

ผู้ช่วยศาสตราจารย์อัครพงษ์ ค่ำคูณ :
คุณธิดารัตน์มีอะไรจะคัดค้าน หรือมีอะไรจะส่งเสริม หรือเสนอแนะหรือไม่ ระหว่างคลองไทยกับ Landbridge
ธิดารัตน์ ยิ่งเจริญ :
ความจริงก็เคยคุยกันเรื่องนี้มาตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง พ.ศ. 2566 ก็มีหลาย Model (แบบ) แต่ละบริษัทก็จะคิดไม่ค่อยเหมือนกัน อาจจะเริ่มจาก Concept (แนวคิด) แรกก่อนได้ เรื่องของครองไทยกับ Landbridge แล้วประเด็นที่ 2 จะลองคุยเรื่อง Technical (เกี่ยวกับเทคนิค) แต่ก็คงไม่ได้ลงรายละเอียดเท่ากับที่หลายท่านได้พูดมาก่อน แล้วอาจจะพูดถึงเรื่องความคิดเห็นว่าเห็นว่าอย่างไร เพราะแต่ละท่านก็จะมีวิธีการประเมินว่าคุุ้มค่าหรือไม่คุ้มค่า และมูลค่ามีคุณค่าอย่างไร ไม่เหมือนกันด้วย อาจจะมองในมุมมองของนักวิชาการด้วย แล้วก็มุมมองของรัฐบาลที่ตอนนี้เป็นคนที่จะนำนโยบายนี้ออกมาให้สำเร็จ
ประเด็นแรก การ Debate (การถกเถียง) กันว่าควรจะเป็นคลองไทย ควรจะขุดคลอง หรือควรจะเป็น Landbridge ก็มีมาตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง พ.ศ. 2566 มีมาตั้งนานแล้ว สุดท้ายตอนนี้ออกมาเป็น Landbridge ที่รัฐบาลเขาอยากจะทำอย่างที่หลายท่านได้พูดมาว่ามีความแตกต่างกันในด้านรายละเอียดและตัวเลขอยู่ค่อนข้างเยอะ ถ้าพูดถึงว่าเป็นคลองไทยก็เป็น Mega Project (โครงการทางวิศวกรรมขนาดใหญ่มาก) เป็นการขุดคลองที่คล้ายกับหลายประเทศที่เขาทำกันมาแล้ว มีการประมาณการตัวเลขขึ้นมาว่าจะทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง หลายคนก็คิดว่าจะเป็น Mega Project ที่เข้าใจว่าไม่ใช่แค่ขุดคลองแล้วได้คลอง เพราะจะทำให้เกิดอุตสาหกรรมใหญ่ที่จะมาอยู่รอบคลองตรงนั้นด้วย แล้วก็จะมี Argument (ข้อโต้แย้ง) ที่มากกว่าแค่ตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์ หรือสิ่งแวดล้อม ก็จะมีมุมมองของในเรื่องความมั่นคงด้วยว่าถ้าเกิดประเทศไทยทำก็จะเป็นจุดที่เรือผ่าน ไม่ใช่แค่เป็นเรือสินค้าแต่ว่าถ้าเกิดว่ามีสถานการณ์ที่เป็นเรื่องของความมั่นคงเชิงภูมิภาคหรือว่าโลกขึ้น การตัดสินใจในประเทศไทยที่อาจจะมีอำนาจว่าใครจะผ่านได้ หรือผ่านไม่ได้ ก็เป็นอีก Agrument หนึ่งที่ค่อนข้างใหญ่และสำคัญ ถึงเป็นที่มาของการที่ว่า ทำไมจะเป็นแค่ประเทศไทยที่ทำหรือเปล่านอกจากเรื่องเงิน จะเป็นจีนหรือประเทศตะวันตกมาด้วย ควรจะเป็นหนึ่งประเทศหรือจะหลายประเทศ ทำให้เกิด Balance Power (ถ่วงดุลอำนาจ) อย่างไร ถ้าเกิด Mega project ขึ้นมา ซึ่งหลายคนคงจะมองว่าในเรื่องของความมั่นคงเป็นมิติที่ซับซ้อนและใหญ่กว่าตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์
เรื่องของ Landbridge เกิดความคิดที่ว่าเป็นโครงสร้างที่สร้างขึ้นมาแล้วมีความสะดวกสบายบางอย่าง แต่ความจริงก็ไม่มี Project (โครงการ) ใดที่เขาเรียกว่า สมบูรณ์แบบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ มีทั้งข้อดีและข้อเสียทุกอย่าง หลายท่านก็พูดไปว่าจะทำให้ดีต่อประเทศไทย แล้วก็อาจจะสะดวกสำหรับเรือบางอย่าง หรือว่าสินค้าบางชนิด แต่ว่าในความเป็นจริงอาจจะประหยัดเวลาไม่ได้เท่ากับการที่เราจะขุดคลองตรง ๆ ไป แต่เข้าใจว่าหลายบริษัทก็ต้องเข้าใจว่า นอกจากมิติของการที่อยากจะทำให้เกิดเชิงการเมืองก็มีการ Lobby (การพยายามโน้มน้าวผู้มีอิทธิพลทางการเมืองให้ช่วยสนับสนุนการกระทำ) มีการคุยกันข้างหลัง มีอะไรที่ซับซ้อน คือผลประโยชน์เยอะมาก แล้วการตัดสินใจที่ออกมาเป็นนโยบายนี้ก็จะใช้คำว่าอาจจะไม่ได้โปร่งใสอย่างที่ทุกคนเห็นหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ เหมือนกับ Mega project หลายอย่าง
ขณะเดียวกันก็ต้องเข้าใจว่าการที่คุยกันมาข้างหลัง คุยกันมานานมากเหลือเกิน จนเป็นสิ่งที่ออกมาข้างหน้าเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจะตัดสินแค่ว่าอันนี้คือตัวเลขของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อันนี้คือ ตัวเลขขององค์กรนี้ หรือว่านี่คือความคุ้มค่าแบบใด อย่างไร จริง ๆ แล้วมีความซับซ้อนหลายมิติตรงนั้นมาก ถ้ามองว่าควรจะเป็นคลองไทย หรือ Landbridge ตอนแรกก่อนเลือกตั้ง พ.ศ. 2566 หลายคนก็สนับสนุนให้เป็นคลองไทย ก็จะมีสมาคมคลองไทย มีหลายท่านที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่อยากให้เกิด Landbridge จริง ๆ เป็นที่รัฐบาลฝ่ายเดียว รัฐบาลสมัยนั้นก็คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นฝ่ายเดียวที่สนับสนุนแล้วก็คิดว่าตอนนั้นอยากจะให้เกิดมาก แต่ว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายคนถ้าไม่นับรวมของคนที่เป็น NGOs (Non Governmental Organizations หรือองค์กรที่ไม่ใช่องค์กรของรัฐ) หรือว่าคนที่อยู่ในภาคพื้นดินที่คิดว่าจะมีผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมก็อยากให้เป็นคลองไทย

สุดท้ายรัฐบาลตอนนี้เป็นพรรคเพื่อไทยก็อยากให้เป็น Landbridge ที่เป็นนโยบายต่อเนื่องมาจากรัฐบาลที่แล้ว แต่เข้าใจว่ากระบวนการก็ยังอยู่ในช่วงของการหารือ ตอนนี้รัฐบาลอยู่มาได้ประมาณปีกว่าเกือบ 2 ปี ก็ยังอยู่ในช่วงหารืออยู่ (เข้าใจว่า รอดในเรื่องนี้ต้องถามทางฝ่ายค้านเห็นว่าอย่างไร ก็หลากหลายความคิดเห็น) แต่ถ้าเกิดได้ทำคิดว่าใช้เวลานานอยู่ ไม่ใช่ว่าเป็น Mega Project ที่ตัดสินใจแล้วก็ทำได้เลย ปัจจุบันยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการของสภาอย่างจริงจัง กระบวนการของคณะกรรมาธิการก็เกิดขึ้นแล้ว แต่ว่ายังไม่ได้เทียบเท่ากับกฎหมายหลายฉบับที่ได้ผลักดัน คงต้องใช้เวลา เพราะการก่อสร้างจริง Mega project ส่วนใหญ่ก็ใช้เวลานานม แต่มีการตัดสินใจเชิงนโยบายแล้ว

อันที่ 2 ที่อยากสังเกตก็คือ เรื่องของความคุ้มค่าหลายมิติ อย่างที่เมื่อสักครู่แจ้งไป หลายท่านบอกว่ามีเรื่องของตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์ เรื่องของสิ่งแวดล้อม และเรื่องของความมั่นคง เรื่องของความคุ้มค่าหลายมิติ แต่ละคนมีมุมมองว่าอะไรคือความคุ้มค่าที่เหมาะสมกับประเทศไทย ธิดารัตน์มองว่าเรื่องของความมั่นคงหรือ Security (ความปลอดภัย) เป็นเรื่องที่สำคัญ และเป็นการตัดสินใจระยะยาวที่เปลี่ยนแปลงค่อนข้างยาก เพราะเป็นการเปลี่ยนที่เรียกว่า “ภูมิรัฐศาสตร์” ไม่ใช่แค่ของประเทศไทยแต่ว่าของภูมิภาคนี้ แล้วมีโอกาสที่จะเป็นของโลกเลยก็ได้ ถ้าเกิดว่าให้มีโครงการนี้ขึ้นมาแล้ว
การตัดสินใจในเชิงของความมั่นคงเป็นการตัดสินใจที่รัฐบาลและประเทศต้องตัดสินใจอยู่เรื่อย ๆ ว่าจะให้ใครมาใช้ เกิดอะไรขึ้น ใครเป็นเจ้าของบ้าง หรือเป็นเจ้าของร่วม สมมติมองในแง่ของบริษัทร่วมทุนหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ รัฐบาลไทยมีโอกาสตัดสินใจมากกว่าครึ่งหรือไม่ ผู้ที่เข้ามาตัดสินใจที่เหลือไม่ว่าจะเป็น Private Sector (ภาคเอกชน) หรือว่าเป็นบริษัท หรือรัฐบาลของประเทศอื่น เขา Bases (พื้นฐาน) การตัดสินใจอยู่บนพื้นฐานอะไร เมื่อถึงเวลาต้องโหวตขึ้น หรือมีปัญหา ยิ่งตอนนี้ก็เห็นกันอยู่ว่าไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ของสหรัฐอเมริกาและจีน ตอนนี้ก็ไปถึงยุโรป หรือในหลาย Actor (ตัวละคร) ที่เข้ามามีส่วนร่วมในหลายอย่างด้วย
การที่เราจะเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจตรงนี้ค่อนข้างสำคัญ ตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์ก็จะรู้กันว่า ปกติ Mega project หลายอย่างนี้ ลงเงินไประดับหมื่นล้าน หรือแสนล้าน ก็ต้องใช้เวลานานที่จะคุ้มทุน อาจใช้เวลาหลายสิบปี ช่วงระยะเวลาหลายสิบปีนั้นมีการเสื่อมราคา มีหลายอย่างที่เกิดขึ้น คนที่ต้องมาใช้หนี้หรือคนที่ต้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจหลายอย่างตรงนี้ ก็อาจเห็นว่าไม่ได้คุ้มทุน แต่ว่าอย่างที่บอกว่า เรามองมิติการตัดสินใจนั้น Base on (อยู่บนพื้นฐาน) อะไร
สุดท้ายที่อยากจะฝากถึงในรอบนี้ก็คือ เรื่องของนโยบายของรัฐบาล เข้าใจว่าตอนนี้ก็เป็นช่วงที่ทุกคนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ พยายามที่จะให้ความคิดเห็นเข้ามาเรื่อย ๆ เข้าใจว่ารัฐบาลก็เดินหน้าอยากให้ทำอย่างไร มีการเดินหน้าพูดคุยกับกลุ่มทุน คนที่จะมีโอกาสเข้ามาลงทุน ทั้งในต่างประเทศ อย่างที่ไป Davos (เมืองแห่งการประชุมเศรษฐกิจโลก) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กับ Work Permits Forum ก็ได้คุยกับหลายประเทศ และบริษัทที่เป็นภาคเอกชนค่อนข้างเยอะว่าจะมีใครเข้ามาอย่างไร เข้าใจว่าหลายคนค่อนข้างสนใจ หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าไม่คุ้มทุนในแง่เศรษฐศาสตร์ แล้วทำไมหลายกลุ่มทุนถึงสนใจ ความจริงหลายคนก็ไม่ได้มองแค่ตัวเลขการเงิน แต่มองมากกว่านั้นและการตีมูลค่าของเขาอาจจะไม่ใช่แค่การขนส่งสินค้า ซึ่งมีอย่างอื่นที่ตามมาด้วยกับในมุมของตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์
หลายคนคงสนใจ แต่เข้าใจว่าทิศทางในการลงทุนจะออกไปในทางที่ไทยมีส่วนร่วมด้วย หรือแทบไม่มีส่วนร่วม แต่ว่าไม่ใช่ประเทศไทยทำเองแน่นอน ก็จะเป็นต่างประเทศเข้ามาทำ แต่จะเลือกว่าเป็นประเทศไหนอย่างไรบ้าง ตอนนี้เท่าที่คุยคือ แต่ละประเทศจะเสนออะไรอย่างไร ส่วนตัวแนะนำว่าอยากจะให้มีหลาย Stakeholder (ผู้ถือหุ้น) ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุน เพื่อจะ Balance (ถ่วงดุล) ซึ่งกันและกันด้วย ความจริงแต่ละกลุ่มทุนไม่ว่าจะประเทศดูไบ จีน ญี่ปุ่น ฝั่งยุโรป หรืออเมริกา หรือหลายที่ก็มีความชำนาญ หรือ Effective (มีประสิทธิภาพ) ที่ไม่เหมือนกัน แล้วการที่แต่ละคนจะยื่นมือเข้ามาทำก็เข้ามามีส่วนประกอบในการที่จะทำให้เกิดความสำเร็จของ Mega Project ก็ไม่เหมือนกันด้วย
เมื่อกลับไปเรื่องของกรอบความคิดในเรื่องของความมั่นคง ก็คิดว่าการที่มีหลายบริษัท และหลายสัญชาติเข้ามาช่วยกันตัดสินใจ ความจริงจะเป็นการกระจายความเสี่ยง แล้วช่วย Balance อำนาจตรงนี้ได้มากขึ้น สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ณ ตอนนี้ แต่ว่ายังไม่มีใครลงนามเซ็นสัญญาที่บอกว่าจะลงทุนเท่านี้ หรือทำแน่นอน เนื่องจากเป็นการตัดสินใจที่ใหญ่ แล้วก็มีการพิจารณาให้รอบคอบหลายด้าน เข้าใจว่าฝั่งการเมืองจะมีการดูในเรื่องของจังหวะและความเหมาะสม ในการที่เอาอีกหนึ่ง Mega Project เข้ามาว่าจะยื่นเข้ามาอีกเมื่อใด เพราะว่าอย่างไรก็ต้องเป็นสิ่งที่หลายฝ่าย ทั้งฝ่ายค้าน ทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย NGOs ประชาชนทุกคนให้ความสนใจ และรัฐบาล ก็ผ่านจุดที่ผลักดันนโยบายใหญ่ ในช่วงนี้ค่อนข้างเยอะ และหลายอย่างเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ หลายอย่างได้รับการ Debate อย่างตอนนี้อาจเป็น Entertainment Complex (สถานบันเทิงครบวงจร) หรือเป็นอะไรที่ได้รับความสนใจ อาจจะต้องรอจังหวะในด้านการเมืองที่จะทำให้เกิดการยื่นตรงนี้ขึ้นมา
ผู้ช่วยศาสตราจารย์อัครพงษ์ ค่ำคูณ:
ทั้งหมดนี้กำลังพูดถึง Landbridge หมายความว่ารัฐบาลยืนยันว่าจะทำ Landbridge แต่ปัญหาคือไม่มีใครมาลงทุน เมื่อไปคุยกันก็เป็น Sweet Talk พูดตรง ๆ เหมือนเวลาผมไป Education Fairs (งานมหกรรมการศึกษา) มหาวิทยาลัยนี้บอกว่าเราจะมาทำ MOU (Memorandum of Understanding คือเอกสารข้อตกลงร่วมกัน) แต่สุดท้ายกลับมาก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นถามว่าประเทศไทย Position (การจัดวาง) คืออะไร เช่น เรามีที่ดินตรงนี้ คุณมาลงทุนได้หรือไม่ แบบนี้ใช่ไหม

ธิดารัตน์ ยิ่งเจริญ :
ความจริงไม่ได้อยากจะ Defense (ปกป้อง) ให้รัฐบาล แต่ว่าการคุยเรื่องการลงทุน Project ใหญ่ขนาดนี้ไม่ใช่การคุย 1-2 วันจบ ถ้าเกิดพูดถึงระดับของบริษัทไม่ต้องรัฐบาลก็ได้ ใช้เวลา 1-2 ปีกว่าที่จะบอกว่ามี Idea (ความคิด) แบบนี้ มาดูตัวเลขหลายคนเขาทำ Feasibility Study (การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ) เขาก็ไม่ได้เชื่อ Proposal (ข้อเสนอ) ที่ฝั่งคนที่เสนอทำการศึกษาว่าจะคุ้มค่าหรือไม่คุ้มค่าอย่างไร รายละเอียดยิ่ง Project ใหญ่ แต่เข้าใจว่ามีความสนใจจากหลายราย ก็ค่อนข้างที่จะแน่ชัดว่าจะทำ แต่ถ้าจะบอกว่า Commit (ให้สัญญา) หรือว่าเซ็นสัญญาเลยก็ยังไม่เห็น อย่างที่บอกก็คือคงต้องใช้เวลา
ผู้ช่วยศาสตราจารย์อัครพงษ์ ค่ำคูณ :
แต่รัฐบาลเองก็ไม่ได้ปิดประตูสำหรับตัวคลองไทยใช่ไหม
ธิดารัตน์ ยิ่งเจริญ :
ตอนนี้เท่าที่ได้ยินคือไม่ได้ปิดประตู แต่ว่าการหาผู้ลงทุนตอนนี้ก็คือให้ความสำคัญไปเรื่อง Model ของ Landbridge


รับชมถ่ายทอดสดฉบับเต็มได้ที่: https://www.facebook.com/pridibanomyonginstitute/videos/1186458066442501
ที่มา : งานเสวนา PRIDI x PBIC : “อนาคตเส้นทางเศรษฐกิจ คลองไทย - คลองกระ - Landbridge “จากวิสัยทัศน์ปรีดี พนมยงค์” วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม 2568 เวลา 10.00-12.00 น. ณ ห้อง PBIC 211 ชั้น 2 ตึก 60 ปี วิทยาลัยนานาชาติ ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์