ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

ชาติคงมีอยู่ และความรักชาติ ในทัศนะของปรีดี พนมยงค์

15
มิถุนายน
2568

Focus

  • นายปรีดีโต้แย้งและอ้างอิงหลักทฤษฎี เพื่อพิสูจน์ว่า แนวคิด “ไร้ชาติ” ซึ่งบางฝ่ายยึดถือในนามของลัทธิมาร์กซ์ หรือลัทธิอนาธิปัตย์ เป็นการตีความคลาดเคลื่อนทั้งในเชิงแนวคิดและภาษา โดยปรีดีเสนอว่า “ชาติ” ยังจำเป็นและดำรงอยู่จริงทั้งในระดับนิติศาสตร์ สังคมวิทยา และจิตสำนึกของมนุษย์ พร้อมขยายความแนวคิด “ความรักชาติ” ว่าควรสัมพันธ์กับการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ไม่ใช่ผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม

 


(ลงพิมพ์ในนิตยสาร “เพื่อนไทย” ฉบับกันยายน ๒๕๑๘ ของสมาคมนักเรียนไทยในสหพันธรัฐเยอรมัน)

 

๑. สังคมประกอบด้วยมนุษย์ซึ่งมีลักษณะทั่วไปเหมือนกัน แต่ปัจจุบันนี้มนุษยชาติได้แยกกันอยู่เป็นหลายสังคมชาติ (National Society) ที่แต่ละสังคมครอบครองดินแดนส่วนหนึ่งของโลก สังคมชาติหนึ่ง ๆ มีกายทางสังคม (Social Organism) โดยเฉพาะ จึงมีสัญญลักษณ์เฉพาะตามสภาพ, ท้องที่, กาลสมัยของแต่ละสังคม

ชาติ (Nation) คงมีอยู่

ท่านจะไปยังประเทศของชาติอื่น ไม่ว่าประเทศแห่งค่ายสังคมนิยมหรือประเทศนอกค่ายสังคมนิยม แต่ละประเทศ นั้นก็เรียกร้องให้ท่านแสดงเอกสารเดินทางที่มีข้อความปรากฏ ชัดแจ้งว่าท่านเป็นคนสัญชาติ (Nationality) ใดท่านจะอยู่ในประเทศใดดังกล่าวก็ต้องขอใบอนุญาตมีถิ่นที่อยู่แสดงว่า ท่านเป็นคนสัญชาติใด

๒. การที่บางคนและบางเชื้อชาติมีความนึกคิดว่าตนไม่มีชาตินั้นก็เนื่องจากเหตุดังต่อไปนี้

๒.๑ จิตสํานึกทางสสารธรรมคือจิตสํานึกที่เกิดจากสภาพความเป็นอยู่ทางสังคมที่บุคคลใดประสบแก่ตนเองว่า ตนถูกถอนสัญชาติและไม่มีชาติใดที่จะยอมรับว่าบุคคลนั้นเป็นคนของชาตินั้นก็เป็นธรรมดาที่บุคคลนั้นเกิดจิตสํานึกว่าตนไม่มีชาติ

ส่วนบุคคลแห่งบางเชื้อชาติ ซึ่งเดิมเคยมีชาติของตน แต่ภายหลังชาติของตนถูกลบล้างไปจากดินแดนที่พวกตนครอบครองอยู่อันเป็นลักษณะสําคัญอย่างหนึ่งแห่งลักษณะความเป็นชาติ เช่น คนเชื้อชาติยิวซึ่งเดิมเคยมีชาติครอบครองดินแดนปาเลสไตน์ ต่อมาใน ค.ศ. ๒๐ จักรพรรดิ (Emperor) ตีตุส แห่งจักรวรรดิ (Empire) โรมัน ได้เข้ายึดครองปาเลสไตน์ขับไล่คนยิวจากดินแดนนั้น คนยิวจึงพากันมาอพยพไปอาศัยดินแดนของชาติอื่น ๆ ลักษณะแห่งความเป็นชาติ (Nation) ของคนยิวก็หมดสิ้นไป คนยิวไปอาศัยในดินแดนของชาติใดก็ถูกคนของชาตินั้นรังเกียจเดียดฉันท์ โดยไม่ยอมให้คนยิวเป็นคนสัญชาติของชาตินั้น ๆ อีกทั้งคนยิวยังยึดมั่นประพฤติตามศาสนาและวัฒนธรรมผิวตามสังคมเดิมของตนสภาพของผิวจึงเป็นเพียงกลุ่มเผ่าพันธุ์ (Ethnic Group) หรือเป็น “เชื้อชาติ” (Races) ชนิดหนึ่งที่ไม่มีลักษณะเป็นชาติสภาพความเป็นอยู่ทางสังคมเช่นนั้นจึงก่อให้คนยิวเกิดจิตสํานึกว่าตนไม่มีชาติ

ภายหลังที่ทรรศนะประชาธิปไตยเกิดขึ้นในยุโรปโดยเฉพาะภายหลังปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ หลายประเทศยุโรป ได้ให้สิทธิทางนิตินัยแก่คนยิวที่เกิดในประเทศนั้น ๆ เป็นคนสัญชาติของประเทศนั้น ๆ ได้ แต่ในทางพฤตินัยนั้นมีคนจํานวนไม่น้อยของชาตินั้น ๆ ยังมีความรังเกียจเดียจฉันท์คนเชื้อชาติยิว เช่น มาร์กซ์ที่มีกําเนิดเป็นคนเชื้อชาติยิว แม้บิดาของท่านได้เลิกนับถือศาสนาและวัฒนธรรมยิวแล้วนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์และถือวัฒนธรรมอย่างคนเยอรมันก็ตาม แต่คนเยอรมันจํานวนไม่น้อยก็รังเกียจท่านส่วนคนเชื้อชาติยิวอีกจํานวนหนึ่งก็มิได้ภักดีต่อชาติที่ตนมีสัญชาติอยู่ หากตนยังมุ่งภักดีต่อคนเชื้อชาติเดียวกันอยู่เป็นใหญ่ ฉะนั้นรัฐบาลของบางประเทศเช่นเยอรมันนาซีที่รังเกียจยิวจึงได้มีการทําลายคนยิวในลักษณะเป็นเชื้อชาติโดยมิได้จําแนกเป็นผิวที่ภักดีต่อชาติเยอรมันหรือผิวที่ไม่ภักดีต่อชาติเยอรมัน ในสมัยสตาลินและสืบมาจนทุกวันนี้ คนยิวในสหภาพโซเวียตก็ยังถูกรัฐบาลรังเกียจเดียดฉันท์และไม่ไว้วางใจในความภักดีของคนยิวต่อสหภาพโซเวียต ในทางทฤษฎีสตาลินวิจารณ์ไว้ว่า กลุ่มชนเชื้อชาติยิวที่อาศัยอยู่ในดินแดนของชาติอื่นไม่เข้าลักษณะแห่งความเป็น “ชาติ” (Nation) ซึ่งตรงต่อจิตสำนึกของคนยิวดังกล่าวนั้น

๒.๒ ความนึกคิดทางจิตธรรมหรือจิตนิยมของบางคนและบางจําพวกที่แม้ตนมิได้ถูกถอนสัญชาติหรือมิใช่เป็นคนเชื้อชาติที่ไม่มีชาติ แต่ตนนึกคิดว่า “ไม่มีชาติ” เช่นหลีลีซานอดีตหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์จีนก่อนเหมาเจ๋อตงนั้น นายหลีฯ รักษาความมีสัญชาติจีนของตน หากสั่งสอนให้สานุศิษย์ในประเทศจีนและในบางประเทศถือคติ “ไม่มีชาติ” โดยอ้างว่ามาร์กซ์สอนไว้ว่า “กรรมกรไม่มีชาติ” ฉะนั้นเราจึงต้องพิจารณาว่ามาร์กซ์สอนไว้เช่นนั้นหรือไม่

แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งมาร์กซ์กับเองเกลส์ได้ร่างขึ้นใน ค.ศ. ๑๘๔๗ และพิมพ์ครั้งแรกใน ค.ศ. ๑๘๔๘ นั้น ได้จัดทําขึ้นเป็นต้นฉบับ ๖ ภาษา คือ อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, อิตาเลียน, เฟลมิช และเดนิช (เดนมาร์ก) พรรคคอมมิวนิสต์จีนก่อนสมัยเหมาเจ๋อตงเป็นประธาน (ก่อน ค.ศ. ๑๙๓๕) ได้เคยแปลเป็นภาษาจีนไว้และได้มีผู้อาศัยคําแปลภาษาจีน แปลเป็นภาษาไทยอีกทอดหนึ่ง ต่อมาเมื่อ ค.ศ. ๑๙๗๔ (พ.ศ. ๒๕๑๗) สํานักพิมพ์ภาษาต่างประเทศ ณ กรุงปักกิ่งได้แปลเป็นภาษาไทย ผู้พิมพ์แถลงไว้ว่าฉบับภาษาไทยนี้แปลจาก “สรรนิพนธ์มาร์กซ์และเองเกลส์” เล่ม ๑ ฉบับภาษาจีน ผู้แปลได้ชี้แจงว่าได้เทียบกับฉบับภาษาอังกฤษและบางแห่งได้เทียบกับต้นฉบับภาษาเยอรมันด้วย ปัญหาเบื้องแรกที่เราควรสังเกต คือผู้แปลสามารถเทียบต้นฉบับภาษาอังกฤษกับเยอรมันได้ แต่เหตุใดไม่แปลเป็นภาษาไทยจากต้นฉบับภาษาอังกฤษหรือเยอรมันโดยตรง แทนที่จะอ้อมค้อมแปลเป็นภาษาไทยจากคําแปลภาษาจีน ผมไม่สามารถวิจารณ์คําแปลภาษาจีน แต่ขอพิจารณาคําแปลฉบับภาษาไทยของสํานักพิมพ์นั้นว่า ตรงกับฉบับภาษาอังกฤษและภาษาเยอรมันซึ่งผู้แปลแจ้งว่า ได้เปรียบเทียบกันแล้ว โดยเฉพาะประเด็นสําคัญที่อ้างกันว่า มาร์กซ์สอนไว้ว่า กรรมกรไม่มีชาติ และการเข้าใจกันว่าลัทธิ“Internationalism” คือลัทธิไม่มีชาติ

ในหน้าต้นของแถลงการณ์ฉบับภาษาอังกฤษมีความว่า "To this end, Communists of various nationalities have assembled in London, and sketched the following manifesto, to be published in the English, French, German, Italian, Flemish, and Danish languages.”

สํานักพิมพ์ภาษาต่างประเทศกรุงปักกิ่งแปลเป็นไทยดังต่อไปนี้

“ด้วยวัตถุประสงค์ดังกล่าวนี้ ชาวพรรคคอมมิวนิสต์ประเทศต่าง ๆ จึงได้มาประชุมกันที่ลอนดอนและร่างแถลงการณ์ประกาศต่อทั่วโลกเป็นภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี เฟลมิช และเดนมาร์ก ดังต่อไปนี้

ผมไม่คัดค้านคําแปลตอนอื่นของวรรคนี้ แต่ไม่เห็นด้วยเฉพาะคําว่า “Nationalities ซึ่งสํานักพิมพ์นั้นแปลว่า “ประเทศ” เพราะทําให้คนไทยไม่อาจเทียบต้นฉบับภาษาอังกฤษได้เข้าใจผิดว่า “ไม่มีชาติ” คือ คงมีแต่ประเทศ คําอังกฤษนั้นไม่มีทางจะแปลว่า “ประเทศ” ได้ เพราะคนที่รู้ภาษาอังกฤษพอประมาณก็เข้าใจได้ว่า คําอังกฤษนั้นหมายถึงคนของ “ชาติ” หรือ “ชนชาติ” ต่าง ๆ คือยังมี “ชาติ” อยู่

ท่านที่รู้ภาษาเยอรมันก็ขอให้เทียบกับฉบับภาษาเยอรมันที่มีความว่า

Zu diesem Zweck haben sich Kommunisten der verschiedensten Nationalität in London versammelt und das folgende Manifest entworfen, das in englischer, französischer, deutscher, italienischer, flämischer und dänischer Sprache veröffentlicht wird.

ท่านก็จะเห็นว่าฉบับภาษาเยอรมันใช้คําว่า “Nationalitat” ตรงกับคําภาษาอังกฤษ “Nationalities” ถ้าหากฉบับภาษาเยอรมันต้องการให้หมายถึง “ประเทศ” โดยมิให้มีความหมายระลึกถึงความมีชาติแล้วก็ต้องใช้คําว่า “Land”

อีกตอนหนึ่งซึ่งบางคนชอบอ้างประโยคต้นของวรรคที่มาร์กซ์กล่าวถึงเรื่องชาติแล้วก็ถือเป็นคําขวัญว่า “คนงานไม่มีชาติ” โดยผู้อ้างมิได้อ้างความเต็มทั้งวรรค ผมจึงขอให้ท่านดูต้นฉบับภาษาอังกฤษของวรรคนั้นที่มีความว่า

The workingmen have no country. We cannot take from them what they have not got. Since the proletariat must first of all acquire political supremacy, must rise to be the leading class of the nation, must constitute itself the nation, it is, so far, itself national though not in the bourgeois sense of the word.

สํานักพิมพ์นั้นแปลเป็นภาษาไทยว่า

“กรรมกรไม่มีปิตุภูมิ จะลิดรอนสิ่งที่พวกเขาไม่มีนั้นไม่ได้ เพราะว่าชนกรรมาชีพก่อนอื่นจะต้องได้การปกครองทางการเมือง จะต้องเขยิบขึ้นไปเป็นชนชั้นของประชาชาติ จัดตั้งตนเองขึ้นเป็นประชาชาติ ฉะนั้นชนกรรมาชีพเองในระยะชั่วคราวยังเป็นของประชาชาติ แม้คําว่า “ของประชาชาติ” ในที่นี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับที่ชนชั้นนายทุนเข้าใจก็ตาม”

ผมไม่เห็นด้วยในการแปลคําว่า “Country” ว่า “ปิตุภูมิ” เพราะคําอังกฤษนั้นคนไทยที่รู้ภาษาอังกฤษบ้างเล็กน้อยก็ย่อมรู้ว่าหมายถึง “ประเทศ” แต่ผู้แปลกลับแปลว่า “ปิตุภูมิ” เพื่อแสดงตามความในประโยคต้นแห่งวรรคนั้นว่า “กรรมกรไม่มีปิตุภูมิ” แต่ในวรรคภาษาอังกฤษที่ผมอ้างไว้ก่อนข้างต้นนั้น ผู้แปลเป็นไทยกลับแปลคําว่า “Nationalities ว่า “ประเทศ” ส่วนคําว่า “Nation” ซึ่งคนไทยที่รู้ภาษาอังกฤษก็รู้กันมานานแล้วว่าหมายถึง “ชาติ” แต่ผู้แปลนิยมแปลตามคําแปลของท่านผู้หนึ่งซึ่งเมื่อประมาณ ๔๐ ปีมาแล้ว แปลชื่อหนังสือพิมพ์ของท่าน “The Nation” ว่า “ประชาชาติ” ผู้แปลจะแปลดังนั้นโดยบริสุทธิ์ใจก็ไม่ขัดข้อง แต่ถ้าประสงค์จะให้คําว่า “ชาติ” ลางเลือนไปผมก็ต้องขอตั้งข้อสังเกตไว้ คําว่า “so far” ผู้แปล ๆ เป็นไทยว่า “ในระยะชั่วคราว” ซึ่งในภาษาไทยคําว่า “ชั่วคราว” หมายถึงระยะเวลาสั้น แต่การที่ชนชั้นคนงานชนิด (Species) ที่เรียกว่า “Proletariat” ได้จัดตั้งตนเองขึ้นเป็น "Nation" นั้น หมายถึงการเป็นชนชั้นนําของ “Nation” ซึ่งต้องใช้เวลาช้านานหลายชั่วคนคือจนกว่าสังคมจะบรรลุถึงซึ่งสังคมคอมมิวนิสต์ที่ชนชั้นต่าง ๆ รวมทั้งชนชั้นคนงานเหือดหายไป (Wither away) จึงนับว่าเป็นเวลาช้านานหลายร้อยหลายพันปี คําว่า “so far” ในที่นั้นหมายถึง “to that extent” คือตราบเท่ายังมีชนชั้นคนงานชนิด “Proletariat” เป็นผู้นําอยู่คําว่า “Nation” ผู้แปลเป็นไทยว่า “ของประชาชาติ” ซึ่งแม้จะเป็นการแปลตามตัวก็ตาม แต่ในสาระของความหมายดูคล้ายจะออกห่างจากความหมายของการเป็น “ชนชาติ”

ต้นฉบับภาษาเยอรมันมีความว่า

Die Arbeiter haben kein Vaterland. Man kann ihnen nicht nehmen, was sie nicht haben. Indem das Proletariat zunächst sich die politische Herrschaft erobern, sich zur nationalen Klasse erheben, sich selbst als Nation konstituieren muss, ist es selbst noch national, wenn auch keineswegs im Sinne der Bourgeoisie.

คําว่า “Vaterland” แปลเป็นไทยได้ว่า “ปิตุภูมิ” แต่กรรมกรเยอรมันกับอีก ๕ ชาติ ที่ประชุมกันร่างแถลงการณ์นั้นจะเข้าใจอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะภายหลังประกาศแถลงการณ์เป็นเวลากว่า ๑๐๐ ปีแล้วจนถึงขณะนี้ชนชั้นคนงานของประเทศนั้น ๆ ยังถือว่ามีชาติและปิตุภูมิของตน แม้แต่ชนชั้นคนงานจีนที่เป็นชนชั้นนําของจีนก็ยังเคารพต่อการมีชาติและปิตุภูมิของเขา เหมาเจ๋อตงได้กล่าวไว้ว่า “เราเป็นนักระหว่างชาติ” (Internationalist) และเป็นผู้รักปิตุภูมิ (Patriot) คนงานไทยที่เคยไปในงานฉลองวันชาติจีนก็สังเกตเห็นได้เองว่าในวันนั้น (๑ ตุลาคม) มีการชักธงชาติจีนขึ้น สู่ยอดเสาที่บริเวณจตุรัสเทียนอันเหมิน แตรวงบรรเลงเพลงชาติจีน ผู้ที่ไม่เคยไปร่วมฉลองงานนั้นแต่ได้ฟังวิทยุปักกิ่งก็จะได้ยินผู้กระจายเสียงพรรณนาถึงความเป็นไปในงานนั้นและจะได้ยินเขากล่าวถึง “ธงชาติจีน” และ “เพลงชาติจีน” มิใช่ “ธงประชาชาติจีน” “ธงปิติภูมิจีน” “เพลงประชาชาติจีน “เพลงปิตุภูมิจีน” เราควรสังเกตว่าชนชั้นกรรมกรจีนเป็นชนชั้นนํามาหลายปีแล้ว ชาติจีนหรือปิตุภูมิก็ยังมีอยู่ ฉะนั้นมิใช่ “ในระยะชั่วคราว” คือระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น หากชนชั้นคนงานชนิด “Proletariat จีนจะเป็นชนชั้นนําต่อไปอีก ช้านานหลายชั่วคนจนกว่าจะถึง สังคมคอมมิวนิสต์ซึ่งชนชั้นจะเหือดหายไปหมดสิ้นตามทฤษฎีของมาร์กซ์

๒.๓ “ทรรศนะไม่มีชาติ” ของผู้ที่รับอิทธิพลจากอนาธิปัตย์ (Anarchism) และจากลัทธิ “อนาร์โก-ซินดิกาลิสม์” (Anarcho-Syndicalism)

ลัทธิอนาธิปัตย์ถือว่าบุคคลต้องมีเสรีภาพที่จะทําการ ตามอําเภอใจได้อย่างเต็มที่ ฉะนั้นจึงเห็นว่าไม่ต้องมี “รัฐ” (State) และไม่มี “รัฐบาล” (Government) ที่จะบังคับมนุษย์ มนุษย์ทั้งหลายในโลกก็ต้องแยกกันเป็นกลุ่มหรือสมาคมซึ่งสมานกันโดยความสมัครใจในการผลิตปัจจัยในการดํารงชีพ ดังนั้นจึง “ไม่มีชาติ” “ไม่มีปิตุภูมิ” ลัทธิอนาธิปัตย์แตกต่างกับมาร์กซ์หลายประการ ซึ่งมาร์กซ์กับสานุศิษย์ได้ต่อทรรศนะของลัทธิอนาธิปัตย์ตลอดมา

ในบั้นปลายแห่งศตวรรษที่ ๑๙ ได้มีลัทธิซินดิกาลิสม์ (Syndicalism) จุติขึ้นในยุโรปตะวันตกซึ่งเรียกร้องให้กรรมกรอุตสาหกรรมจัดตั้งเป็นหน่วยอิสระต่าง ๆ ขึ้นเพื่อสมานระหว่างกันในการล้มระบบทุนลัทธินี้มีความเห็นคล้ายกับลัทธิอนาธิปัตย์ที่ว่า “รัฐ” (State) และรัฐบาลเป็นเครื่องมือแห่งการกดขี่ ฉะนั้นถ้าหากล้มระบบทุนได้แล้ว องค์การกรรมกรก็เข้าควบคุมและบริหารการผลิตของสังคม คําอังกฤษ “Syndicalism” (ซินกาลิสม์) ถ่ายทอดมาจากคําฝรั่งเศส “Syndicalisme” ซึ่งเดิมหมายความเพียงว่า ลัทธิสหภาพแรงงาน (Unionism) จึงทําให้มีผู้เข้าใจสับสนปะปนกับลัทธิมาร์กซ์ที่ถือว่า “ชนชั้นผู้ได้สมบัติ” (Proletariat) หรือชนชั้นคนงาน (Working Class) จะต้องเป็น “ชนชั้นนำ” ในการอภิวัฒน์ต่อสู้ระบบทุน

ต่อมาในต้นศตวรรษที่ ๒๐ ได้มีลัทธิ “อนาร์โค-ซินดิกาลิสม์” เกิดขึ้นคือ เอาทรรศนะอานาร์ดิสต์ (อนาธิปัตย์) ผสมเข้ากับทรรศนะซินดิกาลิสม์ ลัทธินี้มีอิทธิพลทําให้สาวกส่วนหนึ่งของมาร์กซ์ยุ่งเหยิงโดยเข้าใจผิดว่า ถ้าถือกรรมกรเป็นผู้นําแล้ว กรรมกรก็ต้องไม่มีชาติหรือไม่มีปิตุภูมิ โดยที่มาร์กซ์กับเองเกลส์วายชนม์ไปก่อนแล้ว เลนินจึงโจมตีลัทธิอนารโค-ซินดิกาลิสม์ต่อมา ซึ่งมีบทความกล่าวไว้ว่า “ชาติยังคงมีอยู่อีกช้านาน, ช้านาน, มาก” (เลนินใช้คําว่า “Long (ช้านาน) ซ้ำกันสองหนว่า “ Long, Long”) เลนินวายชนม์ไปแล้ว สตาลินก็โจมตีลัทธิอนาร์โค-ซินดิกาลิสม์ต่อมาอย่างแรง

นายหลีลีซาน อดีตหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์จีนก่อน เหมาเจ๋อตง (ก่อน ค.ศ. ๑๙๓๕) ได้ไปอาศัยอยู่ในสหภาพโซเวียตภายหลังจากที่เขาถูกออกจากตําแหน่งหัวหน้าพรรคดังกล่าว เขาก็ยังนิยมชมชอบตามแนวทางที่ได้รับอิทธิพลจากลัทธิอนาร์โค-ซินดิกาลิสม์ซึ่งเป็นพันธมิตรของกลุ่มกรรมกรฝ่ายค้านตามแนวทางของตรอตสกี นายหลีลีซานถูกสตาลินสั่งจับไปขังไว้ เมื่อนายหลีลี่ซานรับแก้ไขทรรศนะผิดแล้ว เขา ก็ได้รับการปล่อยตัวแล้วทํางานในสํานักพิมพ์ภาษาต่างประเทศ ต่อมาก็กลับประเทศจีน ได้รับตําแหน่งเป็นของโซเวียตรัฐมนตรีในกระทรวงกรรมกรและถูกลดตําแหน่งต่ําลงทุกที แล้วก็พ้นจากกระทรวงกรรมกร นายหลีฯ อาจแก้ไขทรรศนะผิดของตนเองโดยเฉพาะ แต่นายหลีฯ มิได้แจ้งให้สานุศิษย์ในประเทศจีนและในบางประเทศที่รับอิทธิพลมาจากเขานั้นแก้ทรรศนะผิดด้วย ส่วนนายหลิวเช่านี้ได้เขียนบทความหลายเรื่องเกี่ยวกับทรรศนะเอียงขวาเอียงซ้าย ก็เพียงแต่กล่าวว่า นายหลีฯ มีทรรศนะเอียงซ้ายเท่านั้นเองและว่านายหลีฯ ได้แก้ทรรศนะเอียงซ้ายแล้ว นายหลิวฯ มิได้ชี้ให้ชัดว่า นายหลีฯ มิได้เพียงแต่เอียงซ้ายธรรมดา หากนายหลีฯ มีทรรศนะตามแนวทางอนาร์โค-ซินดิกาลิสม์ จึงทําให้ผู้อ่านเข้าใจว่า นายหลีฯ เป็นนักมาร์กซิสต์แต่เอียงซ้ายและนายหลีฯ ก็ได้แก้ไขแล้ว การอภิวัฒน์ใหญ่ทางวัฒธรรมของชนชั้นผู้ไร้สมบัติจีน จึงได้ทําการต่อสู้นายหลีลี่ซานซึ่งทรรศนะของเขายังฝังอยู่ในสานุศิษย์และผู้เจริญรอยตาม บทความของหนังสือพิมพ์ “เหรินหมินเป้า” ฉบับ ๑๖ มิถุนายน ๑๙๖๗ ก็แสดงให้เห็นว่า การอภิวัฒน์ใหญ่ทางวัฒนธรรมนั้นได้ต่อสู้ทรรศนะอนาธิปัตย์ซึ่งหมายรวมถึงทรรศนะ “อนาร์โค-ซินดิกาลิสม์” ที่ขัดต่อลัทธิมาร์กซ์-เลนินและความคิดของเหมาเจ๋อตง

นอกจากบทความของหนังสือพิมพ์ฉบับที่อ้างถึงแล้ว นั้นก็ยังมีอีกหลายบทความของเหมาเจ๋อตงที่แสดงถึงว่า ชาติยังคงมีอยู่ เช่นคําที่กล่าวว่า “เราเป็นนักระหว่างชาติและเป็นผู้รักปิตุภูมิ”

น่าสังเกตว่าบุคคลจํานวนหนึ่งที่โฆษณาว่าลัทธิ "Internationalism" ตามความเข้าใจของพวกเขาก็คือ “ลัทธิไม่มีชาติ” นั้นก็ดี หรือพวกเขาถือว่า “ชาติ” เป็นเรื่องอันดับรองคือต้องเอาลัทธิไม่มีชาติขึ้นก่อน “ชาติ” ก็ดีนั้น เมื่อถึงคราวปฏิบัติเพื่อความเป็นอยู่ของเขาแล้ว เขาก็ไม่ปฏิบัติ ให้เป็นจริงตามนั้นเช่น ขณะที่เขาอยู่ในสังคมที่เขามีสัญชาติเขาก็แสดงว่าเขามีสัญชาติของชาตินั้น ถ้าเขาต้องการมีถิ่นที่อยู่ในสังคมอื่น เขาก็ไม่แจ้งว่าเขาถือลัทธิไม่มีชาติ หากเขาเอาหนังสือเดินทางที่สังคมซึ่งเขามีสัญชาติเป็นหลักฐานขออนุญาติมีถิ่นที่อยู่ในสังคมอื่น ทั้งนี้แสดงว่าถ้าเขาต้องการเอาประโยชน์จากชาติที่ตนมีสัญชาติเขาก็ถือว่ามี “ชาติ” หรือยกเอาเรื่อง “ชาติ” เป็นอันดับที่ ๑ ก่อนลัทธิไม่มีชาติ แต่ถ้าจะอุทิศตนแล้วเขาก็ไม่อุทิศตนให้แก่ชาติ หากอุทิศตนให้ สังคมอื่น ๆ เป็นอันดับที่หนึ่ง

๓. ส่วน “ความรักชาติ” (Patriotism) นั้น สําหรับผู้ที่ไม่มีชาติตามที่กล่าวในข้อ ๒.๑ ก็ดี และผู้ถือคติจิตนิยมว่าไม่มีชาติตามที่กล่าวในข้อ ๒.๓ ก็ดีนั้น ก็ไม่มีปัญหาที่จะต้องพิจารณาถึง “ความรักชาติ” เพราะพวกเขา “ไม่มีชาติ”จะให้รัก

สําหรับผู้ที่มีจิตสํานึกว่า “ชาติ” ของตนยังคงมีอยู่นั้น ก็มี “ความรักชาติ” คือ รัก “กายทางสังคม” (Social Organism) ซึ่งทุก ๆ คนที่มี “สัญชาติ” คือเป็น “ชนแห่งชาติ” นั้นร่วมกันประกอบขึ้น แต่ความรักชาติของบุคคลต่าง ๆ ดังกล่าวนี้มีระดับแตกต่างระหว่างกันตามระดับของ “ความเห็นแก่ตัว” (Egoism) และ “ความเห็นแก่ผู้อื่นเป็นส่วนรวม” (Altruism) ของแต่ละบุคคล

๓.๑ ความเห็นแก่ตัว (Egoism) หมายถึงการเอาประโยชน์ส่วนตัวเป็นใหญ่กว่าส่วนรวม การเอาประโยชน์ของชนชั้นตนเป็นใหญ่กว่าส่วนรวม การเอาประโยชน์ของเชื้อชาติ (Race) ของตนเป็นใหญ่กว่าส่วนรวม

มนุษย์แต่ละคนย่อมต้องการมีปัจจัยที่จําเป็นในการดํารงชีพ อาทิ อาหาร เครื่องนุ่มห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค การพักผ่อนหย่อนใจ (Loisir) การแสวงหาวิชาความรู้ ฯลฯ เพื่อความสุขกายสบายใจของตนและครอบครัว เพียงการทํามาหากินเพื่อความต้องการตามปกติของธรรมชาตินั้นยังไม่เข้าลักษณะที่เรียกว่า “ความเห็นแก่ตัว” ถ้าผู้ประกอบกิจกรรมนั้น มิได้เอาประโยชน์ส่วนตัวเป็นใหญ่กว่าส่วนรวม

ความเห็นแก่ตัวมิได้อยู่แต่เฉพาะในทางวัตถุสิ่งของเท่านั้น หากการทนงตนเองว่ายิ่งใหญ่หรือวิเศษกว่าคนอื่นซึ่งเรียกว่า “วีรบุรุษส่วนบุคคล” (Individual Heroism) ก็เข้าลักษณะความเห็นแก่ตัว

บุคคลใดมีความเห็นแก่ตัวมากเพียงใด ความรักชาติก็ลดน้อยลงเพียงนั้น จึงนําไปสู่ทรรศนะคติที่ถือว่า ชาติเป็นของตนและครอบครัวโดยเฉพาะและเป็นของชนชั้นตนโดยเฉพาะ

๓.๒ ความเห็นแก่ผู้อื่นเป็นส่วนรวม (Altruism) เกิดมีขึ้น ในยุคปฐมกาลซึ่งมนุษย์ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการทํามาหาเลี้ยงชีพ โดยไม่มีการกดขี่เบียดเบียนระหว่างกัน ต้องต่อสู้ภัยธรรมชาติร่วมกัน ความเป็นอยู่เช่นนี้จึงก่อให้มนุษย์เกิดจิตสํานึกในความรักสังคมโดยมิได้ยกเอาความเห็นแก่ตัวเหนือส่วนรวมและไม่มีชนชั้นหรือเชื้อชาติที่จะยกขึ้นเป็นใหญ่กว่าส่วนรวม

(๑) แต่เมื่อสังคมของมนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงเป็นระบบทาส ศักดินา ทุนนิยม มนุษย์จึงมีฐานะและวิถีดํารงชีพต่างกันซึ่งมีสภาพเป็น “ชนชั้น” ต่าง ๆ ชนชั้นเหล่านี้ต้องการผูกขาดอํานาจเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม ของสังคมไว้ในกํามือแห่งชนชั้นของตน ดังนั้นจึงเป็นบ่อเกิดแห่งความเห็นแก่ตัวของชนชั้น ซึ่งทําให้ “ความเห็นแก่ผู้อื่นเป็นส่วนรวม” ลดน้อยลงมา และความรักชาติเป็นส่วนรวมก็ลดน้อยตามไปด้วย แต่บุคคลบางส่วนแห่งชนชั้นเหล่านี้ซึ่งมองเห็นว่าชนชั้นของตนจะดํารงอยู่ได้ก็โดยให้ชาติคงอยู่ได้ ฉะนั้นจึงยังคงมีความรักชาติเป็นส่วนรวมเพื่อประโยชน์แห่งชนชั้นของตนเองด้วย

(๒) ส่วนชนชั้นประเภทคนงานสมัยเก่าคือทาส ข้าไพร่ และคนงานสมัยใหม่คือ กรรมกรชนิดต่าง ๆ และชาวนายากจนนั้น ความเป็นอยู่ทางชนชั้นของพวกเขาไม่มีลักษณะเป็นการผูกขาดหรือจะนําไปสู่การผูกขาดสังคม ฉะนั้นจึงมีความรักชาติมากกว่าชนชั้นพวกที่ต้องการผูกขาดหรือจะนําไปสู่การผูกขาดสังคม ยกเว้นทาส, ข้าไพร่, คนงานบางคนที่สละชนชั้นของคนเป็นลูกสมุนของชนชั้นผูกขาด จึงมีความรักชาติลดน้อยลงไปตามชนชั้นผูกขาด

(๓) ในสังคมที่ประกอบด้วยคนหลายเชื้อชาติ (Races) นั้น บุคคลส่วนหนึ่งได้สละจิตสํานึกในเชื้อชาติเดิมของตนหมดสิ้นไปแล้วโดยมีจิตสํานึกเช่นเดียวกับคนเชื้อชาติส่วนมากของสังคมนั้น จึงไม่มีจิตสํานึกที่จะถือเอาประโยชน์แห่งเชื้อชาติเดิมของตนเป็นใหญ่กว่าเชื้อชาติอื่น ความเห็นแก่ตัวและความเห็นแก่ชนชั้นจึงเป็นไปตามที่กล่าวในข้อ (๒)

แต่บุคคลอีกส่วนหนึ่ง ยังไม่อาจสละจิตสํานึกแห่งเชื้อชาติเดิมของตนให้หมดสิ้นไปได้ จึงยังมีจิตสํานึกที่เห็นแก่ประโยชน์แห่งเชื้อชาติเดิมเป็นใหญ่กว่าเชื้อชาติอื่น ความรักชาติเป็นส่วนรวมจึงลดลงตามลําดับมากน้อยสุดแท้แต่การเหลืออยู่ที่จิตสํานึกในเชื้อชาติเดิม

ปรีดี พนมยงค์
ชานกรุงปารีส, ๒ สิงหาคม ๒๕๑๘

 

อ้างอิง :

  • ปรีดี พนมยงค์, บทความของนายปรีดี พนมยงค์ เรื่อง ชาติคงมีอยู่, (กรุงเทพฯ : มงคลการพิมพ์, 2516) หน้า 1-20.