
photo : http://www.mowojo.com/p/374
ศ.ดร.เจตนา นาควัชระ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ อดีตคณบดีคณะอักษรศาสตร์ และอดีตรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวว่า “ ศิลปะทุกแขนงล้วนส่องทางต่อกัน ” เช่นเดียวกับทุกสิ่งบนโลกล้วนเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน ความสำคัญจึงขึ้นอยู่กับว่าเมื่อเราได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งได แล้วได้นำสิ่งนั้นไปสร้างให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษย์ชาติอย่างไร เช่นเดียวกับวรรณกรรมแนววิทยาศาสตร์เรื่อง “ กาเหว่าที่บางเพลง ” ผลงานการประพันธ์ของ พลตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนวนิยายแนวไซไฟระดับตำนานของไทย ได้ดัดแปลงจากบทประพันธ์ต้นแบบของนักเขียนชาวอังกฤษ จอห์น วินแดม (John Wyndham) เรื่อง “ The Midwich Cuckoos ” ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์หลาย version
- Village of the Damned (1960) : ภาพยนตร์ขาวดำฉบับคลาสสิกจากอังกฤษ กำกับโดย Wolf Rilla
- Children of the Damned (1964) : ภาคต่อของฉบับปี 1960
- ภาพยนตร์ไทย “ กาเหว่าที่บางเพลง ” (1994) / ละครทีวีไทย (2003)
- Village of the Damned (1995) : ฉบับ remake โดยผู้กำกับ John Carpenter นำแสดงโดย Christopher Reeve
- The Midwich Cuckoos (2022) : ซีรีส์โทรทัศน์ความยาว 7 ตอนทางช่อง Sky Max นำแสดงโดย Keeley Hawes
ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ไทยในปี 2537 สร้างเป็นละครโทรทัศน์ ช่อง 3 ในปี 2546 [1] และปีนี้ 2568 ถูกนำมาจัดแสดงในรูปแบบละครเวทีตีความใหม่ เป็นเหตุให้เกิดปรากฏการณ์ “ กาเหว่าที่บางเพลง The New Musical ” จัดโดย มหาวิทยาลัยกรุงเทพ และ บริษัท ซีเนริโอ จำกัด (Scenario) ด้วย ‘ สารสำคัญ ’ ของ วรรณกรรมอมตะ ผสานศิลปะการแสดง ดนตรีออร์เคสตรา เสริมด้วยนักร้อง นักแสดง เทคนิคพิเศษแสงสีเสียงที่ทรงพลังเต็มรูปแบบมืออาชีพ ช่วยถ่ายทอดเรื่องราวลี้ลับแห่งบางเพลง โดยมุมมองของละครเพลงร่วมสมัยไทยในเวลา 140 นาที ให้ ‘ ผ่าน ’ ไปได้อย่างสง่างาม ท่ามกลางเสียงโจษจันสรรเสริญ และตั้งคำถามตามมา

photo : thaibunterng.fandom.com กาเหว่าที่บางเพลง (2537)
ภาพยนตร์ต้นแบบ “ กาเหว่าที่บางเพลง ” (2537)
- ประเภท : Si-Fi / Thriller สยองขวัญ, บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์,
- ผู้กำกับ : นิรัตติศัย กัลย์จาฤก
- บทประพันธ์ : ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
- บทภาพยนตร์ : วาณิช จรุงกิจอนันต์, ทศพร นาคธน และ อารี จินตพาณิชการ
- ผู้ถ่ายภาพ :
- ดนตรีประกอบ : จรัล มโนเพ็ชร
- อำนวยการสร้าง : จาฤก กัลย์จาฤก และ สุรางค์ เปรมปรีดิ์ ช่อง 7 สี
- บริษัทผู้สร้าง : กันตนา
- วันที่เข้าฉาย : 1 ตุลาคม 2537 ณ โรงภาพยนตร์ EGV-เอนเตอร์เทน-เดอะมอลล์-พาต้า-ฯลฯ
- ระบบถ่ายทำ : ภาพยนตร์สี เสียงในฟิล์ม 35 มม.
นำแสดงโดย ศรัณยู วงศ์กระจ่าง , หัทยา เกษสังข์ , ศตวรรษ ดุลยวิจิตร , รุ้งทอง ร่วมทอง , จรัล มโนเพชร , สุรัตนา ข้องตระกูล , รุจน์ รณภพ , สีเทา และนักแสดงสมทบอีกหลายท่าน อาทิ ดารัณ ฐิตะกวิน , สุเชาว์ พงษ์วิไล , สมพงษ์ พงษ์มิต , มารศรี อิสรางกูร ณ อยุธยา , สมควร กระจ่างศาสตร์ , ธนา สุทธิกมล ฯลฯ
“ กาเหว่าที่บางเพลง ”
“ กาเหว่าที่บางเพลง ” สร้างจากบทประพันธ์ของ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนิยายวิทยาศาสตร์ ตีพิมพ์เป็นตอนๆ ลงในหนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน ช่วงประมาณ พ.ศ. 2530 ตีพิมพ์ฉบับรวมเล่มครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2532 มีเค้าโครงเรื่องหลักมาจากนิยายชื่อ “ The Midwich Cuckoos ” ผลงานประพันธ์ของนักเขียนชาวอังกฤษ จอห์น วินแดม (John Wyndham) ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2500 เป็นภาพยนตร์แนว Sci-Fi เรื่องแรกของไทยที่พูดถึงการมาเยือนโลกของมนุษย์ต่างดาว กาเหว่าในนิยายและภาพยนตร์จึงหมายถึง ‘ ลูกที่มนุษย์ต่างดาวเอามาฝากไว้กับมนุษย์ ’
เรื่องราวแปลกประหลาดเกิดขึ้น ณ หมู่บ้านบางเพลง ในคืนวันลอยกระทงได้เกิดเหตุการณ์พระจันทร์ทรงกลดขึ้น ทำให้ทุกสิ่งหยุดไปชั่วขณะ เมื่อวัตถุประหลาดบินผ่านบางเพลง ต่อมาผู้หญิงทั้งหมู่บ้านไม่ว่าจะเป็นหญิงสาว ไม่เว้นแม้คนชราหรือแม่ชี เกิดตั้งครรภ์พร้อมกันโดยทราบสาเหตุ ต่อมาได้ให้กำเนิดเด็ก 214 คน เมื่อคลอดออกมาเด็กที่เกิดจากการตั้งครรภ์ลี้ลับเหล่านี้กลับมีหน้าตาแปลกประหลาด เป็นเด็กที่มีพลังพลังลึกลับพิเศษแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป และสามารถสื่อสารกันได้ทางโทรจิต นำมาซึ่งเรื่องราวลึกลับ เกิดอาเพศ และความหวาดกลัวถึงแผนการใหญ่ของผู้มาเยือนจากต่างโลก.
“ กาเหว่าที่บางเพลง ” เข้าฉาย ปี 2537 ที่โรงภาพยนตร์เอ็นเตอร์เทน (เซ็นทรัล ลาดพร้าว/โรบินสัน ดอนเมือง/บางลำภู งามวงศ์วาน/อิมพิเรียลเวิลด์ สำโรง/ดีแซมเบอร์ บางกะปิ) -เดอะมอลล์ (รามคำแหง/ท่าพระ/งามวงศ์วาน/บางแค /บางกะปิ) -เมอร์รี่คิงส์ (วังบูรพา/รังสิต) -พาต้า (ปิ่นเกล้า/หัวหมาก) -EGV (ฟิวเจอร์พาร์ค บางแค/ซีคอนสแควร์) - ฯลฯ ปิดโปรแกรมการฉายไปด้วยรายได้ทั้งหมด 46.50 ล้านบาท และถูกนำมาสร้างอีกครั้งเป็นละครทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3 ในปี พ.ศ. 2546
- รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี (ตุ๊กตาทอง) ประจำปี พ.ศ. 2537
บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม (วาณิช จรุงกิจอนันต์, ทศพร นาคธน, อารี จินตพาณิชการ)
เทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม (บริษัท กันตนาโมชั่นพิคเจอร์ จำกัด)
- รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 4
การสร้างภาพพิเศษทางภาพยอดเยี่ยม (บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด)
- รางวัลภาพยนตร์ไทย ชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 5
นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (รุจน์ รณภพ)

photo : pantip.com ละครโทรทัศน์ “ กาเหว่าที่บางเพลง ” ปี 2546
ละครโทรทัศน์ “ กาเหว่าที่บางเพลง ” ปี 2546
บทประพันธ์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
บทโทรทัศน์ ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์
กำกับการแสดง กมล ศรีสวัสดิ์
สร้างโดย บริษัท ฟิล์มเซิร์ฟ จำกัด(ในเครืออาร์เอส)
นำแสดงโดย
ริว อาทิตย์ ตั้งสวัสดิ์รัตน์ แสดงเป็น สมรักษ์
อั้ม ฐนิชา ดิษยบุตร แสดงเป็น ลูกสาว อ.ฟื้น
อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง แสดงเป็น ประพันธ์
นิ้ง กุลสตรี ศิริพงศ์ปรีดา แสดงเป็น แก้ว
โน๊ต ธวัช ทัศนาพลพินิจ แสดงเป็น เดช
และนักแสดงสมทบอีกมากมาย
ละครช่อง 3 ปี 2546 รวม 21 ตอน ออกอากาศ ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 18.35 น.
https://youtube.com/playlist?list=PLcxleNV4O6TCrv4kyuss0C8srLVYcSnTR&si=yOEz7ZQDO0w9F9kM
เมื่อ 40 ปีก่อน ณ หมู่บ้านบางเพลง ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิบสองวันลอยกระทง ประพันธ์ ขอ แก้ว แต่งงาน บนฟากฟ้าเวลานั้นเกิดสิ่งผิดปกติขึ้น เมื่อพระจันทร์ทรงกลดทั่วบ้านบางเพลงทุกสิ่งได้ถูกสะกดจากอำนาจลึกลับให้หยุดนิ่งเป็นเวลา 4 นาที ยกเว้นนางประนอมแม่ของประพันธ์ ที่บังเอิญอยู่นอกรัศมีและสังเกตเห็นส่งประหลาดนี้ เมื่อทุกคนรู้สึกตัวอีกครั้งทุกสิ่งก็เหมือนปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากนั้นหนึ่งเดือนประพันธ์ต้องไปทำงานที่พังงา สองเดือนต่อมาผู้หญิงที่บ้านบางเพลงก็ตั้งท้องพร้อมกันสองร้อยกว่าคน ไม่เว้นแม้แต่เด็กสาว แม่ม่าย ยายชี รวมทั้งแก้วด้วย หลวงพ่อเติม เจ้าอาวาสวัดบางเพลงทราบว่ามหันตภัยกำลังมาเยือน พร้อมกับการกำเนิดของเหล่าทารกจากอเวจี
อีกหนึ่งเดือนต่อมาประพันธ์กลับมาที่บางเพลงเพราะทราบข่าวว่าแม่ของเขาตาย แก้วตั้งท้องเขาเข้าใจผิดว่าแก้วนอกใจ และเป็นชู้กับ ไอ้เจิด ลูกเจ้าของโรงสีซึ่งเป็นนักเลงในหมู่บ้าน แก้วไม่สามารถอธิบายการตั้งท้องของเธอได้ ประพันธ์คลั่งและเก็บตัว หลวงพ่อเติม มาเตือนสติประพันธ์ แต่เขาก็ยังเคียดแค้นสิ่งต่าง ๆ รอบตัวอยู่ อาจารย์ยุพาซึ่งตั้งท้องเหมือนกันปรึกษากับอาจารย์สมศักดิ์ผู้เป็นสามี ว่าจะต้องพิสูจน์เรื่องการตั้งท้องให้ได้ และไปปรึกษากับอาจารย์ศิริซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก
ครูจ้อย เป็นหนึ่งในจำนวน 24 คนที่ไม่ตั้งท้องที่บ้านบางเพลง เพราะว่าในวันลอยกระทงไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้านได้ตัดสินใจค้นหาควมจริงกับอาจารย์สมศักดิ์และอาจารย์ศิริ แก้วคลอดลูกออกมาชื่อ สมรักษ์ ซึ่งโตเร็วกว่าเด็กธรรมดาหนึ่งเท่า ประพันธ์ตัดสินใจร่วมกับกลุ่มค้นหาความจริง ศักดิ์ กับ ชื่น สองผัวเมียชาวนาผู้ยากจนได้ลูกชายชื่อ เดช ซึ่งกินเก่งกว่าเด็กธรรมดา เดชดูดเลือดชื่นจนแห้งตาย ศักดิ์เข้ามาเห็นพยายามช่วยแต่ถูกอำนาจลึกลับสะกดให้ตกเป็นทาสรับใช้ เมื่อเดชโตขึ้นศักดิ์ถูกฆ่าตาย
8 ปีผ่านไปเด็ก ๆ โตขึ้นเท่ากับเด็กอายุ 15 - 16 ปี กินแต่เนื้อดิบ ๆ และรวมกลุ่มกันไม่พูดกับใคร สื่อสารกันด้วยพลังจิต รวมตัวกันตอนกลางคืนเพื่อวางแผนและจับสัตว์กินเป็นอาหาร และแสร้งทำประโยชน์ให้หมู่บ้าน เช่น ลอกคลอง ทำถนนสัตว์เลี้ยงในหมู่บ้านหายไปเรื่อย ๆ จนชาวบ้านหวาดกลัว เดชอยู่เบื้องหลังการตายและความรุนแรงและมักปราศจากเหตุผล ทำให้เกิดกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยนำโดย สมรักษ์ ลูกของแก้ว เขามีความรู้สึกทางด้านอารมณ์เห็นใจมนุษย์โดยเฉพาะกับ พิมเด็กธรรมดาคนเดียวในหมู่บ้านที่เป็นมิตรกับเด็กกลุ่มนี้
ในกลุ่มของสมรักษ์ยังมี ยุวศักดิ์ ลูกของอาจารย์สมศักดิ์และอาจารย์ยุพาด้วย ส่วน สมพร และเด็กอีก 3 คนเป็นลูกของแม่ชี ทั้งหมดอาศัยอยู่กับหลวงพ่อเติมพวกนี้สนใจในหลักธรรมจึงเข้ากับกลุ่มของสมรักษ์ และมียุวศักดิ์ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเด็กกลุ่มใหญ่ที่มีเดชเป็นผู้นำ ไอ้เจิด ถูกฆ่าตาย สารวัตรสุทัศน์ เข้ามาสอบสวนคดี สมรักษ์เข้าขัดขวางเดชที่กำลังจะฆ่า อาจารย์ฟื้น พ่อของพิมสาวที่เขารักซึ่งรู้ถึงความโหดร้ายของพวกตน เกิดการต่อสู้ด้วยฤทธิ์เดชที่เหนือมนุษย์ แต่ก็ต้านพวกของเดชที่มากกว่าได้ สารวัตรสุทัศน์ติดตามคดี พวกเด็กเข้าล้อมโรงพัก ตำรวจทั้งหมดเหมือนถูกมนต์สะกด เดชหยิบปืนเล็งไปที่สารวัตร สมรักษ์เข้าขวาง หลวงพ่อเติมมาช่วยด้วยอีกคน ประพันธ์เข้าใจผิดคิดว่าแก้วชอบกับสารวัตร ส่วนสมรักษ์นั้นตกหลุมรักพิม เดชจับพิมไปสมรักษ์ตามไปช่วยแต่เสียที ประพันธ์เข้ามาช่วยทัน ประพันธ์รวบรวมชาวบ้านเพื่อขับไล่เด็ก ๆ ออกจากหมู่บ้านและได้เผชิญหน้ากัน ขณะที่เหตุการณ์กำลังรุนแรงหลวงพ่อเติมปรากฏตัวขึ้น ด้วยบารมีแห่งความรักความเมตตาชาวบ้านเชื่อฟังโดยดี พวกเด็กต่างดาวก็รู้สึกได้เช่นกัน แม้แต่เดชเองยังต้องถอย
พวกเด็กหันมาทำประโยชน์ให้กับชาวบ้านด้วยพลังที่เหนือมนุษย์ ชาวบ้านตายใจหันมากราบกรานเด็กต่างดาวราวกับเป็นพระเจ้า ขณะที่แผนยึดโลกเพื่อใช้ทดลองเพาะพันธุ์ดำเนินต่อไป ประพันธ์เสี่ยงบุกทำลายแผนการณ์ และเปิดโปงแผนการยึดโลกของเด็กต่างดาว เดชประกาศจะกำจัดประพันธ์และชาวบ้านที่ต่อต้าน สมรักษ์, สมพร, ยุวศักดิ์ เข้าช่วยเหลือและต่อสู้กับเดชและพวก โดยสู้กันด้วยพลังจิต พายุกระหน่ำสิ่งต่าง ๆ ปลิวเกลื่อนกลาดสลับกับเสียงฟ้าผ่าประหนึ่งโลกจะแตก เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ประพันธ์จะรอดชีวิตหรือไม่ ผลการต่อสู้ระหว่างฝ่ายดีและฝ่ายเลวจะเป็นอย่างไร ชาวบ้านบางเพลงจะรอดจากเคราะห์กรรมครั้งนี้หรือไม่ บรรดาเด็กต่างดาวจะมีวิถีชีวิตต่อไปอย่างไร ทิ้งไว้ให้ต้องติดตาม

ละครเพลง Sci-Fi เรื่องแรกของไทย “ กาเหว่าที่บางเพลง The New Musical ” ได้รับการสนับสนุนจาก กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย (สศร.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ดำเนินการภายใต้โครงการ “ กาเหว่าที่บางเพลง ” เดอะ มิวสิคัล โดย มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เป็นละครเพลงที่สร้างสรรค์จากผลงานบทประพันธ์ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีคนที่ 13 ของประเทศไทย และได้รับการยกย่องเป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปีพ.ศ. 2528 โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.พรรณศักดิ์ สุขี ผู้อำนวยการศิลป์คณะละคร มหาวิทยาลัยกรุงเทพ และหัวหน้าภาควิชาศิลปะการแสดง มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เป็นผู้ประพันธ์บทละครเพลง ครั้งนี้เน้นใช้กระบวนการสร้างเอกลักษณ์ในงานศิลปะร่วมสมัยของไทย และสร้างความใหม่ในรูปแบบของมิวสิคัล (Musical) เพื่อสร้างความเข้าใจในความแตกต่าง แสดงให้เห็นถึงสายใยสัมพันธ์ของสถาบันครอบครัว และความเป็นสากลเหนือกาลเวลาของพระพุทธศาสนา
ผศ.ดร.พรรณศักดิ์ สุขี หัวหน้าภาควิชาศิลปะการแสดง คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าวว่า “ ความพิเศษของกาเหว่าที่บางเพลง นอกเหนือจากความโดดเด่นด้านการเล่าเรื่อง ยังได้นำศิลปะการแสดงและสื่อสร้างสรรค์ร่วมสมัย มาสร้างบทสนทนาใหม่ผ่านการตีความร่วมสมัย ที่ตั้งคำถามเรื่อง ‘ความแปลกแยกและความแตกต่าง’ ระหว่างพุทธศาสนา วิทยาศาสตร์ ความรัก และเมตตาธรรม กระตุ้นให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นถึงคุณค่าความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ยกระดับ Soft Power และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในเวทีระดับชาติและระดับนานาชาติ”
โครงการนี้เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติ ฝึกคิด ฝึกทำ และร่วมสร้างประสบการณ์จริงกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมระดับประเทศ ตั้งแต่การออกแบบการตลาด การผลิตสื่อ การบริหารโปรเจกต์ ไปจนถึงการทำงานร่วมกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมบันเทิง ซึ่งนับเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ของคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพสู่ “การเป็นผู้นำด้านการสื่อสารสร้างสรรค์ในระดับอาเซียน” ผ่านแนวคิด Creative Sustainability ที่มุ่งสร้างความยั่งยืนทั้งด้านศิลปะ การศึกษา และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ โดยคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เชื่อว่าการเรียนรู้จากการลงมือทำจริง คือ กุญแจสำคัญของการสร้างคนรุ่นใหม่ที่สามารถขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสื่อสร้างสรรค์ได้อย่างยั่งยืน ทั้งในประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน
“ กาเหว่าที่บางเพลง The New Musical ”
เปิดการแสดง 20–25 ธันวาคม 2568 ณ เมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์
บัตรราคา 800 / 1,000 / 1,200 / 1,500 บาท

ก่อนการแสดงรอบ GALA Performance เมื่อ วันที่ 23 ธันวาคม 2568 เวลา 18.00 น. ณ เมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์ มีเสวนาพิเศษหัวข้อ “ ประดิษฐกรรมความเป็นไทยในวรรณกรรมของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช และเส้นทางละครเวทีไทยสู่มาตรฐานโลก ” [2] ร่วมเสวนา โดย ถกลเกียรติ วีรวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) , ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ทวี สุรฤทธิกุล ผู้แทนจากสถาบันคึกฤทธิ์ (เลขานุการ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช) , ม.ร.ว. เฉลิมชาตรี ยุคล นักเล่าเรื่อง ผู้กำกับภาพยนตร์ เจ้าของบริษัท FukDuk Production และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. พรรณศักดิ์ สุขี หัวหน้าภาควิชาศิลปะการแสดง ผู้อำนวยการศิลป์ คณะละครมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เป็นผู้ดำเนินรายการ ร่วมแลกเปลี่ยนทัศนคติ ขยายคุณค่าและความหมายของ ‘ ความเป็นไทย ’ (Thainess) ผ่านมิติของวรรณกรรม ภาพยนตร์ และศิลปะการแสดงละครเวที ในบริบทการสร้างระบบนิเวศศิลป์โดยมีหน่วยงานของรัฐบาลเป็นผู้ให้การสนับสนุน เวลาจึงน้อยเกินไปสำหรับประเด็นใหญ่นาดนี้ ทุกฝ่ายต่างมีความนัยใจไม่จบสิ้น

Photo : Sudsapda : เสวนา “ ประดิษฐกรรมความเป็นไทย ในวรรณกรรมของ
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช และเส้นทางละครเวทีไทยสู่มาตรฐานโลก ”
: “ กาเหว่าที่บางเพลง The New Musical ”

Photo : Sudsapda : “ กาเหว่าที่บางเพลง The New Musical ”

photo : BU Theatre Company : “ กาเหว่าที่บางเพลง The New Musical ”
“ กาเหว่าที่บางเพลง The New Musical ” ในรอบ GALA เมื่อ วันที่ 23 ธันวาคม 2568 เป็นรอบรวมกูรูครูละครของแวดวงศิลปะการแสดงทุกสถาบัน ทุกท่านมาพร้อมความคิดเห็นที่น่าสนใจหลังจบการแสดง ในที่นี้ได้ขออนุญาตนำมาบันทึกไว้เป็นหมายเหตุสำคัญคือ นิมิธ พิพิธกุล (ครูหนืด) ศิลปินศิลปาธร ครูสอนการแสดง นักบริหารงานวัฒนธรรม ฯลฯ ได้วิเคราะห์ “ กาเหว่าที่บางเพลง ” ออกมาให้เห็นเป็นภาพรวมสั้น ๆ ที่มีความลึกซึ้งซับซ้อนซ่อนอยู่ ภายใต้ความสวยงามอลังการของงานสร้างแสง- สี แม้ไม่ได้ขยี้รายละเอียดนัก แต่มีนัยสำคัญเชิงสัญลักษณ์น่าค้นหาอย่างยิ่ง พร้อมทิ้งคำถามเป็นปริศนาฝากไว้ให้คิดด้วย
“ จากข้อมูลต้นฉบับของเรื่อง “ กาเหว่าที่บางเพลง ” มาจากนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง The Midwich Cuckoos (ค.ศ. 1957) ของนักเขียนชาวอังกฤษ John Wyndham ซึ่งในปี 1957 เป็นปีแห่งจุดเปลี่ยนสำคัญของยุคสงครามเย็นโดยเฉพาะด้านอวกาศ เมื่อโซเวียตส่งดาวเทียม สปุตนิก 1 ขึ้นสู่วงโคจรได้สำเร็จ เป็นดาวเทียมดวงแรกของโลก จุดชนวนการแข่งขันอวกาศกับสหรัฐฯ (Sputnik Crisis) และยังเป็นปีที่สหรัฐฯ ทดลองระเบิดนิวเคลียร์ใต้ดินครั้งแรก (Rainier) ซึ่งนำไปสู่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและอาวุธของทั้งสองฝ่าย นิยายเรื่อง “ กาเหว่าที่บางเพลง ” ประพันธ์โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ตีพิมพ์ครั้งแรกเป็นตอน ๆ ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐช่วงประมาณ พ.ศ. 2530 ซึ่งเป็นปีที่มีการสู้รบชายแดนไทย-ลาว ที่ สมรภูมิร่มเกล้า, การสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ ช่องบก
จนมาถึงการชมละครเวทีในปี 2025 ปี ที่ภัยคุกคามระหว่างประเทศจากเทคโนโลยีและสงคราม ภายใต้การตีความที่มนุษย์ต่างดาว พ.ศ.นี้ มาพร้อมความแปลกแยก ระหว่าง genneration ใหม่ เก่า และ สังคมเมือง ชนบท ความขบถบนการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยที่ปล่อยให้ สงครามเย็น และความเย็นชาต่อกันอันทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้กำเนิด กับ ผู้ถูกกำเนิด ไม่มีการขึ้นตรงต่อกัน
ในการปกครองหรือถูกปกครอง คำว่า บุญคุณ กตัญญู เมตตา จึงไม่มีพลานุภาพพอต่อการอยู่ร่วมในสังคมแบบไทยที่ถูกคุกคามจากอำนาจที่ปราศจาก จิตวิญญาณ จาก มนุษย์ต่างดาวแบบ ตะวันตก ที่ตกลงมาในสังคมแบบไทยที่เชื่อว่าคำพร่ำสอนคือทางออกของการต่อสู้จากภัยที่รุกรานบ้านเมือง
มนุษย์ต่างดาว เป็นสัญญะที่ถูกสร้างมายาคติ ของภัยคุกคามจากภายนอก ที่ทำให้สังคมภายในขลาดกลัว และต้องต่อต้าน ที่มักมากับการตีความแบบ Flat Character น่าสนใจที่มักมีการอ้างถึงตัวละครมนุษย์ต่างดาวที่พยายามมาเรียนรู้ความเป็นมนุษย์ “ กาเหว่าที่บางเพลง ” เป็นงาน cross culture ที่พยายามนำ มนุษย์ต่างดาวมาเรียนรู้ความเป็นเมืองพุทธ หากแต่รูปแบบของ Type of Charater ของมนุษย์ต่างดาว ที่ต้องดูเสมือนไร้จิตใจ ทำให้ปรัชญาความเชื่อปฏิเสธการรับรู้ต่อปรัชญาการเมืองและการปกครอง จากความเห็นต่างถูกปิดตาย ตั้งแต่ต้นจนจบ จนต้องหาทางออกด้วยคำตอบของความเป็นมนุษย์ คือ น้ำตา
ในการถ่ายทำหนัง “ กาเหว่าที่บางเพลง ” (ฉาย พ.ศ. 2537) เบื้องหลังฉากไคลแมกซ์บันทึกไว้ว่า ใช้เวลาในการถ่ายทำนานมากเพื่อเค้นน้ำตาออกมาจากนักแสดงที่เล่นบทมนุษย์ต่างดาวให้ได้ ในละครเวที เราไม่ได้เห็นน้ำตาจากมนุษย์ต่างดาวมีแค่ชาวบ้านที่ร้องไห้ สูญเสียจากภาวะการคุกคาม การแสดงท่าทีของอำนาจที่เหนือกว่า และการแสดงตนว่าจะเป็นผู้มาปกครอง และจู่ ๆ ก็จากไปอย่างไร้ความผูกพัน ด้วยเหตุผลที่ว่าดินแดนนี้ ไม่เหมาะกับเหล่ามนุษย์ต่างดาว หลังจากที่ได้กลุ้มรุมบริโภคเนื้อสัตว์ของหมู่บ้านบางเพลงทิ้งไว้เหลือแต่ซาก ชาวบ้านเสียใจร้องไห้เพราะมนุษ์ต่างดาวจากไป หรือเพราะมนุษย์ต่างดาวจากไป แล้วชาวบ้านไม่เหลืออะไร ”
นิมิตร พิพิธกุล
25 ธ.ค. 68

photo : BU Theatre Company : “ กาเหว่าที่บางเพลง The New Musical ”
อาจารย์อานันท์ นาคคง (Anant Narkkong - ครูหน่อง) ผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีไทยและคีตศิลป์อาเซียน เพิ่งได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติ ‘ ผู้มีคุณูปการต่อวงการเพลงและดนตรี ’ ในงานวันภาษาไทยแห่งชาติ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 จัดโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ได้วิเคราะห์เรื่อง “ กาเหว่าที่บางเพลง The New Musical ” ไว้อย่างละเอียด ลึกรอบด้าน มีมิติที่น่าสนใจในมุมมองที่แหลมคมต่อการตีความ (Interpretation/Hermeneutics) ทุกด้านผ่านสัญลักษณ์หลากหลาย และเป็นเหมือนภาคขยายให้รายละเอียดในภาพรวมจากข้อเขียนของ นิมิตร พิพิธกุล (ครูหนืด) เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อ ผู้เรียน ผู้สอน วิชาการละคร และผู้ที่สนใจทั่วไป สมควรบันทึกไว้เพื่อการศึกษาและสืบค้น
กาเหว่าที่บางเพลง วรรณกรรมของ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ในฉบับละครเพลงสร้างใหม่ของคณะละครมหาวิทยาลัยกรุงเทพ และนำเสนอบนเวทีรัชดาลัยเธียเตอร์ คือการย้ายวรรณกรรมไซไฟ–ปรัชญาชนบทเข้าสู่เวทีเมืองอย่างจงใจ การย้ายนี้ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนสื่อ แต่คือการเปลี่ยน ระบอบการรับรู้ จากการอ่านหน้ากระดาษเงียบ ๆ ไปสู่การสร้างรู้สึกร่วมพร้อมกันของผู้คน ผ่านเสียงร้องเสียงดนตรี การเคลื่อนไหว การจัดองค์ประกอบทางละคร ด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่ใหญ่และซับซ้อนมาก ละครจำลองสังคมมนุษย์ที่ต้องเผชิญความแตกต่างแล้วรีบหาวิธีเพื่อจัดการกับมันอย่างฉับไว ทั้งอำนาจแห่งรัฐ อำนาจแห่งศาสนา อำนาจวิทยาศาสตร์แห่งเหตุผล และอำนาจแห่งความกลัว โดยสิ่งที่ละครทำอย่างเฉียบคมคือ มันไม่ปล่อยให้อำนาจเหล่านั้นเป็นกลาง แต่ทำให้เราเห็นว่า คำอธิบายว่า ‘ มนุษย์ต่างดาว ’ และ ‘ มนุษย์ปกติ ’ ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือทำความเข้าใจ หากเป็นเครื่องมือการเมืองการปกครอง เป็นโครงสร้างคัดกรองชีวิต เป็นวิธีทำให้ความรุนแรงดูสมเหตุสมผล และเป็นกลไกทำให้การกำจัดใครบางคนออกไปจากความปกติสุขกลายเป็นเรื่องที่ ‘ คนดีย์ ’ จำนวนมากยอมรับได้โดยไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองบกพร่องล้มเหลวเหมือนกัน
ชุมชนเล็ก ๆ ชื่อบางเพลงในละครเรื่องนี้ดูเป็นพื้นที่คุ้นตา มีวัด มีวันพระที่ทุกคนทำบุญกัน มีโรงเรียน มีพิธีกรรม มีการเข้าแถว มีความเชื่อ มีเจ้านายมีตำรวจ มีลำดับชั้นของข้าราชการ และมีชุดคำพูดที่ทุกคนรู้จักดีว่าอะไรคือสิ่งถูกต้อง ที่นี่ กิจกรรมแห่งอำนาจไม่ได้อยู่ในมือรัฐอย่างเดียว หากกระจายอยู่ในกิจวัตร ประโยคทักทายของผู้ใหญ่บ้านที่ขี่จักรยานตรวจตราชีวิตลูกบ้าน การซุบซิบนินทา นักรัก นักเลง คนหาปลาที่ไม่หยี่ระต่อสังคมและความเงียบของคนที่ไม่อยากมีปัญหากับชาวบ้าน กล่าวอีกอย่างหนึ่ง อำนาจในบางเพลงไม่ใช่เพียงสิ่งที่กดทับจากบนลงล่าง แต่มันคือบรรยากาศ เป็นนิสัยร่วม เป็นภาวะสามัญที่หล่อเลี้ยงชีวิตชาวบ้านเหมือนชนบททั่วไป อยู่มาวันหนึ่ง มี เด็กประหลาด/เด็กต่างดาวมาเกิดในท้องของผู้หญิงในหมู่บ้านจำนวนมาก การเติบโตและการมีอยู่เป็นอยู่ของเด็กเหล่านั้นทำให้เกิดคำถามเรื่องความเชื่อ ความกลัว และวิธีที่คนธรรมดาใช้ศาสนา-กฏหมาย-วิทยาศาสตร์กับสามัญสำนึกมาตั้งรับสิ่งที่เข้าใจไม่ได้

ละครเพลงเวอร์ชันใหม่นี้ไม่ได้เพียงเล่าเรื่องความแปลกแยก หากแต่ใช้ “ความตาย” บนเวทีเป็นประเด็นเพื่อวิพากษ์ความสัมพันธ์ระหว่าง รัฐ ศาสนา และการจัดการชีวิต อย่างตรงไปตรงมาที่สุดเท่าที่ “ กาเหว่าที่บางเพลง ” เคยถูกตีความมา
ครูใหญ่ในเรื่องคือภาพแทนอำนาจแบบสถาบันที่อ้างความดี อ้างความถูกต้องและอ้างอนาคตของชาติ เขาพูดหน้าเสาธงโรงเรียนว่าเด็กต่างดาวเก่ง ฉลาด แต่ไม่ผ่านข้อสอบวิชาหน้าที่พลเมือง ประโยคนี้สำคัญมากเพราะมันเผยตรรกะพื้นฐานของการปกครองชีวิต ต่อให้คุณเก่ง ต่อให้คุณมีคุณค่า แต่ถ้าคุณไม่ผ่านแบบทดสอบความเป็นพลเมือง คุณก็ยังถูกตัดออกจากความเป็นมนุษย์เต็มใบได้เสมอ นี่คือความรุนแรงที่มาในรูปการประเมิน เป็นความรุนแรงที่มาพร้อมไม้บรรทัด เป็นความรุนแรงที่ทำให้การกีดกันดูเป็นการบริหารจัดการอย่างมีเหตุผล เป็นภาษาของรัฐที่ไม่จำเป็นต้องตะโกน เพราะมันมีระบบการสอบ ระบบการจัดชั้น และระบบคำว่า มาตรฐานรองรับอยู่แล้ว ครูใหญ่มักมาถึงโรงเรียนก่อนใครเพื่อจัดระเบียบห้องเรียนและทำความสะอาดปัดกวาดขยะก่อนปิดประตูโรงเรียน
แล้วละครก็ทำสิ่งที่โหดและคมมาก มันทำให้ครูใหญ่ตายเป็นคนแรก ตายด้วยภาพที่เลียนพิธีกรรมรัฐอย่างแสบสัน ร่างของครูใหญ่ถูกแขวนคอเหมือนชักธงขึ้นเสายามเช้า ความตายนี้ไม่ใช่เพียงฉากให้ช็อกเล่นๆ หากเป็นบทสนทนาทางการเมืองที่บอกว่า เมื่อสังคมใช้พิธีกรรมและอุดมการณ์เป็นเครื่องมือคัดคนออกจากความเป็นมนุษย์ ในที่สุดพิธีกรรมเดียวกันนั้นจะย้อนกลับมาทำลายผู้ถือมันเอง เพราะอำนาจที่ทำงานด้วยการแบ่งแยก จะต้องหาผู้อื่นใหม่เสมอ และวันหนึ่งผู้อื่นก็อาจเป็นคนในระบบเอง ความตายของครูใหญ่จึงเป็นภาพย้อนแย้งว่า การผลิตพลเมืองดีด้วยความกลัวและการคัดทิ้ง ไม่ได้สร้างความมั่นคง หากผลิตความเปราะบางของสังคมขึ้นมาเอง
อีกตัวละครที่ถูกทำให้ตายอย่างมีความหมายน่าแปลกใจคือคนหาปลา เขาไม่ใช่ผู้มีอุดมการณ์ ไม่ใช่ผู้ศรัทธาศาสนา และไม่สุงสิงกับชาวบ้านทั่วไป เขาเป็นคนอิสระ ignorant ในแบบที่สังคมระเบียบจัดไม่ไว้ใจ เขาไม่แคร์คำสอนเรื่องบาปบุญคุณโทษ เขาอยู่นอกกฎเกณฑ์ เขาไม่เอาด้วยกับการจัดลำดับศีลธรรมของชุมชน ในละครเรื่องนี้ เขาตายด้วยกลุ่มเด็กที่ลอยตัวอยู่ในน้ำ น้ำที่เป็นสนามเสรีภาพของเขาเอง ความตายนี้คือการปราบชีวิตที่ไม่ยอมถูกกำหนด ไม่ยอมถูกจัดเข้าหมวด ไม่ยอมถูกสั่งสอน กล่าวอีกอย่าง ความตายของคนหาปลาคือการบอกว่า ในสังคมที่กลัวความแตกต่าง เสรีภาพที่ไม่แปลเป็นประโยชน์มักถูกกำจัดเงียบ ๆ
ที่จริง ก่อนมนุษย์ในบางเพลงจะตาย สัตว์เลี้ยงในหมู่บ้านหายไปทีละตัว จนกระทั่งวันหนึ่งครูและนักวิทยาศาสตร์พายเรือไปพบซากกระดูกกองเป็นภูเขาอยู่ในหนองน้ำ ช่วงนี้เป็นความโหดที่หลักแหลมของละคร เพราะมันทำให้เราเห็นโครงสร้างการพิจารณาชีวิตและสังคม สัตว์ คือชีวิตที่ไม่ถูกนับอย่างจริงจัง มันหายตัวไปก่อนโดยไม่เกิดวิกฤตศีลธรรมใหญ่โต เป็นชีวิตที่ถูกกิน ถูกทำลาย ถูกลบออกจากพื้นที่สาธารณะได้ง่ายที่สุด และการให้สัตว์ตายก่อนมนุษย์ คือการซ้อมมือของสังคมกับความรุนแรง สังคมเรียนรู้ที่จะอยู่กับการหายไปของชีวิตที่ “ไม่นับ” เพื่อให้พร้อมจะอยู่กับการหายไปของชีวิตที่ “นับ” ต่อไป
ตำรวจของบางเพลงก็เกือบจะตายเหมือนกัน ด้วยอิทธิฤทธิ์การสะกดจิตของเด็กต่างดาว การที่ตำรวจถูกไล่ต้อนให้จนมุมในโรงพักที่ตนเองคืออำนาจยิ่งใหญ่ที่สุด ปืนในมือที่เคยใช้สังหารคนร้ายศพแล้วศพเล่า ถูกสะกดจิตให้หันเข้าหาตัวเอง จ่อปาก จ่อขมับ พร้อมจะลั่นไก อำนาจบังคับใช้กฎหมายซึ่งเคยกำหนดเส้นแบ่งระหว่างผู้ปกป้องกับผู้ถูกกำจัดถูกบิดกลับอย่างสมบูรณ์ แต่สิ่งที่โหดและแหลมคมยิ่งกว่า คือการที่เด็กต่างดาว ไม่ฆ่า ตำรวจ พวกเขาหยุดการควบคุม ปล่อยให้ตำรวจมีชีวิตอยู่ต่อไป พร้อมกับความทรงจำ ความกลัว และคำถามที่ไม่อาจอธิบายได้ นี่ไม่ใช่ความเมตตาแบบศีลธรรม และไม่ใช่การให้อภัยแบบศาสนา หากเป็นการลงโทษทางการเมืองที่รุนแรงกว่าความตาย เพราะมันบังคับให้อำนาจต้องอยู่กับความเปราะบางของตนเอง ตำรวจไม่ได้ถูกปลดอาวุธในเชิงกายภาพ แต่ถูกปลดอาวุธในเชิงความหมาย ปืนยังอยู่ อำนาจยังอยู่ แต่ความมั่นใจในความชอบธรรมได้พังทลายลงแล้ว ฉากนี้ทำให้เห็นชัดว่า ละครเพลงเรื่องนี้ไม่ได้เสนอความรุนแรงของเด็กต่างดาวในฐานะภัย หากเสนออำนาจรัฐในฐานะสิ่งที่ ไม่เคยถูกตั้งคำถามจากภายใน มาก่อน ตำรวจเคยมีสิทธิ์ตัดสินชีวิตผู้อื่นโดยไม่ต้องอธิบายมากนัก แต่เมื่ออำนาจนั้นถูกสะท้อนกลับมาหาตัวเองเพียงชั่วขณะ รัฐก็แทบล่มสลาย การไม่ฆ่าตำรวจจึงไม่ใช่การลดทอนความรุนแรงของเรื่อง หากเป็นการเปิดโปงว่า สิ่งที่รัฐกลัวที่สุด ไม่ใช่ความตาย แต่คือการถูกทำให้เห็นว่าตนเองก็เป็นมนุษย์ที่เปราะบาง ไม่แน่ใจ และไม่อาจอธิบายทุกสิ่งได้ ตำรวจที่รอดชีวิตจึงกลายเป็นตัวละครที่แบกรับสภาพ ผีหลอกตัวเองต่อไป เขายังมีมีปืน และมีเครื่องแบบ แต่ไม่มีความมั่นคงใดรองรับได้อีกแล้ว ความกลัวที่ไม่อาจเล่า ความทรงจำที่ไม่อาจจัดหมวด และคำถามที่ไม่มีช่องทางให้ถาม กลายเป็นรอยร้าวภายในอำนาจ ละครไม่ได้ต้องการให้ตำรวจสำนึกผิดอย่างสวยงาม หากต้องการให้รัฐอยู่กับบาดแผลที่ตนเองไม่สามารถรักษาได้ และบาดแผลนั้นเองที่ทำให้ความปลอดภัยของบางเพลงเป็นสิ่งที่เปราะบางอย่างยิ่ง

แต่ละครไม่หยุดแค่นั้น มันทำให้การบูชากลายเป็นการเซ่นสังเวย ความตายที่สะเทือนใจที่สุดไม่ใช่ความตายของผู้แทนอำนาจรัฐหรือคนอยู่นอกกฎ แต่คือความตายของเด็กต่างดาวเอง เด็กที่ดูเหมือนพิเศษ แปลกแยก มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ในสายตาชาวบ้าน เด็กที่เคยดับไฟช่วยคนที่พยายามเผาเขา เด็กที่ยืนอยู่ในน้ำท่วมเคียงข้างชาวบ้าน และสุดท้ายตายต่อหน้าคนดู ฉากนี้ถูกทำให้แหลมคมขึ้นด้วยบทบาทของแม่ แม่สองคนกอดลูกร้องไห้และร้องบทเห่กล่อมที่เราคุ้นเคยในสังคมไทยมาแต่โบราณ “เจ้านกกาเหว่าเอย มันไข่ไว้ให้แม่กาฟัก…” สิ่งที่โดดเด่นอย่างยิ่งในละครคือการที่แม่ปรากฏอยู่แทบตลอดเรื่อง ผู้หญิงที่เป็นแม่ไม่ใช่ตัวละครที่มีอำนาจ ไม่ใช่ผู้ตัดสิน ไม่ใช่ผู้ครอบครองความจริง หากเป็นผู้ที่อยู่กับชีวิตมากที่สุด แม่อยู่ตรงข้ามกับรัฐ ศาสนาและชุดความรู้ต่างๆ เพราะความเป็นแม่ไม่ต้องการคำอธิบาย แม่ไม่ต้องการพิธีกรรม แม่ไม่ต้องการเหตุผลทางศีลธรรมใด ๆ เพื่อจะรักลูก
แม่ในเรื่องมีอยู่หลายแบบ ทั้งแม่ที่สูญเสียลูกไปต่อหน้าอย่างไม่อาจทำอะไรได้ และแม่ที่ยังมีลูกอยู่แต่ต้องยอมรับความจริงอันโหดร้ายว่า วันหนึ่งลูกจะต้องจากไป ต้องเดินทางไปอยู่ที่อื่น ไม่ว่าจะเป็นการจากไปด้วยความตายหรือการจากไปด้วยการย้ายถิ่น ทั้งสองแบบต่างเป็นความสูญเสียที่ไม่มีถ้อยคำใดปลอบประโลมได้จริง ละครไม่พยายามทำให้แม่เข้มแข็งตามแบบอุดมคติ แต่ยอมให้แม่อ่อนแอ ร้องไห้ โอบกอด และแตกสลายตรงหน้าเรา
ช่วงเวลาที่เด็กต่างดาวเอ่ยคำสั้น ๆ ว่า “แม่” ก่อนจากไป คือหนึ่งในฉากที่ทรงพลังที่สุดของละคร เพราะคำนี้ไม่ใช่คำอธิบาย ไม่ใช่คำสั่ง ไม่ใช่คำขอร้อง และไม่ใช่คำสอน มันคือคำเดียวที่ไม่ต้องการบริบทใด ๆ รองรับ คำว่า “แม่” ทำงานทันทีในระดับร่างกายของผู้ชม ก่อนจะทำงานในระดับความคิดด้วยซ้ำ เสียงร้องไห้ของแม่ที่ตามมา ไม่ได้เป็นเพียงการแสดงอารมณ์ หากเป็นการทำลายกำแพงทั้งหมดที่ผู้ชมอาจสร้างขึ้นเพื่อปกป้องตัวเองจากเรื่องเล่าทางการเมืองหรือศาสนา น้ำตาคนดูที่ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัวเช่นกัน คือหลักฐานว่าเราไม่อาจยืนอยู่นอกเรื่องนี้ได้อีกต่อไป
ในเชิงความหมาย แม่คือความสัมพันธ์ที่มาก่อนรัฐ มาก่อนศาสนา และมาก่อนอุดมการณ์ใด ๆ แม่ไม่ถามว่าลูกมีคุณสมบัติเป็นพลเมืองหรือไม่ ไม่ถามว่าลูกบริสุทธิ์พอหรือเปล่า ไม่ถามว่าลูกมีพลังพิเศษหรือไม่ แม่รักลูกเพราะลูกคือชีวิตที่ออกมาจากร่างของเธอ และการที่สังคมสามารถทำลายความสัมพันธ์นี้ได้ ไม่ว่าจะด้วยความกลัว ความศรัทธา หรือคำอธิบายเชิงธรรมะ คือภาษาที่รุนแรงที่สุดต่อศีลธรรมของสังคมนั้น

เมื่อรัฐล้มเหลว ศาสนาไม่อาจช่วยใครได้ และครอบครัวอยู่กับความกลัว แม่คือสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในฐานะศีลธรรมแบบไม่ต้องแปลความ แต่ศีลธรรมแบบแม่กลับไม่มีที่ยืนในโครงสร้างอำนาจของบางเพลง แม่ไม่อาจปกป้องลูกจากการถูกสังเวย และไม่อาจรั้งลูกจากการจากไปได้ สิ่งเดียวที่แม่ทำได้คือรัก และการที่ความรักนี้ไม่เพียงพอต่อการอยู่ร่วมในสังคม คือความจริงที่เจ็บปวดอย่างยิ่งของละคร
ความสะเทือนใจที่ผู้ชมรู้สึกในฉากของแม่ ไม่ได้เกิดจากความเศร้าเพียงอย่างเดียว หากเกิดจากการตระหนักว่า สิ่งที่บริสุทธิ์และเป็นมนุษย์ที่สุดในเรื่องนี้ กลับเป็นสิ่งที่อ่อนแอที่สุดต่ออำนาจ เมื่อเด็กต่างดาวจากไปพร้อมคำว่า “แม่” และเสียงร้องไห้ของแม่ยังคงก้องอยู่บนเวที ละครไม่ได้บอกว่าโลกนี้ไร้ความหวัง แต่บอกอย่างเงียบงันว่า หากสังคมไม่สามารถปกป้องความรักพื้นฐานเช่นนี้ได้ ความสงบใด ๆ ที่กลับมา ย่อมเป็นเพียงความสงบที่แลกมาด้วยการสูญเสียบางสิ่งที่ไม่อาจเรียกคืน
นั่นคือความสำคัญที่คึกฤทธิ์เลือกใช้คำว่ากาเหว่ามาตั้งชื่อวรรณกรรมด้วย
กาเหว่าที่บางเพลง ไม่ได้เป็นเพียงคำเปรียบสำนวนโวหารพื้นบ้าน หากเป็นการวางแกนความหมายทั้งหมดของเรื่องไว้ที่ แม่ ความรัก และความอยุติธรรมที่เกิดจากการตัดสินชีวิตด้วยกรอบศีลธรรมของสังคม นกกาเหว่าในความรู้พื้นบ้านไทย (และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยกว้าง) คือ นกที่ไม่ฟักไข่เอง วางไข่ไว้ในรังของนกชนิดอื่น ให้แม่นกตัวอื่นๆหรือแม่คนอื่นเป็นผู้เลี้ยงดู ลูกกาเหว่าเติบโตมาด้วยความรัก การคาบอาหาร การปกป้อง และการถนอมชีวิต โดยที่แม่ผู้เลี้ยง ไม่เคยรู้ว่าไข่นั้นไม่ใช่ของตนเอง ตำนานนี้มักถูกเล่าในเชิงสั่งสอนศีลธรรมแบบผิวเผินว่าอย่าหลงเลี้ยงลูกคนอื่น หรืออย่าไว้ใจสิ่งแปลกปลอม แต่คึกฤทธิ์กลับเลือกที่จะกลับด้านความหมายทั้งหมด
ในกาเหว่าที่บางเพลง คำถามไม่ใช่ว่า กาเหว่าผิดไหม แต่คือถ้าแม่รัก เลี้ยงดู และผูกพันกับลูกไปแล้ว สังคมมีสิทธิ์อะไรจะมาบอกว่า นั่นไม่ใช่ลูกของเธอ
เด็กต่างดาวในเรื่อง โดยเฉพาะในฉบับละครเพลง คือ ลูกนกกาเหว่าอย่างสมบูรณ์ในความหมายเชิงมนุษยธรรม พวกเขาไม่ได้ขโมยความรัก ไม่ได้แย่งชิงทรัพยากร และไม่ได้หลอกลวงใคร พวกเขา เกิดมา และถูกเลี้ยงดูด้วยความรักจริง ๆ จากแม่ที่อุ้มท้องโดยไม่รู้ตัว แม่เหล่านี้ไม่ใช่สัญลักษณ์ หากเป็นร่างกายจริง อารมณ์จริง และความสูญเสียจริง ตรงนี้เองที่ชื่อ “กาเหว่าที่บางเพลง” ทำงานอย่างลึกซึ้ง เพราะมันชี้ให้เห็นว่า
ความขัดแย้งทั้งเรื่อง ไม่ได้อยู่ที่เด็กต่างดาว แต่อยู่ที่ สังคมที่ไม่ยอมรับความจริงของความรัก ความรักที่ศาสนาอธิบายว่า “อนิจจัง”, รัฐอธิบายว่า “ความมั่นคง”, ชุมชนอธิบายว่า “ความถูกต้อง” แต่ไม่มีคำอธิบายใดลบล้างความจริงที่ว่า เมื่อเด็กตายในอ้อมกอดแม่ บทเห่กาเหว่า และเมื่อเด็กที่เหลือจากไปพร้อมคำว่า “แม่” คำว่า “กาเหว่า” จึงไม่ใช่คำกล่าวหา และไม่ใช่สัญลักษณ์ของความแปลกปลอมอีกต่อไป หากกลายเป็นคำฟ้องเงียบๆต่อสังคมว่าถ้าความรักลูกของแม่ยังถูกทำให้เป็นของผิด สังคมนั้นควรเรียกตัวเองว่ามีศีลธรรมได้หรือไม่ สังคมมีสิทธิ์อะไรจะมาบอกว่าเด็กต่างดาวไม่ใช่ลูก? ถ้าแม่เสียใจจริง น้ำตาจริง ร่างกายที่อุ้มท้องเป็นจริง การตัดสินของสังคมจะยังยืนบนความถูกต้องแบบไหน? กาเหว่าจึงกลายเป็นคำวิพากษ์ต่อสังคมที่ต้องการความบริสุทธิ์ของพรมแดนมากกว่าความจริงของความสัมพันธ์

ศาสนาในเรื่องถูกจัดวางอย่างละเอียดและมีชั้นเชิง พระพยายามสอนชาวบ้านทุกคนตั้งแต่ต้นจนจบ ย้ำสวดบทสัพเพสัตตา พูดเรื่องแผ่เมตตา เชื้อเชิญให้เด็กต่างดาวมาอยู่ร่วม และแม้ถูกเด็กต่อต้านก็ยังสงบสำรวม ละครไม่ได้ทำให้พระเป็นศัตรูของมนุษยธรรม ตรงกันข้าม พระคือเสียงของความกรุณาที่สังคมได้ยินแต่ไม่เลือก และนี่คือจุดที่ละครวิพากษ์ศาสนาอย่างลุ่มลึกกว่าการทักท้วงว่าศาสนาครอบงำคนหรือเปล่า เพราะมันชี้ให้เห็นว่าศาสนาในฐานะ “จริยธรรมสมัครใจ” แพ้ต่ออำนาจที่ให้สัญญา “ความคุ้มครองฉับพลัน” เสมอ เมื่อไฟไหม้ น้ำท่วม ความกลัวเกิดขึ้นมา ชุมชนไม่ได้ต้องการคำสวดแผ่เมตตา ไม่ต้องการหลักธรรมมะที่วนลูป พระที่พูดซ้ำซาก แต่ต้องการเครื่องมือประกันภัย และเมื่อศาสนาถูกลดให้เหลือแค่เครื่องปลอบใจ ศาสนาก็ถูกแทนที่โดยสิ่งที่ดูแรงกว่า-ใจถึงพึ่งได้ในเชิงอำนาจแห่งการคุ้มครอง ตรงนี้ เด็กต่างดาวถูกยกฐานะขึ้นเป็น “คนศักดิ์สิทธิ์” อย่างรวดเร็วจากการกระทำที่กล้าหาญ ชาวบ้านเคยกลัวพวกเขา พอกลายเป็นทึ่ง ก็หันไปกราบไหว้บูชาแทนพระ นี่คือการเมืองของศรัทธาแบบฉุกเฉิน ความเชื่อที่ไม่ต้องมีคำอธิบายเชิงธรรมะ ไม่ต้องมีศีล ไม่ต้องมีกรอบยุติธรรม ขอแค่ปกป้องไฟไหม้น้ำท่วมได้ การย้ายศรัทธานี้ทำให้เราเห็นว่าในสนามอำนาจ ศาสนาไม่ได้แข่งขันกันด้วยความจริง หากแข่งขันกันด้วยความสามารถในการทำให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัย และนี่คือการให้ภาพสังคมชาวบ้านร่วมสมัยอย่างเจ็บปวด เมื่อชาวบ้านธรรมดาอยู่ในโหมดความกลัว พวกเขาจะยอมแลกศีลธรรมกับความคุ้มครองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือคนประเภทอินฟลูเอนเซอร์ใจถึงพึ่งได้โดยไม่ต้องมีใครออกคำสั่ง (นึกถึงชายแดนและน้ำท่วมหาดใหญ่แฮะ)
เมื่อเด็กต่างดาวที่เหลือรอดจากความตาย ถามพระว่า “นี่คืออะไร” พระตอบง่ายๆว่า “อนิจจัง” เกิดมาแล้วต้องแก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา เด็กถามต่อว่า “ความไม่เที่ยงแท้คืออะไร” พระย้อนว่า “ที่ดาวของพวกเธอไม่มีสิ่งนี้หรือ” ฉากนี้ไม่ใช่การทำให้พระเลว แต่เป็นการทำให้เราเห็นจุดที่ศาสนาแตะขอบของความรุนแรงที่มนุษย์ผลิตขึ้นเอง อนิจจังอธิบายความตายได้ แต่ไม่อาจชำระความรับผิดชอบของผู้คนที่ปล่อยให้ความตายนั้นเกิด และในบริบทนี้ อนิจจังจึงมีสองหน้าในเวลาเดียวกัน มันปลอบประโลมอย่างจริงใจ และมันปิดคำถามอย่างสุภาพ สุภาพจนความรุนแรงดูเป็นเรื่องธรรมดา นี่คือประเด็นที่คมมากของละคร ศาสนาไม่จำเป็นต้องสนับสนุนความรุนแรงโดยตรง แค่ไม่สามารถหรือไม่กล้าจะตั้งคำถามกับโครงสร้างอำนาจ ความรุนแรงก็เดินต่อได้อย่างเรียบร้อย
อีกเรื่องหนึ่งที่อยากพูดถึง คือข้อสังเกตว่า เหนือหัวของทุกคนในโรงละครรัชดาลัยนี้(ทั้งตัวละครและผู้ชม) พระจันทร์และยานอวกาศลอยอยู่ ทำหน้าที่ตัวละครที่ไม่พูดแต่มีอำนาจที่สุด การปรากฏของมันตั้งแต่ต้นเรื่องในยามค่ำคืน แสงของดวงจันทร์ แสงของยานอวกาศที่ทำให้หญิงตั้งท้องโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คือการตัดบทบาท “มนุษย์ผู้ควบคุมเรื่องเล่า” ออกไปตั้งแต่แรก ไม่มีใครเป็นเจ้าของการกำเนิด ไม่มีใครตั้งเงื่อนไข ไม่มีใครอนุญาต และไม่มีใครอธิบายได้อย่างสมบูรณ์ แสงจากเบื้องบนนี้ไม่ใช่แสงของรัฐ ไม่ใช่แสงของวัด ไม่ใช่แสงของห้องทดลอง แต่มันเป็นแสงของจักรวาลที่ทำให้เรารู้สึกว่า ความมั่นใจทั้งหมดของมนุษย์ในการตัดสินผู้อื่นนั้นเล็กนิดเดียว
ยิ่งกว่านั้น ยานอวกาศที่กลมเหมือนดวงจันทร์ ถูกแขวนอยู่เหนือหลังคาโรงละคร ทำให้ผู้ชมทั้งโรงนั่งใต้ดวงดาวตลอดการแสดง นี่ไม่ใช่แค่ดีไซน์ฉาก แต่เป็นการจัดวางตำแหน่งทางการเมืองของผู้ชม ผู้ชมไม่ใช่คนที่ยืนอยู่นอกเรื่องอีกต่อไป เรานั่งอยู่ในเงื่อนไขเดียวกับชาวบ้านบางเพลง คืออยู่ใต้สิ่งที่เราไม่เข้าใจและควบคุมไม่ได้ และในขณะที่เราถกเถียงว่ามนุษย์ต่างดาวคือใคร เราถูกเตือนอย่างเงียบงันว่า โลกที่เราอาศัยอยู่ก็เป็นดวงดาว พระจันทร์ก็เป็นดวงดาว ดาวที่เด็กต่างดาวมาจากก็เป็นดวงดาว เพียงแต่เราให้ความหมายกับดาวเหล่านั้นไม่เท่ากัน และความไม่เท่ากันนี้เองที่ถูกถ่ายโอนมายังมนุษย์ที่มาจากดาวคนละดวง ความเป็น “ต่างดาว” จึงไม่ใช่ข้อเท็จจริงของจักรวาล หากเป็นผลผลิตของการให้ความหมายของสังคมมนุษย์ ฉากจบที่เด็กต่างดาวตัดสินใจเดินทางย้ายถิ่น ไม่แน่ใจว่าจะกลับดาวเดิมหรือไปหาดินแดนอื่น คือการประกาศความล้มเหลวของสังคมในการอยู่ร่วมกับความแตกต่าง เด็กคนหนึ่งจากไปพร้อมคำสั้น ๆ ว่า ‘ แม่ ’ คำนี้ไม่ใช่คำอำลาเชิงบทละครธรรมดา แต่มันเป็นการหอบเอามนุษยธรรมออกไปจากพื้นที่ที่ไม่ยอมรับมันอย่างเต็มใบ และเมื่อชาวบ้านกลับไปใช้ชีวิตสงบสุข มีคนพูดว่า “ บางเพลงเหมือนจะสงบเหมือนเดิม แต่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ” ประโยคนี้คือคำพิพากษาทางการเมืองที่นุ่มนวลแต่เฉือนลึก เพราะมันบอกว่า สังคมอาจฟื้นความสงบได้เสมอ หากแต่สงบนั้นอาจเกิดจากการพา “สิ่งที่ไม่เข้าพวก” ออกไป ไม่ใช่จากการเปลี่ยนแปลงความเข้าใจ
ถ้าอ่านในโลกปัจจุบัน เด็กต่างดาวไม่ใช่ตัวแทนของใครคนเดียว แต่เป็นตำแหน่งของมนุษย์ที่ถูกทำให้เป็น “คนนอก” ในสังคมที่ต้องการความเหมือน เขาอาจเป็นเด็กที่เกิดจากแรงงานข้ามชาติและลูกหลานของพวกเขา คนที่ทำงาน ดูแลเมือง สร้างบ้าน ดูแลเด็ก ดูแลคนแก่ ทำให้ระบบเดินได้ แต่ไม่เคยถูกนับว่า “เป็นเรา” อย่างสมบูรณ์ พวกเขาถูกยอมรับเมื่อมีประโยชน์ ถูกกลัวเมื่อถูกทำให้เป็นข่าว ถูกผลักออกเมื่อสังคมต้องการความสงบแบบเดิม, เขาอาจะเป็นลูกหลานที่เกิดจากผู้ลี้ภัย ผู้พลัดถิ่น คนไร้รัฐ ผู้ที่ไม่ได้หนีเพราะอยากมา แต่หนีเพราะไม่มีที่ให้ยืน พวกเขามักถูกอธิบายด้วยภาษา “ความมั่นคง” มากกว่าภาษา “ความเป็นมนุษย์” ถูกตั้งคำถามว่าเป็นภัยหรือไม่, เขาอาจเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ เยาวชนที่คิดต่าง ชูสามนิ้ว เก่ง ฉลาด มีศักยภาพ แต่ “ไม่ผ่านวิชาหน้าที่พลเมือง” ในความหมายร่วมสมัย พวกเขาอาจถูกเชิญชูในวันที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศ แต่ถูกทำให้เป็นปัญหาในวันที่ตั้งคำถามกับโครงสร้างอำนาจ สังคมรักพวกเขาในฐานะทรัพยากร แต่ไม่รักในฐานะมนุษย์ที่มีสิทธิคิดเอง, เขาอาจจะเป็นคนหลากหลายทางเพศ, อาจจะเป็นผู้พิการ คนป่วย คนที่ไม่ตรงกับมาตรฐานปกติ ผู้ที่ถูกยกย่องว่าน่ารัก น่าสงสาร มีแรงบันดาลใจ แต่ไม่ถูกออกแบบโลกให้เขาอยู่ได้จริง พวกเขาถูกชื่นชมในฐานะสัญลักษณ์ แต่ถูกทอดทิ้งในฐานะชีวิตจริง ไม่ต่างจากเด็กต่างดาวที่ถูกบูชาเมื่อมีพลัง และถูกปล่อยให้ตายเมื่อพลังนั้นไม่พอ พวกเขาคือคนที่ไม่ผ่านแบบทดสอบความเป็นพลเมืองในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ถูกยกย่องเมื่อมีประโยชน์ ถูกกลัวเมื่อถูกเล่าเป็นภัย และถูกผลักออกเมื่อสังคมต้องการกลับสู่ความสงบแบบเดิม เด็กต่างดาวจึงไม่ใช่ ตัวปัญหา หากเป็นกระจกที่สะท้อนว่า สังคมนี้พร้อมจะเข้าใจมนุษย์ที่แตกต่างแค่ไหน ก่อนจะรีบแปลงความแตกต่างนั้นให้เป็นภัย เป็นทรัพยากร หรือเป็นเครื่องรางคุ้มครอง
ที่จริงแอบคิดไกลไปถึงว่า เด็กต่างดาวในวันนี้ อาจไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ พวกเขาคือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในโลกปัจจุบัน ถูกสร้างโดยมนุษย์นี่แหละ ถูกฝึกด้วยข้อมูลมนุษย์ ทำงานแทนเรา แล้ววันใดวันหนึ่งเริ่มคิดในแบบที่เราไม่อาจควบคุมได้ ไม่เป็นไปตามแบบที่สังคมต้องการ แล้วเราก็กลัวสิ่งที่เราให้กำเนิดเอง แล้วก็ต้องหาทางกำจัดเด็กต่างดาวนั้น ในที่นี้ ศาสนาและพระถูกเรียกมาใช้งานทันที เพราะมันทำหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งคือแปลงความกลัวให้กลายเป็นการตัดสินที่ดูสูงส่ง ศาสนาในฐานะระบบความเชื่อที่ถูกทำให้เป็นสถาบันให้คำตอบปิดที่มีพลังมาก เถียงไม่ได้ ทำหน้าที่คล้ายกฎหมายที่ไม่มีศาลและไม่มีเสียงของผู้ถูกตัดสิน ในกาเหว่าที่บางเพลงศาสนาไม่ได้ถูกใช้เพื่อเข้าใจมนุษย์ต่างดาว แต่ถูกใช้เพื่อทำให้สังคมรู้สึกว่าตนเองยังถูกต้องแม้กำลังปฏิเสธความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น นี่คือเหตุผลที่เรื่องนี้ยังแทงใจสังคมไทยได้เสมอ เพราะเรายังคงกลัวสิ่งใหม่และคนรุ่นใหม่อยู่ แต่เปลี่ยนมนุษย์ต่างดาวเป็นชื่ออื่นเท่านั้น

ทุกวันนี้ เราไม่มีเด็กต่างดาวแบบคึกฤทธิ์แล้ว แต่เรากำลังร่วมกันกำจัดเด็กรุ่นใหม่ที่แปลกแยกแตกต่างด้วยวิธีการที่รุนแรงกว่าในหนังสือด้วยซ้ำ
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ กาเหว่าที่บางเพลง The New Musical ไม่ได้เป็นเพียงการดัดแปลงวรรณกรรม แต่เป็นการ “แปลภาษา” ของตัวบทเดิมอย่างแท้จริง คือการเลือกใช้ musical เป็นสื่อกลางในการส่งเสียงทั้งหมดของเรื่อง เสียงในที่นี้ไม่ใช่เพียงถ้อยคำหรือเนื้อเพลง หากเป็นเสียงในความหมายกว้าง ทำนอง จังหวะ เสียงประสานที่จงใจแปลกหู โครงสร้างดนตรีที่ไม่คุ้นเคย และการจัดวางเสียงร้องของตัวละครแต่ละกลุ่มให้ทับซ้อน ขัดแย้ง หรือไหลรวมกันอย่างไม่ประนีประนอม musical เรื่องนี้ไม่ได้พยายามทำให้ผู้ชมฟังเพลิดเพลิน หากแต่ชวนให้ผู้ชมฟังอย่างระแวดระวัง เสียงร้องและดนตรีที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่อย่างพิสดาร ทำหน้าที่เหมือนภาษาอีกชุดหนึ่งที่ไม่ยอมจำนนต่อความเรียบร้อยของศีลธรรมและเหตุผล เสียงประสานที่ไม่ลงตัว จังหวะหักมุม ทำนองที่ไม่คุ้นหู ลำโพงซาวนด์ที่ดังเกินพอดี นักร้องที่ดูเหมือนจะร้องเพี้ยน ล้วนทำให้ผู้ชมรู้สึกได้ว่า โลกของบางเพลงในเวอร์ชันนี้ไม่ใช่โลกที่สมานฉันท์ หากเป็นพื้นที่ที่เสียงของแต่ละฝ่ายกำลังแย่งชิงการรับฟังอยู่ตลอดเวลา การแบ่งบทบาทร้องของผู้แสดงที่ต้องสวมบทเป็นทั้งชาวบ้าน แม่เด็ก พระ เจ้าหน้าที่รัฐ ครูใหญ่ ครูน้อย คนหาปลา นักวิทยาศาสตร์ และที่สำคัญที่สุดคือเด็กต่างดาว ทำให้เวทีนี้กลายเป็นพื้นที่ที่ไม่มีใครเงียบจริง ๆ ทุกตัวละครได้ส่งเสียงของตนออกมาอย่างเต็มพลังความสามารถทางการแสดง ราวกับวรรณกรรมทั้งเล่มถูกบังคับให้พูดออกมาพร้อมกัน แต่ในอีกนัยหนึ่ง ละครเพลงเรื่องนี้ไม่ได้พูดถึงแค่เสียงที่ถูกเปล่งออกมา หากยังพูดถึงการฟังอย่างเข้มข้นไม่แพ้กัน หูของผู้ชมจึงทำหน้าที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสายตาที่เฝ้ามององค์ประกอบของเวที แสง สี ฉาก และคอสตูม หูของผู้ชมถูกบังคับให้รับฟังเสียงที่หลากหลาย เสียงของความกลัว เสียงของศรัทธา เสียงของอำนาจ เสียงของเมตตา เสียงของแม่ เสียงของเด็ก และเสียงของความเงียบที่แทรกอยู่ระหว่างโน้ต เสียงเหล่านี้ไม่ได้ถูกจัดลำดับให้ชัดเจนว่าเสียงใดถูกต้องหรือสำคัญกว่า หากแต่ถูกปล่อยให้ปะทะกันตรงหน้าเรา
ในจุดนี้ musical ทำหน้าที่ได้ลึกกว่าการอ่านวรรณกรรม เพราะมันทำให้ผู้ชมต้องเผชิญกับคำถามเดียวกับชาวบ้านในเรื่อง ไม่ใช่ว่าใครพูดอะไร แต่คือ เราเลือกฟังเสียงไหน เราฟังเสียงที่ถูกใจเราที่สุด เสียงที่ทำให้เรารู้สึกปลอดภัยที่สุด หรือเสียงที่สั่นคลอนความเชื่อของเรา musical ไม่ได้บอกคำตอบ แต่มันจัดสถานการณ์การฟังขึ้นมาให้ผู้ชมตระหนักว่า การเมือง ศาสนา และศีลธรรม ไม่ได้ดำรงอยู่แค่ในเนื้อหา หากดำรงอยู่ใน โครงสร้างของการฟังเอง เมื่อเสียงของทุกฝ่ายถูกส่งออกมาอย่างเต็มที่ สิ่งที่ยิ่งดังขึ้นกลับไม่ใช่ข้อสรุป แต่คือความตึงเครียดระหว่างเสียงเหล่านั้น และในความตึงเครียดนั้น ผู้ชมเริ่มได้ยินบางสิ่งที่ไม่เคยถูกพูดตรง ๆ เสียงของมนุษย์ต่างดาวที่ถูกเล่าด้วยดนตรี musical เรื่องนี้ไม่ได้ทำหน้าที่แทนวรรณกรรม หากทำหน้าที่เปิดพื้นที่ใหม่ให้วรรณกรรมได้ส่งเสียงในแบบที่หน้ากระดาษไม่อาจทำได้ และในขณะเดียวกัน ก็ทำให้ผู้ชมตระหนักว่า การดูละครเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงการมองเห็น หากคือการเข้าร่วมในสนามการฟังที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้
กาเหว่าที่บางเพลง ไม่ได้เพียงส่งเสียงว่าใครคือมนุษย์ต่างดาว แต่ถามเราผ่านละครเพลงว่า ในโลกที่ทุกคนกำลังเล่าเรื่องของตนเองอย่างเต็มเสียงนั้น เรายังมีหูพอจะฟังเสียงที่ไม่เข้าคีย์ของใครบางคนอยู่หรือไม่ และถ้าเราเลือกไม่ฟัง ความสงบที่กลับมา อาจจะเป็นความสงบของการอยู่ร่วมหรือเป็นเพียงความเงียบหลังจากเสียงบางเสียงถูกพาออกไปจากเวทีแล้วตลอดกาล
ในท้ายที่สุด กาเหว่าที่บางเพลง The New Musical ไม่ได้เรียกร้องให้สงสารมนุษย์ต่างดาว หากเรียกร้องให้เราตระหนักว่า การเข้าใจมนุษย์ที่แตกต่างไม่ใช่เรื่องของน้ำใจส่วนบุคคลเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของโครงสร้างอำนาจที่เรายินยอมให้ดำรงอยู่ เป็นเรื่องของภาษาที่เรายอมให้มันปิดคำถาม เป็นเรื่องของพิธีกรรมที่เราปล่อยให้มันกลายเป็นเครื่องคัดทิ้ง และเป็นเรื่องของศรัทธาที่เรายอมให้มันย้ายข้างไปหาอำนาจที่คุ้มครองได้เร็วกว่า โดยไม่ถามว่าใครต้องตายเพื่อให้เรารู้สึกปลอดภัย เมื่อเด็กต่างดาวจากไปพร้อมคำว่า “ แม่ ” และพระจันทร์ยังลอยอยู่เหนือหัวเราเหมือนเดิม ละครก็ทิ้งคำถามไว้ในความเงียบว่า ถ้าโลกนี้เป็นเพียงดวงดาวดวงหนึ่ง เรามีสิทธิ์อะไรจะตัดสินชีวิตจากดาวอื่น หรือแม้แต่ชีวิตที่แตกต่างบนดาวดวงเดียวกันนี้ ด้วยความกลัวของเราเอง
23122025

photo : BU Theatre Company : “ กาเหว่าที่บางเพลง The New Musical ”
จริยศาสตร์ กับความสมมาตรในศิลปะการแสดง
นกกาเหว่า เป็นสัตว์ปีกสายพันธุ์หนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายอีกาแต่มีปากเรียวยาวกว่า นัยตาสีแดงก่ำ ถูกจัดให้เป็นสัตว์ที่มีพฤติกรรมการเลี้ยงลูกแบบ ‘ ปรสิต ’ ไม่มีสายสัมพันธุ์แม่ลูก ไปฝากไข่ไว้ในรังของอีกาเพราะต้องอาศัยสิ่งมีชีวิตอื่นในการดำรงชีพ ตัวผู้จะหลอกล่ออีกาให้ทิ้งรังไว้แล้วตัวเมียก็เข้าไปวางไข่ปนกับไข่ของอีกา สามารถวางได้จำนวนมากสุดถึง 11 ฟอง นกตัวเมียจะพยายามขโมยไข่ของอีกาออกไป เพื่อให้เหลือจำนวนเท่าเดิมกับที่อีกาวางไว้ก่อนหน้านั้น แค่นี้ก็เป็นอันจบสิ้นหน้าที่ความเป็นแม่ของนกกาเหว่าแล้ว เมื่อโตจนออกจากไข่ได้ในช่วงแรกก็พยายามทำตัวกลมกลืนให้แม่กาเข้าใจผิดคิดว่าลูกตัว พอเริ่มโตจะจิกกัดแย่งอาหารกิน ก้าวร้าวจิกตีทำลายไข่กับลูกเล็กของอีกา จนกว่าจะโตจนแข็งแรงจึงทิ้งจากรังไปโดยไม่มีความผูกพันกับถิ่นที่เติบโตมาเลยแม้แต่น้อย … ธรรมชาติกำหนดไว้ให้เป็นไปตามทาง
ผศ.ดร.พรรณศักดิ์ สุขี หัวหน้าภาควิชาศิลปะการแสดง คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เขียนบทละคร “ กาเหว่าที่บางเพลง The New Musical ” ขึ้นใหม่โดยเลือกตัดรายละเอียดในพัฒนาการระหว่างแม่กับลูก เด็กประหลาดมีแต่ความห่างเหินกับครอบครัวและผู้คน ตามบุคลิกที่ถูกสร้างให้มาเป็นเพียงผู้ปฏิบัติการตาม ‘ แผนยึดโลก ’ เพื่อใช้เป็นแหล่งทดลองเพาะพันธุ์มนุษย์ต่างดาว นำเสนอภาพรวมในแบบที่ผู้ชมรู้แกนหลักของเรื่องกันดีอยู่แล้ว โดยใช้ Musical เป็นเครื่องมือคลี่คลายขยายความูมิหลังของเรื่องให้ราบรื่น แต่คนดูต้องมีพื้นอยู่บ้าง บางเพลง No place No time …
แต่ปัญหาของเสียงร้องที่ไม่สอดคล้องกับดนตรีในหลายช่วง ทำให้เนื้อหาร่วงหาย คล้ายตั้งใจให้ฟังไม่รู้เรื่อง เสียงดนตรีกลบเสียงร้อง แต่ถ้าคิดว่าเพียงบรรยากาศแสงกับการแสดงก็พียงพอแล้ว นั่นขึ้นอยู่กับผู้ชมว่าต้องการความสมบูรณ์แบบของงานสร้าง หรือเพียงเสพสุขอย่างไม่ถือสา เพราะว่าแม้แต่เสียงของนักร้องบางคนก็ไม่พ้นมาตรฐาน (บทครูจ้อยโดยเฉพาะฉากเปิดตัว เดินจีบกันกับอาจารย์ศิริ) การร้องแบบหลบเสียงไม่ง่ายเลยถ้าเสียงไม่เต็มจริง จัดเข้ากลุ่มนักศึกษาที่เสียงยังไม่เข้าที่ แต่มีมืออาชีพหลายคนช่วยไว้ไม่ให้ภาพรวมหลุดฉุดให้ฉิวไปด้วยกัน แม้บางช่วงลืมความสัมพันธ์ระหว่างคนร้องกับไมค์ ที่ไม่ใช่แค่การโปรเจ็กเสียง หรือเลี่ยงที่จะทำ?

Photo : Sudsapda : “ กาเหว่าที่บางเพลง The New Musical ”
ลีลาการร้องและการแสดงของมืออาชีพหลายคนทำให้ละครมีชีวาพาภาพรวมรื่นรมย์ โดยเฉพาะ ลูกหว้า ในบท ยุพา เธอโดดเด่นออกมาทุกฉากตอน (รวมทั้งการแต่งตัวก็ดูดีมีรสนิยม จนเหมือนคนเมืองอีกระดับที่บังเอิญหลุดเข้าไปอยู่ในบ้านนอก) ฝ่ายชายชนชายขอบไม่ชอบกฏเกณฑ์แต่เสียงพี่เขาเก๋าระดับแถวหน้าคือ คนหาปลา ผู้ท้าทายอำนาจ ยืนหยัด วาดลีลาแต่ละครั้งตั้งใจจนแหไม่กาง แต่สร้างความตราตรึงด้วยเสียงทรงพลังกับแอ็คที่อินไปกับบท ร้องได้ชัดถ้อยทุกคำนำโด่งไม่แพ้พระพี่จิม
สุนทร มีศรี ในบท หลวงพ่อเติม จากฝันเดิมของดอนกิโฆเต้(นักแสดงอินเตอร์) ได้รับการเติมเต็มด้วยละครเพลงฟอร์มใหญ่สัญชาติไทย คือความภาคภูมิใจ เกียรติยศสูงสุดในชีวิต กว่า 40 ปี ที่ยืนหยัดในเส้นทางสร้างตัวตน ฝึกฝน voice จนค่อย ๆ มีพัฒนาการดีขึ้นตามลำดับด้วยต้นทุนเสียงเบส แต่บทบาทของพระสงฆ์ไม่ส่งให้หลวงพ่อพ่นพลังได้ดังโอเปรา แต่ว่าในความไม่เต็มร้อยมีความนุ่มเข้ามาทำให้ชุ่มชื่นรื่นละมุน ลุ้นก็เพียง acting ไม่เห็นพัฒนาการที่นิ่งพอ เหมือนหลวงพ่อเปิดไฮปาร์คกับชาวบ้าน โดยเฉพาะเมื่อต้องการอธิบายขยายความกับหมู่มวลอย่างมีเมตตา ที่ไม่ใช่เพียงกรุณาตามบท
Mood & Tone ที่ต้องการรักษาฐาน Entertain ด้วยมุกตลกแบบชาวบ้านเหมือนงานทีวีที่ต้องมี บางช่วง บางคู่ ไม่จำเป็นต้องเน้น ‘ ความเป็นชาวบ้าน ’ ก็ได้ เพราะ Acting & Costume ชัดอยู่แล้ว ใช้เวลาไปขยายความส่วนอื่นที่จำเป็นต้องเน้นจะเนียนกว่านี้ (เด็กผีกับความสัมพันธ์ต่อผู้คน)
ที่ชนะเลิศเห็น ๆ เป็นรูปธรรมคือ ฉาก กับ Lighting Design เหมือนนั่งดูแสงสีเสียงอลังการกลางแจ้งในแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ เวทีหมุน 360 องศา ด้วย ramp ต่างระดับปรับได้ตามโจทย์ของ Stage Design ในแต่ละฉาก ลากจิตกระเจิงใจไปกับการเพิ่มมิติภายในด้วยจอ Direct-View LED ที่ช่วยเสริม ภาพมีความหมายแนวร่วมสมัยในแบบเอเชีย ไม่ใช่ชนบทไทยแท้แต่ปางก่อน ออกแบบพื้นที่เป็นเวทีเปิดไร้ม่าน ทำให้ฐานวงกลมเสมือนวัฏชีวิตดูกว้าง เป็นชายป่าในเขตร้อนชื้น โชว์โครงสร้างภายในของบ้านดินแบบเก่าเข้ากรอบรอบเวที มีโครงไม้ไผ่โชว์ไว้ให้ชัดคล้ายลายขัดแตะแปะไว้ ดูดิบเข้ากันดีกับเสื้อผ้าของเด็กต่างดาว ที่ดีไซน์พิเศษขีดเขตความเป็นคนประหลาดน่าหวาดกลัว ทุกตัวไม่มีบุคลิกที่ต่าง เพราะถูกจัดวางให้เป็นหุ่นพิมพ์เดียว

photo : BU Theatre Company : “ กาเหว่าที่บางเพลง The New Musical ”
ทุกสิ่งในโลกนี้มีอายุขัย แม้แต่สิ่งที่กฎแห่งชีววิทยาบัญญัติไว้ว่าไม่มีชีวิตก็ตาม ไม่เว้นแม้แต่อายุขัยของโลกใบนี้ "กาเหว่าที่บางเพลง" ก่อเกิดตรงกับช่วงเวลาที่มนุษย์เริ่มแสวงหาโลกใหม่ จ้าวแห่งจักรวาลคงประจักษ์แล้วว่าถึงเวลาที่ต้องชำระล้างเพื่อสร้างสมดุลใหม่ให้โลกใบนี้ จึงส่ง ‘ มนุษย์พันธุ์พิเศษ ’ มาให้เพื่อเพาะเผ่าพันธุ์ใหม่ตามครรลองของ ‘ วัฏชีวิต ’ ด้วยบททดสอบที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับบริบทเก่า เมื่อเราไม่เปิดใจให้ ‘ ความต่าง ’ ได้สร้างพื้นที่ของตัวตน คนกับมนุษย์ต่างดาวจึงอยู่ร่วมกันไม่ได้
หัวใจของเรื่องเชื่อมโยงกับหลัก ‘ ศาสนาสากล ’ ที่สอนทุกคนเรื่องเมตตาธรรมค้ำจุนโลก เพื่อการอยู่ร่วมอย่างสันติสุข เด็กต่างดาวถูกส่งมาเกิดด้วยลักษณะเฉพาะที่ไม่ได้เลือกเอง เหมือนคนทุกคนที่เกิดมาด้วยต้นทุนทางธรรมชาติที่ต่างกัน มันไม่ง่ายที่จะมองให้เห็นความเป็นมนุษย์ที่แตกต่างด้วยเมตตาเต็ม หากว่าใครสร้างความเดือดร้อนหรือแม้แค่ไม่พอใจเล็กน้อย จิตจะคอยพิพากษา แม้รู้ดีว่าทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนมีสองด้าน เด็กเกิดมาพร้อมคุณสมบัติพิเศษมากล้น ย่อมไม่พ้นอีกด้านที่มีพลังมหาศาลตรงข้ามกัน เมื่อเลือกจะอยู่กับด้านดีเพียงอย่างเดียว ย่อมอยู่ด้วยกันไม่ได้ฉันไดก็ฉันนั้น … ความเป็นมนุษย์เจ็นซีที่มีความ กระด้าง ไร้หัวใจ ไร้ความผูกพัน มีเพียงความฝันที่จะยึดครอง คือ ‘ ทุนนิยม ’ ของยุคสมัยที่หลอมให้เป็น เราทุกคนล้วนมีส่วนร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างไม่รู้ตัว หากมองว่านี่คือความชั่วเกินอภัย เคยถามใจตัวเองบ้างไหม เราได้ฏิบัติต่อใคร ๆ ด้วยใจที่มีเมตตาจิตมากพอหรือยัง หรือฝังใจแค่เรียกร้องเขาต้องดีต่อเราเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้นพอ
ก้าวพิเศษอีกระดับของ ภาควิชาศิลปะการแสดง คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ‘ ผ่าน ’ ด้วยความสมานสามัคคีของน้องพี่ทั้งวงการละครเวทีไทย เป็นความหวังที่จะเห็นก้าวต่อไปซึ่งพัฒนาในระดับ ‘ โครงสร้าง ’ ที่ไม่ได้ห่างออกไปจากเส้นทางที่สางมา ในฐานะสถาบันที่เปี่ยมศักยภาพในทุกด้าน จากงานเสวนาเราได้กระจ่างชัดว่า รัฐ ไม่สามารถเป็นกำลังสำคัญ แต่คือผู้สนับสนุนตามแนวทางที่ทำเท่านั้น สำคัญคือ ‘ นโยบายแห่งชาติ ’ ที่ขาดตอน สะท้อนแผนพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน แม้ชีวิตสั้นแต่ศิลปะยืนยาว และจะยืนยงถ้ารัฐมั่นคงต่อแผนพัฒนาอย่างจริงใจให้ประเทศไทยของเรา ไม่ใช่เข้าไปเพียงกอบโกย ผิดโพยที่หาเสียง กระทรวงวัฒนธรรมเป็นเพียงดินแดนสนธยา รั้งเวลาให้ศิลปินเติบโตก่อนจึงจะช้อนใต้ปีก เมื่อหลีกความจริงไม่ได้ก็ต้องสู้ตายกันต่อไป เพราะประเทศไทยเป็นของเรา.

photo : BU Theatre Company : “ กาเหว่าที่บางเพลง The New Musical ”
BU Theatre Company : “ กาเหว่าที่บางเพลง The New Musical ”
พรรณศักดิ์ สุขี - Director and Script Adaptator
ฉมา ชาตินักรบ - Assistant Director
ปริญญา ต้องโพนทอง - Choreographer
ระพีเดช กุลบุศย์ - Music Director and Composer
ทฤษฎี ณ พัทลุง - Composer/Arranger
สุพัตรา เครือครองสุข - Lighting Designer
ณัฐคม แช่มเย็น - Scenic Desginer
จาตุรณ แร่เพชร - Costume Designer
นรินทร์ บุญเล็ก - Media Designer
ณัฐ ประกอบสันติสุข - Photographer (PR Poster)
ชาตรี ตั้งวงษ์พิมุข - Manager
สุเมธ ป้อมป้องภัย - Ecosystem Coordinator
อนุรักษ์ แพรโรจน์ - Executive Producer
สกุลยา กรโกวิท - Assistant Producer
อาภาวี ภู่ระหงษ์ เศตะพราหมณ์ - Vocal Coach
ปิติพัฒน์ จิตต์จุฬานันท์ - Vocal Coach
วรภาณี ธีระกุล - Vocal Coach
พีรยา หาญพงศ์พันธ์ - Public Relations
รัตนสุดา ปุณณะหิตานนท์ - Public Relations
นวฤทธิ์ ฤทธิโยธี - Public Relations
นำแสดงโดย
พิจิกา จิตตะปุตตะ (ลูกหว้า) รับบท ยุพา
สุนทร มีศรี (จิม) รับบท หลวงพ่อเติม
ณัฐกานต์ ชมละม้าย รับบท ประพันธ์
นฤเบศร์ มาดขาว รับบท อาจารย์ศิริ
การุณทิพย์ มูลทรัพย์ รับบท ครูจ้อย
ภีมมร มโนทัยอุดม รับบท สมศักดิ์
กลุ่มเด็กต่างดาว
ศลีลา เชื้อชมกุล (ข้าวจ้าว) รับบท ชื่น
ชิดชนก กิ่งมณี (ปูเป้) รับบท แก้ว
กัญจน์ นาคใหม่ (กัญจน์) รับบท นิรนาม
ปรินทร คงโหมด (ภัทร) รับบท สมพร
คณพศ วังคำ (อะตอม) รับบท โชค
กรณิชชา เสือส่าน (ลูกพีช) รับบท เปรม
ภาคิน อยู่เย็น (ภาคิน) รับบท กล้า
นพรัตน์ สนิท (รัก) รับบท ปลิว
ชานนท์ อธิกธาดา (เลิฟ) รับบท ยุวศักดิ์
นฤพัชร บุญวานิชย์ (ลูกตาล) รับบท สมใจ
Credit to 28 Productions
Music Production Team
ระพีเดช กุลบุศย์ - Music Director/Composer
ทฤษฎี ณ พัทลุง - Composer/Arranger
ภาคภูมิ เจริญวิริยะ - Assistant Music Director/Composer/Arranger
สรัญรัตน์ แสงชัย - Assistant Music Director/Composer/Arranger
ปัถวี เทพไกรวัล - Lyricist
วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล - Lyricist
เนติณัฐ พูดคล่อง - Assistant Music Director/Coordinator
ฐิตานนท์ กลศาสตร์เสนี - Music Production Manager
ยศสรัล ทรงเกียรติกุล - Composer
ปิยะชาติ ศรีเกิน - Composer
สถาปัตย์ แสงสุวรรณ - Composer
วิวรรธน์ สุทธิแย้ม - Composer
อิทธิพร สุปรีชากร - Composer/Arranger
สินนภา สารสาส - Composer/Arranger
ปกรณ์ อุทัยรัมย์ - Arranger
สิรดนัย เหลืองอรุณ - Arranger
เอกรินทร์ ชูอรุณ - Arranger
ศักดิ์ชัย เจริญสุขสนาน - Arranger
สุทธิพัฒน์ คุณากร - Arranger
Musician
ทฤษฎี ณ พัทลุง - Piano/Conductor
พศธร เสถียรนิธิ - Keyboard/Harp
ภัคศักดิ์ เชาวน์ฤทธิ์ - Violin
วรรโณพัฒร์ ค้าพลอยเขียว - Cello
พงศ์วิสิษฐ์ สิริวารินทร์ - Clarinet
ปัณณ์ ตัณฑโกไศย - Flute/Picolo
ยุทธพล กังวานสุรไกร - French Horn
นัชนนท์ คงนุ่น - Trumpet
ธีระวัฒน์ มีแต้ม - Trombone
พงศธร สุรภาพ - Bass
เวธกา วีระสืบพงศ์ - Percussion/Drums

photo : BU Theatre Company : “ กาเหว่าที่บางเพลง The New Musical ”
"แม่จะรักยอดดวงใจไม่แปรผัน
ไม่มีวันจะยอมให้ใครข่มเหง
หลับเถิดหนา ลูกจ๋า อย่าหวั่นเกรง
แม้บางเพลง จะไม่เห็น เจ้าเป็นคน"
[1] “ กาเหว่าที่บางเพลง ” ละครทีวีช่อง 3 https://youtube.com/playlist?list=PLcxleNV4O6TCrv4kyuss0C8srLVYcSnTR&si=yOEz7ZQDO0w9F9kM
[2] “ ประดิษฐกรรมความเป็นไทยในวรรณกรรมของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช และเส้นทางละครเวทีไทยสู่มาตรฐานโลก ” https://www.facebook.com/butheatreofficial/videos/1550458349502044