ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

มาดามซุน ยัตเซ็น : นักปฏิวัติประชาธิปไตยและเฟมินิสต์คนแรกของประเทศจีนสมัยใหม่

9
มีนาคม
2568

Focus

  • บทความนี้เสนอประวัติ ชีวิต และความคิดของซ่ง ชิ่งหลิง ไม่เพียงแต่เป็นภรรยาของซุน ยัตเซ็น ผู้นำการปฏิวัติซินไห่เท่านั้น แต่เธอยังมีบทบาทสำคัญในฐานะนักปฏิวัติที่สืบสานอุดมการณ์ประชาธิปไตยของเขาหลังจากการเสียชีวิต เธอทำงานเพื่อรวมจีนให้เป็นหนึ่งเดียวและสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ โดยมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเมืองทั้งภายในและภายนอกประเทศจีน นอกจากการปฏิวัติทางการเมือง เธอยังเป็นผู้สนับสนุนสิทธิสตรีจีนอย่างแข็งขันโดยเน้นการปลดปล่อยผู้หญิงจากขนบธรรมเนียมโบราณที่กดขี่ และเรียกร้องความเสมอภาคทางสังคม

 


“ซ่ง ชิ่งหลิง” (Soong Ching-ling) หรือ “มาดามซุน ยัตเซ็น”
ที่มา: https://en.namu.wiki/w/%EC%91%B9%EC%B9%AD%EB%A7%8

 

“เบื้องหลังความสำเร็จของชายผู้ยิ่งใหญ่คือภรรยาหรือหญิงผู้ยิ่งใหญ่ แต่เบื้องหลังความสำเร็จของหญิงผู้ยิ่งใหญ่คือตัวเธอเอง” คำกล่าวนี้ไม่ได้เกินจริงเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ “ซ่ง ชิ่งหลิง” (Soong Ching-ling) หรือ “มาดามซุน ยัตเซ็น” (Madam Sun Yat-sen) ภริยาของ “คุณหมอซุน ยัตเซ็น” (Dr. Sun Yat-sen) บิดาของประเทศจีนสมัยใหม่-นักปฏิวัติประชาธิปไตยผู้ปลดปล่อยชาวจีนให้เป็นอิสระจากการปกครองอย่างทารุณของชาวแมนจูเรีย (ราชวงศ์ชิง) และพยายามที่จะรวบรวมจีนจากแว่นแคว้นต่าง ๆ ให้เป็นหนึ่งเดียว

การต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่และร่วมทุกข์ร่วมสุขกับ ซุน  ยัตเซ็น ของ ซ่ง ชิ่งหลิง เพื่อความเป็นหนึ่งเดียว ความสงบสุข และความเจริญก้าวหน้าของประเทศจีน ทั้งในวันที่ ซุน ยัตเซ็น ยังมีชีวิตอยู่และหลังจากวันที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว ทำให้ชาวจีนในสาธารณรัฐประชาชนจีน (People’s Republic of China-PRC) ซาบซึ้งใจในความตั้งใจทำงานเพื่อประเทศชาติของเธอ ดังนั้นพวกเขาจึงพร้อมใจกันยกย่องเธอด้วยการขนานนามเธอว่า “มารดาของประเทศจีนสมัยใหม่”

เนื่องในโอกาสวันสตรีสากล 8 มีนาคม 2568 บทความนี้จะนำเสนอเรื่องราวของ ซ่ง ชิ่งหลิง หรือ มาดามซุน ยัตเซ็น สตรีผู้อุทิศตนให้กับการพัฒนาแผ่นดินจีน ประชาชนจีน และผู้หญิงจีน อย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ชีวิตและบทบาทโดดเด่นของเธอในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้รับการเล่าขานสืบทอดในหมู่ชาวจีนรุ่นแล้วรุ่นเล่า พวกเขากล่าวว่า เธอคือตัวแทนของสตรีจีนสมัยใหม่ในอุดมคติ ซึ่งนิยามความงามของสตรีจีนสมัยใหม่ที่มี ซ่ง ชิ่งหลิง เป็นภาพตัวแทนนั้น หาได้หมายถึงความงามของรูปร่างหน้าตา การมีกริยามารยาทเรียบร้อย และการอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนไม่ หากแต่หมายถึงการเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ ความเฉลียวฉลาด ความแน่วแน่เด็ดเดี่ยว และความมุ่งมั่นอดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่ถาโถมเข้ามาขณะปฏิบัติหน้าที่เพื่อความรุ่งเรืองของประเทศชาติ

อย่างไรก็ดีมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า แม้เรื่องราวของ ซ่ง ชิ่งหลิง เป็นเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์สตรีจีนสมัยใหม่ แต่เรื่องราวของเธอกลับมีความละม้ายคล้ายคลึงกับเรื่องราวของ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยาของ ท่านปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส-ผู้อภิวัฒน์สยาม ในประวัติศาสตร์สตรีไทยสมัยใหม่อย่างไม่น่าเชื่อ (อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ได้ที่ “ชีวิตกับการต่อสู้ของ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์” Pridi.or.th และ “ใครคือคนดีคนนั้น...ท่านผู้หญิง พูนศุข พนมยงค์” The101World) กล่าวคือ สตรีทั้งสองเกิดในยุคสมัยใกล้เคียงกัน มาจากครอบครัวที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมดีมากเช่นเดียวกัน ได้พบรักและแต่งงานกับผู้นำทางการเมืองที่ซื่อสัตย์ ยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลักไม่ต่างกัน อีกทั้งยังได้ร่วมทุกข์ร่วมสุข รับมรดกทางความคิด และสืบสานอุดมการณ์ของนักปฏิวัติประชาธิปไตยเพื่อถ่ายทอดให้อนุชนรุ่นหลังรับทราบเหมือนกัน ความคล้ายคลึงกันในการดำเนินชีวิตของสตรีทั้งสองจึงไม่เพียงเผยให้เห็นถึงความรัก ความโอบอ้อมอารี และความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ที่สถิตอยู่ในดวงใจสตรี หากแต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็งอย่างแท้จริงของสตรีจีนและสตรีไทยที่อำนาจไม่ชอบธรรมใด ๆ มิอาจสั่นคลอนหรือทำลายการดำรงอยู่อย่างมีคุณค่าของพวกเธอได้ 

 

 

“ซ่ง ชิ่งหลิง” ผู้หญิงก้าวหน้ารุ่นแรกของประเทศจีนสมัยใหม่

“มาดามซุน ยัตเซ็น” มีชื่อเดิมว่า “ซ่ง ชิ่งหลิง” เธอคือสตรีจีนที่ได้รับการยอมรับทั้งจากประเทศจีนและทั่วโลกว่า เป็นผู้มีความสำคัญและมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่ ความสำคัญและอิทธิพลของเธอที่มีต่อการสร้างชาติของจีนสมัยใหม่ดังกล่าวถึงนี้ พิสูจน์ให้เห็นทั้งในช่วงเวลาที่ ซุน ยัตเซ็น ยังมีชีวิตอยู่และหลังจากเขาหมดลมหายใจแล้ว เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้คนทั่วโลกจดจำเธอในภาพของภริยาที่ช่วยสามีทำงานเคลื่อนไหวด้านการปฏิวัติประชาธิปไตยเพื่อรวมจีนให้เป็นหนึ่งเดียวอย่างแข็งขัน แต่ภาพอีกด้านหนึ่งซึ่งสะท้อนอุดมการณ์หรือความคิดฝันของตัวเธอเองอย่างแท้จริงในฐานะสตรีก็คือ เธอได้มุ่งมั่นทำงานเพื่อยกระดับสถานภาพทางสังคมของสตรีจีนให้ดีขึ้น ดังเช่นที่เธอเคยกล่าวไว้ว่า การปลดปล่อยสตรีจีนจากแอกของขนบธรรมเนียม ประเพณี และจารีตจีนโบราณซึ่งยึดถือสืบเนื่องกันมาไม่น้อยกว่า 2000 ปีนั้น เป็นสิ่งที่ต้องกระทำควบคู่ไปกับการปลดปล่อยประชาชนชาวจีนให้หลุดพ้นจากความทุกข์ยาก

ภาพของสตรีจีนโดยทั่วไปก่อนการปรากฏตัวของ ซ่ง ชิ่งหลิง ในประวัติศาสตร์สตรีจีนสมัยใหม่ ถือว่าเป็นภาพของสตรีจีนยุคเก่า หญิงสาวผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ผู้หญิงที่ดี” ตามอุดมคติของชาวจีนสมัยนั้นต้องยึดถือหลักลัทธิขงจื๊อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลัก “สามคล้อยตาม” ที่ระบุว่าผู้หญิงต้องเชื่อฟังบุคคล 3 คน ได้แก่ บิดา สามี และบุตรชาย โดยก่อนการแต่งงานต้องเชื่อฟังบิดา เมื่อออกเรือนไปแล้วต้องเชื่อฟังสามี และหากสามีเสียชีวิตลงก็ให้เชื่อฟังบุตรชายแทน ควบคู่ไปกับหลักสามคล้อยตาม ผู้หญิงที่ดียังต้องปฏิบัติตามหลัก “สี่คุณธรรม” ที่ว่าด้วยคุณธรรมของผู้หญิงสี่ประการ อันประกอบด้วย การมีรูปร่างหน้าตาเครื่องแต่งกายสะอาดสะอ้าน มีกริยามารยาทเรียบร้อย กล่าวแต่เพียงมธุรสวาจา และไม่ขาดตกบกพร่องเรื่องการบ้านการเรือน เกี่ยวกับข้อกำหนดดังกล่าวนี้ เฟมินิสต์วิจารณ์ว่า ขนบธรรมเนียม ประเพณี และจารีตจีนโบราณที่สืบทอดกันมาหลายพันปีนี่เอง ที่ทำให้ผู้หญิงจีนยุคเก่ามีตัวตนเพียงแค่ “บุตรสาว” “ภรรยา” และ “มารดา” ของใครสักคนหนึ่ง พวกเธอไม่สามารถขัดคำสั่งผู้ชายซึ่งเป็นที่พึ่งพิงของสถานะทางสังคมให้พวกเธอได้ ส่งผลให้พวกเธอล้วนมีชีวิตคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ เป็นผู้ตาม ไม่สามารถตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ด้วยตนเองได้ และมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่นเท่านั้น

 

 

ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ยุคสมัยที่ ซ่ง ชิ่งหลิง เติบโตและมีชีวิตอยู่เพื่ออุทิศตนให้กับแผ่นดินจีน เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญของสังคมจีนจากสังคมจีนสมัยเก่า (Imperial China) ไปสู่สังคมจีนสมัยใหม่ ( Modern China) และ ซ่ง ชิ่งหลิง เองก็นับว่าเป็นหนึ่งในสตรีจีนของยุคสมัยที่โชคดีมาก ๆ เพราะสภาพแวดล้อมต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวเธอได้อนุญาตให้เธอเปิดรับและซึมซับความคิด ค่านิยม และคุณค่าใหม่ ๆ จากโลกภายนอก การเป็นบุตรสาวของ “ซ่ง เจียซู่” หรือ “ชาลี ซ่ง” (Charlie Soong) มิชชันนารีชาวจีนผู้มั่งคั่งจากการพิมพ์คัมภีร์ไบเบิล ก่อนเขาจะขยายธุรกิจไปยังอาหารและสิ่งทอ ถือว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ส่งเสริมและสนับสนุนการเติบโตของ ซ่ง ชิ่งหลิง ในฐานะผู้หญิงสมัยใหม่ ชาลี ซ่ง ผู้เป็นบิดาไม่เพียงแต่มอบการศึกษาสมัยใหม่และให้เสรีภาพแก่ ซ่ง ชิ่งหลิง แต่การที่เขาได้รู้จักและเป็นเพื่อนกับ ซุน ยัตเซ็น ผู้ก่อตั้งสมาคมถงเหมิงฮุ่ย (Tongmenghui) หรือสมาพันธ์ความร่วมมือเพื่อการปฏิวัติประชาธิปไตยจีน (Chinese Revolutionary Alliance) ก็ได้เปิดช่องให้ ซ่ง ชิ่งหลิง เดินเข้าสู่เส้นทางงานเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิวัติประชาธิปไตยจีนและรวมจีนให้เป็นหนึ่งเดียว

แม้ ชาลี ซ่ง บิดาของ ซ่ง ชิ่งหลิง เป็นที่รู้จักของชาวเมืองเซี่ยงไฮ้ในฐานะเศรษฐีนักธุรกิจชาวจีน และมิชชันนารีผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์ แต่เชื่อกันว่าความลำบากยากจนสมัยที่เขาเป็นเด็กก่อนที่เขาจะหันไปนับถือศาสนาคริสต์ และได้มีโอกาสเรียนหนังสือจนจบโรงเรียนพระคริสตธรรมที่สหรัฐอเมริกา ทำให้เขาสนับสนุนการปฏิวัติประชาธิปไตยในจีน นอกจากนี้การที่เขาได้ใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐอเมริกาเป็นเวลานานหลายปี ได้สัมผัสอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่เน้นความเท่าเทียมระหว่างมนุษย์ และความเท่าเทียมระหว่างชายหญิง น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ชาลี ซ่ง ส่งบุตรชายและบุตรสาวของเขาไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา (ชาลี ซ่ง มีบุตร 6 คน ชาย 3 คน หญิง 3 คน) บุตรสาว 3 คนของเขาซึ่งก็คือ ซ่ง อ้ายหลิง (Soong Ai-ling บุตรสาวคนโต) ซ่ง ชิ่งหลิง (บุตรสาวคนกลาง) และ ซ่ง เหม่ยหลิง (Soong Mei-ling บุตรสาวคนเล็ก) สามสาวพี่น้องจาก “ตระกูลซ่ง” หรือครอบครัวของ ชาลี ซ่ง จึงเป็นสตรีจีนรุ่นแรกที่ได้รับการศึกษาสมัยใหม่จากต่างประเทศ ความงดงามของรูปร่างหน้าตาประกอบกับความรู้ความสามารถที่พวกเธอมี รวมถึงการเข้าไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับชายผู้มีชื่อเสียงและมีอำนาจในฐานะคู่สมรส ทำให้ชีวิตของพวกเธอกลายเป็นที่สนใจของชาวจีนจำนวนมาก กล่าวกันว่าช่วงที่พวกเธอยังมีชีวิตอยู่นั้น เรื่องราวของพวกเธอปรากฏให้เห็นในนิตยสารอย่างสม่ำเสมอไม่ต่างกับดาราภาพยนตร์

 


ภาพถ่ายของพี่น้องตระกูลซ่ง (จากซ้าย: เหม่ยหลิง, อ้ายหลิง และชิ่งหลิง) ในปี 1942
ที่มา: https://archive.shine.cn/feature/people/A-private-glimpse-at-the-Soong-sisters-lives-to-lightLu-Feiran/shdaily.shtml

 

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “ตระกูลซ่ง” คือตระกูลที่ทรงอิทธิพลทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศจีนสมัยใหม่ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ความยิ่งใหญ่ของตระกูลซ่งเป็นที่รับรู้กันว่า เกิดจากการที่บุตรสาวทั้ง 3 คนของตระกูลนี้ได้แต่งงานกับผู้นำคนสำคัญของประเทศ โดย ซ่ง อ้ายหลิง บุตรสาวคนโตแต่งงานกับ ข่ง เสียงซี (Kong Xiangxi) นายธนาคารมหาเศรษฐี   ทายาทของตระกูลขงจื๊อ ซ่ง ชิ่งหลิง บุตรสาวคนรองแต่งงานกับ ซุน ยัตเซ็น ประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐจีนหลังการปฏิวัติประชาธิปไตย ส่วน ซ่ง เหม่ยหลิง บุตรสาวคนเล็กแต่งงานกับ เจียง ไคเชก (Chiang Kai-shek) ประธานาธิบดีของสาธารณรัฐจีนและไต้หวัน

การที่หญิงสาวทั้ง 3 คนจากตระกูลซ่งได้กลายเป็นภริยาของผู้นำจีนคนสำคัญท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ส่งผลให้ชีวิตของพวกเธอโลดแล่นไปบนความขึ้นลงและความไม่แน่นอน ไม่ต่างจากตัวละครในนวนิยายของนักเขียนนามอุโฆษ พวกเธอได้ประสบทั้งความภาคภูมิใจอันนำมาซึ่งความอิ่มเอมและความปลื้มปีติ เท่า ๆ กับที่ต้องผจญกับความทุกข์ยากและความโศกเศร้า ชะตากรรมอันผันผวนของผู้หญิงตระกูลซ่งที่แตกต่างกันไปตามอุดมการณ์ทางการเมืองของบรรดาสามี-ผู้ที่พวกเธอเข้าไปเกี่ยวข้อง ล้วนเป็นที่มาของสมญานามซึ่งชาวจีนมอบให้พวกเธอทั้งสิ้น โดยชาวจีนได้กล่าวไว้ว่า “คนหนึ่งรักเงิน คนหนึ่งรักชาติ คนหนึ่งรักอำนาจ” ซึ่งคนที่รักเงินหมายถึง ซ่ง อ้ายหลิง บุตรสาวคนโต คนที่รักอำนาจคือ ซ่ง เหม่ยหลิง บุตรสาวคนเล็ก ส่วนคนที่รักชาติจะเป็นใครไม่ได้เลย นอกจาก ซ่ง ชิ่งหลิง บุตรสาวคนกลาง หรือ มาดามซุน ยัตเซ็น นั่นเอง มีเรื่องเล่าว่า ในขณะที่  ซ่ง ชิ่งหลิง ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากร่วมกับ ซุน ยัตเซ็น จนถึงกับเฉียดความตายมาแล้วนั้น สาวพี่น้องตระกูลซ่งอีกสองคนกลับใช้ชีวิตอย่างหรูหราสุขสบาย ซ่ง อ้ายหลิง มักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการโทรศัพท์เจรจาธุรกิจและการลงทุนเพื่อเพิ่มความมั่งคั่งให้กับครอบครัวเธอเอง จนกระทั่งครอบครัวเธอขึ้นชื่อว่าร่ำรวยที่สุดในประเทศจีน ส่วน ซ่ง เหม่ยหลิง มักใช้เวลากับความงามและแฟชั่นที่สร้างความฮือฮาให้กับสื่อมวลชนตะวันตกอยู่บ่อย ๆ

 


ซ่ง ชิ่งหลิงและซุน ยัตเซ็น
ที่มา: https://sunyatsenhawaii.org/2019/01/26/sun-yat-sen-and-soong-ching-ling-research-room/

 

ซ่ง ชิ่งหลิง หญิงสาวผู้รักชาติ ภริยาของ ซุน ยัตเซ็น

ซ่ง ชิ่งหลิง เกิด ค.ศ. 1893 / พ.ศ. 2436 ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ (Shanghai) เธอได้รับการศึกษาทั้งจากในประเทศจีนและสหรัฐอเมริกา เมื่อ ค.ศ. 1907 / พ.ศ. 2450 เธอเดินทางไปศึกษาต่อที่ Wesleyan College For Women ในมลรัฐจอร์เจีย (Georgia) ช่วงที่เธอเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกานั้นเป็นช่วงที่ขบวนสตรียุคคลื่นลูกแรก (The first wave of the feminist movement – คือขบวนสตรีที่เชื่อว่าผู้หญิงโดยธรรมชาติมีความเป็นมนุษย์ที่มีเหตุผลเท่าเทียมกับผู้ชาย แต่ถูกโครงสร้างสังคมไม่ว่าจะเป็นจารีตประเพณี ระเบียบปฏิบัติ หรือกฎหมายกดทับไว้ ทำให้ผู้หญิงอ่อนแอกว่าผู้ชาย) กำลังได้รับความนิยมในโลกตะวันตก ที่สหรัฐอเมริกาเธอใช้ชื่อคริสเตียนว่า “โรซามอนด์” (Rosamond) การศึกษาสมัยใหม่จากต่างประเทศไม่เพียงทำให้เธอพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว หากแต่ยังหล่อหลอมเธอให้เป็นผู้หญิงที่มั่นใจในความคิดและสติปัญญาของตนเอง กล้าแสดงความคิดเห็นทางการเมืองและสังคม มีความใฝ่ฝันที่จะเห็นประเทศจีนใหม่เป็นประเทศที่หลุดพ้นจากความยากจน ปราศจากการกดขี่ของผู้มีอำนาจ และหญิงชายมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน ดังเช่นที่เพื่อนหลายคนของเธอสมัยเรียนเล่าว่า เมื่อการปฏิวัติประชาธิปไตย (ซินไห่) ใน ค.ศ. 1911/ พ.ศ. 2454 ภายใต้การนำของ ซุน ยัตเซ็น สำเร็จ และเขาได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีชั่วคราวของสาธารณรัฐจีน ปิดฉากการปกครองระบอบศักดินาของจีนโบราณที่อยู่คู่กับประเทศจีนมานานกว่า 2000 ปี ซ่ง ชิ่งหลิง ซึ่งขณะนั้นเป็นนักศึกษาในสหรัฐอเมริกาได้ปลดภาพจักรพรรดิจีน-สัญลักษณ์ของระบอบศักดินาออกจากผนังห้อง และได้ใส่ภาพธงของสาธารณรัฐจีนนำโดย ซุน ยัตเซ็น เข้าไปแทนที่ นอกจากนี้ ซ่งชิ่งหลิง ในวัย 18 ปี ยังได้พูดถึงปัญหาสถานภาพที่ต่ำต้อยของสตรีจีนในสังคมจีน และเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วย

ซ่ง ชิ่งหลิง เรียนจบปริญญาตรีศิลปศาสตร์บัณฑิตในฤดูร้อนของ ค.ศ. 1913 / พ.ศ. 2456 เมื่อเธอได้เดินทางกลับจากสหรัฐอเมริกา ชาลี ซ่ง ได้ขอร้องให้เธอช่วยงานเลขานุการของ ซุน ยัตเซ็น ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยอยู่ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น (ซุน ยัตเซ็น จำเป็นต้องลี้ภัยที่ประเทศญี่ปุ่นเพราะว่าหลังจากการปฏิวัติประชาธิปไตย อำนาจสูงสุดกลับมิได้เป็นของประชาชนดังเจตนารมณ์ของการปฏิวัติ ทว่าตกอยู่ในมือของ “นายพลหยวน ซีไข่” (Yuan Shi-kai) ขุนศึกหรือผู้นำเผด็จการทางทหารซึ่งขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐจีนเมื่อ ค.ศ. 1912 / พ.ศ. 2455) ที่กรุงโตเกียวนี่เองที่ ซ่ง ชิ่งหลิง ได้พบคนรักในอุดมคติของเธอ เธอตกหลุมรัก ซุน ยัตเซ็น อย่างถอนตัวไม่ขึ้น

ตอนที่ ซ่ง ชิ่งหลิง ตกหลุมรัก ซุน ยัตเซ็น นั้น เขาแต่งงานและมีภรรยาแล้ว ภรรยาของเขาคือ “หลู มู่เจิน” (Lu Muzhen - การแต่งงานระหว่าง ซุน ยัตเซ็น กับ หลู มู่เจิน เป็นการแต่งงานแบบคลุมถุงชนตามประเพณีจีน) ทั้งคู่มีบุตรด้วยกันถึง 5 คน แม้ว่า ซ่ง ชิ่งหลิง เป็นผู้หญิงสมัยใหม่หัวก้าวหน้ากว่าผู้หญิงจีนส่วนใหญ่ในสมัยเดียวกัน แต่เธอก็ไม่ยินดีที่จะเป็นอนุภรรยาใคร ด้วยความที่เธอเป็นคริสเตียน (ซุน ยัตเซ็น ก็เป็นคริสเตียนเช่นเดียวกัน) เธอจึงยึดคติผัวเดียวเมียเดียว เธอยื่นคำขาดกับ ซุน ยัตเซ็น ว่าเขาต้องหย่าขาดกับ หลู มู่เจิน เสียก่อนจึงจะแต่งงานกับเธอได้ ตระหนักดีว่า ซ่ง ชิ่งหลิง เป็นสตรีที่เก่งมาก ฉลาดมาก และสามารถช่วยเหลือเขาได้ในการปฏิวัติประชาธิปไตยเพื่อรวมจีนให้เป็นหนึ่งเดียว แน่นอน ซุน ยัตเซ็น ไม่มีวันยอมสูญเสีย ซ่ง ชิ่งหลิง สตรีที่เขารักไป ในที่สุด ซุน ยัตเซ็น ได้ตัดสินใจให้ลูกชายของเขาส่งใบหย่าให้ หลู มู่เจิน จากนั้นจึงแต่งงานใหม่กับ ซ่ง ชิ่งหลิง

การตัดสินใจแต่งงานของ ซ่ง ชิ่งหลิง กับ ซุน ยัตเซ็น ที่เกิดขึ้นจากความยินยอมพร้อมใจของทั้งสองคน แทบจะไม่มีผู้ใดเห็นด้วยเลย ชาลี ซ่ง บิดาของ ซ่ง ชิ่งหลิง เพื่อนของ ซุน ยัตเซ็น ถึงกับเดือดดาล เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเมื่อรู้ว่าบุตรสาวของตนจะแต่งงานกับเพื่อนผู้เป็นชายรุ่นพ่อ มีอายุแก่กว่าเธอถึง 27 ปี เขาแสดงความเห็นว่า เธอเพียงแต่รักความเป็นวีรบุรุษของ ซุน ยัตเซ็น เท่านั้น และถึงกับขู่ว่าจะตัดพ่อตัดลูก ซ่ง ชิ่งหลิง นอกจากจะไม่ฟังความเห็นของบิดาแล้ว เธอยังยืนยันที่จะแต่งงานกับ ซุน ยัตเซ็น ให้ได้ ส่วนตัว ซุน ยัตเซ็น เอง แม้ได้รับแต่เสียงทัดทานต่อต้านการแต่งงานใหม่ของเขา ดังความเชื่อของชาวจีนที่ว่า “หากชายใดแต่งงานกับหญิงสาวคราวลูก อายุจะสั้นลง 10 ปี” เขากลับมิได้เกรงกลัวทั้งคำครหาและความเชื่อนั้นเลย เขากล่าวว่าหากการแต่งงานกับ ซ่ง ชิ่งหลิง ทำให้เขาอายุสั้นลงถึง 10 ปี เขาพร้อมแล้วกับการมีอายุสั้น

ซ่ง ชิ่งหลิง และ ซุน ยัตเซ็น แต่งงานกันที่กรุงโตเกียว ทั้งสองเดินทางกลับเมืองเซี่ยงไฮ้ใน ค.ศ. 1916 / พ.ศ. 2459 หลังจากที่ นายพลหยวน ซื่อไข่ ในฐานะผู้กุมอำนาจสูงสุดของประเทศหมดอำนาจและเสียชีวิต (เขาทะเยอทะยานอยากเป็นจักรพรรดิจนไม่มีผู้ใดรับได้ จึงเกิดการต่อต้านเขาทั่วประเทศ) ที่ประเทศจีน ซ่ง ชิ่งหลิง ได้ทำงานการเมืองเคียงบ่าเคียงไหล่กับ ซุน ยัตเซ็น สามีของเธอ โดยใน ค.ศ. 1917/ พ.ศ. 2460  เธอและ ซุน ยัตเซ็น ได้เดินทางออกจากเมืองเซี่ยงไฮ้ไปยังเมืองกวางโจว (Guangzhou) เพื่อเคลื่อนไหวเรื่องการปกป้องรัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ตามใน ค.ศ. 1918 / พ.ศ. 2461 ทั้งสองได้เดินทางกลับเมืองเซี่ยงไฮ้หลังจากพบว่าการเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องรัฐธรรมนูญล้มเหลว ใน ค.ศ. 1920 / พ.ศ. 2463 เธอและ ซุน ยัตเซน เดินทางกลับไปยังเมืองกวางโจวอีกครั้งเพราะประชาชนเลือก ซุน ยัตเซ็น เป็นประธานาธิบดี ทั้งที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี แต่การที่ ซุน ยัตเซ็น ไม่มีกองทัพของตนเองทำให้เขาตกเป็นเป้าโจมตีของบรรดาศัตรูทางการเมืองได้ง่าย ใน ค.ศ. 1922 / พ.ศ.2465 ทั้งคู่ถูกศัตรูทางการเมืองปองร้ายจนต้องหนีออกจากเมืองกวางโจว มีการยิงระเบิดใส่ทำเนียบประธานาธิบดี  หนังสือและข้อเขียนจำนวนมากของ ซุน ยัตเซ็น ถูกพวกกบฏนำโดย “เฉิน จย่งหมิง” (Chen Jionming เดิมคือคนสนิทของ ซุน ยัตเซ็น) ทำลาย ในการหลบหนีพวกกบฏครั้งนี้ ซ่ง ชิ่งหลิง ใช้ความกล้าหาญในการแก้ไขปัญหาด้วยการปล่อยให้ ซุน ยัตเซ็น หลบหนีไปคนเดียวก่อน ส่วนตัวเธอเองใช้วิธีพลางตัวอยู่กับศพก่อนที่ทหารพิทักษ์จะตามมาช่วยเหลือ และพาไปพบ ซุน ยัตเซ็น บนเรือรบในเช้าวันรุ่งขึ้น แล้วหนีไปเมืองเซี่ยงไฮ้ด้วยกัน วิกฤติทางการเมืองครั้งนี้ถึงกับทำให้เธอที่ขณะนั้นตั้งครรภ์อ่อน ๆ ต้องแท้งลูก ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ซุน ยัตเซ็น ตัดสินใจยอมรับความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียต (USSR) ทั้งทางด้านการเงินและการทหาร โดยสหภาพโซเวียตได้ส่ง “เจียง ไคเชก” พร้อมกับเชิญ “เหมา เจ๋อตุง” (Mao Zedong) จากพรรคคอมมิวนิสต์จีน เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการกอบกู้ประเทศเพื่อรวมจีนให้เป็นหนึ่งเดียว

ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ใน ค.ศ. 1923 / พ.ศ. 2466 ซ่ง ชิ่งหลิง และ ซุน ยัตเซ็น ได้พบกับหลี่ ต้าเจา (Li Dazhoa) -ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนและที่ปรึกษาของ เหมา เจ๋อตุง) พวกเขาหารือกันเรื่องความร่วมมือระหว่างพรรคก๊กมินตั๋ง (Kuomintang หรือพรรคชาตินิยมจีนที่ ซุน ยัตเซ็น ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1919 / พ.ศ. 2462 ) และพรรคคอมมิวนิสต์จีน (Chinese Communist Party) ในปีเดียวกันทั้งสองได้กลับไปที่เมืองกวางโจวอีกครั้ง และรวมพรรคก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้าด้วยกัน  ใน ค.ศ. 1924 / พ.ศ. 2467 ซ่งชิ่ง หลิง และ ซุน ยัตเซ็น ได้ลงเรือรบ “หย่ง เฟิง” (Yong Feng) ในวาระครบรอบการกบฏของ เฉิน จย่งหมิง ที่สำคัญในปีนี้เธอและ ซุน ยัตเซ็น ได้เข้าร่วมพิธีเปิดโรงเรียนนายร้อยหวงผู่ (Whampoa Military School) ที่มี เจียง ไคเชก เป็นครูใหญ่ โรงเรียนนายร้อยหวงผู่ตั้งอยู่ที่เกาะหวงผู่ เมืองกวางโจว ที่โรงเรียนนายร้อยหวงผู่มีป้ายเขียนว่า “ต้อนรับนักปฏิวัติ”

ใน ค.ศ. 1924 / พ.ศ. 2467 ซ่ง ชิ่งหลิง ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำฝ่ายกิจการสตรีของพรรคก๊กมินตั๋ง ปลายปีเดียวกัน ซ่ง ชิ่งหลิง และ ซุน ยัตเซ็น ได้เดินทางไปภาคเหนือของประเทศจีนด้วยกัน นอกจากนี้ทั้งคู่ยังได้เดินทางไปยังเมืองโกเบ (Kobe) ประเทศญี่ปุ่น ที่โรงเรียนมัธยมสตรีแห่งหนึ่งที่เมืองโกเบ ซ่ง ชิ่งหลิง ได้กล่าวสุนทรพจน์เรื่องการปลดปล่อยสตรี อย่างไรก็ตามใน ค.ศ. 1925 / พ.ศ. 2468 ที่กรุงปักกิ่ง (Beijing) ระหว่างที่ทั้งสองกำลังเจรจากับกลุ่มการเมืองต่าง ๆ ซุน ยัตเซ็น กลับป่วยหนักด้วยโรคมะเร็ง ก่อนเสียชีวิต ซุน ยัตเซ็น ได้ขอให้ ซ่ง ชิ่งหลิง เป็นตัวแทนของเขาในการไปเยือนสหภาพโซเวียต ซึ่งเธอได้ให้สัญญากับเขาว่าเธอจะทำหน้าที่เป็นตัวแทนความคิด อุดมการณ์ และเจตนารมณ์ ของเขาที่มีต่อประเทศจีนให้ดีที่สุด หลังจากส่งมอบมรดกทางความคิดและอุดมการณ์ให้ ซ่ง ชิ่งหลิง สืบทอดแล้ว ซุน ยัตเซ็น ก็เสียชีวิตในวันถัดไป ซ่ง ชิ่งหลิงทำพิธีศพเขาด้วยการฝังตามธรรมเนียมคริสเตียน

 

มาดามซุน ยัตเซ็น หลังอสัญกรรมของ ซุน ยัตเซ็น

หลังอสัญกรรมของ ซุน ยัตเซ็น ใน ค.ศ. 1926 / พ.ศ.2469 ที่เมืองกวางโจว ซ่ง ชิ่งหลิง หรือ มาดามซุน ยัตเซ็น ได้รับเลือกจากพรรคก๊กมินตั๋งให้เป็นกรรมการกลางบริหารพรรค (Central Executive Committee) โดยระหว่างการประชุมพรรคเธอได้กล่าวสุนทรพจน์ยืนยันหลักไตรราษฎร์ อุดมการณ์การปฏิวัติประชาธิปไตยของ ซุน ยัตเซ็น อันประกอบด้วย 1.ชาตินิยม (โค่นล้มรัฐบาลแมนจูเรียหรือราชวงศ์ชิงที่ถือว่าเป็นรัฐบาลต่างชาติ และจัดตั้งรัฐบาลของประชาชนจีน) 2.ประชาธิปไตย (การจัดตั้งรัฐบาลตามระบอบสาธารณรัฐ และมีการใช้รัฐธรรมนูญ) และ 3.การจัดสรรที่ดินให้แก่ประชาชน

ระหว่าง ค.ศ. 1926-1927/ พ.ศ. 2469-2470 ซ่ง ชิ่งหลิง ได้ช่วยพรรคก๊กมินตั๋งในการเดินทางไปปราบปรามขุนศึกทางภาคเหนือเพื่อรวมจีนให้เป็นหนึ่งเดียว (ช่วงแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบสาธารณรัฐ ประเทศจีนแตกออกเป็นหลายก๊กหลายเหล่าเรียกกันว่า “ยุคขุนศึก” ซึ่งขุนศึกแต่ละพื้นที่ต่างมีอำนาจเป็นของตนเอง) และได้รับแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในสมาชิกรัฐบาลแห่งชาติที่เมืองอู่ฮั่น (Wuhan) ในช่วงครึ่งปีแรกของ ค.ศ. 1927 / พ.ศ. 2470 เธอได้ตั้งหน่วยกาชาดเพื่อช่วยเหลือและดูแลทหารที่เจ็บป่วย แต่เมื่อ เจียง ไคเชก-ผู้นำสูงสุดของพรรคก๊กมินตั๋ง ในฐานะผู้บัญชาการทหารกองทัพแห่งชาติ ได้ลงมือสังหารหมู่ปัญญาชนและสมาชิกของสมาคมการค้า (trade unions) ชาวคอมมิวนิสต์ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ในปีเดียวกันหลังจากปราบปรามเหล่าขุนศึกทางภาคเหนือได้สำเร็จ ซ่ง ชิ่งหลิง ได้ตอบโต้เขาด้วยการประณามพรรคก๊กมินตั๋งทันที เธอให้เหตุผลว่าการกระทำของ เจียง ไคเชก ไม่เป็นไปตามหลักไตรราษฎร์ที่ ซุน ยัตเซ็น ได้วางไว้ และเลือกสนับสนุนการปฏิบัติงานของพรรคคอมมิวนิสต์แทน และเมื่อกองทัพปลดแอกประชาชนจีน (People’s Liberation Army-PLA) นำโดย “โจวเอินไหล” (Zhou Enlai) สนับสนุนการก่อกบฏหนานชาง (Nanchang Uprising) เพื่อต่อต้านรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋ง ซ่ง ชิ่งหลิง ซึ่งขณะนั้นได้พำนักอยู่ที่กรุงมอสโค สหภาพโซเวียต ได้รับเลือกตั้งให้เป็นหนึ่งในเจ็ดของคณะผู้บริหารสูงสุด (praesidium) ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และนับแต่นั้นเธอก็ได้กลายเป็นคนของพรรคคอมมิวนิสต์ มิใช่คนของพรรคก๊กมินตั๋ง (พรรคที่ ซุน ยัตเซ็น สามีของเธอสร้างขึ้นมาด้วยความรักชาติ) อีกต่อไป

ปลาย ค.ศ. 1927/ พ.ศ. 2470 ซ่ง เหม่ยหลิง น้องสาวของ ซ่ง ชิ่งหลิง ได้ตัดสินใจแต่งงานกับ เจียง ไคเชก ตามคำแนะนำของ ซ่ง อ้ายหลิง พี่สาวคนโต โดย ซ่ง อ้ายหลิง แสดงความเห็นว่า ซ่ง ชิ่งหลิง ได้เป็นสตรีหมายเลข 1 คนแรกของสาธารณรัฐจีนไปแล้ว ซ่ง เหม่ยหลิง ควรจะได้เป็นสตรีหมายเลข 1 คนที่สองของสาธารณรัฐจีนต่อไป หลังการแต่งงานระหว่าง ซ่ง เหม่ยหลิง กับ เจียง ไคเชก ความขัดแย้งของอุดมการณ์ทางการเมืองระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์ก่อให้เกิดความแตกร้าวระหว่างสองสาวพี่น้อง จากที่เคยรักกันกลับต้องมาห่างเหิน มีเรื่องเล่าว่า เจียง ไคเชก เคยโกรธ ซ่ง ชิ่งหลิง เสียจนเขาอยากจะฆ่าเธอให้ตาย แต่ ซ่ง เหม่ยหลิง ได้ห้ามเขาไว้

ความสำเร็จของ เจียง ไคเชก ในการกรีฑาทัพขึ้นเหนือ สามารถปราบปรามขุนศึกต่าง ๆ ของฝ่ายเหนือได้ทำให้ เจียง ไคเชก ก้าวขึ้นสู่อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศจีน ระหว่าง ค.ศ. 1928-1949 / พ.ศ. 2471-2492 เจียง ไคเชก ในฐานะผู้นำพรรคก๊กมินตั๋งได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสาธารณรัฐจีน กล่าวอย่างรวบรัดหลังจากที่ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างพรรคก๊กมินตั๋ง (ยึดถืออุดมการณ์เสรีนิยมประชาธิปไตย) กับพรรคคอมมิวนิสต์ (ยึดถืออุดมการณ์สังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์) ปะทุขึ้น ความแตกต่างของอุดมการณ์ทางการเมืองได้พรากสามสาวพี่น้องตระกูลซ่งให้จากกันไปตลอดกาล ซ่ง ชิ่งหลิง และ ซ่ง เหม่ยหลิง ได้พบกันเพียงช่วงสั้น ๆ เฉพาะตอนที่พรรคก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์ได้ร่วมมือกันชั่วคราวต่อต้านญี่ปุ่น แต่เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์มีชัยเหนือพรรคก๊กมินตั๋งในเวลาต่อมา พรรคก๊กมินตั๋งจึงได้ลี้ภัยหนีไปตั้งรัฐบาลสาธารณรัฐจีน (Republic of China - ROC) ขึ้นใหม่ที่เกาะไต้หวัน ทำให้สามสาวพี่น้องตระกูลซ่งไม่มีโอกาสหวนมาพบกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาอีก ซ่ง ชิ่งหลิง เสียชีวิตที่จีนแผ่นดินใหญ่ ส่วน ซ่ง เหม่ยหลิง และ ซ่ง อ้ายหลิง เสียชีวิตที่อเมริกา

 

มาดามซุน ยัตเซ็น กับปัญหาสตรีในประเทศจีน

ความสนใจต่อปัญหาสตรีในประเทศจีนของ ซ่ง ชิ่งหลิง ดังกล่าวมาแล้ว เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยที่เธอเป็นนักศึกษาในสหรัฐอเมริกา  ปัญหาพื้นฐานของสตรีจีนที่ ซ่ง ชิ่งหลิง คิดว่าเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาผู้หญิงจีนทั้งในฐานะปัจเจกบุคคลและในฐานะทรัพยากรของชาติ คือปัญหาการแต่งงานแบบคลุมถุงชน ที่บิดามารดาชาวจีนมีอำนาจชอบธรรมในการบังคับให้บุตรสาวของตนแต่งงานกับใครก็ได้ที่พวกเขาเห็นชอบ โดยบุตรสาวไม่มีสิทธิ์ทักท้วงหรือคัดค้าน อิทธิพลของการศึกษาสมัยใหม่และการใช้ชีวิตอยู่ในโลกตะวันตกเป็นเวลานานถึง 6 ปี ทำให้ ซ่ง ชิ่งหลิง มีทัศนคติต่อการแต่งงานแบบคลุมถุงชนว่า เป็นการแต่งงานที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้หญิง ล้าสมัย และไม่สอดคล้องกับความเป็นไปของกระแสโลกในยุคของเธอ การต่อต้านการแต่งงานแบบคลุมถุงชนของ ซ่ง ชิ่งหลิง ไม่ได้เป็นแค่เพียงคำพูด เพื่อแสดงถึงความเป็นปัญญาชนของหญิงสาวเท่านั้น ทว่าคือการยืนยันสิทธิในการใช้ชีวิตกับสิ่งที่ตนเองเชื่อของผู้หญิงคนหนึ่ง ด้วยเหตุผลนี้การตัดสินใจแต่งงานกับ ซุน ยัตเซ็น ของ ซ่ง ชิ่งหลิง ท่ามกลางเสียงคัดค้านของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย จึงเป็นข้อพิสูจน์ถึงความเป็นเฟมินิสต์ของเธอที่ยืนหยัดในหลักการปลดปล่อยสตรี

ปัญหาของสตรีจีนได้รับการพูดถึงอย่างเป็นรูปธรรมในวงกว้าง เมื่อ ซ่ง ชิ่งหลิง ได้รับแต่งตั้งจากพรรคก๊กมินตั๋งให้เป็นผู้ดูแลกิจการสตรี การเชื่อในปรัชญาที่ว่าการปลดปล่อยสตรีจีนจากการกดขี่ของขนบธรรมเนียม ประเพณี และจารีตโบราณเป็นสิ่งที่ต้องกระทำควบคู่ไปกับการปลดปล่อยประชาชนชาวจีนจากความทุกข์ยาก ทำให้ ซ่ง ชิ่งหลิง ต้องแบ่งเวลาทำงานทั้งเพื่อพรรคก๊กมินตั๋งที่เป็นรัฐบาลแห่งชาติ และเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของสตรีจีน การอุทิศตนของ ซ่ง ชิ่งหลิง ทั้งในฐานะผู้ดูแลพรรคก๊กมินตั๋งและผู้ส่งเสริมสิทธิสตรี ส่งผลให้นักประวัติศาสตร์จีนลงความเห็นว่า ซ่ง ชิ่งหลิง คือผู้หญิงจีนสมัยใหม่ที่อุทิศตนเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง และสำหรับพรรคคอมมิวนิสต์ที่ ซ่ง ชิ่งหลิง เลือกสนับสนุนหลังอสัญกรรมของ ซุน ยัตเซ็น แล้ว ซ่ง ชิ่งหลิง คือแบบอย่างของผู้หญิงจีนสมัยใหม่ในอุดมคติเลยทีเดียว ในขณะที่ผู้หญิงแบบ ซ่ง อ้ายหลิง และ ซ่ง เหม่ยหลิง ถูกพรรคคอมมิวนิสต์มองว่าเป็นผู้หญิงสมัยใหม่ที่เห็นแก่ตัว ปรารถนาเพียงอำนาจ ชื่อเสียง ความร่ำรวย และความสะดวกสบาย

ไม่ว่าจะมอง ซ่ง ชิ่งหลิง ผ่านอุดมการณ์การเมืองแบบใด ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าการงานที่เธอทำสมัยมีชีวิตอยู่สะท้อนวิธีคิดของผู้หญิงก้าวหน้าในยุคสมัยของเธอ เธอเคลื่อนไหวทางการเมืองเคียงบ่าเคียงไหล่ ซุน ยัตเซ็น  เพื่อรวบรวมจีนที่แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ หลังการปฏิวัติประชาธิปไตยให้รวมเป็นชาติหนึ่งเดียว เธอเป็นผู้มีอิทธิพลต่อการดำเนินงานของพรรคก๊กมินตั๋ง และเป็นผู้มีบทบาทในการเลือกติดต่อกับสหภาพโซเวียตแทนชาติตะวันตกอื่น ๆ เช่นนี้ เธอจึงเป็นผู้หญิงจีนคนแรกที่ออกงานคู่กับสามีในพื้นที่สาธารณะ(พื้นที่ที่เชื่อสืบทอดกันมาแต่โบราณว่าไม่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิง) ในขณะที่ผู้หญิงจีนส่วนใหญ่ของยุคนั้นพอใจทำงานเฉพาะในอาณาบริเวณบ้าน

หลังการเสียชีวิตของ ซุน ยัตเซ็น ซ่ง ชิ่งหลิง ก็ยังไม่หยุดทำงานทั้งเพื่อผู้หญิงและเพื่อประเทศชาติ ช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1920 เธอได้ทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจให้กับการส่งเสริมและพัฒนาสวัสดิการเพื่อเด็กและสตรีจีน ยกตัวอย่าง เช่น เธอได้ตั้งโรงเรียนการเมืองสำหรับสตรีจีนใน ค.ศ. 1927 / พ.ศ. 2470 ที่โรงเรียนนี้เธอได้กล่าวถึงความสำคัญของผู้หญิงที่สามารถช่วยเหลือบ้านเมืองได้ด้วยการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติ ที่สำคัญเธอยังเน้นย้ำถึงการปลดปล่อยผู้หญิงจีนจากแอกของขนบธรรมเนียม จารีต และประเพณีจีนโบราณ โรงเรียน ซ่ง ชิ่งหลิง  ในเมืองเซี่ยงไฮ้ปัจจุบันที่ใช้ปรัชญาการสอนตามอุดมคติของ ซ่ง ชิ่งหลิง คือหลักฐานที่เป็นรูปธรรมแสดงให้เห็นว่าในฐานะเฟมินิสต์คนแรกของประเทศจีนสมัยใหม่ เธอมีอิทธิพลต่อระบบการศึกษามากเพียงใด

ประจักษ์พยานแสดงถึงความเป็นสตรีที่กล้าหาญของ ซ่ง ชิ่งหลิง ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนใน ค.ศ. 1937 / พ.ศ. 2480 เมื่อญี่ปุ่นประกาศสงครามกับจีน โดยเธอได้ประกาศตั้งสหพันธ์ป้องกันจีน (China Defense League) เรียกร้องให้ชาวจีนลุกขึ้นมาต่อต้านญี่ปุ่น ในการรณรงค์ดังกล่าวเธอเป็นผู้เขียนใบปลิวเอง อีกทั้งยังเป็นเสาหลักระดมทุนเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชาวจีนจากสงคราม รวมถึงได้สร้างโรงพยาบาลหลายแห่งสำหรับรักษาทหารจีนที่ได้รับบาดเจ็บ หลังสงครามสงบเธอเปลี่ยนชื่อสหพันธ์ป้องกันประเทศจีนเป็นสถาบันสวัสดิการแห่งประเทศจีน (China Welfare Institute) มีหน้าที่ดูแลสวัสดิการสังคมแก่ผู้หญิงจีน และเมื่อสาธารณรัฐประชาชนจีน (The People’s Republic of China) ได้รับการก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1949 / พ.ศ. 2492 ซ่ง ชิ่งหลิง ได้ทำหน้าที่ประธานของสถาบันสวัสดิการแห่งประเทศจีน เธอเชื่อว่าสถาบันนี้จะนำความก้าวหน้าและความเป็นอยู่ที่ดีมาสู่ชีวิตผู้หญิงจีน โดยเธอได้ก่อตั้งโรงพยาบาลสำหรับการผดุงครรภ์และเด็ก สถานรับเลี้ยงเด็ก โรงเรียนอนุบาล โรงละครเพื่อศิลปะสำหรับเด็ก ตลอดจนตั้งนิตยสารสำหรับเด็กในประเทศจีนชื่อว่า “ยุคสมัยแห่งเยาวชน” (Children’s Epoch)

ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950 และคริสต์ทศวรรษ 1960 อันเป็นช่วงที่โลกตะวันตกเรียกว่ายุคขบวนสตรีคลื่นลูกที่สอง (The second wave of the feminist movement) หรือยุคปลดปล่อยสตรี (Women’s liberation movement) ซึ่งมีหลักการว่าการพิจารณาประเด็นใด ๆ เกี่ยวกับผู้หญิงจะต้องเลิกกระทำภายใต้กรอบความคิดเดิมที่ถือว่าผู้ชายคือศูนย์กลางความถูกต้อง ยุคนี้เป็นยุคที่เน้นให้ผู้หญิงในสังคมทำความเข้าใจความต้องการและความปรารถนาของตนเอง มีการพูดถึงสิทธิทางร่างกายของผู้หญิง เช่น สิทธิในการคุมกำเนิด ซ่ง ชิ่งหลิง ซึ่งเป็นผู้นำการเคลื่อนไหวประเด็นสตรีในประเทศจีน แม้ว่าขณะนั้นมีอายุมากแล้วก็ได้สนับสนุนแนวคิดนี้ด้วยเช่นกัน

มาดามซุน ยัตเซ็น หรือ ซ่ง ชิ่งหลิง คือตัวอย่างของสตรีจีนสมัยใหม่ที่ได้รับการศึกษาสมัยใหม่จากต่างประเทศในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 อันเป็นช่วงเวลาที่โลกตะวันตก (ซึ่งขณะนั้นอุดมการณ์เสรีนิยมประชาธิปไตยได้หยั่งรากลึกแล้ว แต่อุดมการณ์คอมมิวนิสต์อยู่ระหว่างการเติบโต) กำลังเป็นประจักษ์พยานต่อการเคลื่อนไหวของขบวนสตรียุคคลื่นลูกแรก ที่เรียกร้องให้ผู้หญิงเป็นอิสระจากการควบคุมของวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ โดยเน้นถึงสิทธิของผู้หญิงในโลกสาธารณะ เช่น สิทธิในการศึกษา และสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง

ด้วยการสนับสนุนของครอบครัวที่ชื่นชมความเป็นประชาธิปไตยและความเท่าเทียมระหว่างชายหญิง และด้วยบรรยากาศทางสังคม-การเมืองที่เต็มไปด้วยความเคลื่อนไหวของอุดมการณ์ต่าง ๆ เช่น เสรีนิยมประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์ และเฟมินิสต์ หญิงสาวผู้หนึ่งนามว่า ซ่ง ชิ่งหลิง-ผู้เป็นผลผลิตของยุคสมัยจึงได้กลายเป็น มาดามซุน ยัตเซ็น-สตรีผู้มีความคิดก้าวหน้า เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก มีบุคลิกภาพและนิสัยใจคออ่อนโยน ทว่าแฝงไว้ซึ่งความเด็ดเดี่ยวและเข้มแข็ง ที่สำคัญเธอไม่ได้เป็นเพียงเฟมินิสต์ที่มองเห็นคุณค่าความเป็นผู้หญิงของตนเองเฉพาะแค่ในฐานะปัจเจกชน หากแต่เธอยังใช้คุณค่าของความเป็นผู้หญิงนั้นแบ่งปันความรัก ความเอื้ออาทร และความเห็นอกเห็นใจให้แก่เพื่อนมนุษย์ชายหญิงคนอื่น สมกับที่ประชาชนชาวจีนได้ยกย่องเธอว่า เธอคือมารดาของจีนสมัยใหม่ หรือมารดาแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน

เนื่องในโอกาสวันสตรีสากล 8 มีนา 2568 ขอน้อมคารวะ “ซ่ง ชิงหลิง” หรือ “มาดามซุน ยัตเซ็น” ผู้พิสูจน์ให้โลกเห็นว่า “เบื้องหลังความสำเร็จของชายผู้ยิ่งใหญ่คือภรรยาหรือหญิงผู้ยิ่งใหญ่ แต่เบื้องหลังความสำเร็จของหญิงผู้ยิ่งใหญ่คือตัวเธอเอง”

 

บรรณานุกรม :