ภูมิหลังของข้อพิพาทที่ช่องบก
บริเวณ “ช่องบก” ตั้งอยู่ตรงรอยต่อพรมแดนสามประเทศ คือ ไทย–กัมพูชา–ลาว เป็นพื้นที่ป่าภูเขาในเขตเทือกเขาพนมดงรัก และได้ชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “สามเหลี่ยมมรกต” มีขนาดประมาณ 12 ตารางกิโลเมตร แม้แต่เดิมรัฐบาลไทยเคยพยายามพัฒนาเขตชายแดนนี้ให้เป็นจุดชมวิวและแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ รวมทั้งผลักดันความร่วมมือระหว่างไทย-ลาว-กัมพูชา เพื่อความเจริญในพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตมาตั้งแต่ปี 2543 แต่สถานะทางภูมิศาสตร์ของช่องบกยังคงเป็นปัญหา “พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน” เนื่องจากพรมแดนยังปักปันไม่เสร็จสมบูรณ์ และทั้งสองประเทศต่างอ้างกรรมสิทธิ์ในดินแดนส่วนนี้โดยไม่มีการยอมรับเขตแดนของกันและกันอย่างชัดเจน
ประวัติศาสตร์ความขัดแย้งที่ช่องบกเผยให้เห็นเดิมพันด้านอธิปไตยของทั้งสองชาติ ในช่วงปี 2528-2530 กองทัพไทยเคยสู้รบกับกองทัพเวียดนาม (ที่เข้ายึดครองกัมพูชาในเวลานั้น) ณ สมรภูมิช่องบกอย่างดุเดือด เพื่อปกป้องเขตแดนไทยจากการรุกล้ำของเวียดนามที่อ้างสิทธิ์เหนือพื้นที่ไม่ปักปันนี้ การสู้รบยืดเยื้อเกือบสองปี จนไทยสามารถขับไล่ทหารเวียดนามออกไปได้ ในปลายปี 2530 แต่ก็ต้องสูญเสียทหารไทยถึง 109 นาย และบาดเจ็บ 664 นาย
เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ “ช่องบก” กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งวีรกรรมปกป้องผืนแผ่นดินและอธิปไตยของไทย อย่างไรก็ตาม หลังสงครามเย็น แม้เวียดนามจะถอนกำลัง แต่ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนที่ช่องบกก็ยังไม่ถูกแก้ไขโดยสมบูรณ์ กลายเป็นชนวนความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ปะทุเป็นระยะจวบจนปัจจุบัน
เหตุปะทะปลายพฤษภาคม 2568 และจุดยืนไทย-กัมพูชา
เมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 สถานการณ์ชายแดนที่ช่องบกได้ร้อนระอุขึ้นอีกครั้ง เมื่อเกิดการปะทะด้วยอาวุธระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา ใกล้หลักเขตที่ยังพิพาทกันอยู่ เหตุยิงปืนกินเวลาราว 10 นาที ก่อนจะยุติลงในเวลาประมาณ 05.55 น. การติดต่อสื่อสารระดับผู้บังคับบัญชาทหารทั้งสองฝ่ายช่วยระงับเหตุได้อย่างรวดเร็ว โดยฝ่ายไทยยืนยันว่ากำลังพลทุกนายปลอดภัย ขณะที่มีรายงานว่าทหารกัมพูชาหนึ่งนายเสียชีวิตจากการปะทะครั้งนี้ (แม้ต่อมาทั้งสองฝ่ายจะพยายามลดกระแสข่าวเรื่องความสูญเสีย เพื่อป้องกันไม่ให้ความตึงเครียดลุกลาม)
สาเหตุของเหตุการณ์ครั้งนี้ สืบเนื่องจากความเคลื่อนไหวของฝ่ายกัมพูชา ที่ขุดคูแนวสนามเพลาะยาวประมาณ 650 เมตร ในพื้นที่พิพาท เพื่อสร้างที่มั่นทางทหารของตน ซึ่งฝ่ายไทยมองว่าเป็นการละเมิดบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนร่วมกัน
บันทึกความเข้าใจดังกล่าว มีสาระสำคัญว่า ทั้งสองประเทศจะร่วมกันสำรวจและปักปันเขตแดนทางบกตามกระบวนการในกรอบคณะกรรมการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission หรือ JBC) และ จะไม่ดำเนินการใดๆ เปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่หรือสถานะของดินแดนที่ยังพิพาท จนกว่าการปักปันจะแล้วเสร็จ การขุดสนามเพลาะและตั้งฐานตรึงกำลังของทหารกัมพูชาจึงถูกฝ่ายไทยตีความว่าเป็นการยั่วยุและละเมิดข้อตกลงที่จะงดการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่เดิม อันเป็นการเพิ่มดีกรีความตึงเครียดในพื้นที่นั้น
หลังเสียงปืนสงบลง ผู้บัญชาการทหารบกของไทย (พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์) และของกัมพูชา (พล.อ.เหมา โสพัน) ได้พบปะหารือฉุกเฉินที่จุดประสานงานชายแดน ในช่วงบ่ายวันที่ 29 พฤษภาคม เพื่อหาทางคลี่คลายสถานการณ์ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องหลักการร่วมกันว่า ให้ถอนกำลังทหารออกจากจุดปะทะคนละ 200 เมตร เพื่อลดการเผชิญหน้า และเตรียมใช้กลไกคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) ในระดับรัฐบาลมาแก้ไขปัญหาเขตแดนโดยเร่งด่วนภายใน 2-3 สัปดาห์
ข้อตกลงเบื้องต้นของฝ่ายไทยจึงสรุปได้เป็น 3 ประเด็น ได้แก่ (1) ใช้กลไกที่มีอยู่ทั้งหมด เช่น JBC, GBC และ MOU2543 เพื่อแก้ไขปัญหาเขตแดนอย่างสันติ (2) ทั้งสองฝ่ายจะรักษาสถานการณ์ตามที่เป็นอยู่ อดทนอดกลั้น และแก้ไขปัญหาผ่านเวที JBC ที่จะจัดขึ้นในอนาคตอันใกล้ และ (3) เคารพอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกันและกัน ป้องกันไม่ให้เกิดการปะทะซ้ำรอยขึ้นอีก
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายกัมพูชาได้เผยแพร่ “คำแถลง 4 ข้อ” ต่อสาธารณชน ซึ่งมีเนื้อหาคล้ายคลึงกับ 3 ข้อแรก ของไทย แต่เพิ่มข้อที่ 4 ที่สร้างความกังวลแก่ฝ่ายไทย นั่นคือ กัมพูชายืนยันจะไม่ถอนกำลังออกจากจุดที่เกิดความขัดแย้ง โดยจะยัง “ยืนหยัด” อยู่ ณ จุดเดิม โดยปราศจากอาวุธ เพราะถือว่าพื้นที่จุดนั้นเป็นบริเวณที่ฝ่ายกัมพูชา “ยืนอยู่มาตั้งแต่ก่อนการลงนาม MOU ปี 2543”
กล่าวคือ กัมพูชาอ้างสิทธิว่าดินแดนบริเวณจุดปะทะครั้งนี้อยู่ภายใต้การครอบครองของตนมาตลอดก่อนปี 2543 ฉะนั้นการให้ถอนทหารออกไป 200 เมตร ตามที่ไทยเสนอ เท่ากับเป็นการถอยออกจากพื้นดินของตนเอง ซึ่งกัมพูชาไม่อาจยอมรับได้ ฝ่ายกัมพูชายืนกรานในจุดยืนนี้ และอ้างว่าไทยเองก็รับทราบและตกลงทั้ง 4 ข้อดังกล่าวแล้วในการเจรจาวันที่ 29 พฤษภาคม (ต่างจากแถลงของฝ่ายไทยที่กล่าวถึงเพียง 3 ข้อแรกเท่านั้น) ความแตกต่างในถ้อยแถลงนี้แสดงให้เห็นถึงมุมมองการตีความข้อตกลงชายแดนที่ต่างกันของทั้งสองประเทศ และกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องวิเคราะห์ต่อไป
นัยทางยุทธศาสตร์และความเสี่ยงที่ไทยต้องเผชิญ
ยุทธศาสตร์ทางทหารและการเมือง บริเวณช่องบกถือว่ามีความละเอียดอ่อนยิ่ง เนื่องจากพื้นที่นี้เป็นทั้งสัญลักษณ์ด้านความมั่นคงและศักดิ์ศรีแห่งชาติของทั้งไทยและกัมพูชา
ในเชิงยุทธศาสตร์ พื้นที่เนินเขา 496 (Hill 496) ที่ช่องบกเป็นจุดยุทธภูมิสำคัญ หากฝ่ายใดครอบครองก็สามารถควบคุมจุดผ่านแดนและสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวในภูมิภาคสามเหลี่ยมมรกตได้โดยรอบ ดังที่เหตุการณ์ล่าสุดแสดงให้เห็น เพียงการขุดสนามเพลาะและตั้งกำลังพลไม่กี่นายก็อาจจุดชนวนการปะทะได้ ซึ่งหากบานปลาย อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพชายแดนทั้งหมด รวมถึงการค้าชายแดนและความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ทั้งสามประเทศพยายามส่งเสริมมานาน
ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เราได้เห็นแล้วว่าความรุนแรงเพียง 10 นาทีส่งผลให้เกิด “กระแสชาตินิยม” และมาตรการตอบโต้ตามมาอย่างรวดเร็ว กัมพูชามีการปลุกระดมประชาชนให้บอยคอตสินค้าไทย และทางการไทยเองก็มีการทบทวนแนวคิดปิดด่านชายแดนหลายแห่งชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย นี่คือ “กับดัก” ที่ความขัดแย้งชายแดนสามารถขยายวงและสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ-สังคม ได้ไกลเกินกว่าพื้นที่ 12 ตร.กม. เล็ก ๆ นั้น
ในด้านการตีความข้อตกลงและกฎหมายระหว่างประเทศ กัมพูชาและไทยต่างยึดคนละมุมมอง ฝ่ายกัมพูชายึดหลัก “สถานภาพเดิม” (status quo ante) ก่อนปี 2543 กล่าวคือ อะไรที่ตนถือครองอยู่ก่อนการลงนาม MOU 2543 ก็ถือว่าเป็นของตนและสามารถอยู่ต่อได้โดยไม่ถือว่าละเมิดข้อตกลง ดังนั้นการที่ทหารกัมพูชา “ยืนหยัด” ในจุดเดิมโดยไม่มีอาวุธ จึงถูกนำมาอ้างว่าไม่ขัดกับ MOU เพราะเป็นพื้นที่ที่กัมพูชาครอบครองอยู่เดิมแต่แรก
ขณะที่ฝ่ายไทยมองต่างออกไป โดยถือว่า พื้นที่ที่ยังไม่ปักปันถือเป็น “เขตพิพาท” ซึ่งทั้งสองฝ่ายต้องงดกิจกรรมทางทหารทุกชนิด ณ บริเวณนั้น การขุดคูหรือการตั้งฐานเพิ่มเติมแม้ในจุดที่อีกฝ่ายเคยอยู่จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพที่ผิดข้อตกลง และไทยย่อมมีสิทธิ์ปกป้องอธิปไตยตนเองหากมองว่ามีการรุกล้ำเกิดขึ้น
สถานการณ์ที่ช่องบกจึงเป็นข้อพิพาทเขตแดนและแผนที่ ที่ซับซ้อน ซึ่งท้าทายรัฐบาลไทยอย่างมาก เพราะกองทัพภาคที่ 2 (ดูแลพื้นที่อีสาน) ก็ประกาศจุดยืนชัดเจนว่าจะ ไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้ว ให้กัมพูชาเช่นกัน หากรัฐบาลไทยแสดงท่าทีอ่อนข้อ ก็เสี่ยงจะถูกโจมตีจากฝ่ายอนุรักษนิยมในประเทศ แต่หากแข็งกร้าวเกินไป ก็อาจทำให้สถานการณ์บานปลายจนยากควบคุมได้
ความเสี่ยงที่ไทยอาจ “ตกหลุม” IO (Information Operation) หรือเกมสงครามข้อมูลข่าวสารของฝ่ายตรงข้ามนั้น เป็นอีกประเด็นที่ไม่อาจมองข้าม ในยุคที่ข่าวสารออนไลน์แพร่กระจายรวดเร็ว การสร้างวาทกรรม เพื่อชี้นำความรู้สึกประชาชนและประชาคมโลกเป็นอาวุธสำคัญ
ฝ่ายกัมพูชาภายใต้การนำของสมเด็จฮุน เซน (แม้ปัจจุบันจะส่งมอบตำแหน่งนายกฯ ให้บุตรชายแล้ว แต่ยังทรงอิทธิพลอย่างสูง) มีประสบการณ์โชกโชนในการใช้ “การเมืองชาตินิยม” เพื่อรักษาฐานอำนาจของตนมากว่า 40 ปี
แทบทุกครั้งที่รัฐบาลกัมพูชาเผชิญแรงกดดันภายในหรือมีการเลือกตั้ง สมเด็จฮุน เซน ก็มักหยิบยกประเด็นความขัดแย้งชายแดนมากระตุ้นความรู้สึกฮึกเหิมรักชาติของประชาชน สร้างภาพตนเป็นผู้พิทักษ์เอกราชไม่ยอมก้มหัวให้ชาติใด
กรณีช่องบกล่าสุดก็เช่นกัน อดีตผู้นำกัมพูชารายนี้รีบออกมากล่าวหา “กลุ่มหัวรุนแรงฝ่ายไทย” ว่าเป็นผู้รุกราน และย้ำว่าเขตสามเหลี่ยมมรกตเป็นของเขมรมานานก่อน MOU43 พร้อมขู่ว่า พร้อมจะนำเรื่องขึ้นศาลโลก (ICJ) หากไทยไม่ยอมตามที่กัมพูชาต้องการ นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าแพลตฟอร์มโซเชียลอย่าง เฟซบุ๊ก เริ่มบล็อกบัญชีหรือเนื้อหาจากฝั่งไทยบางส่วน อันอาจเป็นผลจากความพยายามควบคุมข้อมูลข่าวสารของฝ่ายกัมพูชา จะเห็นได้ว่ากัมพูชากำลังดำเนินยุทธวิธี IO เต็มรูปแบบ สร้างทั้ง กระแสชาตินิยมภายใน และ ภาพลักษณ์ระหว่างประเทศ เพื่อหนุนข้อเรียกร้องของตน
สำหรับไทยนั้น ความเสี่ยงสำคัญมีสองด้าน ด้านแรกคือ ความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์/กฎหมาย หากไทยตอบสนองเชิงลบ หรือหลงกลยั่วยุ เช่น ใช้มาตรการรุนแรงเกินกว่าเหตุ ปิดด่านการค้าจนเกิดความเสียหาย หรือปล่อยให้วาทกรรมเกลียดชังขยายตัว ไทยอาจถูกมองเป็นผู้รุกรานหรือผู้ขาดความอดทนบนเวทีโลก อันจะเข้าทางกัมพูชา ซึ่งพร้อมจะพึ่งกลไกอย่างศาลโลกหรือนานาชาติมากดดันไทย
ผลลัพธ์เลวร้ายที่สุด อาจเป็นไทยต้องเสียดินแดนโดยผลของกฎหมาย หากแพ้คดี หรือถูกบีบให้ยอมรับสถานะของพื้นที่พิพาทตามที่อีกฝ่ายต้องการโดยปริยาย (การยอมรับโดยพฤตินัย) ด้านที่สองคือ ความเสี่ยงภายในประเทศ หากไทยไม่ตอบสนอง หรือดูอ่อนข้อเกินไป ก็อาจตกหลุมกับดักทางการเมืองภายใน เมื่อกลุ่มชาตินิยมหรือฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลหยิบยกมาโจมตีว่ารัฐบาล “เสียเชิง” ให้กัมพูชายอมเสียดินแดน เป็นต้น
กรณีนี้อาจบั่นทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลและทำให้วิกฤตชายแดนกลายเป็นวิกฤตศรัทธาทางการเมือง เพิ่มซ้ำเข้าไปอีก
กล่าวโดยสรุป ไทยกำลังเผชิญสถานการณ์ ทางสองแพร่ง ที่ต้องทรงตัวให้ดีระหว่างการปกป้องอธิปไตยอย่างเข้มแข็ง กับการไม่ปล่อยให้ตนถูกดึงเข้าสู่เกมยั่วยุหรือสงครามข้อมูลข่าวสารที่ฝ่ายตรงข้ามจัดวางไว้ การเดินเกมผิดพลาดไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ล้วนส่งผลเสียต่อผลประโยชน์ชาติ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
แนวทางสันติวิธี: บทเรียนจากปรีดี พนมยงค์
ท่ามกลางวิกฤตชายแดนครั้งนี้ แนวคิดของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ นับว่ายังทรงคุณค่าและเป็นเข็มทิศชี้นำทางออกได้อย่างน่าสนใจ “ปรีดี พนมยงค์” เน้นย้ำหลักการของ สันติภาพ เอกราช อธิปไตย และความร่วมมือในภูมิภาค ซึ่งหากนำมาประยุกต์ใช้ ย่อมช่วยให้ไทย-กัมพูชา คลี่คลายปมขัดแย้งโดยไม่สูญเสียหลักการประชาธิปไตยและนิติรัฐ
ประการแรก แนวคิดสันติวิธีและนิติรัฐ – ไทยควรยืนหยัดใช้กลไกทางการทูตและกฎหมาย ในการแก้ไขปัญหา แทนที่จะใช้กำลังทหารหรือการเผชิญหน้า นายปรีดีเคยแสดงจุดยืนคัดค้านสงครามอย่างชัดเจน โดยเชื่อว่าการทำสงครามนอกดินแดนหรือการรุกรานเพื่อนบ้านไม่เพียงผิดหลักการสันติภาพ แต่ยังบั่นทอนเอกราชของประเทศตนเองในระยะยาว
การเลือกใช้วิธีการตามกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น อาศัยคณะกรรมการชายแดนร่วม (JBC) หรือกลไกระงับข้อพิพาทตามสนธิสัญญาที่มีอยู่ รวมถึงอาจพิจารณา อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ในกรณีจำเป็น ย่อมสะท้อนการเคารพหลักนิติธรรม (Rule of Law) และแสดงความเป็นรัฐที่เจริญแล้วในสายตานานาชาติ
การเจรจาหารืออย่างอดทนอดกลั้นตามที่ทั้งสองฝ่ายตกลงไว้จึงควรเดินหน้าต่อไป ซึ่งนับว่าเป็นสัญญาณเชิงบวกที่ทั้งไทยและกัมพูชาเห็นพ้องให้เวที JBC จะประชุมกันในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าเพื่อแสวงหาทางออกร่วมกัน ไทยควรใช้โอกาสนี้ผลักดันการปักปันเขตแดนที่ค้างคามาช้านานให้คืบหน้าโดยเร็วที่สุด และในระหว่างนี้ควรเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่าย ยอมถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่พิพาททั้งหมด (demilitarize) อย่างจริงจัง เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันซ้ำรอย
ประการที่สอง แนวคิดเรื่อง “เอกราชและอธิปไตย” ตามทัศนะปรีดี – เอกราชที่แท้จริงมิใช่การรักษาอธิปไตยเหนือดินแดนของตนเท่านั้น หากยังหมายถึงการไม่ตกเป็นเครื่องมือของลัทธิอำนาจนิยม หรืออิทธิพลภายนอก
ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ส่วนใหญ่มีมูลเหตุจากยุคอาณานิคม ที่เจ้าอาณานิคมเดิม (ฝรั่งเศส) เป็นผู้ขีดเส้นแบ่งเขตอย่างคลุมเครือ การที่สองประเทศเอกราชในปัจจุบันจะมาติดกับดักประวัติศาสตร์แล้วทำสงครามกันเอง ย่อมเข้าทางมหาอำนาจภายนอก ที่อาจฉวยโอกาสแทรกแซง
ปรีดีและผู้นำเอเชียรุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เคยตระหนักถึงเรื่องนี้ดี จึงได้ร่วมกันผลักดันแนวคิด “สันนิบาตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” (Southeast Asia League) ซึ่งมีคำขวัญว่า “เอกภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผนึกกำลังระหว่างชาติในภูมิภาค ขจัดการแทรกแซงของลัทธิอาณานิคม และสร้างสันติภาพร่วมกัน
แม้แนวคิดนี้จะเกิดขึ้นกว่า 80 ปีมาแล้ว แต่สาระสำคัญยังทันสมัย กล่าวคือ ประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ควรแก้ไขข้อพิพาทด้วยกันเองอย่างเท่าเทียม ไม่ใช้ความรุนแรง และไม่ปล่อยให้บุคคลที่สามเข้ามาฉวยประโยชน์จากความแตกแยกของเรา
ในกรณีช่องบก ไทยควรผลักดันหลักการนี้ผ่านเวทีอาเซียน และความร่วมมือสามฝ่าย (ไทย-กัมพูชา-ลาว) ที่เคยมีแนวคิดพัฒนาพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตร่วมกัน ให้กลับมาเดินหน้าต่อไป
การหันหลังให้กันและกันจะมีแต่ทำให้ต่างฝ่ายต่างสูญเสีย แต่หากพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ใช้พื้นที่นี้เป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือ เช่น จัดตั้งเขตท่องเที่ยวหรือเขตอนุรักษ์ธรรมชาติร่วมกัน ที่ทั้งสามประเทศได้ประโยชน์ ก็จะเป็นวิธีสง่างามในการรักษาอธิปไตยของทุกฝ่ายควบคู่ไปกับการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน
ประการที่สาม การขจัด “อคติทางชาติพันธุ์” และเคารพซึ่งกันและกัน – ปรีดี พนมยงค์ในฐานะผู้นำคณะราษฎร เคยวางนโยบายต่างประเทศบนพื้นฐานเคารพเสมอภาคระหว่างชาติ ไม่ว่าชาติเล็กหรือใหญ่ ไทยควรยึดหลักการนี้โดยไม่ดูแคลนเพื่อนบ้านหรือใช้วาทกรรมเหยียดหยามทางชาติพันธุ์ ซึ่งจะมีแต่ตอกลิ่มความเกลียดชังให้ฝังลึก ในทำนองเดียวกัน กัมพูชาก็ควรละเว้นจากการโฆษณาชวนเชื่อที่ปลุกปั่นความเกลียดชังคนไทย ประชาชนทั้งสองประเทศ มีสายสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันมายาวนาน ไม่ควรถูกทำให้บาดหมางเพียงเพราะข้อพิพาทของผู้นำหรือชนชั้นนำบางกลุ่ม
แนวทางสันติวิธีตามครรลองประชาธิปไตย จึงต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของพลเมืองในการสร้างสันติภาพด้วย ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาควรส่งเสริมความเข้าใจที่ถูกต้องต่อกัน เช่น ผ่านการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม การศึกษา และการเจรจาระดับประชาชน (Track II diplomacy) ควบคู่ไปกับการเจรจาทางการทูตระดับรัฐบาล
สิ่งเหล่านี้จะช่วยลดแรงเสียดทานจากทัศนคติแบบเหมารวม และสร้างบรรยากาศที่เกื้อกูลต่อการแก้ไขข้อพิพาท บนพื้นฐานเหตุผลและผลประโยชน์ร่วมกัน
ดุลยภาพระหว่างอำนาจใหญ่ กับอธิปไตยของรัฐเล็ก
ภายใต้ภูมิรัฐศาสตร์ร่วมสมัย ไม่เพียงแต่ไทยและกัมพูชาจะต้องบริหารความขัดแย้งระหว่างกันอย่างสันติ แต่ยังต้องเผชิญกับแรงกระเพื่อมจากมหาอำนาจระดับโลกที่พร้อมจะใช้ทุกเวทีความขัดแย้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อแสวงหาความได้เปรียบในการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างกัน โดยเฉพาะระหว่าง สหรัฐอเมริกา กับ จีน ซึ่งต่างมีบทบาทในภูมิภาคนี้อย่างเข้มข้นทั้งทางทหาร เศรษฐกิจ และการทูต
ในบริบทนี้ ปรีดี พนมยงค์ เคยเสนอกรอบคิดสำคัญที่ยังคงใช้ได้จนถึงปัจจุบัน นั่นคือ “ไทยต้องรักษาดุลยภาพระหว่างมหาอำนาจโดยไม่ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายใด”
แนวทางของปรีดีไม่ใช่การวางเฉยหรือเป็นกลางแบบติดลบ แต่คือการรักษาเอกราชทางการเมืองอย่างชาญฉลาด ใช้การทูตแบบมีปฏิสัมพันธ์ (engaged neutrality) เพื่อดึงทุกฝ่ายให้ยอมรับในความเป็นเอกราชของไทย ดังเช่นยุทธศาสตร์ของขบวนการเสรีไทย ที่ทำให้ประเทศไทยสามารถรักษาเกียรติภูมิและรอดพ้นจากการตกเป็นผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 มาได้
ในกรณีข้อพิพาทที่ช่องบก หากไทยถลำลึกลงไปในสงครามชาตินิยม หรือความขัดแย้งระดับทวิภาคี อาจเปิดช่องให้มหาอำนาจใช้เวทีความขัดแย้งนี้ เพื่อเสริมอิทธิพลของตน
ดังนั้น ทางออกในระยะยาวของไทยจึงไม่ใช่แค่การจัดการข้อพิพาทกับกัมพูชาอย่างมีศักดิ์ศรี แต่ต้องรวมถึงการวางยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศที่สร้างดุลอำนาจใหม่แบบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยไม่ให้ตนเองตกอยู่ในอาณัติของมหาอำนาจใดฝ่ายหนึ่ง และไม่ใช้ “ข้อพิพาทท้องถิ่น” เป็นเครื่องมือในการชิงความชอบธรรมในนานาชาติ
ไทยควรเป็น “รัฐนำของอาเซียนในเชิงสันติ” มิใช่เพียงรัฐชายแดนที่ตอบโต้ความรุนแรงด้วยความรุนแรง
ดุลยภาพเช่นนี้ คือหัวใจของเอกราชที่ปรีดี พนมยงค์ พยายามปลูกฝังไว้ให้ไทยตั้งแต่ยุคเปลี่ยนผ่านจากโลกยุคล่าอาณานิคมสู่โลกยุคประชาคม ในเวลาที่โลกกำลังกลับเข้าสู่การแบ่งขั้วอำนาจครั้งใหม่ ท่ามกลางความซับซ้อนของปัญหาข้อพิพาทระหว่างประเทศ ซึ่งอาจถูกปลุกเร้าด้วยกระแสชาตินิยม
แนวคิดการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของปรีดี พนมยงค์ จึงเปรียบเสมือนเข็มทิศชี้นำแนวทางแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติ บนพื้นฐานของเหตุผล ความยุติธรรม และความร่วมมือ โดยเน้นย้ำการเจรจาสันติวิธี การเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ และการสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน
การนำแนวคิดดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถก้าวข้ามความขัดแย้ง และสร้างสัมพันธไมตรีอันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันในภูมิภาค
บทสรุป: ทางออกบนหนทางแห่งสันติ
เสียงปืนที่ช่องบกครั้งล่าสุด เป็นสัญญาณเตือนว่าไทยและกัมพูชายังมีโจทย์ยากในการจัดการข้อพิพาทชายแดนที่ตกค้างจากประวัติศาสตร์ แต่ในวิกฤตย่อมมีโอกาส – โอกาสที่ทั้งสองชาติจะพิสูจน์ความเป็นหุ้นส่วนที่แท้จริงในภูมิภาค โดยเลือกเดินบนเส้นทางแห่งสันติภาพและเหตุผล แทนที่จะถลำลงสู่หล่มสงครามและความเกลียดชัง การยึดมั่นในหลักประชาธิปไตย นิติรัฐ และสันติวิธี คือคำตอบที่เราต้องไม่ละสายตา
ไทยควรมุ่งธำรงอธิปไตยของตนควบคู่กับการธำรงสันติภาพ นั่นหมายความว่า เราต้องไม่ยอมสูญเสียดินแดนที่เป็นของเรา แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ยอมสูญเสียสันติสุขและมิตรภาพกับเพื่อนบ้านที่ดี การแก้ไขข้อพิพาทช่องบกควรกระทำในห้องประชุม ไม่ใช่ในสมรภูมิ และควรขับเคลื่อนด้วยข้อมูลข้อเท็จจริงทางวิชาการและกฎหมาย ไม่ใช่อารมณ์ปลุกระดมของลัทธิชาตินิยมสุดโต่ง
ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้นำทั้งสองประเทศแสดง วิสัยทัศน์ และ ความกล้าหาญทางการเมือง ที่จะร่วมกันแสวงหาทางออกที่สร้างสรรค์ เช่น การเร่งปักปันเขตแดนให้แล้วเสร็จและให้สัตยาบันร่วมกันว่าจะเคารพเส้นเขตแดนใหม่ หรือหากยังตกลงกันไม่ได้ ก็อาจใช้แนวทาง “พักข้อพิพาท” ชั่วคราว โดยเปลี่ยนพื้นที่พิพาทให้เป็นเขตความร่วมมือพิเศษที่สองฝ่ายร่วมดูแลโดยไม่ถือว่าเป็นการยอมสละอธิปไตย
สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องทำให้แน่ใจว่าเหตุปะทะอย่างวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 จะไม่เกิดขึ้นอีก เพราะครั้งต่อไปอาจไม่ได้โชคดีจบลงภายใน 10 นาทีโดยไม่มีผู้บาดเจ็บเช่นนี้อีกก็เป็นได้ ดังคำกล่าวที่ว่า “สันติภาพมิได้หมายถึงการไม่ขัดแย้ง หากหมายถึงการจัดการความขัดแย้งอย่างสันติ”
ข้อพิพาทที่ช่องบกเป็นบททดสอบร่วมกันของไทยและกัมพูชาว่าเราจะนำพาตนเองไปในทิศทางใด จะปล่อยให้ประวัติศาสตร์มาฉุดรั้งอนาคต และปล่อยให้ความหวาดระแวงมาทำลายมิตรภาพระหว่างกัน หรือจะเลือกเรียนรู้จากอดีต ปรับใช้ปัญญาและขันติธรรมเพื่อสร้าง พรมแดนแห่งสันติภาพ มิตรภาพ และความร่วมมือ อย่างแท้จริงตามเจตนารมณ์ที่ทั้งสองประเทศได้ประกาศไว้
ทางเลือกอยู่ในมือของผู้นำและประชาชนทั้งสองฝ่ายเอง และโลกกำลังจับตามองว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเราจะแก้ปมขัดแย้งนี้อย่างไร ให้สมกับที่เป็นภูมิภาคที่เคยประกาศ “เอกภาพ” และ “สันติภาพ” เป็นหัวใจแห่งการอยู่ร่วมกันมาตลอด.
“ชัยชนะแห่งสันติภาพนั้น
มิได้มีชื่อเสียงบรรลือนามน้อยไปกว่า
ชัยชนะแห่งสงครามแต่อย่างใด”
ปรีดี พนมยงค์
( "คำนำ" จาก "พระเจ้าช้างเผือก" หน้า 2 )
แหล่งที่มา: ไทยพีบีเอส, ฐานข้อมูลสถาบันปรีดี พนมยงค์