Focus
- บทความนี้เสนอเรื่องท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ถูกงูกัดที่บ้านคลองหลอด ทำเนียบท่าช้าง ในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 2 โดยการถูกงูกัดครั้งนั้นสะท้อนให้เห็นวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ของสถานเสาวภาไทยในการรักษาพิษงู โดยผู้เขียนเสนอเรื่องราวนี้ในบรรยากาศของเดือนแห่งชาตกาล 113 ปี ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์
- นอกจากนี้ผู้เขียนสะท้อนให้เห็นมุมมองบริบทของประวัติศาสตร์การแพทย์ไทยจากการรักษาท่านผู้หญิงพูนศุขจากการถูกงูกัดครั้งนี้ไว้อย่างละเอียดโดยเฉพาะในด้านการรักษาและพัฒนายาเซรุ่มแก้พิษสัตว์กัดในวงการแพทย์ไทย

ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์
มกราคมของทุกปีเป็นเดือนที่ย่อมจะปรากฏการรำลึกถึง ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยาของ นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโสและอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 7 ของไทย

PRIDI Talks #29 : 113 ปี ชาตกาล ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ “สตรีกับสันติภาพ : บทบาทภายใต้กระแสชาตินิยมและมุมมองความมั่นคง”
ที่มา : สถาบันปรีดี พนมยงค์
สำหรับ พ.ศ. 2568 นี้ ทางสถาบันปรีดี พนมยงค์ได้จัดงานรำลึกขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม ณ สมาคมธรรมศาสตร์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซอยงามดูพลี ทั้งยังเปิดเวทีให้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่าด้วยบทบาทของผู้หญิงกับการเป็นผู้เรียกร้องสันติภาพ ด้วยการเสวนา PRIDI Talks #29 : 113 ปี ชาตกาล ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ “สตรีกับสันติภาพ : บทบาทภายใต้กระแสชาตินิยมและมุมมองความมั่นคง” ซึ่งผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ ศ. ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์, ผศ. ดร.ลลิตา หาญวงษ์, ดร.ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์, ลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ และ ชานันท์ ยอดหงษ์ โดยมี ผศ. อัครพงษ์ ค่ำคูณ เป็นผู้ดำเนินรายการ
ปกติแล้ว ท่านผู้หญิงพูนศุข มักได้รับการจดจำในฐานะสตรีผู้มีความเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์การเมืองไทย คงสืบเนื่องมาจากความเป็นคู่ชีวิตที่คอยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับ นายปรีดี ซึ่งเป็นบุคคลโดดเด่นทางการเมือง
อย่างไรก็ดี ตลอดชั่วชีวิตของ ท่านผู้หญิงพูนศุข ยังมีเรื่องราวน่าสนใจอีกมากมายหลากหลายแง่มุมเลยทีเดียว ผมเองก็หมั่นศึกษาค้นคว้าและนำเสนอเอาไว้พอสมควร เฉกเช่นที่เคยเขียนถึงความชื่นชอบทำขนมเค้กและขนมฝรั่งของท่านผู้หญิงพูนศุขใน “การทำขนมเค้กของท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์” เมื่อราว 4 ปีก่อน
เรื่องหนึ่งซึ่งดูเหมือนคนส่วนใหญ่ยังมิค่อยรับทราบเท่าใดนัก นั่นคือ ท่านผู้หญิงพูนศุข เคยถูกงูกัด
ย้อนกาลเวลาไปในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายหลังจากกองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกเมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 และยาตราบุกเข้ายึดครองกรุงเทพมหานคร แล้วต่อมารัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ลงนามร่วมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นในปลายเดือนเดียวกัน อีกทั้งยังประกาศสงครามกับฝ่ายบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกาเมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 สภาพสังคมไทยก็มาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ
ตามความทรงจำของ ท่านผู้หญิงพูนศุข ได้ให้รายละเอียดถึงเมืองไทยในวันที่กองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกว่า
“การยกพลขึ้นบกในครั้งนั้น พวกญี่ปุ่นบุกเข้ามาพร้อมกันทีเดียวถึง ๗ จุดคือ สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ และบางปู ซึ่งคนไทยผู้รักชาติต่างจับอาวุธต่อสู้ด้วยความกล้าหาญ บริเวณประตูน้ำ ถนนราชดำริเรื่อยมาจนถึงศาลาแดงซึ่งอยู่ใกล้ ๆ บ้านของดิฉันนั้น หากพื้นที่ใดรกร้าง จะถูกบรรดาทหารญี่ปุ่นเข้าจับจองปลูกสร้างเป็นค่ายพัก…
ตกค่ำวันนั้น วิทยุมีประกาศให้ยุติการสู้รบทั่วประเทศ เพราะประเทศไทยยินยอมให้ญี่ปุ่นเดินทัพผ่านประเทศไทยไปยังพม่าและมลายูได้ อีก ๓ วันต่อมา รัฐบาลไทยตกลงทำสัญญาทางการทหารร่วมรบกับญี่ปุ่น....ต่อมาอีกไม่กี่วันมีการปรับปรุงคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ และไม่มีรายชื่อของนายปรีดีร่วมรัฐบาล ครั้นถึงวันที่ ๑๖ ธันวาคม สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติแต่งตั้งให้นายปรีดีเป็นหนึ่งในคณะผู้สำเร็จราชการฯ สืบแทนเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ซึ่งเพิ่งถึงแก่อสัญกรรมไปเมื่อก่อนหน้านั้น
นับวันทหารญี่ปุ่นก็ทวีจำนวนมากขึ้น ๆ และมาตั้งค่ายกันตามบริเวณต่าง ๆ ทั้งในโบสถ์คริสต์ โรงเรียน โรงพยาบาล หรือตามพื้นที่ว่าง แล้วจับกุมตัวชาวต่างประเทศที่เป็นชาวอังกฤษ อเมริกัน ไปกักขังไว้เป็นเชลย แหม่มชาวอเมริกันคนหนึ่งที่เป็นคนคอยดูแลรักษาลูกลลิตาก็ถูกจับไปด้วย
วันหนึ่ง ทหารญี่ปุ่น ๒-๓ คนมายืนที่หน้าประตูบ้านป้อมเพชร์ เพื่อขอยืมเรือของคุณแม่ซึ่งมีอยู่หลายลำ เอาไปลอยข้ามคลอง ต่อสายโทรศัพท์เข้าค่าย ลูกลลิตาเห็นเข้าไม่พอใจ ร้องไห้ไม่ยอมให้พวกเขาเข้ามา
“เอาตัวขึ้นบ้านไปก่อน" คุณแม่สั่งให้นำลูกลลิตาเข้าข้างใน และอนุญาตให้เข้ามาเอาเรือไปได้ เสียงร้องสะอื้นของแกยังคงดังแว่วออกมา ด้วยความที่ยังโกรธทหารญี่ปุ่นมาจับแหม่มพี่เลี้ยงของแกไป”

นายปรีดี และท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ในทำเนียบท่าช้าง ยุคสงครามโลก ครั้งที่ 2
ที่มา : ภาพถ่ายส่วนบุคคล ปรีดี-พูนศุข พนมยงค์
ไม่เพียงเท่านั้น ท่านผู้หญิงพูนศุข ยังเผยให้เห็นบรรยากาศช่วงระหว่างสงครามอีกว่า
“หลังจากรัฐบาลไทยสมัยนั้นประกาศสงครามกับบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๕ แล้ว กรุงเทพฯ ต้องสั่นสะเทือนไปด้วยแรงระเบิดจากเครื่องบินของฝ่ายสัมพันธมิตรและเสียงปืนที่ยิงต่อสู้จากภาคพื้นดินของพวกญี่ปุ่น หมายถึงว่า สงครามมหาเอเชียบูรพาได้เปิดฉากขึ้นแล้วในเมืองไทย
ในเดือนถัดมา ครอบครัวของเราย้ายมาอยู่ที่ “บ้านคลองหลอด” ย่านถนนพระอาทิตย์ บ้านนี้เดิมเป็นวังเก่าของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ ต่อมาเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ แล้วรกร้างไป ตัวบ้านเป็นตึกใหญ่แข็งแรง ๒ ชั้น มีอาณาบริเวณพอสมควร และติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นบ้านที่ทางรัฐบาลจัดให้พำนักในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ เพราะเห็นว่าบ้านสีลมของเรานั้นคับแคบและตั้งอยู่ริมถนน ไม่สะดวกกับการต้อนแขกที่จะมาปรึกษาราชการด้วย
ช่วงที่นายปรีดีได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จฯ นั้น ดิฉันคิดว่าคงจะมีเวลาว่าว่างมากขึ้น ตลอดเวลาที่นายปรีดีดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่าง ๆ นั้น มีหน้าที่ภารกิจมากมาย ในครอบครัวและลูก ๆ ดิฉันจึงต้องเป็นผู้รับผิดชอบดูแลทั้งหมด แม้กระทั่งเงินเดือนของนายปรีดีเองมักจะลืมนำกลับมาบ้าน เลขาฯต้องเอามาให้บ่อย ๆ จนนายปรีดีสั่งให้เลขาฯนำมาให้ดิฉันได้เลย
แต่การณ์กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ภาระหน้าที่สำคัญกำลังรอยู่เบื้องหน้า นั่นคือ “งานใต้ดิน” โดยนายปรีดีรวบรวมผู้รักชาติที่มีความเห็นตรงกัน ร่วมกันต่อต้านผู้รุกรานทุกรูปแบบ และส่งคณะผู้แทนไปติดต่อกับสัมพันธมิตรและคนไทยในต่างประเทศ ส่วนในประเทศได้รับการสนับสนุนจากผู้แทนราษฎร ข้าราชการ ตำรวจ ทหาร และประชาชน ภายใต้การติดต่อในนามของ “ขบวนการเสรีไทย” ซึ่งการดำเนินการของขบวนการนี้เป็นไปอย่างลับที่สุด หากญี่ปุ่นจับได้ นั่นหมายถึงอันตรายถึงแก่ชีวิต
ส่วนภาระหน้าที่ของดิฉันในยามสงครามนั้น ได้ช่วยนายปรีดีในการรับฟังข่าวสารจากวิทยุต่างประเทศ ติดตามความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ บางครั้งช่วยเขียนรหัสด้วยลายมืออย่างบรรจงเป็นอักษรภาษาอังกฤษแบบตัวพิมพ์ใหญ่ ไม่ใช้พิมพ์ดีดพิมพ์ ก่อนที่จะนำไปเข้า code เพื่อเป็นการพรางหลักฐานได้ประการหนึ่ง หากถูกจับได้ก็ไม่สามารถจะตรวจสอบได้ว่าเป็นลายมือของใคร นอกจากนั้นคอยอำนวยความสะดวกแก่เสรีไทยที่มาปรึกษางานกับนายปรีดี ณ ศาลาน้ำที่ทำเนียบ ซึ่งเปรียบเสมือนกองบัญชาการของบรรดาเสรีไทยบ้าง”

ทำเนียบท่าช้าง
“บ้านคลองหลอด” ย่านถนนพระอาทิตย์หรือ “ทำเนียบ” ที่ ท่านผู้หญิงพูนศุข เอ่ยถึงก็คือสถานที่ซึ่งผู้สนใจประวัติศาสตร์การเมืองไทยหรือเรื่องราวของ นายปรีดี อาจจะคุ้นเคยสายตากันในชื่อ “ทำเนียบท่าช้าง” นั่นเอง ส่วนเหตุที่เรียกบ้านซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณท่าช้างว่า “บ้านคลองหลอด” ก็เพราะตรงนี้คือจุดเริ่มต้นของคลองหลอดอันขุดมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี ขณะที่ในความรับรู้ของคนในสมัยปัจจุบันจะนึกเห็นภาพคลองหลอดซึ่งอยู่บริเวณแถว ๆ กระทรวงมหาดไทยเสียมากกว่า
ทางด้านชีวิตประจำวันของคนไทยห้วงยามนั้น ก็เป็นไปตามเสียงเล่าโดยภริยาของนายปรีดีที่ว่า
“ทุก ๆ วันในช่วงสงครามนั้น จะมีเสียงเพลงชักชวนให้ผู้คนสวมหมวกซึ่งอยู่ในรัฐนิยมฉบับหนึ่งออกอากาศทางวิทยุเป็นประจำ ร้านรวงต่าง ๆ พากันโฆษณาขายหมวกกันเป็นที่ครึกครื้น เพราะหมวกเป็นของสำคัญขนาด “มาลานำไทยไปสู่มหาอำนาจ” ทีเดียว ผู้คนแต่งกายกันดูงดงาม ชายสวมชุดสากล หญิงนุ่งซิ่น...ทั้งนี้เป็นเพราะว่าบ้านเมืองกำลังอยู่ในภาวะที่มีวัฒนธรรมอันรุ่งเรือง...หากแท้จริงแล้ว รัฐนิยมและกฎหมายวัฒนธรรมหลายฉบับที่ออกมาเป็นนโยบายให้ปฏิบัตินั้น ขัดกับความคุ้นเคยของผู้คนในตอนนั้นเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการสั่งห้ามกินหมาก เลิกนุ่งโจงกระเบน ให้สวมรองเท้าเวลาออกนอกบ้าน หรือการประดิษฐ์อักษรไทยแบบใหม่ที่ตัดรูปสระพยัญชนะซ้ำเสียงกันออกไป จนสร้างความสับสนแก่ราษฎรในการดำรงชีพ ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นการวิงวอนขอร้องจากรัฐบาล...”

นายปรีดี พนมยงค์ ในยุคสงครามโลก ครั้งที่ 2
ที่มา : ภาพถ่ายส่วนบุคคล ปรีดี-พูนศุข พนมยงค์
ช่วงที่พำนักอยู่ทำเนียบท่าช้างในระหว่างสงครามนี้เอง ท่านผู้หญิงพูนศุข ได้มีประสบการณ์อันคาดไม่ถึง เพราะวันหนึ่งขณะฝนตกหนักและท่านผู้หญิงกำลังปิดหน้าต่างในห้องนอน งูตัวหนึ่ง เจ้าตัวก็กัดเข้าตรงนิ้วเท้า ดังเจ้าตัวแจกแจงว่า
“ท้องฟ้าเบื้องบนมืดครึ้มไปด้วยเมฆสีเทาเข้ม เพียงครู่เดียวเม็ดฝนใหญ่ ๆ ก็สาดกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ดิฉันกดกริ่งเรียกคนรับใช้ที่อยู่อีกเรือนหนึ่ง แต่ไม่มีใครมาจึงขึ้นไปปิดหน้าต่างในห้องนอนเอง ทันใดนั้นดิฉันรู้สึกเจ็บแปลบที่นิ้วเท้า มองลงไปยังพื้นห้อง งูสีเขียว ๆ ตัวหนึ่งกำลังเลื้อยหนีไป ซึ่งไม่ทราบว่ามาจากไหน ทั้ง ๆ ที่หน้าต่างเป็นบานทึบ ติดมุ้งลวดรอบห้องมิดชิด ดิฉันตกใจรีบวิ่งลงมาข้างล่าง ร้องบอกนายปรีดีซึ่งกำลังนั่งคุยกับแขกคนหนึ่งอยู่ที่ศาลาน้ำ พอทราบเรื่อง นายปรีดีจึงสั่งให้รีบเอารถออกเพื่อจะมายังสถานเสาวภาทันที
“เดี๋ยว หยุดรถก่อน ‘คุณ’ (หมายถึงดิฉัน) ลืมหมวก ช่วยไปเอามาหน่อย” นายปรีดีเรียกให้รถหยุด และสั่งให้คนรับใช้ไปเอาหมวกมาใบหนึ่ง
รถมาถึงสถานเสาวภาภายในไม่กี่นาที เพราะถนนในสมัยนั้นยังว่าง หากเป็นสมัยนี้คงแย่ หมอผู้ชายคนหนึ่งไม่ยอมฉีดยาให้ อ้างว่าต้องขอดูงูก่อนว่าเป็นชนิดไหน ดิฉันจึงต้องโทรศัพท์มาบ้านให้คนช่วยหา บังเอิญงูถูกขังอยู่ในห้องนอน จึงตีได้ แล้วให้ตำรวจติดตามนายปรีดีขี่มอเตอร์ไซค์นำชากมา
“เอ...งูชนิดนี้ผมไม่รู้จักและไม่เคยเห็นมาก่อน...” หมอพูดพลางพิจารณา
ตายละสิ!...แล้วจะทำอย่างไร พอดีคนงานมาบอกว่าเป็นงูเขียวสายม่านพระอินทร์ ซึ่งไม่มีพิษ หมอเลยแค่ใส่ยาทิงเจอร์ไอโอดีนแล้วให้กลับบ้าน แต่ดิฉันรู้สึกมีอาการคอแห้ง น้ำลายเหนียวอยู่หลายวันเหมือนกัน กว่าจะหายเป็นปกติ”
งูเขียวสายม่านพระอินทร์ที่กัด ท่านผู้หญิงพูนศุข คืองูประเภท Dendrelaphis pictus หรือ Painted bronzeback จัดเป็นงูขนาดเล็ก มีลักษณะลำตัวเรียวยาวและแบนข้างเล็กน้อย ปลายหางเรียว มีเกล็ดรูปสี่เหลี่ยมปกคลุมบนผิวหนัง และเกล็ดเป็นแผ่นกว้างบริเวณส่วนหัว ดวงตาโต ลำตัวสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลลอมเทา มีแถบสีดำจากด้านท้ายของตาพาดยาว
เมื่องูเขียวสายม่านพระอินทร์ถูกรบกวนหรือแสดงอาการขู่ ลำตัวบริเวณส่วนหน้าจะพองขึ้นและจะเห็นแผนเกล็ดสีฟ้าและขอบสีดำตรงช่วงคออย่างชัดเจน งูชนิดนี้อาศัยอยู่บริเวณที่มีพุ่มไม้หรือกิ่งไม้ แต่ก็สามารถเลื้อยได้อย่างว่องไว และตอนที่เลื้อยบนพื้นดินจะยกหัวและลำตัวขึ้นสูงจากพื้น นิยมออกหากินเวลากลางวัน โดยจะกินเขียด ปาด จิ้งจก และจิ้งเหลนเป็นอาหาร
งูเขียวสายม่านพระอินทร์ถือว่าเป็นงูที่ไม่มีอันตรายต่อชีวิตมนุษย์
งูชนิดนี้จะอาศัยอยู่บริเวณที่มีพุ่มไม้หรือกิ่งไม้ แต่ก็สามารถเลื้อยมาบนพื้นดินโดยจะยกหัวและลำตัวขึ้นสูงจากพื้น นิยมออกหากินเวลากลางวัน
ส่วนสถานเสาวภาซึ่ง นายปรีดี พา ท่านผู้หญิงพูนศุข ไปเข้ารับการรักษานั้น มีจุดกำเนิดมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2454 กล่าวคือหม่อมเจ้าหญิงบรรลุศิริสาร ดิศกุล พระธิดาในสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ถูกสุนัขบ้ากัด แม้ตอนแรกจะส่งตัวไปเข้ารับการรักษาถึงเมืองไซ่ง่อน แต่กลับไม่ทันเรือที่จะออกเดินทาง จึงอาศัยวิธีการรักษาแบบเดิมของสยาม ทว่าพิษสุนัขบ้าก็ทำให้ ท่านหญิงบรรลุศิริสาร ต้องสูยสิ้นลมหายใจ สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ จึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลขอพระราชทาน พระบรมราชทานพระบรมราชชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 จัดตั้งสถานที่สำหรับฉีดวัคซีนป้องกันโรคกลัวน้ำขึ้นในเมืองไทย
ในที่สุดทางการสยามจึงจัดตั้งสถานที่สำหรับฉีดวัคซีนป้องกันโรคกลัวน้ำขึ้นเป็นแห่งแรกโดยอาศัยริมถนนบำรุงเมืองที่ทำการชั่วคราว พร้อมทั้งย้ายกิจการทำพันธุ์หนองผีและวัคซีนอื่น ๆ ทางจังหวัดนครปฐมให้มารวมอยู่ด้วยกันกำหนดให้สังกัดอยู่ในกระทรวงมหาดไทย และเปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2456 ผู้อำนวยการคนแรกสุดเป็นชาวฝรั่งเศสคือ ดร.เลโอโปลด์ โรแบรต์ (Dr. Leopold Robert) โดยได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนจากสถานปาสเตอร์แห่งประเทศฝรั่งเศส
แรกเริ่มเดิมที สถานที่สำหรับฉีดวัคซึนข้างต้นมีนามเรียกขานกันว่า "ปาสตุระสภา" ต่อมาในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2460 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเปลี่ยนนามใหม่เป็น “สถานปาสเตอร์” ซึ่งทั้งสองนามมาจากชื่อของ หลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur) นักวิทยาศาสตร์ชาวชาวฝรั่งเศสผู้ค้นพบวัคซีนป้องกันโรคกลัวน้ำและโอนกิจการของสถานที่แห่งนี้ให้ทางสภากาชาดไทยดูแล
กระทั่งในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีพัชรินทราบบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2463 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงปรารถนาสร้างสิ่งซึ่งเป็นสาธารณะประโยชน์เพื่อเชิดชูพระเกียรติยศสมเด็จพระราชชนนีให้ตั้งอยู่เคียงคู่กับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ อันเป็นสถานที่เฉลิมพระเกียรติยศพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระบรมชนกาธิราช จึงทรงมอบที่ดินบริเวณมุมถนนสนามม้าตัดกับถนนพระราม 4 ใกล้กับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มีจำนวนเนื้อที่ 46 ไร่ 3 งาน 71 ตารางวา พร้อมทั้งพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์อีกจำนวน 258,000 บาท เพื่อให้ทางสภากาชาดไทยนำไปใช้สร้างอาคารที่ทำการแห่งใหม่ของสถานปาสเตอร์และย้ายกิจการตรงถนนบำรุงเมืองมาไว้ที่นี่อย่างถาวร โดยพระราชทานนามใหม่ให้ว่า "สถานเสาวภา" รวมถึงเสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีเปิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2465
ต่อมายังได้มีการสร้างสวนงูขึ้นที่สถานเสาวภา ซึ่งนับเป็นสวนงูแห่งที่สองของโลกหลังจากที่เคยมีสวนงูแห่งแรกของโลกตั้งอยู่ที่ประเทศบราซิลคือ Instituto Butantan ที่มหานครเซาเปาโล (São Paulo) โดย ดร.เลโอโปลด์ โรแบรต์ ผู้อำนวยการกองวิทยาศาสตร์และผู้อำนวยการคนแรกของสถานเสาวภาได้ริเริ่มในการสร้าง เนื่องจากเล็งเห็นว่าภูมิประเทศของเมืองไทยเป็นแหล่งที่มีงูหลากหลายชนิดอยู่อย่างชุกชุม อีกทั้งในแต่ละปีมีผู้ถูกงูพิษกัดจนเป็นอันตรายถึงชีวิตจำนวนมาก แม้จะมีการนำเข้าเซรุ่มแก้พิษงูมาจากต่างประเทศ แต่กลับไม่สามารถรักษาผู้ถูกงูพิษของเมืองไทยกัดได้อย่างเป็นผล จึงจำเป็นต้องสร้างสวนงูเพื่อเลี้ยงงูทุกชนิดไว้ใช้ศึกษาและรีดพิษงูมาผลิตเซรุ่มแก้พิษ

ดร.เลโอโปลด์ โรแบรต์
ที่มา: สถานเสาวภา สภากาชาดไทย
ดร.เลโอโปลด์ ได้เรี่ยไรเงินทุนจากชาวต่างประเทศที่พำนักอยู่ในเมืองไทยเพื่อนำมาใช้เลี้ยงงูและผลิตเซรุ่ม มีการเปิดสวนงูที่สถานเสาวภาเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2466 โดยสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า สภานายิกาสภากาชาดไทยเสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีเปิด มีกำหนดการพิธีซึ่งลงพระนามโดย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต อุปนายกผู้อำนวยการสภากาชาดสยาม ดังนี้

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ที่มา: สถานเสาวภา สภากาชาดไทย

สวนงู ณ สถานเสาวภา
ที่มา: สถานเสาวภา สภากาชาดไทย
กำหนดพิธีการเปิดสวนงู ณ สถานเสาวภา
วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๖
—-----------------------------------------
การสร้างสวนงูด้วยเงินที่เรี่ยรายได้จากชาวต่างประเทศ เพื่อสำหรับเลี้ยงงูร้ายไว้เก็บพิษทำเซรุ่มป้องกันอันตรายอันจะบังเกิดแก่บรรดาผู้ถูกงูร้ายขบกัดนั้น บัดนี้สำเร็จแล้ว สมเด็จพระมาตุจฉาเจ้า พระบรมราชเทวี องค์สภานายิกาแห่งสภากาชาดสยาม จะเสด็จทรงกอปร์การพิธีเปิดสวนงูและเชื้อเชิญบรรดาผู้บริจาคทรัพย์ก่อสร้างมาในวาระนี้ เพราะฉะนั้น ให้กำหนดการดังนี้.
๔ นาฬิกา ล.ท. ผู้รับเชิญมายังสถานเสาวภา.
๔ นาฬิกา ๑๕ นาที ล.ท. นายแพทย์สมิธ กล่าวสุนทรพจน์ ว่าด้วยงูต่าง ๆ ในประเทศสยาม.
๕ นาฬิกา ล.ท. เลี้ยงน้ำชาฝรั่งและเครื่องบริโภคต่าง ๆ ตามธรรมเนียม.
๕ นาฬิกา กึ่ง ล.ท. อนุญาตให้ประชาชนเข้าดูได้.
๕ นาฬิกา ๔๕ นาที ล.ท. สมเด็จองค์สภานายิกา เสด็จถึงสถานเสาวภา ครั้นได้เวลาอันควร ผู้อำนวยการกองวิทยาศาสตร์อ่านรายงานกราบบังคมทูล ว่าด้วยการก่อสร้างสวนงู แล้วมีพระกระแสร์ดำรัสตอบ เสด็จทรงกอปร์การพิธีตัดเชือกกั้นทางเดินที่จะไปยังสวนงู และทอดพระเนตร์แล้วเสด็จกลับ.
พแนกเลขาธิการ ทำบัตร์เชิญกรรมการของสภากับบรรดาผู้บริจาคเงินสร้างสวนงู.
พแนกเหรัญญิก จัดเครื่องประกอบการพิธี (กั้นเชือกและจัดมีดทรงตัด) กับตกแต่งสถานที่ตามสมควร จัดที่บรรเลงแตรวง จัดการเลี้ยงบุหรี่ และเครื่องดื่ม มีน้ำชาจีน น้ำเย็นต่าง ๆ เลี้ยงน้ำชาฝรั่ง ตามธรรมเนียมสำหรับจำนวน ๙๐ คน ขอนางพยาบาลมาเลี้ยง จัดการเตรียมเก้าอี้ ๘๐ ตัว สำหรับให้แขกนั่งฟังสุนทรพจน์ ทั้งนี้ต้องทำความตกลงและติดต่อกับผู้อำนวยการกองวิทยาศาสตร์ดำริจัดการให้เป็นที่เรียบร้อย.
กองวิทยาศาสตร์ จัดการต้อนรับแขก และทำรายชื่อผู้บริจาคเงินสร้างสวนงู ส่งให้แก่เลขาธิการ.
บรรดาเจ้าน่าที่ของสภาชั้นสัญญาบัตร์ที่ไม่มีกิจธุระประการใด ให้มารับเสด็จสมเด็จองค์สภานายิกา.
การแต่งกาย แต่งเครื่องปกติ.
ในพิธีการ ดร.เลโอโปลด์ โรแบรต์ ผู้อำนวยการกองวิทยาศาสตร์สภากาชาดสยามได้กล่าวรายงานกราบบังคมทูลว่าด้วยการก่อสร้างสวนงู ความว่า
“ขอพระราชทานกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองพระบาท
สวนงูซึ่งใต้ฝ่าละอองพระบาท ได้ทรงพระกรุณา พระราชทานเกียรติยศด้วยการเสด็จมาประทับทรงประกอบพิธีเปิดเป็นฤกษ์คราวนี้ ย่อมมีคุณประโยชน์อยู่หลายประการ
ก่อนที่ข้าพระพุทธเจ้าจะถวายคำบรรยายในคุณประโยชน์นั้น ๆ ข้าพเจ้าขอพระราชทานพระราชวโรกาสกราบบังคมทูลแสดงความรู้สึกอย่างลึกซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณแห่งใต้ฝ่าละอองพระบาทในการที่ได้ทรงพระกรุณาพระราชทานเกียรติยศแก่การนี้โดยได้เสด็จมาณที่นี้ด้วยพระองค์เอง ดังนี้ย่อมเป็นสักขีพยานประจักษ์แก่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายอีกครั้งหนึ่ง ในข้อที่ได้ส่งใฝ่พระราชหฤทัยอยู่ในสรรพกิจการซึ่งข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้จัดกระทำไป
ถึงแม้ว่าในกรุงสยามนี้การถูกงูพิษม์ขบกัด หาสู้มีชุกชุมดังที่ใคร ๆ จะพึงคาดเห็นก็ดี ก็ย่อมต้องยอมรับว่าได้มีอยู่เป็นจำนวนมากมายพอควรแก่การที่จะสร้างสวนงูขึ้นเพื่อจะได้เลี้ยงพันธุ์งูต่าง ๆ ในจำพวกซึ่งได้พบมีอยู่ชุกชุมในเมืองไทยนั้นไว้ ให้สามารถทำยาตัดถอนพิษม์งูได้เฉพาะการ
ในกรุงเทพฯพระมหานครย่อมมีเหตุคนถูกงูพิษม์ขบอย่างร้ายถึงตายได้อยู่ราย ๆ เป็นครั้งคราว แลในไม่กี่เดือนมานี้เอง ก็ได้มีผู้ถูกอสรพิษม์ขบมาสองราย คือจากตำบลมักกะสันรายหนึ่ง จากถนนสี่พระยารายหนึ่ง ทั้งสองรายนี้ได้ส่งมายังสถานนี้ แต่ว่าล่าช้าเกินไป คนผู้นั้นตายไปเสียก่อนแล้ว
แต่เมื่อกล่าวถึงคนเจ็บซึ่งไม่มีหนทางที่จะรักษาได้อย่างใดเช่นนี้แล้ว เป็นที่น่ายินดีจริง ๆ ที่อาจจะยกรายอื่นขึ้นเช่นคุณตำรวจคนหนึ่งซึ่งได้ถูกงูเห่าขบตรงที่เส้นโลหิตดำที่เท้า แลซึ่งล่วงแต่นั้นไปเป็นเวลาเพียงยี่สิบนาที ก็มีอาการสลบทรบเทราง่วงซึมแล้ว ได้นำตัวมายังสถานนี้ด้วยรถยนต์ แลทันใดนั้นได้จัดการฉีดเซรุ่มของคาลเมตต์ เพียงครู่เดียวเท่านั้นก็ฟื้นตัว แลต่อไปอีกไม่ช้า เขาก็เดินกลับไปบ้านได้โดยลำพัง เหตุนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๖ ข้าพระพุทธเจ้าย่อมทรงจำรำลึกอยู่ได้เป็นเรื่องพิศูจน์ต่อมหาชน ผู้ซึ่งยังเคลือบแคลงสงสัยนั้นให้เห็นผลอันน่าอัศจรรย์จากการใช้ยารักษาอย่างใหม่นี้
นับตั้งแต่ได้ตั้งสถานนี้มา ได้จัดการรักษามาแล้ว ๕๗๔ ราย ไม่มีตายสักรายเดียว จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าแม้แต่เพียงในกรุงเทพฯ เท่านั้นก็ได้ช่วยชีวิตร์คนไว้มากหลายแล้ว ย่อมเป็นความน่ายินดีอย่างยิ่งในอันที่ข้าพระพุทธเจ้าจะยกผลอันน่าปลื้มเปรมนี้ขึ้นกราบบังคมทูลให้ทราบใต้ฝ่าลอองพระบาท
ส่วนในหัวเมืองต่าง ๆ จะมีจำนวนคนถูกงูพิษมากน้อยเพียงไรหาใคร่จะได้มีคำบอกเล่าให้ทราบถึงสถานนี้ไม่ แต่อย่างไรก็ดี น่าจะสันนิษฐานไว้ก่อนได้ว่าคงจะมีอสรพิษอยู่เป็นจำนวนมากซึ่งได้เป็นสาเหตุทำความตายให้แก่ฝูงชนเป็นจำนวนมากมายทีเดียว
ข้าพระพุทธเจ้าพิเคราะห์เห็นว่า เป็นน่าที่ของสถานนี้จะคิดขยายการรักษาอย่างวิธีนี้ออกไปให้แพร่หลายทั่วพระราชอาณาจักร์ เพราะค่าคุณประโยชน์ของวิธีนี้ได้พิศูจน์ให้เห็นเป็นผลสำเหร็จแน่แล้วด้วยการทดลอง ซึ่งได้ทำกันมาแล้วเป็นเวลาถึงสามสิบปี ด้วยการที่สถานเช่นนี้ได้ตั้งขึ้นแล้วในบรรดาประเทศซึ่งมีงูพิษม์อยู่ชุกชุม
ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระราชวโรกาศกราบบังคมทูลถึงความยากลำบากในการจะใช้วิธีรักษาอย่างใหม่นี้ให้แพร่หลายทั่วไป ด้วยยังมีคนเป็นอันมากซึ่งเชื่ออยู่โดยสุจริตว่าเขามียาอันแน่นอนสำหรับแก้พิษม์งู เพราะฉะนั้นการรักษาตามวิธีของเรานี้ จะต้องนำทางขันสู้ไปกับความเข้าใจอันได้ความมั่นอยู่แล้วแต่ก่อนและฝังรกฝังรากมาแล้วอย่างลึกซึ้งสืบมาแต่บุรพการีชน เหตุย่อมมีอยู่เนือง ๆ ซึ่งทำความเชื่อเหล่านี้ให้ฝังใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีกคือในบางครั้งสิ่งซึ่งเรียกว่ายาแก้อันนี้ได้ใช้แก่แผลชนิดที่เป็นงูอันหาพิษม์มิได้เลยทีเดียว แม้แต่เพียงน้ำท่าที่สอาดอย่างธรรมดาสักสองสามหยดก็อาจจะให้ผลเช่นเดียวกันได้ เพราะเหตุที่แผลนั้นหาที่ทางเป็นอันตรายมิได้เลย
ซึ่งข้าพเจ้าลงความเห็นดังนี้จะเป็นเพียงคาดคะเนก็หามิได้ ย่อมเป็นความเห็นอันมีหลักฐานจากการตรวจตราอย่างถูกต้องแน่นอนในทุก ๆ รายที่ได้มีโอกาสกำกับการทดลองอย่างบริบูรณ์ ได้ดำเนินการทดลองด้วยสัตว์มีชีวิต แลยางูชนิดที่ว่ามีคุณวิเศษเหล่านี้ ล้วนแสดงว่าไร้ผลเสมอไป
ยิ่งกว่านั้นการทดลองเช่นนี้ไม่แต่ได้ทำที่นี่ ถึงพวกเลี้ยงงูต่าง ๆ ในเมืองอินเดียและอเมริกาก็ได้ทำและเสียชีวิตร์แลกความเชื่อถือในยางูที่ว่ามีคุณวุฒิวิเศษเหล่านี้ไปแล้วก็มากหลาย
อย่างไรก็ดี สถานนี้จะคงทำการทดลองยางูจำพวกนี้อยู่เรื่อยไปสุดแต่จะได้มาถึงความรู้เห็นอันข้อความจริงอย่างเกลี้ยง ๆ ย่อมมีค่ายิ่งเสียกว่าตำหรับตำราทั้งหลาย แต่ข้าพระพุทธเจ้าเชื่อว่ามีสิทธิ์ทุกประการในอันจะกล่าวว่าการที่จะแสดงการรักษาแผลงูพิษกับแต่ด้วยยาชนิดที่ใช้ลงแก่ร่างกายเพียงส่วนภายนอกนั้นคงไม่มีค่าคุณประโยชน์โดยแท้จริง เราท่านทั้งหลายไม่สามารถจะคุ้มครองทรัพย์สมบัติของเราต่อโจรได้ในเมื่อโจรนั้นได้เข้าไปอยู่ในเรือนแล้วฉันใด และตัวเราเองยังอยู่ในสวนฉันใด การนี้ก็เป็นฉันนั้น
สวนงูซึ่งใต้ฝ่าละอองพระบาทได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กระทำพิธีเปิดวันนี้นั้น แบ่งออกเป็น ๓ ตอน แต่ละตอนสงวนไว้เป็นที่ขังงูพิษม์ชนิดต่าง ๆ กัน ทั้งนี้เพื่อจะได้แยกไว้เป็นประเภทตามพิษของมัน ย่อมออกฤทธิ์แก่ร่างกายเป็นผลต่าง ๆ กันนั้น ตอนกลางสลับเลี้ยงงูเห่ามีขนาดกว้าง ๑๐ เมตร์ ยาว ๑๕ เมตร์ อีกสองตอนนั้นกว้าง ๗.๕๐ เม็ตร์ ยาว ๑๐ เมตร์ ทั้งสามตอนนี้ทุก ๆ ตอนมีคูน้ำโอบรอบ ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้งูเลื้อยปีนขึ้นมา ทั้งเพื่องูจะได้อาศรัยน้ำตามความต้องการของมันด้วย
ค่าใช้จ่ายเพื่อการก่อสร้างสวนงูนี้ เป็นจำนวน ๘,๖๐๐ บาท แลได้เงินมาแต่การเรี่ยรายในชุมนุมชนชาวต่างประเทศซึ่งอยู่ในประเทศสยามนั้นแต่โดยล้วน
สวนงูซึ่งสร้างขึ้นนี้นับว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก แม้ถึงว่าบรรดาสวนสัตว์ต่าง ๆ ให้โลกนี้เกือบทุกแห่งย่อมมีเรือนเลี้ยงงูอยู่ก็ดี ข้าพระพุทธเจ้าเชื่อว่า สวนงูอันตั้งขึ้นเพื่อรวบรวมพิษงูนั้นย่อมมีแต่เพียง ๒ แห่งเท่านั้น คือที่ตำบลบุตตันตัง ในแคว้นเสาเปาโล ประเทศบราซิลแห่งหนึ่ง กับสวนนี้ในประเทศสยามนี้อีกแห่งหนึ่งเท่านั้น ข้อนี้เป็นการสมควรที่จะแจ้งให้มหาชนทราบ
อีกทางหนึ่ง สวนงูนี้ย่อมเป็นที่หมายความเจริญขั้นหนึ่งในกิจการต่างสาขาของเราอันได้ดำเนินไปโดยสม่ำเสมอและกลมเกลียวกันจะได้เข้าสู่ฐานที่จะได้เริ่มจากทำยาเซรุ่มของเราขึ้นได้เองในประเทศนี้ การอันนี้เป็นสิ่งที่ยากลำบากแลจักต้องใช้เวลานานกว่าจะสำเหร็จ แต่ก็เป็นการสมควรที่จะปรารภไว้ด้วย
อนึ่งเล่า ซึ่งชุมชนชาวต่างประเทศในกรุงสยามนี้ได้ช่วยกันออกเงินให้เป็นการช่วยเหลือเกื้อหนุนแต่ในทางทรัพย์เท่านั้นก็หามิได้ ย่อมเป็นการช่วยในทางน้ำใจด้วย แต่พอเริ่มเปิดการเรี่ยราย พวกหนังสือพิมพ์ก็ได้ทำบุญคุณช่วยให้ทราบทั่วกันทันทีและได้เงินทุนคุ้มจำนวนโดยเร็ว เงินเรี่ยรายได้ส่งมาจากทุกหนทุกแห่งตลอดพระราชอาณาจักร์ ดังนี้จึงเป็นทางให้สามารถทำขึ้นได้จริง ๆ ตามแผนซึ่งมีคนเป็นอันมากคิดเห็นกันอยู่ว่าเป็นเรื่องที่ค่อนจะทนงเกินไป อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่ายังไม่เป็นสิ่งที่จำเป็นแท้ก็มี
ข้าพระพุทธเจ้าจำต้องกล่าวด้วยว่าการที่ชุมนุมชนชาวต่างประเทศได้มาเกี่ยวข้องมีส่วนด้วยกับกิจการของสภา ซึ่งใต้ฝ่าละอองพระบาทส่งเป็นประธานอยู่นี้ ย่อมเป็นค่าคุณประโยชน์พิเศษแท้ เพราะในขณะเดียวกันการอันนี้ย่อมเป็นคารวะปูชนียกรณ์แด่ความรฦกถึงพระกิติคุณแห่งสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีพันปีหลวงซึ่งเสด็จสวรรคาลัยแล้วนั้นด้วย
ข้าพระพุทธเจ้าไม่สงสัยเลยว่าความคิดกอปด้วยเคารพอันนี้ อุทิศเพื่อความรฦกในสมเด็จพระบรมราชินีพันปีหลวง จักเป็นที่ต้องพระราชหฤทัยในใต้ฝาลอองพระบาททรงพระดำริชอบด้วยทุกประการ.
ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า

ตึก ๔ มะเสง สถานเสาวภา
ที่มา: สถานเสาวภา สภากาชาดไทย
ในอาณาบริเวณสวนงูยังมีตึก “๔ มะเส็ง” ซึ่งสร้างขึ้นเนื่องในวโรกาสที่เจ้านายทั้งสี่พระองค์ อันได้แก่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพิสมัยพิมลสัตย์, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศศิพงศ์ประไพ และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำเเพงเพ็ชรอัครโยธิน มีพระชนมายุครบสี่รอบนักษัตรปีมะเส็ง จึงทรงบำเพ็ญพระกุศลประทานเงินจำนวนหนึ่งแก่สภากาชาดไทยตั้งเป็น“ทุน ๔ มะเส็ง” เพื่อใช้ในการรักษาผู้ถูกสัตว์มีพิษกัด และต่อมาทางสภากาชาดไทยแบ่งเงินส่วนหนึ่งจากทุนนี้มาสร้างตึก “๔ มะเส็ง” ขึ้นเพื่อใช้เลี้ยงสัตว์พิษชนิดต่าง ๆ ในการศึกษาองค์ความรู้ เจ้านายทั้งพระองค์ได้เสด็จทรงประกอบพิธีเปิดในช่วงต้นทศวรรษ 2470
ในยุคของรัฐบาลคณะราษฎรภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นั้น ก็มีการส่งเสริมให้ทางสภากาชาดสยามทำการค้นคว้าและผลิตวัคซีนเซรุ่มขึ้นใช้เองในประเทศ โดยเฉพาะในช่วงต้นทศวรรษ 2480 สมัย หลวงพิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ทางสภากาชาดทำเซรุ่มป้องกันหลายโรค เช่น บาดทะยัก และคอตีบ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีบัญชาให้กระทรวงและทบวงกรมต่าง ๆ ช่วยสั่งซื้อวัคซีนเซรุ่มจากสภากาชาด

พันโท หลวงเกียรตินันทแพทย์ (สือ เกียรตินันท์)
ที่มา: สถานเสาวภา สภากาชาดไทย
ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนที่ ท่านผู้หญิงพูนศุข ถูกงูกัดและมารับการรักษาที่สวนงูนั้น สถานเสาวภาอยู่ภายใต้การบริหารดูแลของ พันโท หลวงเกียรตินันทแพทย์ (สือ เกียรตินันท์) ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองวิทยาศาสตร์ สภากาชาดไทย ช่วงระหว่าง พ.ศ. 2483-2488
หากลองพิจารณาอย่างใคร่ครวญ เรื่องราวการถูกงูกัดของ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ คงหาใช่เพียงแค่เกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวประวัติผู้อยู่เคียงข้างบุคคลสำคัญทางการเมืองเยี่ยง นายปรีดี พนมยงค์ เท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์การรักษาผู้ถูกงูกัดในสังคมไทยอันน่าสนใจไม่น้อยอีกด้วย
หมายเหตุ :
- คงอักขรและการสะกดตามต้นฉบับ
- รูปแบบการอ้างอิงเป็นไปตามต้นฉบับ
เอกสารอ้างอิง :
- หจช. สกท.1/27 กำหนดการพิธีเปิดสวนงู ณ สถานเสาวภาในวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2466 วาระพิเศษ กองวิทยาศาสตร์ได้เปิดสวนงูที่ได้ปรับปรุงใหม่ เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2529 (19 พ.ย. 2466-14 พ.ค. 2529)
- หจช. (2) ศธ 26/1125 ให้กระทรวงทะบวงกรมต่าง ๆ สั่งซื้อวัคซินและเซรุ่มจากสภากาชาดสยาม (25 พ.ค.– 8 มิ.ย. 2482)
- นรุตม์. หลากบทชีวิตท่านผู้หญิง พูนศุข พนมยงค์. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: แพรวสำนักพิมพ์, 2551
- อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ
- ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์
- นายปรีดี พนมยงค์
- เมื่อท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ถูกงูกัด
- ทำเนียบท่าช้าง
- สวนงู
- ตึกสี่มะเสง
- สภากาชาดไทย
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต
- สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
- พันโท หลวงเกียรตินันทแพทย์ สือ เกียรตินันท์
- ดร.เลโอโปลด์ โรแบรต์
- Dr. George Joseph Harvey
- Dr. S.H.L. Woods
- Dr. R.P. Jones