยในสงครามทะเลทราย สิ้นรอมเมลเสียแล้ว เสือเฒ่า “มองตี้” ก็กลายเป็นผู้พิชิตในแอฟริกาเหนือ สัมพันธมิตรเริ่มยกพลขึ้นในยุโรป เพื่อบุกเบิกทางเข้าสู่เบอร์ลิน ทางภาคเหนือเล่า กองทัพเยอรมันกำลังเป็นเบี้ยล่างอย่างย่อยยับ เสียชีวิตทหารนับล้าน ๆ ที่โมเช็งโก ขุนศึกแดงหัวโล้นพุ่งกําลังพลเข้าประชิดเยอรมัน อิตาลีสหายศึกยอมจำนนต่อสัมพันธมิตร มุสโสลินีเพื่อนเกลอของฮิตเลอร์ประสพชะตากรรมจากน้ำมือของพลพรรคใต้ดินอย่างทารุณในภาคแปซิฟีกธงอาทิตย์อุทัยเริ่มกับแสง...

ที่มา: จากยอดโดมถึงภูพาน: บันทึกประวัติศาสตร์ฉบับสามัญชนบนเส้นทางประชาธิปไตย
พลพรรคเสรีไทยสายต่าง ๆ ซึ่งวางแผนปลดแอกชาติไทยจากกองทัพต่างชาติ และเป็นที่รู้กันในวงการทั่วไปว่าดินแดนภาคอีสานเป็นจุดยุทธศาตร์ที่สำคัญซึ่งพลพรรคเสรีไทย พร้อมด้วยอาวุธอันทันสมัยจะลุกฮือขึ้นปฏิบัติการได้ทุกเมื่อ และก็เป็นที่รู้กันในขั้นต่อมาว่า หัวหน้าพลพรรคคนสําคัญคนหนึ่งของภาคอีสานคือ “ทองอินทร์ ภูริพัฒน์” รัฐมนตรีร่างเล็กในคณะรัฐบาลชุดนั้น
ความจำเป็นทางยุทธศาสตร์และความผันผวนทางการเมืองได้ผลักดันให้อินโดจีนฝรั่งเศสถูกยึดครองอย่างเป็นทางการจากกองทหารต่างชาติ หลังจากมีการต่อสู้กันอย่างหนักหน่วงหลายชั่วโมง เมื่อเป็นเช่นนี้ ประเทศไทยโดยเฉพาะภาคอีสานจึงตกอยู่ในภาวะร้อน ๆ หนาว ๆ เพราะกองพลม้า หนึ่งกองพลได้ข้ามแม่น้ำโขงมาที่มุกดาหาร แล้วเคลื่อนเข้าสมทบกองพัน “เซ็นซุยอิ” ที่ตั้งโอบล้อมจังหวัดอุบลราชธานีไว้แล้ว ทหารราบอีกเกือบกองพลเคลื่อนจากปากเซในลาวเข้านครจัมปาสัก แล้วเคลื่อนมาสมทบหน่วยทหารช่างที่พิบูลมังษาหารและวารินทร์ ชำราบ ตามลำดับ กองทัพ “งิ” ในประเทศไทยซึ่งตั้งกองบัญชาการอยู่ที่กรุงเทพฯ กำลังตัดสินใจว่า จะปฏิบัติการอย่างไรกับประเทศไทย
ทั้งหมดนี้คือเหตุการณ์ย่อ ๆ ที่ข้าพเจ้าประมวลมา หากจะคิดถึงความหลังครั้งกระโน้นแล้ว ยังมีรายละเอียดยิบยิ่งกว่านี้ แต่เท่าที่ลำดับเหตุการณ์ย่อ ๆ เข้าใจว่าผู้อ่านคงระลึกถึงความหลังได้บ้างตามสมควร
ขณะนั้นข้าพเจ้าประจำหน่วยประสานงานกับ “เค็มเป้” เพราะว่าเมื่อเสร็จศึกอินโดจีนแล้ว ประเทศไทยไม่ได้ปลดปล่อยทหาร ทหารไทยทุกคนที่ถูกเกณฑ์เมื่อต้นปี ๒๔๘๓ จึงต้องรับราชการติดต่อกันจนถึง ๕ ปีเต็ม โดยมาปลดปล่อยพร้อมกันในปี ๒๔๘๘ ตอนปลายปี
หน่วยของข้าพเจ้ามีกำลังหนึ่งหมวด เป็นหน่วยรบ มีฝ่ายธุรการเพื่อติดต่อประสานงาน ๔-๕ คนเท่านั้น ซึ่งมีข้าพเจ้าร่วมอยู่ด้วยคนหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่ายธุระการก็ต้องประจำหน่วยรบในเมื่อถูกโจมตี หน่วยของเรายึดเอาโรงเรียนสตรีนารีนุกูลเป็นที่ทำการ ส่วนหน่วยกำลังยึดเอาโรงเรียนฝึกหัดครูด้านหลังเป็นที่มั่น
สถานการณ์ในจังหวัดอุบลราชธานีเวลานั้น ตั้งแต่แนวถนนหลังวัดป่าใหญ่หรือถนนหน้าสถานีตำรวจ เป็นเขตที่ต้องสละ ในเมื่อเกิดสถานณ์ขึ้น สถานีตำรวจซึ่งมีอาณาเขตติดสนามบินด้านทิศใต้ จำเป็นต้องปล่อยทิ้งเป็นบ้านร้าง เพราะทหารต่างชาติหน่วยหนึ่งเข้าคุมสนามบินไว้หมด เลยสนามบินไปทางทิศเหนือ ทหารราบหน่วยเซ็นซุยยึดอยู่ มีการสร้างรังปืนกล ขุดคูยิงอย่างถาวร บริเวณโรงเรียนเตรียมหรือโรงเรียนฝึกหัดครูปัจจุบัน หน่วยพลาธิการของทหารต่างชาติ ลึกเข้าไปทางบ้านท่าบ่อตามเส้นทางสายอุบลฯ-ยโสธร เป็นที่ตั้งของหน่วยทหารราบ และมีนาวิกโยธินหลงมาจากไหนไม่ทราบมาสมทบอยู่ โดยสภาพการณ์ดังกล่าวนี้จะเห็นได้ว่า ตัวเมืองอุบลฯ ได้ถูกปิดล้อมไว้ทุกด้าน แม้แต่เส้นทางจากหาดสวนยามาสถานีรถไฟ ก็มีรังปืนกลของทหารต่างชาติตั้งสกัดไว้ หน่วย “เค็มเป้” อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของนายทหารพระธรรมนูญวัยกลางคน ยศนายดาบชื่อ นายดาบโคซิม่า เช่าบ้านอยู่มุมโรงเรียนวัดหนองยาง ตรงข้ามกับบ้านพักผู้พิพากษาเป็นที่ทำการ ทหารต่างชาติหน่วยหนึ่งยึดโรงเรียนเบญจมฯ ประจันหน้ากับหน่วยข้าพเจ้า มีสนามม้าทุ่งศรีเมืองกั้น แต่มันเป็นระยะปืนเล็กยาวพอดี
แผนของหน่วยเรามีว่า หากเกิดการปะทะขึ้น จะต้องต้อนประชาชนออกจากเขตเทศบาล (เวลานั้นเขตเทศบาลก็คลุมอยู่บริเวณตลาด ยังไม่กว้างขวางอย่างทุกวันนี้) ไปหลบภัยแถวมูลน้อย ยึดศาลากลางและคลังเงิน ปล่อยนักโทษซึ่งตั้งอยู่ใกล้ ๆ หน่วย (เรือนจำเก่า) แล้ว ปิดถนนเขื่อนธานีตลอดสายยึดเป็นแนวต้านทาน ประสานกับพลพรรคเสรีไทยซึ่งกระจายกําลังโอบหลังกองทหารต่างชาติอยู่ในเส้นทางสายอุบล-มุกดาหาร
เป็นความสัตย์จริง ขณะนั้นข้าพเจ้าไม่เชื่อว่า นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ รัฐมนตรีคนหนึ่งของรัฐบาลชุดนั้น เป็นหัวหน้าพลพรรคเสรีไทยอุบลราชธานี เพราะลักษณะท่าทางของบุคคลผู้นี้ไม่ได้บ่งบอกว่า จะเป็นคนดุดันห้าวหาญถึงขนาดจะคุมคนคุมอาวุธนับเป็นสิบ ๆ ต้นทำการรบ รูปร่างเล็ก ๆ ขาว บอบบาง หน้าซื่ออย่างบุคคลผู้นี้เหมาะสมแล้วกับตำแหน่งหน้าที่ของเขาดำรงอยู่ คนเมืองอุบลฯ นับแสนคนก็คงคิดเช่นเดียวกับข้าพเจ้า
เพราะคนเมืองอุบลฯ ที่จะไม่รู้จักนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นั้นเป็นไม่มี รู้จักตั้งแต่เป็นครูทองอินทร์, นายอําเภอทองอินทร์, ผู้แทนทองอินทร์ และรัฐมนตรีทองอินทร์ ขึ้นมาเป็นลําดับ และยังรู้ดีด้วยว่าในฐานะนักการเมือง นายทองอินทร์ได้บำเพ็ญกรณียกิจในสภาอย่างมากมาย คนไทยทั้งประเทศย่อมจะจำได้ว่า ภาษีรัชชูปการ หรือเรียกอย่างชาวบ้านว่า “เสียหัว” ซึ่งเคยใช้กันมาแต่โบร่ําโบราณนั้น ได้ถูกรัฐบาลยกเลิก ก็โดยนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ผู้แทนราษฎรอุบลราชธานีเป็นผู้เสนอ และได้อภิปรายอย่างไว้ฝีมือ จนรัฐบาลยอมเลิกกฎหมายนี้ และยังมีบทบาทอื่น ๆ อันดีเด่นในทางการเมืองอีกมากมาย แต่ด้วยท่าทางแล้ว ไม่มีใครเชื่อว่าจะเป็นคนใจเพ็ชร “ขนาดคิดการใหญ่อยู่ภายใต้จมูกของผู้ยึดครอง” เพื่อปลดแอกประเทศชาติ แต่ครั้นแล้วในเย็นวันหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ได้ปักใจเชื่อว่า หัวหน้าพลพรรคเสรีไทยอุบลราชธานี คือรัฐมนตรีทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นี่เอง
วันนั้นในราวปลายเดือนกรกฎาคม ๒๔๘๗ ซึ่งใกล้จุดระเบิดการรบกลางเมืองเข้ามาทุกขณะ พลพรรคเสรีไทยอาวุธทันสมัยครบมือกระจายกำลังนอกเมือง ได้แสดงความกระหือรือขึ้นอย่างประหลาด สิ่งที่พวกเรารออยู่ทุกวินาที ก็คือคำสั่งเข้าที่หรือไม่ก็ “กระสุนนัดแรก” จากกองทหารต่างชาติ หากเป็นประการหลังนี้ไม่ต้องรอคำสั่ง ทุกคนมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามแผนทันที ข้าพเจ้าสังหรณ์ใจอย่างไรชอบกล เตรียมปืนพกประจําตัวของหลวงมาขัดสีฉวีวรรณแต่เช้า ปืนเล็กยาวแบบ ๘๓ กับกระสุน ๓๐๐ นัดที่พิงไว้ข้างเก้าอี้ทำงานให้ความอุ่นใจในยามนั้นไม่ใช่น้อย แต่ที่อุ่นใจที่สุดก็คือ ระเบิดมือ ๕ ลูกในลิ้นชักโต๊ะทํางานนั่นเอง
ประมาณ ๑๗ น. เศษของวันนั้นเอง ขณะที่ข้าพเจ้านั่งปล่อยอารมณ์อยู่หน้าหน่วย ซึ่งความจริงก็คือสนามหญ้าและสวนดอกไม้เล็ก ๆ ของโรงเรียนนารีนุกูลนั่นเอง เครื่องบินปีกชั้นเดียวเครื่องหนึ่ง ได้บนผ่านตัวเมืองด้วยความเร็วสูงจากทางทิศตะวันตกมุ่งไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ แต่บินเตี้ยมองเห็นเครื่องหมายที่ใต้ปีกและแพนหางอย่างชัดเจนว่า เป็นเครื่องบินของกองทัพอากาศของเรา พวกเราจึงได้แต่แหงนคอดู เสียงเครื่องบินเบาลงแล้วก็เงียบหายไปชั่วอึดใจ แสดงว่าได้ลงสนามแล้ว ซึ่งห่างจากที่ตั้งหน่วยของเรา ๓ กิโลเมตร แต่แล้วในอึดใจต่อมา เสียงเครื่องบินก็ดังสนั่นขึ้นอีก แล้วเครื่องบินเครื่องนั้นก็โผขึ้นสู่ท้องฟ้า บ่ายโฉมหน้ากลับทางเดิมทั้งบินลงบินขึ้น เครื่องบินเครื่องนี้ใช้เวลาเพียง ๑ นาทีเศษ ๆ ข้าพเจ้าเอาเหตุการณ์ว่า อย่างไรเสีย เครื่องบินนี้จะต้องมาราชการด่วนและสำคัญยิ่ง จึงได้เตรียมตัวรอรับเหตุการณ์อยู่เงียบ ๆ
ประมาณสิบนาทีต่อมา ก็มีจักรยานสามล้อคันหนึ่งสารถีปั่นจนตัวโก่ง บอกถึงความเร่งร้อนบึ่งมาทางหน้าวังสงัด หรือโรงเรียนมิชชั่น หรือต่อมาคือโรงเรียนวิไลวัฒนา แล้วเลี้ยวเข้าถนนหน้าโรงเรียนนารีนุกูล อันเป็นที่ตั้งหน่วยของข้าพเจ้า เพียงแต่ชําเลืองดูแวบเดียวในระยะไกล ข้าพเจ้าก็จำได้ว่าผู้ที่นั่งอยู่ในจักรยานสามล้อคนนั้นคือ...
นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลชุดนั้น ขณะนั้นแต่งชุดตรวจการแถบสีทองเต็มบ่า นั่งไขว่ห้างสูบบุหรี่ทำหน้าตาเฉย มีกระเป๋าเดินทางวางอยู่ข้าง สามล้อคันนั้นกําลังผ่านหน้าหน่วยของข้าพเจ้า พอถึงสี่แยกหอสมุดก็เลี้ยวซ้ายตรงไปทางที่ทำการไปรษณีย์ ซึ่งบ้านของท่านอยู่ใกล้ ๆ กับที่ทำการไปรษณีย์ทางด้านหลัง คือ ถนนศรีณรงค์นั่นเอง…
ขณะนั้นจวน ๑๘ น. แล้ว ข้าพเจ้าส่งยามคอยเหตุด้านเหนือปิดถนนด้านที่ตามปกติเราจะปิดถนนสายที่ผ่านหน่วยและสายหลังหน่วย ข้างวัดทุ่งก็ต่อเมื่อ ๒๑ น. ล่วงแล้ว แต่ข้าพเจ้าสังหรณ์ใจ จึงสั่งปิดทันที เป็นอันว่าต้นมะพร้าวขนาดใหญ่ได้พาดขวางถนน และมีจำหล่ออีก ๒ อันสมทบ เปิดช่องกลางเป็นช่องซิกแซกพอคนเดินเรียงตัวได้เท่านั้น เสร็จแล้วข้าพเจ้าก็นั่งใจเต้นรอฟังข่าวอยู่ในห้องหน้ามุขชั้นล่าง ซึ่งปัจจุบันดูเหมือนจะเป็นห้องครูใหญ่...ราว ๑๕ นาที สูบบุหรี่ยังไม่หมดมวน ก็ได้ยินเสียงรถมาจอดกีดลงหน้าหน่วย ไม่ต้องดูก็รู้ว่าเป็นรถยนต์คันเดียวของหน่วย “เค็มเป้” ยามที่หน้าประตูหน่วยเข้ามารายงานว่า
“ตายละครับ บักเบี้ยมันมาตั้ง ๗-๘ คน หน้าดาบอกบุญไม่รับทั้งนั้น”
พอขาดคำก็มีเสียงท๊อปบู๊ดครึ่งแข้ง และเสียงรองเท้าทหารย้ำกึก ๆ ขึ้นมาบนระเบียงมีเสียงพูดกันเป็นภาษาต่างประเทศว่า “ศิลปชัย โชอิ...” ข้าพเจ้าจับท้ายประโยคได้เท่านี้เอง “โชอิ” นั้นแปลว่า “ร้อยตี” ตอนนั้นข้าพเจ้าทำหน้าที่ ผบ. หมวด ไม่เคยแต่งเครื่องแบบ ฝ่ายเขาเลยอุปโหลกยศให้เสร็จ คนแรกที่เดินนำหน้าคือนายซาเนาะ ล่ามของเขา ต่อไปก็คือนายดาบโคซิม่า หัวหน้าหน่วยเพิ่มเค็มเป้อุบลราชธานี แล้วก็มีทหารติดตามอีก ๒-๓ คน พกปืนแถมยังคาดซามูไรยาว ท่าทางดุดันทั้งนั้น คราวนี้ไม่มีการโค้งคำนับ ไม่มีการยิ้มแย้มแจ่มใส
“เครื่องบินไทยมาลงสนามบินแล้วกลับไป มีคนไทยลงมาจากเครื่องบิน แล้วหนีเข้ามาในเมือง คนนั้นเป็นใคร ?” ซาเนาะล่ามเอกตั้งกระทู้ถามข้าพเจ้าแทบไม่หายใจ
“เครื่องบินนั้นมาจากไหน ?” ประโยคนี้ร้อยโทคามูร่า นายทหารช่างผู้รักษาสนามบินถามผ่านล่าม เจ้าหมอนี้ล่ำสันเป็นมะขามข้อเดียว เคยมีชื่อทางจับคนไทยไปทรมาน พวกชาวบ้านคอนสายทราบดี ข้าพเจ้าตอบโดยไม่ต้องคิด เพราะถือว่าฝ่ายเขาอยู่ในหน่วยเรา เป็นไรเป็นกัน แต่ก็ตอบตามความเป็นจริง
“เครื่องบินมาลงสนามบินผมไม่ทราบ และสนามบินไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายไทย ผมเห็นแต่เครื่องบินบินผ่านตัวเมืองไปทางสนามบินเท่านั้น ผมก็ตั้งใจจะไปถามท่านอยู่เหมือนกัน เพราะทางผมร้อนใจ ไม่ทราบจะรายงานผู้บังคับบัญชาอย่างไร”
“ท่านต้องรู้” นายดาบโคซิม่าคุกคามผ่านล่าม พร้อมกับจ้องตาข้าพเจ้าเขม็ง จนข้าพเจ้าชักฉิว เพราะรู้สึกว่ามันจะมากไปเสียแล้ว แต่ก็ทำใจเย็นสู้เสือ
“ผมเขาเวรที่นี้ตั้งแต่เที่ยง ออกไปไหนไม่ได้เลยฝ่าย คุณรักษาสนามบินตลอดเวลาน่าจะรู้สึกว่าผม แล้วจะมาซักไซ้เอาความจริงจากผมอย่างไรกัน
“เรื่องนี้ทางฝ่ายไทยต้องสืบให้รู้” ถามซาเนาะทำตนเป็นผู้บังคับบัญชาของข้าพเจ้าเข้าให้แล้ว
“แล้วแต่ผู้บังคับบัญชา แต่คุณซาเนาะเห็นใจเราบ้าง ถ้าจะให้เราสืบความเคลื่อนไหวของคนทุกคนที่ผ่านเข้ามาในจังหวัดอุบลฯ แล้ว เราไม่มีคนพอ แม้แต่พวกทหารพวกคุณที่เคลื่อนเข้ามาเป็นคันรถ ๆ เป็นหมวดหมู่อย่างมีระเบียบ เราก็ยังสืบไม่ได้จํานวนแน่นอน รู้แต่เพียงว่าเป็นทหารอะไรมาจากไหนเท่านั้น” ผมศอกกลับเข้าให้บ้าง เขาหันไปส่งภาษากันล้งเล้ง ๆ แล้วซาเนาะก็บอกว่า
“ฝ่ายเราจะต้องสืบให้ได้ คนที่มากับเครื่องบินไม่ใช่คนไทยเป็นคนสำคัญ มีอะไรเกิดขึ้นไทยต้องช่วยเรา เป็นเรื่องสำคัญมาก เราเป็นมหามิตรกัน โชอิ ผมไม่อยากให้มีเรื่อง…” แล้วพวกเขาก็กล่าวคำอำลา พากันเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงกลับไปขึ้นรถ ข้าพเจ้าโล่งใจไปถนัด แต่ก็ไม่โล่งอยู่นาน รีบเขียนรายงานขึ้นไปตามลำดับชั้น จนถึงหลวงนรัตถรักษา ข้าหลวงประจำจังหวัด ในเย็นวันนั้นเราก็มีการเตรียมพร้อมใหญ่ และบัดนั้นเอง ข้าพเจ้าก็ได้ทราบว่า…

ขุนพลเตียง ศิริขันธ์ (ซ้าย) ส.ส. นักสู้แห่งสกลนคร ผู้นําเสรีไทยสายอีสาน กับทองอินทร์ ภูริพัฒน์ (ขวา) ขุนพลแห่ง อีสานใต้ ที่ร้านกาแฟใจกลางเมืองสกลนคร ในวันที่เตียง ศิริขันธ์ ได้รับการประกันตัวคดีที่ถูกยัดเยียดให้เป็น กบฏแบ่งแยกดินแดน และท้ายสุดทั้งสองท่านก็ถูกสังหารอย่างทารุณ เป็นรางวัลตอบแทนการกู้ชาติ
ที่มา: จากยอดโดมถึงภูพาน: บันทึกประวัติศาสตร์ฉบับสามัญชนบนเส้นทางประชาธิปไตย
หัวหน้าพลพรรคเสรีไทยอุบลราชธานี คือนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ บุรุษร่างเล็กแต่ใจแข็งราวกับเพ็ชรผู้นี้เองบัดนี้ กำลังพลพรรคเสรีไทยกว่าพัน ซึ่งโอบหลังกองทหารต่างชาติ กำลังรอบุคคลผู้นี้ เพื่อเป็นผู้สั่งการและเป็นผู้นำ…
เวลานั้นทุกจุดในประเทศไทยมีรังปืนกล และคู่ยิ่งของทั้งสองฝ่ายประชิดกันอยู่ก็มีการเคลื่อนไหว ปืนทุกกระบอกบรรจุกระสุน ข้าพเจ้านั่งวาดภาพที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ด้วยความเศร้าสลด เพราะข้าพเจ้าจะต้องยิงไปที่โรงเรียนเบญจมมหาราช ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ข้าพเจ้ารัก เพราะข้าพเจ้าสำเร็จการศึกษาที่นั่น ฝ่ายเขาก็ต้องยิงมาที่โรงเรียนนารีนุกูล เราต้องปล่อยนักโทษ เราต้องงัดคลังเงิน เผาศาลากลาง ยึดแนวถนนเขื่อนธานีเป็นแนวต้านทาน จนกว่าประชาชนลูกเล็กเด็กแดงของเราจะลงมูลน้อยไปหมด ฝ่ายเราจะต้องเสียชีวิตกันมาก ทางกรุงเทพฯ กำลังรอคำตอบจาก “ซีแอ็ค” ทุกคนต่างก็มีภาระอย่างหนัก อึดอัด กลุ้ม กังวล แต่แล้วก็ปลงตก พลพรรคเสรีไทยภายใต้การนำของนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ให้ความหวังแก่เรามาก…
แต่ตัวนายทองอินทร์ ล่ะ เขามีค่าหัวเสียแล้ว เค็มเป้กำลังล่าตัวเขา และก็ไม่ต้องสงสัยว่า ถ้าพวกนั้นพบตัวเขาก็ต้องแหลกกันไปข้างหนึ่ง ผู้ที่มีอุดมการอันแน่วแน่และมีอาวุธทันสมัยอยู่ในกำมือนับเป็นตัน ๆ มีพลพรรคนับเป็นพันสนับสนุน คงไม่ยอมเป็นเบี้ยล่างง่าย ๆ แต่เมื่อถูกลอบทําร้ายล่ะ อะไรจะเกิดขึ้น งานปลดแอกกอบกู้อธิปไตยของชาติไทยจะไม่ละลายไปหรือ…
ที่หน้าที่ทำการไปรษณีย์นั้น ฝ่ายเราสร้างรังปืนกลไว้ ๑ รัง เพื่อรักษาเครื่องส่งโทรเลขของเราไว้ จุดนี้ห่างจากบ้านพักนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ประมาณ ๓๐๐ เมตร ค่ำวันนั้นเราจึงจัดยามไปทําหน้าที่คุ้มกัน ๑ คน มีคนแปลกหน้าหรือทหารต่างชาติเข้าไปในบ้านให้รายงานด่วน หากมีเหตุการณ์ร้ายแรงก็ให้ขัดขวาง โดยร่วมมือกับหมู่ปืนกลเบาหน้าที่ทำการไปรษณีย์
ยามคนนั้นเป็นคนซื่อตรงต่อหน้าที่อย่างหาตัวจับยาก เมื่อแกไปทำหน้าที่อารักขารัฐมนตรี แกก็ติดดาบปลายปืนขาวดับ ด้อม ๆ แถวหน้าบ้านบ้าง ข้างรั้วบ้าง ราว ๆ ๒ ทุ่ม ทุกคนกำลังกระวนวายใจรอนาทีสุดท้าย เพราะรถบรรทุกทหารต่างชาติมีผ้าใบคลุมมิดชิดสองคันจอดกึกลงที่หน้าโรงหนังกลาง (อุบลภาพยนตร์) อีกหลายคันเคลื่อนไหวอยู่ตามถนนสายต่าง ๆ ภายในผ้าใบที่คลุมอยู่นั้นจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากทหารในเครื่องสนามและอาวุธ เขาจะทําอะไรกับเรา...เขาจะเดินไม้ไหน ประชาชนของเราจะเป็นอย่างไร นี่เป็นปัญหาที่เรากําลังขบ เรื่องยิงกันฆ่ากัน ถ้าระหว่างหน่วยกำลังต่อหน่วยกำลังไม่สำคัญเลย แต่ถ้าเขาต้องเอาประชาชนของเราเป็นตัวประกัน นี่สิ เราหนักใจ
ครั้นแล้วทุกคนก็ต้องหายใจโล่งอก เมื่อได้รับรายงานว่า รัฐมนตรีทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ฝ่าวงล้อมของกองทหารต่างด้าว บ่ายโฉมหน้าไปทางอำเภอม่วงสามสิบ เมื่อเวลาประมาณสามทุ่มเศษ บัดนี้เป็นอันว่าเสือเข้าป่าได้แล้ว ทุกหน่วยในชานเมืองและหน่วยในเมือง คือหน่วยของเราพร้อมแล้ว เราเปลี่ยนแผนทันที คือเดิมกะไว้ว่า จะตั้งรับเพียง ๑ ชั่วโมง แล้วก็เผาอาคารบ้านเรือนให้เหลือแต่ปัฐพีไม่มีคน แต่เมื่อเสือเข้าป่าได้แล้วเช่นนี้ เราก็ต้องรบหน่วงเหนี่ยวไว้ให้นานที่สุดที่จะนานได้ เพื่อประสานกับพลพรรคเสรีไทยที่จะโอบหลังข้าศึกมาจากทางทิศเหนือ
ข้าพเจ้ารู้จักนายทองอินทร์มานานแล้ว แต่ข้าพเจ้ารู้จักนายทองอินทร์ดีอย่างเห็นธาตุแท้ในวันนั้นเอง ข้าพเจ้าไม่เสียดายชีวิตเลยแม้แต่น้อย เพราะนายทองอินทร์เป็นรัฐมนตรีมีลูกเมียที่ต้องห่วงใย แต่ก็กล้าเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพื่อกอบกู้ชาติบ้านเมือง ส่วนข้าพเจ้าเล่า ชีวิตเดียวร่อนเร่ไม่มีห่วงผูกคอแม้แต่เปราะเดียว ทำไมจะตายนอนตาไม่หลับ กระสุนทุกนัดพร้อม ระเบิดมือ ๕ ลูกพร้อม หลัง ชีวิต ความตายพร้อม เรารอเสียงปืนเท่านั้นเอง...
แต่แล้วพระสยามเทวาธิราช ยังคุ้มครองเมืองไทย ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม เราไม่ได้ฆ่าได้แกงใคร เอกราชและอธิปไตยของเรายังคงดำรงสืบมาด้วยความพ่ายแพ้ของผู้ไม่ประพฤติธรรม แต่อย่างไรก็ตาม คนไทยทุกคนก็ได้พยายามและเตรียมการเพื่อความปลอดภัยของประเทศชาติ ยอมสละชีวิตเป็นชาติพลี คุณธรรมอันนี้ ย่อมจะจารึกตรึงตราอยู่ในความทรงจำของประชาชนทุกยุคทุกสมัย ขบวนการเสรีไทยเมื่อเสร็จสิ้นสถานการณ์ สงครามแล้ว ก็สลายตัวไป จะยังมีความผูกพันอยู่บ้าง ก็เนื่องจากมิตรภาพของบุคคล ซึ่งครั้งหนึ่งได้ตั้งปณิธานแน่วแน่ว่า เราจะตายด้วยกัน เพื่อความคงอยู่ของชาติไทย
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ สงบลงแล้ว นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ก็กลับเข้าสู่เวทีการเมืองของเขา ด้วยการเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี ความดีเด่นและความสามารถได้ส่งตัวเขาเองให้ก้าวขึ้นมาสู่อันดับที่ดีเด่นของนักการเมือง...
นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ถือกำเนิดที่ตำบลในเมือง อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันพุธที่ ๙ เดือน ๖ ปีมะเมีย แรม ๑๓ ค่ำ พุทธศักราช ๒๔๔๙ ผู้ให้กําเนิด คือนายชู นางหอม คหบดีและเป็นกลุ่มชนชั้นนํา ซึ่งบรรพบุรุษอพยพมาจากนครเวียงจันทน์
บิดามารดาของนายทองอินทร์ เป็นพุทธศาสนิกชน ผู้เคร่งครัด และมองเห็นการณ์ไกล จึงวางรากฐานการศึกษาให้บุตรเป็นอย่างดีจะเห็นได้ดังนี้ พ.ศ. ๒๔๖๑ อายุ ๑๒ ปี เข้าเรียนมัธยม ปีที่ ๑ ที่โรงเรียนเบญจมมหาราช การศึกษาอยู่ในเกณฑ์ดีตลอด อุปนิสสัยใจคอดี มีความมานะพยายาม ที่สุดในปี ๒๔๖๖ ก็สำเร็จมัธยม ๖ ซึ่งชั้นสูงสุดในขณะนั้น โดยมากการที่จะคิดมาศึกษาต่อที่พระมหานครอย่างปัจจุบันนี้ไม่มี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเหตุสองประการ ประการแรก การคมนาคมไม่สะดวก ประการต่อมาเกี่ยวกับทุนรอน
คนกรุงเทพฯ ไปอยู่อุบลฯ ก็ด้วยมีภาระหน้าที่ อยู่ดี ๆ จะไปอยู่เป็นไม่มี เกรงจะเอากระดูกไปทิ้งกลางทาง เพราะเส้นทางไปอุบลฯ นั้น มีเพียงรถไฟไปถึงโคราช จากนั้นต้องอาศัยเกวียนรอนแรมเปล่าเปลี่ยว ไปกลางดงพงไพรเป็นเวลาตั้ง ๑๔-๑๕ วัน ถ้าหากย้อนไปสมัยโบราณจริง ๆ แล้ว…ยิ่งแย่ ทางรถไฟก็ไม่มี เดินทางด้วยขบวนเกวียนจากอุบลฯ ถึงกรุงเทพฯ ก็ราว ๆ ๒ เดือนเศษ ๆ และต้องเป็นฤดูแล้งเท่านั้น และยังป่าวร้องชวนกันมามาก ๆ ถ้าน้อยคนก็กลัวเสือกัดตาย ทั้งยังต้องทำพิธีผูกข้อต่อแขนลาสั่งเสียกันยกใหญ่...หลับตานึกถึงภาพแล้วก็อ่อนใจ เทียบสมัยนี้แล้วต่างราวฟ้ากับดิน
หมายเหตุ :
- อักขระและวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ
- บทความชิ้นนี้มีการปรับปรุงชื่อโดยกองบรรณาธิการ สถาบันปรีดี พนมยงค์จาก “งานและชีวิประวัติของนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์” เป็น “ทองอินทร์ ภูริพัฒน์ เสรีไทยผู้รักชาติ” โดยตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อปี 2505
อ้างอิง:
- นายหนหวย, งานและชีวประวัติของนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ในหนังสืออนุสรณ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ และฌาปนกิจ นางสาวอรทัย ภูริพัฒน์ (ธิดา) ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม 9 พฤษภาคม 2505. (ม.ป.ท. : ม.ป.พ., 2505.) หน้า 74-89.