ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

เมื่อข้าพเจ้าไปเป็นเสรีไทย

4
กุมภาพันธ์
2565

เริ่มต้นจากการเดินทางไปสู่ค่าย “สนามบินเต่างอย” เทือกเขาภูพาน จังหวัดสกลนคร เนื่องจากขบวนการเสรีไทยเป็นความลับอย่างยิ่งยวด การที่จะเดินทางเข้าค่ายเต่างอย จังหวัดสกลนครได้ จะต้องมีคนแนะนำหรือนำเข้าไป

ข้าพเจ้าโชคดีที่รู้จักกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือมานานแล้วโดยที่ท่านผู้นี้เป็นผู้นำระดับหัวหน้า รองลงมาจาก นายเตียง ศิริขันธ์ ได้ชักนำข้าพเจ้าสู่ “ขบวนการเสรีไทย” ค่ายเต่างอย เทือกเขาภูพาน จังหวัดสกลนคร โดยได้ให้เงินข้าพเจ้า ๕๐ บาท ให้ขึ้นรถไฟจากกรุงเทพฯ สู่จังหวัดอุดรธานี และได้เขียนจดหมายถึงนายสถานีรถไฟจังหวัดอุดรฯ ให้ข้าพเจ้าถือจดหมายไปมอบหมายให้นายสถานีรถไฟ

เมื่อนายสถานีรถไฟจังหวัดอุดรฯ ได้ทราบข้อความแล้ว ก็ให้ข้าพเจ้าพักค้างคืนที่บ้านนายสถานีหนึ่งคืน แล้วท่านได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้ข้าพเจ้าถือไปมอบให้คนขับรถโดยสารอุดรฯ-สกลนคร หมายเลขรถตามที่ระบุเท่านั้นที่จอดรับผู้โดยสารอยู่ตลาดจังหวัดอุดรฯ

คนขับรถโดยสารได้พาข้าพเจ้าไปถึงสกลนครและให้ข้าพเจ้าพักค้างคืนที่บ้านของ นายเตียง ศิริขันธ์ แต่นายเตียงและครอบครัวไม่อยู่บ้าน ได้ทราบว่าอพยพไปอยู่ในค่ายเต่างอยแล้ว และมี นายเจียม ศิริขันธ์ พี่ชายนายเตียงฯ เป็นผู้ดูแลข้าพเจ้า รุ่งขึ้นนายเจียมฯ ได้จัดเกวียนเทียมโคเล่มหนึ่ง บรรทุกข้าวสาร ๑ กระสอบ และของใช้อื่นๆ ของครอบครัวนายเตียงฯ ให้ข้าพเจ้าควบคุมเกวียนไปค่ายเต่างอย

การเดินทางจากตัวเมืองสกลนครไปค่ายนั้น ออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืด ผ่านสนามบินสกลนคร ซึ่งมีค่ายทหารญี่ปุ่นตั้งอยู่ ข้าพเจ้าหวั่นวิตกว่าทหารญี่ปุ่นอาจจะตรวจค้นเกวียนและจับได้ ข้าพเจ้าจึงได้แต่งตัวแบบชาวบ้านและเดินอยู่ห่างเกวียนมาก กะว่าถ้าทหารญี่ปุ่นตรวจค้นเกวียนและจับได้ว่าขนสัมภาระไป ข้าพเจ้าจะได้หลบทัน แต่เคราะห์ดีไม่มีทหารญี่ปุ่นตรวจค้นแต่อย่างใด จึงได้รอดตัวไปข้าพเจ้ากับเกวียนก็ได้เดินทางต่อไป

อย่างที่ข้าพเจ้าได้กล่าวแต่ต้นแล้วว่า “ขบวนการเสรีไทย” นี้ เป็นความลับอย่างยิ่ง จึงพบด่านตรวจของขบวนการมากมาย เขาได้สอบถามด้วยความสงสัยว่าเป็นใคร มาจากไหน ข้าพเจ้าก็ได้ชี้แจงให้เขาทราบและผ่านด่านได้ทุกด่านไปด้วยดี แต่จนถึงด่านสุดท้าย ก่อนที่จะถึงค่ายเต่างอย คือ ด่านตำบลเต่างอย เมื่อข้าพเจ้ากับเกวียนข้ามลำน้ำพุงได้แล้ว ก็เจอด่านกำนันตำบลเต่างอย อธิบายอย่างไร ท่านกำนันก็ไม่เชื่อ กักข้าพเจ้ากับเกวียนไว้ที่บ้านกำนัน แล้วท่านกำนันก็ได้ให้ม้าเร็ววิ่งไปที่ค่าย ถามผู้ใหญ่ในค่ายว่าคนชื่อโกวิทนี้ มีผู้ใดรู้จักไหม ในที่สุดม้าเร็วก็กลับมารายงานกำนันว่า ให้นายโกวิทกับเกวียนเดินทางเข้าค่ายได้ ถึงค่ายเวลาประมาณ ๒ ยามเศษ คืนนั้นเป็นคืนเดือนหงาย ท้องฟ้าโปร่งใส พระจันทร์เต็มดวงส่องแสงทั่วพื้นปฐพี ทำให้การเดินทางสะดวกมาก

เมื่อถึงค่ายแล้ว ผู้ใหญ่ในค่ายได้ให้ข้าพเจ้าไปอยู่หน่วยเก็บอาวุธและสัมภาระต่างๆ ที่ฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งร่มลงมาให้ เป็นอันว่าข้าพเจ้าได้เดินทางเข้าขบวนการเสรีไทยโดยเรียบร้อย

อาวุธที่มีในค่าย

อาวุธที่ฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งร่มลงมาให้นั้นมีมากมายหลายชนิด ใช้ในกรณีต่างๆ กัน

เช่น

๑. ปืนคาบิน หรือ บางคนก็เรียกว่า คาไบน์ ปืนชนิดนี้มีอานุภาพมากจะยิงทีละนัดก็ได้ หรือยิงเป็นชุดก็ได้แล้วแต่ต้องการ โดยมีปุ่มกดตามต้องการ

๒. ปืนสะเตน ปืนชนิดนี้ยิงได้เป็นชุดเดียว น้ำหนักเบามาก ลำกล้องสั้นประมาณหนึ่งคืบ ปืนสะเตนนี้คุณภาพไม่ค่อยดี เมื่อยิงไปประมาณ ๒ ชุด ลำกล้องจะร้อนมาก ทำให้กระสุนตกลง ใกล้ๆ เท่านั้นเอง

๓. ปืนเพียต ปืนชนิดนี้ใช้สำหรับยิงรถถังลูกปืนคล้ายๆ กับหัวปลีกล้วย เวลาใช้ให้เอาลูกปืนไปติดที่ปากกระบอกปืน ยิงขึ้นไปคล้ายๆ กับจรวด เมื่อถูกที่หมายแล้วลูกปืนจะระเบิด ทำให้รถถังเสียหายได้ แต่ยังไม่มีโอกาสใช้

๔. ฟ็อกซิกแนล เป็นลูกระเบิดคล้ายๆ กับตัวกบ คุณภาพของลูกระเบิดชนิดนี้ เวลาใช้ให้เอาไปวางไว้ใต้รางรถไฟ เมื่อรถไฟผ่านมาจะระเบิดทันทีทำให้รถไฟตกรางทั้งขบวนได้

๕. ลูกระเบิดมือ (น้อยหน่า) ลูกระเบิดชนิดนี้สำหรับขว้างด้วยมือ ส่วนอานุภาพนั้นไม่ต้องอธิบายทุกคนคงทราบดี

๖. ดินระเบิด (ที.เอน.ที.) มีลักษณะเหนียวๆ คล้ายดินน้ำมันเป็นแท่งๆ ละครึ่งปอนด์เวลาจะใช้ต้องเอาดินนี้ ๔ แท่ง หรือมากกว่าแล้วแต่ลักษณะของการใช้ มาปั้นเป็นก้อนกลมๆ แล้วเอา Time PenciI หรือที่เรียกว่าดินสอ เวลาเสียบเข้าไปในก้อนดินระเบิดนั้น แล้วกดส่วนที่ตั้งเวลาเอาไว้ตามที่ต้องการ เช่น ต้องการใช้ระเบิด ๑๕ นาที หรือประมาณ ๒๐ นาที หรือ ๑ ชั่วโมง ก็ให้กดปุ่มนั้น

เมื่อถึงเวลา Time Pencil ก็จะระเบิด ทำให้ดินระเบิดนั้นระเบิดอย่างแรง ระเบิดชนิดนี้ไม่ใช่ระเบิดทำลายเหมือนลูกระเบิดที่ทิ้งลงมาจากเครื่องบินหรือลูกระเบิดมือที่ทุกคนเข้าใจกัน แต่ลูกระเบิด ชนิดนี้มันจะกดดันอากาศ ณ ที่นั้นๆ ขยายออกไปทำให้เกิดสุญญากาศ แล้วอากาศนั้นก็จะหวนกลับเข้ามาตรงสุญญากาศนั้น ทำให้คนหรือสัตว์ถูกอากาศอัดอย่างแรง ถึงกับให้เลือดทะลักออกทางปากหรือทางจมูกได้

๗. U.S. ARMY เป็นปืนพกขนาด ๑๑ ม.ม. ใช้ติดตัวเมื่อเวลาประชิดกับข้าศึกจะได้ใช้ปืนชนิดนี้

๘. ปืนกลมือ เป็นปืนกลที่ถือเคลื่อนย้ายตามสถานที่ต่างๆ ได้สะดวก ยิงเป็นชุดอย่างเดียวมีอานุภาพมาก

๙. ลูกกระสุน ตามชนิดของปืนดังกล่าวโดยมากบรรจุอยู่ในตับกระสุนซึ่งมีเป็นจำนวนมาก

๑๐. สายชนวน เป็นสายระเบิดสำหรับต่อโยงไปยังลูกระเบิดที่เราทำขึ้น เมื่อใช้ต้องใช้ไม้ขีดโดยเฉพาะของมันจุดจึงจะติด จะใช้ไม้ขีดไฟธรรมดาของเราไม่ได้ อานุภาพของสายชนวนระเบิดนี้ เมื่อนำไปพันกับต้นไม้หลายๆ รอบเมื่อระเบิดแล้วทำให้ต้นไม้ใหญ่ๆ โค่นลงได้อาจจะพันเป็นวงกลมหรือม้วนเป็นก้อนๆ ก็ทำให้ระเบิดได้เช่นกัน

๑๑. ปืนพลุส่งสัญญาณ ปืนชนิดนี้ไม่ใช่ปืนทำลาย แต่เป็นปืนยิงขึ้นฟ้า เพื่อเป็นสัญญาณว่าให้ลงมือทำงานหรือให้หยุดทำงานแล้วแต่จะตกลงกัน ปืนชนิดนี้ข้าพเจ้าได้ถือไป เมื่อวันสวนสนามด้วย เมื่อเสร็จแล้วได้คืนส่วนกลางไป

เมื่อมาอยู่ที่ค่ายเต่างอยเป็นเวลาพอสมควร วันหนึ่งได้มีเครื่องบินลำหนึ่ง เข้าใจว่าเป็นเครื่องบินของญี่ปุ่นได้บินดิ่งหัวลงทางสนามบินเต่างอย แล้วก็เชิดหัวขึ้นบินหายไปเลย พวกเราเข้าใจว่าจะมาทิ้งระเบิดพากันวิ่งหลบหนีไปอยู่ตามซอกหินต่างๆ เมื่อเครื่องบินกลับไปแล้ว จึงพากันออกมาจากซอกหินมาคุยกันและวิจารณ์กันไปต่างๆ นานา ต่อมาได้ทราบจากนายเตียงว่าทางส่วนกลาง คือ รูธ (นามจัดตั้งของนายปรีดีฯ ส่วนนามของนายเตียงว่าพลูโต) สั่งว่าให้พวกเราหลบไปก่อนเพราะญี่ปุ่นจะส่งทหารออกไปสำรวจทางภาคพื้นดิน (เข้าใจว่าเมื่อญี่ปุ่นถ่ายภาพสนามบินเต่างอยแล้ว คงจะไปประท้วงรัฐบาลว่ามีขบวนการเสรีไทยต่อต้านญี่ปุ่นอยู่บริเวณเทือกเขาภูพาน ขณะนั้นเป็นรัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์ ซึ่งมีนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ร่วมอยู่ด้วย ได้ทราบภายหลังว่านายควงได้ปฏิเสธว่าไม่มีเสรีไทย ถ้าญี่ปุ่นสงสัยก็ให้ไปปราบเอง)

นายเตียงได้วิทยุไปขออนุญาตรูธว่า จะไม่หลบไปไหน จะขอสู้ตามลำพัง (พร้อมกับสั่งให้กำนันผู้ใหญ่บ้านเตรียมหาหนังควายตากแห้งไว้ ถ้าจำเป็นขาดเสบียงอาหาร จะได้อมหนังควายแก้หิวแทนข้าว) ข้าพเจ้าได้ทราบดังนั้นแล้วก็นึกในใจว่าตั้งแต่เกิดมาจากท้องแม่จนเติบใหญ่ ไม่เคยได้อมหนังควายเลย แต่ไม่ได้แสดงออกอย่างใด เพราะตั้งใจจะมากู้ชาติบ้านเมืองแล้ว ต้องต่อสู้ทุกวิถีทาง

ในที่สุด รูธก็ได้สั่งการมาว่าให้หลบไปก่อน เอาไว้วันดี.เดย์. พร้อมกันทั้งประเทศ นายเตียงฯ ก็ทำตาม ข้าพเจ้าก็โล่งใจ จะไม่ต้องอมหนังควายต่อไป ต่อจากนั้นพวกเราพลพรรคก็เตรียมการอพยพไปที่อื่น หน่วยที่วุ่นวายที่สุด คือ หน่วยที่ข้าพเจ้าอยู่ นั่นก็คือหน่วยเก็บอาวุธและสัมภาระต่างๆ ซึ่งมีอยู่มากมาย และมีคนอยู่หน่วยนี้เพียง ๓ คน เท่านั้น

เมื่อเก็บอาวุธลงถังเรียบร้อยแล้วก็ให้พรรคพลหาบหามเคลื่อนย้ายต่อไปตามภูเขาลูกแล้วลูกเล่า จนหน่วยพลาธิการตามส่งเสบียงไม่ทัน ทำให้พวกเราอดอาหารถึง ๓ วัน แต่ไม่มีปัญหาร้ายแรงอะไร ตามภูเขามีหน่อไม้ขึ้นทั่วไปเพราะเป็นฤดูฝน พวกเราก็เอาหน่อไม้นั้นมาต้มกิน ประทังชีวิตไปวันๆ

วันหนึ่งเดินไปพบไร่แตงของชาวบ้านปลูกไว้ มีทั้งแตงโมและแตงไทย ลูกอ่อนลูกแก่กินได้ทั้งนั้น มีไร่อยู่ ๒ เจ้าของ พอนายเตียงฯ ตามมาทันได้ให้เงินชาวไร่คนละ ๕๐ บาท พอถึงวันที่ ๓ ของการอดข้าว หน่วยพลาธิการก็เดินทางมาทันตอนเย็น โดยจูงวัวมาตัวหนึ่งเป็นการส่งเสบียงให้พวกเรา พลพรรคก็ดำเนินการชำแหละ แบ่งเนื้อกันคนละก้อนเล็กๆ ก็เลยทำการย่างเนื้อกินกับหน่อไม้ต้มพอประทังชีวิตไป

ครั้งหนึ่งพวกเราเดินทางต่อไปจึงพบถ้ำถ้ำหนึ่งใหญ่พอสมควร ชาวบ้านเรียกว่า “ถ้ำพระ” แม้ว่าจะใหญ่ไม่พอเก็บอาวุธ แต่พลพรรคอาศัยได้ทั้งหมด จึงเดินทางต่อไป เจอถ้ำอีกถ้ำหนึ่ง ถ้ำนี้ใหญ่โตมาก ชาวบ้านเรียกว่าถ้ำอะไรข้าพเจ้าจำไม่ได้เสียแล้ว เพราะเป็นเวลานานมาก คือ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๘

ก่อนที่จะอพยพจากค่าย ก็ได้เผาค่ายและทำลายสนามบินเรียบร้อย ไม่ทิ้งร่องรอยไว้มากนัก ขอกล่าวอีกเล็กน้อย ขณะที่อยู่ที่ค่ายเต่างอย ทางสายของเราที่อยู่รอบนอกได้จับพวกที่เรียกว่า แนวที่ ๕ คือ พวกที่ชี้เบาะแสให้ญี่ปุ่นทราบว่าค่ายเสรีไทยตั้งอยู่ที่ใด ก่อนอพยพค่ำวันหนึ่ง นายเตียงฯ ได้ตีเกราะเรียกประชุมพลพรรคพิจารณาโทษแนวที่ ๕ ทั้ง ๓ คนที่ได้ขังไว้ในกรงขังนานแล้ว ในที่สุดนายเตียงฯ ได้สั่งให้ยิงเป้าคนทั้ง ๓ โดยมัดติดกับต้นไม้คนละต้น ให้พลพรรคที่ใจถึงยิงด้วย U.S. ARMY ทั้ง ๓ คนคอพับลงทันที

ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นการประหารชีวิตคนมาก่อน ทำให้ไม่สบายใจไปหลายวัน และก่อนอพยพจากค่ายเช่นเดียวกัน หลังจากที่ญี่ปุ่นบินมาถ่ายรูปสนามบินไปแล้ว ก็ได้สั่งทหารราบออกสำรวจค่ายของพวกเรา สายได้รายงานมาว่าทหารญี่ปุ่นได้มาถึงบ้านดงหลวงแล้ว (ขณะนี้เป็นอำเภอดงหลวง) ปรากฏว่าเป็นดงหลวงจริงๆ เป็นป่าทึบไปหมด ขนาดยืนห่างกันประมาณ ๑๐ เมตร ก็มองไม่เห็นกันเลย

ทหารญี่ปุ่นได้นอนพักผ่อนในเวลากลางวัน กลางคืนออกเดินสำรวจ พวกเราคนหนึ่งได้ปีนต้นไม้ดู เห็นทหารญี่ปุ่นนอนอยู่หลายคน พวกเราปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรต่อไป ข้าพเจ้าก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย โดยพกอาวุธเพียบ มีลูกระเบิดมืออยู่ที่เอว พร้อม U.S. ARMY และปืนคาบิน มีคนหนึ่งอาสาว่าจะเข้าไปขว้างระเบิดมือใส่ทหารญี่ปุ่น

พวกเราล้อมทหารญี่ปุ่นไว้แล้วทุกด้านโดยทหารญี่ปุ่นไม่รู้ตัวว่าถูกล้อม มีทหารญี่ปุ่นคนหนึ่งยืนขึ้นสะบัดผ้า พวกเราก็แตกฮือหนีหมด คนอาสาสมัครไปขว้างระเบิดนั้นเผ่นก่อนคนอื่น ข้าพเจ้าจะทำอย่างไร ปัดโธ่ ถามได้ ก็วิ่งป่าราบไปด้วย นี่แหละคือทหารที่ไม่ได้ฝึกให้มีระเบียบวินัยเหมือนทหารอาชีพ

เราอาศัยพักถ้ำนี้อยู่นานจนวาระสุดท้าย ในที่สุดญี่ปุ่นก็ยอมจำนน เพราะสหรัฐได้ทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกลงที่นครฮิโรชิมา ทำลายชีวิตคน ๒๒๐,๐๐๐ ชีวิต เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๔๘๘ และต่อมาในวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๔๘๘  ก็ได้ทิ้งระเบิดปรมาณูลูกที่สองที่นครนางาซากิ มีราษฎรญี่ปุ่นเสียชีวิตอีก ๔๐,๐๐๐ คน ญี่ปุ่นได้ขอเจรจาสงบศึกผ่านรัฐบาลสเปน ในที่สุดญี่ปุ่นก็ยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไขแต่ขอต่อรองว่าขอให้สถาบันพระมหาจักรพรรดิคงดำรงอยู่ภายหลังการยอมจำนน ซึ่งสุดท้ายตกลงกันว่าสมเด็จพระจักรพรรดิจะทรงฟังคำสั่งของผู้บัญชาการทหารสูงสุดของสัมพันธมิตรที่จะไปยึดครองญี่ปุ่น ทั้งนี้ญี่ปุ่นยอมจำนนตั้งแต่วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๔๘๘

เมื่อญี่ปุ่นยอมจำนนแล้ว นายเตียงก็สั่งให้เก็บอาวุธไว้ในถ้ำ ซึ่งถ้ำนี้มีช่องเข้าพอให้คนเข้าไปได้ ภายในถ้ำกว้างขวางมาก สามารถเก็บอาวุธไว้ได้หมด เมื่อเก็บอาวุธและปิดปากถ้ำเรียบร้อยแล้ว ก็เอาใบไม้แห้งเกลี่ยที่ปากถ้ำให้ดูคล้ายธรรมชาติมากที่สุดเพื่อกันคนมาขโมยอาวุธ

เมื่อให้พลพรรคเก็บอาวุธกันหมดแล้ว ข้าพเจ้ากับ คุณสัมฤทธิ์ ตราชู ได้วางลูกระเบิด T.N.T. ที่ประกอบขึ้นในลักษณะที่กล่าวแล้วข้างต้น โดยฝังไว้ทางเดินข้างละลูก มีลวดซึ่งขวางทางเดินไว้ (ลวดนี้เป็นลวดของฝ่ายสัมพันธมิตรส่งมาให้ ไม่ใช่ลวดธรรมดาที่มีอยู่ทั่วไป) เมื่อคนหรือสัตว์เดินผ่านลวด ก็จะทำให้แก๊บระเบิด ลูกระเบิดก็จะระเบิดขึ้น (ทางเดินที่จะเข้าถึงถ้ำที่เก็บอาวุธมีทางเดินทางเดียวที่อื่นๆ เดินไม่ได้ เพราะเป็นหน้าผาสูงไม่สามารถลงมาได้) เมื่อเก็บอาวุธเสร็จแล้ว ก็เดินทางเข้าจังหวัด เพื่อเตรียมตัวไปเดินสวนสนามที่กรุงเทพฯ ต่อไป

การสวนสนามนี้ ได้กระทำกันที่ถนนราชดำเนินกลาง โดยมี นายปรีดี พนมยงค์ หรือ รูธ เป็นประธาน การเดินสวนสนามนี้ ทุกคนได้เบี้ยเลี้ยงคนละ ๕ บาทต่อวัน ได้จ่ายให้ ๔ วัน เป็น ๒๐ บาท ข้าพเจ้าดีใจมาก เพราะไม่เคยได้เงินวันละ ๕ บาทมาก่อนเลย เมื่อเสร็จแล้วได้มีการเลี้ยงฉลองความสำเร็จที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ท่าพระจันทร์

ท่านประธานได้กล่าวคำปราศรัยแก่ผู้แทนพลพรรคเสรีไทย มีความสำคัญว่า

“ในโอกาสนี้ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะแสดงเปิดเผยในนามของสหายทั้งหลาย ถึงเจตนาอันบริสุทธิ์ซึ่งเราทั้งหลายได้ถือเป็นหลักในการรับใช้ชาติครั้งนี้ว่า เรามุ่งจะทำหน้าที่ในฐานะที่เราเกิดมาเป็นคนไทย ซึ่งจะต้องสนองคุณชาติ เราทั้งหลายไม่ได้มุ่งหวังทวงเอาตำแหน่งในราชการมาเป็นรางวัลตอบแทนการกระทำทั้งหลาย ไม่ได้กระทำเพื่อประโยชน์ของบุคคลหรือหมู่คณะใดๆ แต่ได้กระทำไปเพื่อประโยชน์ของคนไทยทั้งมวล วัตถุประสงค์ของเราที่ทำงานคราวนี้มีจำกัดดังกล่าวแล้ว และเงื่อนไขเวลาสุดสิ้น

กล่าวคือ เมื่อสภาพการเรียบร้อยลงแล้ว องค์การเหล่านี้ก็จะเลิกและสิ่งที่จะเหลืออยู่ในความทรงจำของเราทั้งหลาย ก็คือมิตรภาพอันดีในทางส่วนตัวที่เราได้ร่วมรับใช้ชาติด้วยกัน ผู้ที่ได้ร่วมงานกับข้าพเจ้าคราวนี้ ถือว่าทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้ชาติ มิได้ถือว่าเป็นผู้กู้ชาติ การกู้ชาติเป็นการกระทำของคนไทยทั้งปวง”

คำปราศรัยดังกล่าวนี้ถือว่าเป็นการสลายตัวของขบวนการเสรีไทย ทุกคนกลับคืนเข้าสู่สถานะปกติของตน

๑๙ ส.ค. ๒๕๔๖

 

ตัดตอนมาจาก: โกวิท ชิตทอง. เมื่อข้าพเจ้าไปเป็นเสรีไทย, ใน, ปรีดีสาร ฉบับธันวาคม 2546-มกราคม 2547, (กรุงเทพฯ: , 2553), น. 66-70