ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

เอกราชในเงื้อมมือกองทัพ วิกฤตอำนาจรัฐบาลพลเรือ คืออุปสรรคประชาธิปไตยไทย

30
มิถุนายน
2568

 

 

ธนกร วงษ์ปัญญา :

ในฐานะที่ คุณสุภลักษณ์ ติดตามการเมืองทั้งไทยและอาเซียน คำสองคำที่ทางการเมืองไทยแล้วก็การเมืองในอาเซียน คำสองคำแบบที่คุณพรรณิการ์ วานิช ได้อธิบายคำว่า เอกราช และอธิปไตย ฝั่งนู้นเขาก็อ้างคำนี้ ในขณะที่ฝั่งเราก็พูดอยู่ตลอดเวลาว่า  “อธิปไตยของเราจะไม่ให้ใครมาทำลายได้” คำนี้ก็ถูกใช้เยอะมากทั้งในพื้นที่สื่อ และคำอธิบายของฝ่ายความมั่นคงการตีความหรือการให้ความหมาย หรือว่าการปกปักษ์รักษา สองสิ่งนี้ มันต้องรบกันอย่างเดียวไหม  แบบที่อิหร่านอิสราเอลเขาทำอยู่หรือในความเป็นจริงแล้วเราควรจะเข้าใจมันแบบไหน

 

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี :

ขอบคุณครับ ท่านอาจารย์ชาญวิทย์ ท่านทูตกฤต และท่านผู้มีเกียรติทุกท่านในที่นี้ วันนี้ผมดีใจที่ซือแป๋ใหญ่ของผมแล้วก็ท่านทูตมานั่งฟังผม นึกว่าจะพาทัวร์มาลงที่ธรรมศาสตร์คนเดียว แล้วคิดว่าอาจจะมีอาจารย์ที่เคารพนับถือแล้วก็พาผมทำเรื่องซึ่งท้าทายสติปัญญาของคนในชาตินี้อย่างมากแล้วก็พวกเราเองก็เผชิญกับการท้าทายสติปัญญาแล้วก็ได้รับฉายานามมากมายอาจารย์ชาญวิทย์ เป็นหัวหน้าคณะนักวิชาการขายชาติ 7.1 ล้าน ผมได้เป็นนักข่าวไทยใจเขมรก็มีคนเอารูปเอาอะไรไปตัดใส่กรอบหลุยส์ ผมก็ภูมิใจนะที่ว่าอุ้ยขนาดนี้เลยเหรอ เพราะฉะนั้นเวลาเราพูดถึงถึง “ชาติ”อะไรแบบนี้มันท้าทายมากมันท้าทายขนบเดิม ๆ ของประเทศไทย

ผมเริ่มแบบนี้แล้วกัน จริงคุณพรรณิการ์อธิบาย Concept ไปอย่างมากผมไม่ไม่อธิบายซ้ำคำที่ใช้ว่า ราษฎร์ ราษฎร เอกราชของราษฎร คำนี้มันถูกใช้แต่ว่ามันไม่ได้ถูก Establish ในสังคมไทยจริงจัง เพราะฉะนั้นเวลาเราพูดถึง เอกราชของความเป็นชาติ กระบวนการในการสร้างชาติของไทยไม่มีประชาชนอยู่ในนั้นมีการสร้างชาติจาก Concept และจินตนาการ อันเกี่ยวเนื่องกับราช ราชามากกว่าราษฎร ดังนั้นเวลาเราพูดถึงการใส่คำนิยามของพวกนี้ตลอดเวลาตั้งแต่ 2475 ในทางการเมืองประเทศนี้

การเมืองภายในก็อาจจะแย่งชิงกันไปมาระหว่างว่าใครจะมีอำนาจเหนือระหว่างราษฎรธรรมดากับราษฎรที่มีศักดินา เพราะฉะนั้นผมละประเด็นนั้นก่อนในเรื่องภายใน แต่ว่าเนื่องจากชวนผมมาพูด ผมไม่พูดเรื่องอื่นนะนอกจากพูดเรื่องเขมร ผมเคยถามเขาเหมือนกัน สำหรับการเรียกเขาเรียกตัวเองว่า “ขแมร์” เขาโอเค แต่ถ้าเรียก “เขมร” เขารู้สึกไม่โอเค

นิยามคำว่าเอกราช เมื่อพยายามที่จะมารวมกับการรักษาสร้างความเป็นชาติ เราก็เลยไม่ค่อยรวมราษฎรอยู่ในนั้น คำที่ใช้ในระยะหลังเป็นคำว่า “ราช” “ราชการ” เพราะฉะนั้นนิยามของความเป็นราชตามราชการ เอกราชตามราชการ มันจึงเป็นเอกราชซึ่งเกี่ยวเนื่องกับอำนาจของราชการในการบริหารงานแผ่นดินเพราะฉะนั้นเวลาเราพูดถึงการรักษาเอกราชจึงผูกเอาไว้กับแผ่นดินค่อนข้างจะมาก พอมาถึงปัจจุบันนี้เวลาที่รัฐบาลและกองทัพพูดถึงการป้องกันเอกราชของชาติ เขาหมายถึง แผ่นดินขอบเขตขัณฑสีมา เขาหมายถึงนามธรรมบางอย่างซึ่ง แผ่นดินนี้ปกป้องโดยใคร ผมไม่ต้องพูดทุกท่านก็ทราบใช่ไหมบรรพบุรุษเฉย ๆ นี่ยังสุภาพ แผ่นดินเนี่ยปกป้องด้วยเลือดเนื้อของบรรพบุรุษแต่ในบรรพบุรุษนั้นอาจไม่มีพวกเราอยู่สักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นว่าทหารหาญทั้งหลายบอกว่าตัวเองปกป้องชาติบ้านเมืองมาคือปกป้องผืนแผ่นดิน เพราะฉะนั้นมาถึงยุคปัจจุบันเขาถึงซีเรียสกับการปกป้องพื้นแผ่นดินที่เราจะไม่เสียแม้แต่ตารางมิลลิเมตรเดียว ในเพลงลูกทุ่งเขาบอกว่าแม้แต่เท่ารอยตีนไก่เขาก็ไม่ให้เสียรุ่นนี้ถ้าคุณวรัญชัยชอบมากสายัณห์สัญญา ร้อง หรือใครไพรวัลย์ ลูกเพชร ที่ว่าวาทกรรมแบบนี้ถูกผลิตซ้ำแล้วซ้ำเล่าเจนเนอเรชั่นแล้วเจนเนอเรชั่นเล่าโดยที่ประชาชนทุกคนจะต้องสละเลือดเนื้อเพื่อปกป้องแผ่นดินไม่เคยมีหรอกที่บอกว่าเดี๋ยวเราขายแผ่นดินเพื่อเอาชีวิตรอด สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้น

ในประเทศไทยเพราะฉะนั้นเวลาเราพูดถึงความเป็นเอกราชเราจึงหมายถึงแผ่นดินแล้วเอาเรื่องนี้ผูกกับแผ่นดิน แผ่นดินมักจะผูกกับการเสียสละของบรรพบุรุษที่มาแต่โบราณอันเป็นประเด็นสำคัญ เพราะทำให้เวลาการดำเนินนโยบายรัฐบาลเรามักจะเอาเอกราชแบบนั้นเป็นที่ตั้ง

ทีนี้ประเด็นที่อยากจะพูดเวลารัฐบาลนี้ดำเนินนโยบาย เราทะเลาะกันกับกัมพูชาผมอยากทบทวนให้ท่านทั้งหลายฟังสักนิดนึง เพราะว่ามาถึงวันนี้ผมชักไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่าเราทะเลาะกับกัมพูชาเรื่องอะไรเราทะเลาะกับกัมพูชานี้เริ่มต้นยังไม่ทะเลาะปีที่แล้วเราพูดเรื่องเกาะกูดกันว่าเดี๋ยวถ้าเราไปเจรจา Overlapping Claims Area (OCA) เราจะเสียเกาะกูด ทั้งๆที่คนไทยอยู่ที่นั่นมีลูกมีหลานเต็มไปหมดผมก็อ่านเอกสารมาหลายชิ้นแล้ว ผมไม่เคยเห็นว่ากัมพูชาอยากจะได้เกาะกูด ไม่เคยเคลม จริงๆแล้วตอนที่ประเทศไทยประกาศให้เกาะกูดเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดตราด ทางกัมพูชาก็ไม่เคยเห็นประท้วงเลย คนกัมพูชามาเที่ยวเกาะกูดต้องยื่นหนังสือเดินทาง เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่ได้อ้างปรากฏว่าคนที่คิดว่าเราจะเสียเกาะกูดคือคนไทย จนกระทั่งฝ่ายค้านกัมพูชาเขาเข้าใจประเด็น เขาอยากเสียเกาะกูดทำไมเราไม่เคลมเกาะกูด สมรังสีก็เลยประกาศ เขาอยู่ต่างประเทศ เขาก็เลยกดดันให้รัฐบาลฮุนมาเนต เคลมเกาะกูดอย่างเป็นทางการเสีย และเอาเรื่องนี้ไป ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice)

 

ธนกร วงษ์ปัญญา:

ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอีกแล้ว

 

 

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี :

คือพอได้ยิน ICJ คนไทยขนหัวลุกเลยนะครับ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถและหวาดวิตกไปทั้งชาติแล้ว  ชาติเมื่อเกาะกูดไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่เพราะว่ามันชัดเจนว่ามันเป็นของใคร กัมพูชาก็ไม่เคยว่า ก็เลยย้ายมาที่ปราสาทตาเมือนอันนี้ค่อยหมิ่นเหม่หน่อยนิยามของความเป็นชาติที่ปราสาทตาเมือน อันนี้ฟังแล้ว ผมก็นั่งคิดอยู่ตั้งนานว่ามีทหารกัมพูชาพาคณะแม่บ้านมาร้องเพลง ทีแรกฟังบางคนก็บอกเพลงชาติบางคนก็บอกว่าเพลงปลุกใจ คือฟังไปฟังมาคนไทยฟังไม่รู้เรื่องว่าเพลงอะไร แต่ทหารที่อยู่แถวนั้นบอกว่าอันนี้เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นชาติของกัมพูชาเหนือแผ่นดินไทยเริ่มเป็นเรื่องละ เราก็เริ่มศึกรักชาติขึ้นมาทันที ทำไมชาติเขมรจึงมาร้องเพลงบนแผ่นดินไทย

 

ธนกร วงษ์ปัญญา:

ทำไมปล่อยให้เขาขึ้นมา

 

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี :

ทำไมปล่อยให้ขึ้นมา ปล่อยให้ทำอย่างนั้นได้อย่างไร ผมก็มานั่งนึกตั้งนานขนาดปล่อยให้ร้องเพลงเป็นภัยต่อความคุกคาม ความมั่นคง ของชาติอย่างไรทำไมทหารเรา

 

ธนกร วงษ์ปัญญา:

สู้เข้าไปอย่าได้ถอย

 

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี :

อะไรทำนองนั้น ทำไมทหารของเราถึงไม่กลัว อาวุธใดๆแต่ว่ากลัวว่าเพลงนี้จะทำลายอำนาจอธิปไตยของไทยเหนือ ปราสาทตาเมือนธม ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ว่ายังตั้งคำถามพยายามคิด แบบตื่นเช้ามาก็นั่งคิดแต่ก็ยังคิดไม่ออกมันว่าอันนี้มันทำร้ายความมั่นคงของไทย และเอกราชอธิปไตยของไทยอย่างไร มันก็เริ่มร้อนขึ้นมาถึงขนาดว่า ระดับสูง แม่ทัพ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ไปคุยกัน ตกลงกันว่าต่อไปห้ามมีการร้องเพลงที่ปราสาทตาเมือนธมอีก

 

ธนกร วงษ์ปัญญา:

ห้ามมีการแสดงสัญลักษณ์ใดๆทั้งสิ้น

 

 

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี :

สัญลักษณ์ก็ยังเบลอ เพราะ อีกฝ่ายหนึ่งไม่เข้าใจถือว่าเป็นสัญลักษณ์อยู่หรือไม่ เพราะคนไทยยังเถียงกันอยู่เลยว่าเพลงที่เขาร้องตกลงเป็นเพลงชาติ หรือเพลงปลุกใจแต่เรารู้สึกว่าเราสูญเสียแล้ว ชาติของเราถูกย้ำยี จินตนาการอันนี้มีอยู่แล้วค่อนข้างจะลึก แต่ว่าแน่นอน Feed มาโดยฝ่ายทหาร เพราะอยู่ๆชาวบ้านแถวนั้นใครร้องเพลงอะไรก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ อันนี้เราจะเห็นว่าชาติผูกขาดอยู่กับราชการ เพราะราชการเป็นคนบอกว่านี่อำนาจอธิปไตยของเรานะ ต่อมาอีกเมื่อตอนต้นปีใช่ไหมมีการเผาศาลาไฟไหม้ศาลาตรีมุข ศาลารวมใจอันนี้มันเป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพระหว่างระหว่างไทยกับกัมพูชาและลาว เพราะตรงนั้นเป็นที่เรียกว่า Border Conjunction สามชาติมารวมกันก็เลยสร้างศาลาไว้เป็นศาลาแห่งมิตรภาพและ Friendship ไม่ได้เป็นศาลแห่งเอกราชและอำนาจอธิปไตยใดๆตอนแรกที่มีเหตุการณ์ไฟไหม้ ก็ไม่ทราบว่าไหม้ด้วยสาเหตุอันใดอะไรกองทัพบกแถลงว่าไฟไหม้แถวนั้นมันลามมา พอสักพักหนึ่งบอกว่ามันไม่ใช่มั้ง

สงสัยคนกัมพูชามาเผาคนกัมพูชาก็สงสัยว่าเป็นทหารหรือเป็นพลเรือนตอนแรกบอกว่าขี้เมานานไปบอกว่าทหารกัมพูชาปลอมตัวมาเผา เรื่องมันเริ่มเปลี่ยนมีหลายทฤษฎีครับจากการเผาศาลา ซึ่งเป็นการรุกรานอำนาจประชาธิปไตย แล้วที่ชัดเจนมากที่สุดซึ่งเกี่ยวข้องกับแผ่นดินเลย คือ การขุดสนามเพาะ (คูเลน) ขุดเมื่อไหร่ไม่ทราบ ตามจริงถ้าขุดแบบนั้น ท่านทูตกฤต ไกรจิติ นั่งอยู่ที่นี่ ผมต้องเรียนท่านว่า ถ้ากระบวนการปฏิบัติ เมื่อทหารไทยตรวจพบการกระทำใดๆ อันก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในพื้นที่พิพาทซึ่งยังไม่ได้มีการปักปันเขตแดนตรงกับข้อ 5 MOU พ.ศ. 2543 ต้องรายงานขึ้นผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาต้องรายงานขึ้นไปยังกระทรวงกลาโหม กระทรวงกลาโหมต้องรายงานต่อไปยังคณะรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีต้องมอบหมายให้กระทรวงต่างประเทศไปประท้วงตรงนั้นผิดข้อตกลง ผิด MOU อันนั้นเป็นแบบพิธีที่ต้องทำ

 

 

ปรากฏว่ารายงานนักข่าวก่อน รูปออกเร็วมาก รูปออกทางสื่อสังคมออนไลน์ก่อนเลยตอนแรกผมก็คิดว่า คูอันนี้ใช้ทำอะไร คูส่งน้ำชลประทานหรืออะไร จนกระทั่งอาจารย์อัครพงษ์อธิบายว่า Raid แปลว่า คู ที่เอาไว้รุกมันเป็นศัพท์ทางทหาร ผมก็อ๋อเกี่ยวข้องกับอำนาจอธิปไตย พอมีการปล่อยภาพนี้ก็มีก็มีการปล่อยข่าวอีก

อันนี้มีการบอกว่าขุดเลยไปตรงนี้ อีกประมาณสักระยะหนึ่งเลยเข้ามาในเขตตั้ง 150 เมตรไม่มีใครไปดูแลเลยผมก็แปลกใจอีกเอาทหารเฝ้าอยู่ในทุกวันไม่มีใครดูแลเลยตกลงใครเฝ้าแผ่นดินไทยอยู่ไม่มีใช่ไหม จนกระทั่งให้นักข่าวบอกว่า

ไปดูแผ่นดินโดนรุกแล้ว ประเด็นก็คือว่านิยามของความเป็นชาติ ความรักชาติและเอกราช และ อำนาจอธิปไตยผูกอยู่กับเฉพาะแผ่นดินเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นการ ดำเนินนโยบายจึงมอบให้กองทัพเป็นคนจัดการดูแลแทนที่จะมาตามขั้นตอนอย่างที่ผมว่า ถ้าเรามีปัญหาเรื่องเขตแดน ปักปันเขตแดนก็ว่าไปตามสภาพแต่ว่ารัฐบาลจริงแล้วรุ่นแรกๆก็ไม่ได้ตอบสนอง รู้สึกจะไม่ได้ทราบด้วยซ้ำไปว่าที่เกิดเหตุอยู่ตรงบริเวณใด ถ้าผมเป็นรัฐมนตรีจะลงไปดูตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งเขายิงกัน เพราะปกติทหารแถวนั้นจะขี้คุยว่า เป็นเพื่อนกันกินข้าวด้วยกันบ่อยๆแต่เจอหน้ากันคราวนี้ยิงกันเลยประหลาดมาก ผมว่านี่ประหลาดมาก Rules of Engagement (กฎการปะทะ) ก็ไม่ได้แล้วนะอันนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องชี้ไว้ พอมาถึงเรื่องการดำเนินโยบายว่าต้องจัดการอย่างไร เกี่ยวกับเรื่องนี้ที่เกิดขึ้นความเป็นชาติมาเต็มเพราะถูกฝังด้วยความเป็นชาติแบบราชการเพราะฉะนั้นจึงมอบอำนาจให้พวกนี้หน้าที่ปกป้องประเทศเป็นกองทัพไปทำอันนี้ผิดหลักอันที่สอง ก็คือว่าจริง ๆแล้ว Spirit ของ 2475 หลักของการบริหารงานรัฐยุคใหม่เราก็ต้องมี Civilian control ที่ต้องมี Civilian supremacy รัฐบาลพลเรือนที่รับผิดชอบต่อประเทศชาติจะต้องจัดการในเรื่องนี้ในการออกคำสั่งจัดการนโยบาย ในทางยุทธศาสตร์เป็นเรื่องของรัฐบาล แต่ในทางยุทธวิธีเป็นเรื่องของกองทัพ เพราะเขาเก่งเรื่องใช้กำลังว่าจะวางกำลังตรงไหนอะไร ตรงนั้นได้เปรียบ ส่วนว่าเราจะทะเลาะกับกัมพูชาเมื่อไหร่ เราจะปักปันเขตแดน เส้นเขตของเราอยู่ตรงไหนเป็นหน้าที่ของรัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศ ท่านทูตท่านรับทำมา ท่านทราบว่าเขตแดนของเราอยู่ตรงไหน เคลียร์หรือยังแนวปฏิบัติอยู่ตรงไหนอันนี้รัฐบาลต้องเป็นคนบอก ปรากฏว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นเมื่อกองทัพผูกขาดความเป็นเอกราชอำนาจอธิปไตยไว้กับตัวการดูแลชายแดน การดูแลเส้นเขตแดน เลยกลายเป็นหน้าที่ของกองทัพรัฐบาลก็รอแต่ฟังว่าจะทำอย่างไร เพราะฉะนั้นการสั่งการในระยะหลังๆมาจนถึงทุกวันนี้

จากที่เราทะเลาะกันบนจุดเล็กๆ ถ้าเชื่อว่าเลยมาประมาณ 200 เมตร ปัจจุบันนี้เราปิดด่านซึ่งมีมูลค่าการค้าเป็นแสนแสนล้าน ผมก็แปลกใจว่ารัฐบาลได้มอบอำนาจให้ผู้บัญชาการทหารซึ่งอยู่ในพื้นที่ทั้งแม่ทัพภาคที่ 1 และแม่ทัพภาคที่ 2 และกองกำลังที่อยู่แถบนั้นมีอำนาจในการจัดการชายแดนซึ่งมีผลประโยชน์มากมายที่ว่าอันนี้มันหลัก

เพราะฉะนั้นการนิยามเอาอำนาจประชาธิปไตยเป็นอำนาจเอกราชที่เป็นงานราชการเราจึงละทิ้งประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดนเพราะเราไม่รู้ทางเทคนิคทางการทหารแล้วการที่จะซีลชายแดนก็อาจจะเป็นประโยชน์สำหรับการยุทธวิธีเพื่อไม่ให้ข้าศึก เล็ดรอดเข้ามา แต่ว่าชีวิตเราที่เป็นอยู่ปัจจุบัน เรายังไม่ได้รบกันเพราะฉะนั้นไม่ต้องปฏิบัติการทางยุทธวิธี

ตอนนี้เราก็ต้องสนใจว่าประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดนจะทำมาหากินอย่างไรเราทะเลาะกับกัมพูชา ด้วยเรื่องอะไร เราแลกผลประโยชน์ของชาติจำนวนเป็นแสนแสนล้าน กับพื้นที่ประมาณ 100 ถึง 150 ถึง 200 เมตรได้อย่างไรอันนี้เป็นเป็นประเด็นที่ผมอยากทิ้งไว้ก่อน เพื่อว่าเมื่อมีการนิยาม ถ้าเรานิยามเอกราชเป็นราษฎรเราจะต้องเอาประชาชนเป็นแกน เวลาดำเนินนโยบายเราจะไม่เอาพื้นที่แค่ 200 เมตรหรือ 150 เมตรแลกกับผลประโยชน์ของประชาชน 100,000 ล้าน ถ้ารวมทั้งหมดมากถึง 300,000 ล้าน เพราะฉะนั้นมันไม่คุ้ม ถ้ามีเงินมากขนาดนั้นเราซื้อที่ดินได้มากกว่า200 เมตร

 

ธนกร วงษ์ปัญญา :

ผมว่าเป็นสถานการณ์ที่ต่อเนื่องกัน เมื่อกี้ที่ผมพูดตอนเริ่มต้นว่าคุณพรรณิการ์ ชวนเราตั้งคำถามเหมือนที่ผมสรุปว่าเรารักชาติแบบไหน ? คุณสุภลักษณ์ช่วยขยายความคำว่าชาตินี้ ว่าเป็นชาติในความหมายที่ราชการหรือรัฐราชการพยายามจะกำหนดให้กับประชาชนแล้วผูกติดอยู่กับสิ่งที่เราเรียกกันว่าแผ่นดินดินแดนแล้วก็ได้ประกาศของราชการแล้วก็คำสั่งที่ในฐานะที่สื่อมวลชนเอง เราก็ติดตามเรื่องนี้เราก็จะเห็นตลอดเวลาว่าข้ออ้างอันหนึ่งก่อนที่จะมาถึงเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือสแกมเมอร์ที่ยกขึ้นมาก่อนนั่นคือเพื่อปกป้องกันอธิปไตยหรือดินแดนเพราะฉะนั้นคำนี้ก็จะมีความหมายในเชิงสัญญะบางอย่างที่คุณสุภลักษณ์ได้อธิบายไป

กลับไปที่คุณสุภลักษณ์เมื่อกี้ตอนเราฟังแล้วพูดถึงตัวระบบราชการ ผมสนใจมากเลยอยากให้ช่วยขยายให้มากขึ้นเพราะว่าสื่อมวลชนพวกเรากับระบบราชการเป็นไกลของประชาธิปไตยที่สำคัญนะผมว่าแต่ว่าคนก็ตั้งคำถามแล้วก็เขย่ามันว่าเป็นเครื่องมือของอำนาจหรือเปล่า แล้วอีกอันหนึ่งโครงสร้างอำนาจนอกระบบ คุณสุภลักษณ์มองอย่างไรว่าวันนี้จะเข้ามาอิทธิพลแค่ไหน

 

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี :

คือระบบราชการไทยไม่ใช่กลไกลรัฐ ระบบราชการไทยคือคุมอำนาจรัฐทำมาตั้งแต่ไหนแต่ไรตั้งแต่ 2475 พูดกันตรงไปตรงมารุ่นผมไม่ค่อยสนใจ 2475 เท่าไหร่รุ่นผมก็รู้สึกว่ามันเป็นการแย่งอำนาจกันในหมู่ขุนนาง คนรุ่นผมเข้ามาทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรา Articulate กับเดือนตุลาคมมากกว่าเพราะว่านั่นเป็นครั้งแรกที่คนธรรมดาลุกฮือขึ้นมาเพื่อต่อต้านระบอบที่เป็นอยู่ในที่สุดไม่ได้หรอกหลังจากนั้นก็ตีคืนมีการรัฐประหาร เพราะฉะนั้นกองทัพระบบราชการอยู่ในการเมืองโดยตลอด แล้วก็ควบคุมอำนาจทางการเมืองโดยตลอด

ผมก็ยังไม่เห็นว่ายุคไหนสมัยไหนที่รัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งแล้วได้ อาณัติการเลือกตั้งคำนี้สำคัญ แล้วสามารถใช้อาณัติโดยเต็มไม้เต็มมือกรณีที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้เราก็ทราบดีว่าคือถ้าหากระบอบของเราได้รับอนุญาตให้เดินไปอย่างที่มันควรจะเป็นเอกราษฎร์ก็จะมีอำนาจอย่างเต็มที่ ถ้าหากว่าระบบของเราสามารถเดินแบบนั้น แล้วสามารถ Set ตัวเอง และ Reset ตัวเองได้ในกรณีที่มีปัญหามันก็จะทำให้การเลือกตั้งมันก็ตอบสนองต่ออาณัติที่ประชาชนได้ให้มา

เพราะถ้าหากเราอธิบายสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเมื่อพรรคซึ่งไม่ได้ชนะเลือกตั้งแต่สามารถประนีประนอมกับอำนาจเดิมได้ ด้วยการแลกเปลี่ยนอะไรก็จะพอทราบกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ทำให้พรรคการเมืองที่สมควรจะได้อาณัติจากการเลือกตั้งเต็มไม้เต็มมือก็กลับไม่เกิดขึ้น พอไม่เกิดขึ้นอนุญาตให้กองทัพซึ่งคุมอำนาจอยู่แต่เดิม เขาจะให้ใครก็ได้เขาจะไม่ให้ใครก็ได้ เวลาเราพูดถึงว่าเราอยากจะลดอำนาจกองทัพเราอยากจะทำให้รัฐบาลพลเรือนมีอำนาจเต็มในการบริหารใช่มั้ยผมเข้าไปมีส่วนร่วมในการเข้าไปอยู่สภาฯเล็กน้อยกับเขาได้เห็นความเคลื่อนไหวว่าคนที่ได้รับการเลือกตั้งพยายามเสนอหลายครั้งแล้วก็พรบ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม เพื่อให้รัฐบาลพลเรือนมีอำนาจเหนือกองทัพบังคับบัญชากองทัพได้จริงๆตามหลักการไม่เคยสำเร็จแล้วพรรคที่มาจากการเลือกตั้งที่โดยใช้วิธีอื่นๆแทนที่จะมาตรงๆก็ไม่กล้าที่จะแก้ไขกฎหมายฉบับนี้เพื่อให้ตัวเองเนี่ยซึ่งเป็นรัฐบาลอยู่สามารถควบคุมและบังคับบัญชากองทัพได้อย่างเต็มที่

ผมยกตัวอย่างสถานการณ์ที่เกิดขึ้นปัจจุบัน กองทัพถึงสามารถเรียกว่าควบคุมอำนาจได้ทีละส่วน เขายังไม่ปล่อยมืออะไรออกไปเลย เขาแค่อนุญาตให้คุณเป็นรัฐมนตรี แต่วันนี้ผมเชื่อว่าเขาจะเอาคืนแล้ว

 

ธนกร วงษ์ปัญญา :

ขอบคุณครับสั้นๆกระชับได้ใจความ เพราะว่าเหมือนที่คุณศุภลักษณ์พูดรอบแรกว่าการประกาศเรื่องปิดด่าน เป็นภาพชัดว่าทางฝั่งกัมพูชา นายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้สื่อสาร โดยมาตราฐานจะเป็นแบบนั้น อย่างวันนี้ที่เราเห็นอย่างผมทำข่าว เมื่อวานนี้ที่ปิดทุกด่าน แล้วค่อยๆมาตั้งแต่กองทัพภาคที่ 1 ฝั่งสระแก้ว แล้วก็ไล่มาเป็นกองทัพภาคที่ 2 ฝั่งกองทัพเรือจันทบุรี ตราด แต่เราไม่เห็นมาตราฐานจากฝั่งที่เป็นผู้บริหารของรัฐบาลนี้ สุดท้ายถือได้ว่ากองทัพเป็นผู้ช่วงชิงการประกาศ

 

 

หมายเหตุ :

  • ถอดความและเรียบเรียงใหม่โดยกองบรรณาธิการ
     

รับชมถ่ายทอดสดฉบับเต็มได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=-q4KbUx9bbM&t=3s

ที่มา :

  • PRIDI Talks #31 เอกราษฎร์ และอธิปไตย ยุคประชาธิปไตย 2475 ถูกท้าทายวันอังคารที่ 24 มิถุนายน 2568 เวลา 13.30 - 17.00  น. ณ ห้องประชุมเอนกประสงค์ ร.103 (ห้องทวี แรงขำ) คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์