ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
วันนี้ในอดีต

การพระราชทานนามสกุล “ณ ป้อมเพ็ชร์”

20
มิถุนายน
2568

Focus

  • ในวาระ 146 ปี ชาตกาลพระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา กองบรรณาธิการสถาบันปรีดี พนมยงค์ นำเสนอความทรงจำของนายปรีดี พนมยงค์ บุตรเขยที่ได้รับการเปิดเผยเบื้องหลังพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ในการพระราชทานนามสกุล จากคำบอกเล่าของพระยาพระยาชัยวิชิตวิศิษฎ์ธรรมธาดา

 


บ้าน ณ ป้อมเพ็ชร พ.ศ. 2474

 

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามสกุลแก่ “พระสมุทบุรานุรักษ์ (ขำ)” (ต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาวรุณฤทธีศรีสมุทปราการ, พระยาเพชรชฎา, พระยาชัยวิชิตวิศิษฎ์ธรรมธาดาตามลําดับ) ขณะประทับแรมที่พลับพลาอ่างศิลาในเขตจังหวัดชลบุรีระหว่างมิถุนายน-กรกฎาคม พ.ศ. 2456 ต่อมาทางการได้รวมหลาย ๆ นามสกุลที่ได้รับพระราชทานประกาศในราชกิจจานุเบกษาว่าด้วยพระราชทานนามสกุลครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2456

ท่านเจ้าคุณผู้รับพระราชทานนามสกุลได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าในระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เสด็จประทับแรมที่อ่างศิลานั้น ท่านเจ้าคุณขณะนั้นเป็นผู้ว่าราชการเมือง (ต่อมาเปลี่ยนเรียกว่าจังหวัด) สมุทรปราการซึ่งเป็นเขตติดต่อกับจังหวัดชลบุรี ได้ไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท โดยยังมิได้คิดขอพระราชทานนามสกุลเพราะเรื่องนี้ยังมิได้ปรึกษาญาติที่สืบจากบรรพบุรุษเดียวกัน แต่เมื่อได้เข้าเฝ้าถวายบังคมแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ได้ทรงมีพระราชกระแสขึ้นก่อนว่า “ถ้าจะมาขอนามสกุลละกระมัง” (ระหว่างนั้นกําลังทรงพระสําราญในการทรงพระราชดํารินามของสกุลข้าราชบริพารที่ใกล้ชิด) ท่านเจ้าคุณฯ ก็เลยกราบบังคมทูลสนองพระราชกระแสรับสั่งครั้นแล้วพระองค์ก็ทรงปรารภในท่ามกลางผู้เข้าเฝ้าหลายคน อาทิพระยาโบราณราชธานินทร์ สมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่า (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลอยุธยา)  ถึงการที่ทรงทราบประวัติบรรพบุรุษของพระสมุทฯ (ขำ) (พระองค์ทรงคุ้นเคยกับพระยาไชยวิชิต สิทธิสาตรา (นาค) อดีตผู้รักษากรุงฯ บิดาของพระสมุทฯ และเสด็จพระราชดำเนินไปทรงรับบิณฑบาตที่บ้านท่านผู้นี้ขณะที่พระองค์ตรงอิสริยยศ มกุฎราชกุมารทรงผนวชที่วัดบวรนิเวศน์ และทรงคุ้นเคยกับท่านผู้หญิงยมราช (ตลับสุขุม) พี่สาวของพระสมุทฯ ขณะที่พระองค์ทรงศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษ) พระองค์ทรงปรารภว่า บรรพบุรุษของพระสมุทฯ เป็นคนใช้ในบ้านสมเด็จพระปฐมฯ (พระราชบิดารัชกาลที่ 1) ตั้งบ้านอยู่บริเวณป้อมเพ็ชร์ รัชกาลที่ 1 ได้ทรงอุทิศที่บ้านส่วนใหญ่สร้างเป็นวัดสุวรรณดาราราม ที่เหลืออยู่ก็ให้ “คนใช้ในบ้าน” ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บริเวณป้อมเพ็ชร์ต่อ ๆ กันมา และตั้งลูกหลานเป็นผู้ช่วยผู้รักษากรุงฯ บ้าง ผู้รักษากรุงฯ บ้างต่อ ๆ กันมาหลายชั่วคน แล้วรับสั่งว่า “จะให้ว่า ‘ณ อยุธยา’ ก็ไม่ได้เพราะ ‘อยุธยา’ เป็นของฉัน” คือทรงหมายถึงพระองค์เคยทรงดํารงพระอิสริยยศเป็นกรมหลวงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา (ควรสังเกตว่าขณะแรกมี พ.ร.บ.นามสกุล เมื่อพ.ศ. 2456 นั้นได้โปรดเกล้าฯ ให้บุคคลที่สืบสายจากราชสกุลนั้นใช้คําว่า “ณ กรุงเทพฯ” ต่อท้ายต่อมาเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2467 จึงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนเป็น “ณ อยุธยา” เริ่มใช้ตั้งแต่วันมหาจักรีที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2468) ครั้นแล้วมีพระราชดํารัสให้ราชเลขานุการที่ตามเสด็จเขียนบัตรตั้งนามสกุลโดยพระองค์ทรงลงพระปรมาภิไธย “วชิราวุธ ป.ร.” พระราชทานแก่พระสมุทบุรานุรักษ์ (ขํา) ว่า “ณ ป้อมเพ็ชร์” เขียนเป็นอักษรโรมันว่า “na Pombejara”

 

 

พระสมุทฯ จึงได้แจ้งให้ญาติที่สืบสายจากบรรพบุรุษทราบตามความสมัครใจของผู้ที่ประสงค์ใช้นามสกุลนี้ แต่ก็มีบางสายที่ได้รับพระราชทานนามสกุลอย่างอื่น

 


พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉายด้วยฝีพระหัตถ์ ภาพ พระยากับคุณหญิงชัยวิชิตฯ และครอบครัว เมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2466

 

ต่อมาประมาณเดือนเมษายน-พฤษภาคม พ.ศ. 2462 ระหว่างเสด็จเปลี่ยนพระราชอิริยาบถที่พระราชวังบางปะอิน ได้มีพระราชกระแสรับสั่งว่าจะเสด็จไปประทับพักแรมที่ป้อมเพ็ชร์ ทางราชการมณฑลกรุงเก่าจึงสร้างพลับพลารับเสด็จที่ป้อมเพ็ชรนั้น และทรงประทับแรม 1 ราตรี โปรดเกล้าฯให้ผู้สืบสกุล “ณ ป้อมเพ็ชร์” เข้าเฝ้าทรงถือว่าเป็นลูกหลานของ “คนใช้ในบ้าน” พระราชทานเข็ม “วชิราวุธ ป.ร.” แก่ผู้เข้าเฝ้าตามควรแก่ฐานะ

สมควรสังเกตไว้ว่าสมัยนั้นมีผู้ใช้คํา “ณ” นําหน้านามสกุลโดยมิได้ขอพระบรมราชานุญาตจึงได้มีประกาศพระบรมราชโองการซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งแห่ง พ.ร.บ.ขนานนามสกุล พ.ศ. 2456 ไว้ดังต่อไปนี้

“ได้มีประกาศพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ลงวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2458 สั่งว่าห้ามมิให้ใช้ ณ นําหน้านามสกุล ผู้ใดใช้ไปก่อนประกาศนี้ให้ถอน ณ ออกเสีย ถ้าผู้ใดมีความประสงค์จะใช้ให้ทําเรื่องราวขอพระบรมราชานุญาตเสียก่อน

เนื่องจากท่านเจ้าคุณฯ มีบรรดาศักดิ์หลายพระยา ซึ่งชนรุ่นใหม่ปัจจุบันนี้อาจสนใจการตั้งบรรดาศักดิ์สมัยเก่าอยู่บ้าง ข้าพเจ้าจึงขอกล่าวเพิ่มเติมไว้ด้วยว่านามบรรดาศักดิ์ เดิมมีปรากฏอยู่ในกฎหมายตราสามดวงว่าด้วยศักดินาทหารและศักดินาพลเรือน คือผู้ใดครองตําแหน่งราชการส่วนใดก็ได้บรรดาศักดิ์ตามตําแหน่งนั้น แต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงพระบรมเดชานุภาพที่จะคิดตั้งชื่อบรรดาศักดิ์ขึ้นใหม่ให้เฉพาะบุคคลและตามกรณีที่ผู้นั้นทําความชอบ ต่อมาภายหลังที่ราชการได้ขยายมากขึ้นตั้งแต่รัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา ชื่อบรรดาศักดิ์ตามทําเนียบเก่าไม่พอเพียงจึงได้พระราชทานชื่อบรรดาศักดิ์ตามตําแหน่งที่เพิ่มขึ้นจากเก่ามากมาย

โดยเฉพาะตําแหน่งผู้ว่าราชการเมืองสมุทรปราการนั้น ตามทําเนียบเก่าผู้ว่าราชการที่มีความชอบสมควร เลื่อนจากพระเป็นพระยาก็จะต้องเป็นพระยาสมุทบุรานุรักษ์ แต่พระสมุทร (ขํา) มีกรณีพิเศษที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ได้ทรงดําริชื่อบรรดาศักดิ์ขึ้นใหม่เพื่อเลื่อนพระสมุทฯ (ขํา) เป็นพระยาวรุณฤทธิ์ศรีสมุทปราการ ข้าพเจ้าได้เคยเขียนเรื่องนี้ไว้ในคํานําหนังสือแจกงานพระราชทานเพลิงศพท่านเจ้าคุณชัยวิชิต (ข) ครั้งหนึ่งแล้ว ใจความตามที่จําได้จากคําเล่าของท่านเจ้าคุณฯ มีว่า ในราว พ.ศ. 2457 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เสด็จมาประทับที่พลับพลาสมุทรปราการ (เวลานั้นยังไม่มีสถานตากอากาศที่หัวหิน, บางแสน, พัทยา ฯลฯ) บังเอิญมีพายุฝนตกลงมาอย่างหนัก พระสมุทฯ จึงอํานวยการฝ่าพายุฝนพร้อมด้วยข้าราชการแห่งเมืองนั้นลงมือลงแรงด้วยตนเองป้องกันมิให้ฝนสาดไปถึงข้างในพลับพลาได้ พระมงกุฎเกล้าฯ ได้ทอดพระเนตรการทํางานอย่างแข็งขันของพระสมุทฯ โดยตลอดด้วยความพอพระราชหฤทัยรุ่งขึ้นจึงรับสั่งให้พระสมุทฯเข้าเฝ้ารับพระราชทานบรรดาศักดิ์ที่พระองค์ทรงคิดขึ้นใหม่นอกทําเนียบเก่าว่า “พระยาวรุณฤทธิ์ศรีสมุทปราการ” แปลว่าผู้มีฤทธิ์ดังฝนเป็นศรีแก่เมืองสมุทรปราการ ต่อมาบรรดาศักดิ์นี้ได้พระราชทานแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการคนต่อมาด้วย

เมื่อพระยาวรุณ (ขำ) จะย้ายไปดํารงตําแหน่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์นั้นได้พระราชทานบรรดาศักดิ์ใหม่ว่า “พระยาเพ็ชร์ชฎา” อันเป็นบรรดาศักดิ์ตามทําเนียบเก่าสําหรับกรมพระนครบาลสมัยโบราณและท่านบิดาของพระยาชัยวิชิต (ขำ) ได้เคยมีบรรดาศักดิ์นี้ก่อนที่จะได้เป็นพระยาไชยวิชิตสิทธิสาตราผู้รักษากรุงฯ

เมื่อกรมราชทัณฑ์ย้ายจากสังกัดกระทรวงนครบาลไปขึ้นกระทรวงยุติธรรมนั้นได้ พระราชทานบรรดาศักดิ์ใหม่โดยเอาบรรดาศักดิ์ของท่านบิดาเจ้าคุณฯ ขึ้นต้นต่อท้ายด้วยบรรดาศักดิ์ที่เหมาะแก่กระทรวงยุติธรรม

 

หมายเหตุ:

  • บทความชิ้นนี้กองบรรณาธิการ สถาบันปรีดี พนมยงค์คงใช้ชื่อเดิมการพระราชทานนามสกุล “ณ ป้อมเพ็ชร์” โดยตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2515
  • อักขระและวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ

อ้างอิง :

  • อนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นายชาญชัย ณ ป้อมเพ็ชร์ ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2515, (ม.ป.ท. : โรงพิมพ์คุรุสภาพระสุเมรุ, 2515), หน้า 17- 20.