ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

สงครามประสาท WAR OF NERVES กับ สงครามโดยตัวแทน WAR BY PROXY ยุคปรมาณู (นิวเคลียร์)

18
มิถุนายน
2568

Focus

  • นายปรีดีวิพากษ์กลยุทธ์ของมหาอำนาจในยุคสงครามเย็นที่ใช้อาวุธนิวเคลียร์เป็นฉากหลัง เพื่อควบคุมและชี้นำประเทศเล็กให้ตกอยู่ในฐานะ "ตัวแทน" ของสงครามที่มหาอำนาจหลีกเลี่ยงไม่ลงมือด้วยตนเอง ทั้งในเชิงจิตวิทยา เศรษฐกิจ และภูมิรัฐศาสตร์

  • นายปรีดีเสนอว่า สถานการณ์สงครามในยุคปรมาณูเปลี่ยนไปจากอดีต โดยมหาอำนาจเลือกใช้ “สงครามประสาท” (War of Nerves) เพื่อยั่วยุและกดดันกันทางอ้อม และใช้ “สงครามโดยตัวแทน” (War by Proxy) ให้ประเทศเล็กทำสงครามแทนตนเอง เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายโดยตรงจากการเผชิญหน้าระหว่างประเทศที่ถือครองอาวุธนิวเคลียร์ ในเวลาเดียวกัน เขาเน้นให้เห็นว่าประเทศเล็กต้องรับภาระความเสียหายทั้งหมด ทั้งในแง่ชีวิต เศรษฐกิจ และอธิปไตย ซึ่งสะท้อนการเป็น "อาณานิคมยุคใหม่" ภายใต้ฉากหน้าของการเมืองระหว่างประเทศที่ประชาชนในประเทศเล็กแทบไม่มีอำนาจกำหนดทิศทางตนเองเลย

 


The War of Nerves by Martin Sixsmith review – inside the cold war mind
ที่มา :

 

1. สงครามประสาท (War of Nerves) ซึ่งมหาอํานาจบางประเทศหรือหลายประเทศต่อสู้ระหว่างกันโดยวิธียั่วยวนกวนเส้นประสาทนั้นเป็นอาการแสดงออกอย่างหนึ่งถึงความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ, ทางการเมือง, ทางทรรศนะสังคม, ฯลฯ ระหว่างประเทศมหาอํานาจนั้น ๆ ว่ามีความรุนแรงมากกว่าความขัดแย้งที่ดําเนินไปตามปกติ

ยุคปัจจุบันนี้หลายประเทศมหาอํานาจใช้วิธีทําสงครามประสาทอย่างรุนแรงจนถึงขนาดที่ถ้าเอกชนกับเอกชนใช้วิธีต่อสู้ระหว่างกันเช่นนั้นแล้วก็เป็นเรื่องที่เรียกว่า “ชวนวิวาท” จึงปรากฏว่าหลายกรณีเอกชนไม่อาจอดกลั้นได้คือจะต้องเกิดการใช้กําลังต่อสู้กันขึ้น

ส่วนในระหว่างประเทศมหาอํานาจนั้น ถ้าท่านผู้ใดศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์วิธีต่อสู้แบบ “สงครามเย็น” (Cold War) คือการต่อสู้ทางเศรษฐกิจ (Economic Warfare) การต่อสู้ทางการเมือง (Political Warfare) การต่อสู้ทางจิตวิทยา (Psychological Warfare) ซึ่งเป็นสงครามประเภทที่ยังไม่ใช้สาตราวุธรบกันแต่สามารถนําไปสู่ “สงครามร้อน” (Hot War หรือ Fighting War) ที่ใช้สาตราวุธรบกันนั้น ก็ย่อมจะสังเกตได้ว่าในยุคที่มนุษย์ยังไม่สามารถทําสาตราวุธปรมาณูได้ คือ ยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น สงครามประสาท (War of nerves) อันเป็นวิธีหนึ่งแห่งการต่อสู้ทางจิตวิทยาแม้ยังไม่รุนแรงถึงขนาดที่หลายประเทศมหาอํานาจทําระหว่างกันในยุคปัจจุบันนี้ แต่กลุ่มบุคคลชั้นผู้นําแห่งประเทศมหาอํานาจแห่งยุคก่อนก็ไม่สามารถอดกลั้นไว้ต่อไปอีกได้ คือต้องนําประเทศของตนทําสงครามร้อนระหว่างกัน

แต่เหตุไฉนบุคคลชั้นนําแห่งประเทศมหาอํานาจยุคปัจจุบันนี้ที่ถูกฝ่ายตรงข้ามหรือต่างฝ่ายต่างยั่วยวนกวนเส้นประสาทระหว่างกันถึงขนาดรุนแรงยิ่งกว่ายุคก่อน ๆ นั้นจึงสามารถอดกลั้นได้ โดยยังไม่ทําสงครามร้อนระหว่างประเทศมหาอํานาจนั้น ๆ โดยตรง

 

2. บุคคลชั้นนําแห่งประเทศมหาอํานาจทราบเป็นอย่างดีว่ายุคปัจจุบันนี้เป็นยุคปรมาณูหรือนิวเคลียร์ คือเป็นยุคที่มนุษย์สามารถทําให้นิวเคลียร์ (Nucleus) ซึ่งเป็นแกนกลางของปรมาณูแยกหรือผนึกรวมกัน ก่อให้เกิดพลังงานและความร้อนและกัมมันตภาพรังสีอย่างมหาศาล

มนุษย์ได้ใช้ความรู้นั้นทําสาตราวุธปรมาณูหรือนิวเคลียร์ และสาตราวุธนิวตรอนที่สามารถทําลายมนุษย์ให้ถึงตายและบาดเจ็บทุพพลภาพครั้งหนึ่ง ๆ เป็นจํานวนหลาย ๆ ล้านคนได้

ยุคปรมาณูมิได้หมายความเพียงแต่ว่าวิทยาศาสตร์สาขาปรมาณูพัฒนาไปเท่านั้น คือหมายรวมถึงการพัฒนาของวิทยาศาสตร์และเทคนิครวมทั้งวิทยาศาสตร์สังคมทุก ๆ สาขาที่ก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง

สาตราวุธซึ่งมนุษย์ใช้ประหัตประหารกันในการทําสงครามร้อนนั้นได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นทั้งสาตราวุธมาตรฐาน (Conventional Weapons) และสาตราวุธนอกมาตรฐานนานาชนิด

แม้ว่าสาตราวุธมาตรฐานที่ใช้มาตั้งแต่โบราณกาล เช่น ธนู หน้าไม้ หอก หลาว แร้ว มีด ดาบ ปืนเล็ก และดาบปลายปืน ฯลฯ จะยังคงใช้ได้ในบางพื้นที่และในบางกรณีในยุคปัจจุบันนี้ก็ตาม แต่บุคคลชั้นนําแห่งประเทศมหาอํานาจก็ย่อมทราบว่าสาตราวุธชนิดดังกล่าวมีประสิทธิภาพน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับสาตราวุธมาตรฐานที่ได้พัฒนาจนถึงขณะนี้ มิฉะนั้นแล้วบุคคลชั้นนําแห่งประเทศมหาอํานาจจะแข่งขันกันพัฒนาสาตราวุธมาตรฐานที่ใช้ในสงครามทางบก, สงครามทางเรือ, สงครามทางอากาศ ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นทําไม

ข้าพเจ้าไม่จําเป็นต้องพรรณนารายละเอียดของสาตราวุธมาตรฐานยุคใหม่นี้ให้ยืดยาว ข้าพเจ้าจะขอกล่าวเพียงสาตราวุธที่สามารถยิงได้ไกลอย่างหนึ่งคือ “จรวด” (Missiles) ซึ่งมีข่าวอยู่บ่อย ๆ ในนิตยสาร หนังสือพิมพ์ วิทยุต่างประเทศที่ผู้สนใจอาจทราบได้ว่าประเทศมหาอํานาจหลายประเทศสามารถสร้างสาตราวุธหลายขนาดที่สามารถยิงจากฐานที่ตั้งไปยังเป้าหมายที่อยู่ห่างถึงประมาณ 10,000 กิโลเมตรได้ และดาวเทียมที่บางประเทศมหาอํานาจได้ส่งขึ้นไปลอยอยู่ในอวกาศประมาณ 2,000 ดาวเทียม ซึ่งทําหน้าที่สังเกตความเคลื่อนไหวทางทหารได้อย่างละเอียดประณีตมาก และสามารถยิงสาตราวุธนิวเคลียร์และนิวตรอนมายังโลกมนุษย์ ฯลฯ

ส่วนสาตราวุธนอกมาตรฐาน อาทิสาตราวุธเคมี (ก๊าซพิษ) สาตราวุธชีววิทยา (เชื้อโรค) สาตราวุธรังสี สาตราวุธนิวเคลียร์ ก็ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง และที่วิตกกันมากคือสาตราวุธนิวตรอนที่มีประสิทธิภาพทําลายมนุษย์ได้ยิ่งกว่าสาตราวุธนิวเคลียร์ ฯลฯ

การที่บุคคลชั้นนําแห่งประเทศมหาอํานาจต้องอดกลั้นต่อการถูกยั่วยวนรบกวนเส้นประสาทนั้นมิได้หมายความว่าบุคคลชั้นนําแห่งประเทศมหาอํานาจนั้น ๆ ยอมศิโรราบต่อฝ่ายตรงข้าม หากเป็นการอดกลั้นเพื่อเตรียมกําลังและสาตราวุธให้มีประสิทธิภาพและสมบูรณ์ยิ่งขึ้นจนเป็นที่เชื่อได้ว่าสามารถทําลายฝ่ายปรปักษ์ให้ย่อยยับแน่นอนได้ เพราะประเทศมหาอํานาจที่ถูกประเทศปรปักษ์แสดงความอาฆาตจากสงครามยั่วยวนกวนเส้นประสาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งแห่งสงครามจิตวิทยานั้นก็ย่อมรู้ตัวว่าประเทศของตนตกเป็นเป้าหมายที่ฝ่ายตรงข้ามคิดทําลาย

ฉะนั้นจึงจําต้องป้องกันตนเพื่อไม่ถูกทําลาย โดยเตรียมกําลังรบและสาตราวุธของตนให้มีประสิทธิภาพและสมบูรณ์ยิ่งขึ้นดังกล่าวนั้น และจะลงมือทําสงครามร้อนตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะเตรียมกําลังรบที่มีประสิทธิภาพและสมบูรณ์เท่าเทียมกับฝ่ายตน

แต่ในระหว่างที่ประเทศมหาอํานาจต้องจําใจอดกลั้นต่อการถูกยั่วยวนกวนประสาทโดยยังไม่ลงมือทําสงครามร้อนตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามโดยตรงนั้น ความขัดแย้งประการต่าง ๆ ระหว่างประเทศมหาอํานาจก็ยังรุนแรงในหลายบริเวณของโลก

ฉะนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามร้อนโดยตรงระหว่างประเทศมหาอํานาจที่ขัดแย้งกันรุนแรง ซึ่งจะนําไปสู่การใช้สาตราวุธนิวเคลียร์และนิวตรอน บุคคลชั้นนําแห่งประเทศมหาอํานาจบางประเทศหรือหลายประเทศจึงใช้วิธี “สงครามโดยตัวแทน” (War by Proxy) คือใช้หรือยุยงให้ประเทศเล็กที่อยู่ใต้อิทธิพลของประเทศมหาอํานาจแต่ละฝ่ายเป็นตัวแทนทําสงครามร้อนไปพลางก่อน โดยบุคคลชั้นนําแห่งประเทศมหาอํานาจหวังว่าสงครามร้อนระหว่างประเทศเล็กที่เป็นตัวแทนนั้น ยังจะไม่ขยายไปถึงมหาอํานาจตัวการโดยตรงที่จะต้องใช้สาตราวุธนิวเคลียร์และนิวตรอน

 


นายพลเดอโกลล์ (De Gaulle)

 

เมื่อประมาณ ค.ศ. 1966-1967 นายพลเดอโกลล์ (De Gaulle) ขณะเป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศสได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์กล่าวถึงสงครามร้อนที่กําลังเกิดขึ้นระหว่าง 2 รัฐในประเทศเล็กแห่งหนึ่งว่าเป็นสงครามของสองประเทศมหาอํานาจที่ใช้รัฐซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของแต่ละฝ่ายเป็นตัวแทนทําสงครามร้อนระหว่างกัน

ท่านนายพลได้เรียก “สงครามโดยตัวแทน” เป็นภาษาฝรั่งเศสว่า “La guerre par procuration” หรือต่อมามีผู้เรียกว่า “La guere par personne interuposee” ครั้นแล้วได้มีผู้แปลคําฝรั่งเศสนั้นเป็นภาษาอังกฤษว่า “War by Proxy”

 

3. ท่านผู้ใดสนใจศึกษาผลซึ่งประเทศเล็กที่เป็นตัวแทนของประเทศมหาอํานาจแต่ละฝ่ายทําสงครามในบริเวณต่าง ๆ ของโลกนั้นก็ย่อมสังเกตได้ว่า แม้ว่าบางประเทศเล็กจะยึดดินแดนบางส่วนของอีกประเทศหนึ่งไว้ได้ในชั้นแรกแห่งสงครามร้อนนั้นก็ดี แต่สงครามร้อนก็มิได้หยุดลงเพียงเท่านั้น คือยังมีการต่อสู้ยืดเยื้อยาวนานซึ่งผลัดกันชนะผลัดกันแพ้หลายยก

 


เชื้อชาติ ความเที่ยงธรรม และมรดกยุคอาณานิคมใหม่: การระบุซึ่งหนทางสู่การดำเนินงานด้านมนุษยธรรมอย่างมีจริยธรรม (Part 3)
ที่มา : ICRC

 

เมื่อสงครามร้อนยืดเยื้อยาวนาน ประเทศเล็กที่เป็นตัวแทนของประเทศมหาอํานาจแต่ละฝ่ายในการทําสงครามก็ได้รับความเสียหายโดยตรงจากสงครามนั้น และจะต้องอยู่ภายใต้อิทธิพลของมหาอํานาจที่หนุนหลังอยู่นั้นต่อไป จึงเป็นสภาพ “เมืองขึ้นหรืออาณานิคมชนิดใหม่” (Neo-colony) ของมหาประเทศนั้น ๆ

3.1 ประเทศมหาอํานาจแต่ละฝ่ายส่งสาตราวุธมาตรฐานให้ประเทศเล็กที่เป็นตัวแทนใช้ ซึ่งส่วนมากเป็นการระบายสาตราวุธมาตรฐานที่ล้าสมัย และอาจส่งสาตราวุธทันสมัยเพียงจํานวนน้อยเท่านั้นมาให้ประเทศตัวแทนใช้เพื่อทดลองประสิทธิภาพอันทําให้ประเทศมหาอํานาจตัวแทนได้ประโยชน์โดยทหารและราษฎรของตนไม่ต้องล้มตาย

ส่วนประเทศเล็กที่เป็นตัวแทนของประเทศมหาอํานาจในการทําสงครามร้อนนั้นนอกจากทหารและนักรบของประเทศเล็กแต่ละฝ่ายต้องถูกทําลายบาดเจ็บแล้ว ราษฎรชายหญิงเฒ่าชราและเด็ก ๆ ที่แม้จะไม่ถูกเกณฑ์เป็นทหารทําการรบ ณ สนามรบก็จะต้องถูกสาตราวุธมาตรฐานที่มีประสิทธิภาพทําลาย เพราะสงครามร้อนในยุคหลัง ๆ นี้มิใช่เพียงแต่ว่าทหารประจําการที่แนวรบเท่านั้นต้องถูกทําลายหรือถูกบาดเจ็บทุพพลภาพจากสาตราวุธของข้าศึก หรือเป็นการรบเฉพาะระหว่างทหารต่อทหารหรือระหว่างนักรบต่อนักรบเท่านั้น แม้พลเมืองที่ไม่ใช่ทหารประจําการที่แนวรบก็ต้องตายหรือบาดเจ็บทุพพลภาพจากสาตราวุธของข้าศึก

สถิติปรากฏว่าในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 พลเมืองของประเทศที่เป็นสนามรบต้องล้มตายบาดเจ็บทุพพลภาพเป็นจํานวนมากกว่าทหารหรือนักรบประจําแนวรบ เพราะสาตราวุธมาตรฐานมีประสิทธิภาพทําลายในอาณาบริเวณมากกว่ายุคก่อน

ในปัจจุบันนี้พลเมืองของประเทศเล็กที่เป็นตัวแทนของประเทศมหาอํานาจทําสงครามร้อนในบริเวณต่าง ๆ ของโลกนั้นก็หลีกเลี่ยงจากกฎดังกล่าวไปไม่พ้น คือพลเมืองที่ไม่ใช่ทหารประจําการต้องตายเพราะสาตราวุธของข้าศึกเป็นจํานวนมากกว่าทหารหรือนักรบที่ประจําอยู่ในแนวรบ

3.2 ประเทศเล็กที่ทําสงครามแทนประเทศมหาอํานาจนั้นต้องได้รับความเสียหาย และความอันตรายขาดแคลนทางเศรษฐกิจ ยิ่งกว่าประเทศมหาอํานาจที่เป็นตัวการคอยยุยงอยู่เบื้องหลัง เพราะประเทศเล็กดังกล่าวต้องตกอยู่ในภาวะสงครามและตกเป็นยุทธภูมิ (Theatre of war) โดยตรงของสงครามนั้น

(1) การเศรษฐกิจของประเทศเล็กดังกล่าวนั้น ก็ต้องเปลี่ยนจากสภาพสันติไปเป็นเศรษฐกิจระหว่างสงคราม อาทิ การคลัง การค้า การอุตสาหกรรม การเกษตร และสาขาเศรษฐกิจต่าง ๆ ก็ต้องดําเนินตามแผนของสงคราม

ดังนั้น การพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศเล็กก็จะสะดุดหยุดลงในระหว่างสงคราม และแม้ว่าสงครามสิ้นสุดลงแล้ว และสมมติว่าประเทศเล็กดังกล่าว เป็นฝ่ายชนะสงคราม แต่การฟื้นฟูประเทศเล็กที่ชนะสงครามก็ต้องใช้เวลาอีกหลายปีถ้าสมมติว่าประเทศเล็กดังกล่าวเป็นฝ่ายแพ้สงครามก็จะต้องใช้เวลาช้านานกว่าประเทศชนะสงครามในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ

ส่วนประเทศมหาอํานาจที่เป็นตัวการยุยงประเทศเล็กอยู่เบื้องหลังมิได้ตกอยู่ในภาวะสงครามและเป็นยุทธภูมิโดยตรงของสงครามจึงมีโอกาสพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศตนให้ทันสมัยได้ทุกอย่าง

(2) ผลผลิตทางเศรษฐกิจของประเทศเล็กดังกล่าวต้องลดลงตามลําดับแห่งการยืดเยื้อของสงคราม เพราะเหตุดังต่อไปนี้

ก) สถานที่การผลิตซึ่งแม้มิใช่อาคารหรือโรงงานก็ตาม เช่นที่นา ถ้ามีการรบในที่นาชาวนาก็ไม่อาจปลูกข้าวในที่นาได้ หรือข้าวที่ชาวนาปลูกไว้แล้วก็จะถูกทหารของทั้งสองฝ่ายที่รบกันเหยียบย่ําให้เสียหาย หรือที่นาใดปลอดจากการถูกเหยียบย่ําดังกล่าว ข้าวขึ้นงอกงามจนตกรวงที่จะเก็บเกี่ยวได้แล้ว แต่ถ้าการรบได้เกิดขึ้นในที่นาหรือบริเวณที่นานั้น ชาวนาก็ไม่อาจเก็บเกี่ยวข้าวได้

ส่วนประเทศมหาอํานาจที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่นอกจากไม่ตกอยู่ในภาวะสงครามและเป็นยุทธภูมิแล้วก็สามารถทําการผลิตอาหารของตนได้ตามปกติ

ข) การทําสงครามระหว่างประเทศมิใช่ใช้เพียงทหารประจําการตามอัตราปกติเท่านั้น หากจําเป็นต้องระดมทหารกองหนุนและกองเกินอัตราเข้าประจําการด้วย เมื่อต้องระดมทหารกองหนุนและกองเกินอัตราเข้าประจําการแล้วก็ทําให้ประเทศเล็กที่ทําสงครามแทนประเทศมหาอํานาจนั้นขาดแรงงานในการผลิตอาหาร และเครื่องอุปโภคบริโภค ราษฎรได้รับความอัตคัดขาดแคลน จึงต่างกับพลเมืองของประเทศมหาอํานาจที่เป็นตัวการคอยยุยงอยู่เบื้องหลังซึ่งยังคงดําเนินการผลิตต่อไปตามปกติได้

ค) อาคารบ้านเรือน, โรงงาน, การคมนาคม, เครื่องมือการผลิต ฯลฯ ตกเป็นเป้าหมายแห่งการทําลายโดยสาตราวุธข้าศึก ทั้งนี้เป็นการถูกตัดกําลังในการผลิตทางเศรษฐกิจ ส่วนอาคารบ้านเรือน, โรงงาน, การคมนาคม, วิสาหกิจ ฯลฯ ของประเทศมหาอํานาจที่เป็นตัวยุยงอยู่เบื้องหลัง มิได้ตกเป็นเป้าหมายแห่งการทําลายโดยสาตราวุธของข้าศึก

ง) ประเทศต่าง ๆ ในโลกนี้มิอาจมีวัตถุดิบและมิอาจสามารถผลิตปัจจัยในการครองชีพได้โดยลําพังให้ครบถ้วนทุก ๆ อย่าง ดังนั้นจึงต้องมีการค้าแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกัน

ท่านผู้ใดที่ศึกษาเรื่องสงครามเศรษฐกิจหรือกฎหมายระหว่างประเทศก็ทราบหรือควรทราบถึงวิธีการที่คู่สงครามใช้ “บล็อคเขต” (Blockade) คือการปิดล้อมคมนาคมทางบกหรือทางเรือ เพื่อมิให้ฝ่ายปรปักษ์ทําการขนส่งคนและสินค้าแลกเปลี่ยนกับประเทศภายนอกได้ อันเป็นผลทําลายการเศรษฐกิจของฝ่ายปรปักษ์ เพราะผลผลิตภายในประเทศที่เคยส่งไปขายแลกเปลี่ยนในต่างประเทศก็ถูกชะงักลง ส่วนผลผลิตที่ทําไม่ได้เอง โดยต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศก็ขาดแคลน ฯลฯ

ส่วนประเทศมหาอํานาจที่เป็นตัวการคอยยุยงประเทศเล็กอยู่เบื้องหลังนั้นมิได้ตกอยู่ในภาวะสงครามจึงไม่ถูกปิดล้อมคมนาคม (Blockade) ดังกล่าว

(3) เมื่อผลผลิตทางเศรษฐกิจของประเทศเล็กดังกล่าวตกต่ํา และการแลกเปลี่ยนสินค้ากับประเทศภายนอกก็ถูกขัดขวางโดยการปิดล้อมการคมนาคมราษฎรของประเทศเล็กก็ได้รับความอัตคัดขาดแคลน ฉะนั้นประเทศเล็กก็จําต้องใช้ระบบปันส่วนอาหารและเครื่องบริโภคอุปโภค ซึ่งราษฎรแต่ละคนจะได้รับน้อยกว่าในยามปกติ

 


นายซาลอตซา (พลพต)

 

(4) ประเทศต่าง ๆ ปัจจุบันนี้ยังใช้เงินตราหรือธนบัตรเป็นเครื่องหมายแสดงค่าของวัตถุสิ่งของและแรงงาน และใช้เงินตราหรือธนบัตรเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ยกเว้น “ประเทศกัมพูชาประชาธิปไตย” (Democratic Kampuchea) ซึ่งนายซาลอตซา (พลพต) กับพวกเป็นประมุข ยกเลิกระบบเงินตราหรือธนบัตรอันเป็นระบบคอมมิวนิสต์โดยเฉพาะของประเทศนั้น

ฉะนั้น ถ้าประเทศเล็กที่เป็นตัวแทนของประเทศมหาอํานาจยังต้องใช้ระบบเศรษฐกิจที่ใช้เงินตราหรือธนบัตรไซร้ ท่านที่มีโอกาสศึกษาค่าของเงินตราในประเทศที่ต้องทําสงครามก็จะทราบถึงเรื่องเงินตราที่ต้องเสื่อมค่าลงเรื่อย ๆ ขนาดไหนตามความเสื่อมของการเศรษฐกิจดังกล่าวใน (2) และ (3)

ถ้าท่านผู้ใดไม่มีโอกาสศึกษาตัวอย่างของต่างประเทศก็ขอให้สอบถามผู้ใหญ่ของท่านที่ยังมีชีวิตอยู่ เคยเห็นสภาพของประเทศไทยตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็อาจชี้แจงให้ท่านทราบได้ว่า เมื่อก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เงินบาทมีค่าซื้อสิ่งของได้เพียงใด และภายหลังสงครามนั้นแล้วค่าของเงินบาทต้องลดลงเพียงใด

(5) ยังมีอีกหลายประการที่ประเทศเล็กซึ่งเป็นตัวแทนของประเทศมหาอํานาจในการทําสงครามได้รับความเสียหายยิ่งกว่าประเทศมหาอํานาจที่เป็นตัวการคอยยุยงอยู่เบื้องหลัง

ท่านที่สนใจก็อาจศึกษาเทียบเคียงกับราษฎรไทยในระหว่างสงครามได้ โดยสอบถามจากบุคคลที่อยู่ในประเทศไทยในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันนี้ให้ชี้แจงประสบการณ์เศรษฐกิจระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นว่าราษฎรไทยส่วนมากได้รับความเดือดร้อนขนาดไหน ยกเว้นบุคคลที่เป็นพ่อค้าหากินร่ํารวยจากผลแห่งสงครามก็พอใจที่จะแสวงหากําไรจากความเดือดร้อนของราษฎร บุคคลดังกล่าวจึงต้องการให้มีสงครามอีกและจะไม่ยอมบอกแก่ชนรุ่นหลังให้ทราบความจริงถึงการที่ราษฎรส่วนมากได้ประสบความเดือดร้อน

 

4. ตามปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายบริเวณแห่งโลกนี้ ประเทศเล็กที่ตกเป็นตัวแทนของบางประเทศมหาอํานาจในการทําสงครามนั้นคือประเทศเล็กสองประเทศหรือหลายประเทศที่มีเขตแดนติดต่อกันในบริเวณหนึ่ง

ความขัดแย้งระหว่างประเทศเล็กดังกล่าวอาจมีขึ้นเกี่ยวกับกรณีชายแดนของประเทศเล็ก ๆ นั้น หรือเกี่ยวกับสงครามภายใน (Civil War) ของประเทศเล็กหนึ่งซึ่งมีการรบใกล้ชายแดนอีกประเทศหนึ่ง

บุคคลชั้นนําแห่งบางประเทศ หรือหลายประเทศมหาอํานาจ ที่มีความขัดแย้งกันรุนแรงดังกล่าวในข้อ 1 และข้อ 2 นั้น จึงใช้วิธียุยงให้ประเทศเล็กดังกล่าวขัดแย้งระหว่างกันรุนแรงขึ้น แทนที่จะช่วยระงับความขัดแย้งระหว่างประเทศเล็กโดยสันติวิธีหรือจํากัดสงครามนั้นไว้เฉพาะท้องถิ่นนั้น ๆ

บุคคลชั้นนําแห่งมหาอํานาจหนึ่งก็ถือโอกาสสนับสนุนประเทศเล็กหนึ่ง ส่วนบุคคลชั้นนําอีกมหาอํานาจหนึ่งก็สนับสนุนประเทศเล็กอีกประเทศหนึ่งการแก้ความขัดแย้งระหว่างประเทศเล็กโดยสันติวิธีจึงเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น

สงครามเย็น (Cold War) ระหว่างประเทศเล็ก รวมทั้งสงครามประสาทก็ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นถึงขนาดที่ก่อให้เกิดสงครามร้อนระหว่างประเทศเล็กที่ตกเป็นตัวแทนทําสงครามตามความต้องการของประเทศมหาอํานาจที่คอยยุยงสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง

บุคคลชั้นนําแห่งประเทศมหาอํานาจปฏิบัติเพื่อให้ประเทศเล็กดังกล่าวเป็นตัวแทนทําสงคราม โดยวิธีดังต่อไปนี้

4.1 (1) ประเทศมหาอํานาจดังกล่าวใช้หรือยุยงรัฐบาลของประเทศเล็ก ซึ่งอยู่ใต้อิทธิพลของตนก่อสงครามขึ้นต่ออีกประเทศเล็กซึ่งอยู่ใต้อิทธิพลของมหาอํานาจอีกประเทศหนึ่ง

(2) ถ้าหากรัฐมนตรีทุกคนหรือส่วนมากของประเทศเล็กไม่อยู่ใต้อิทธิพลของประเทศมหาอํานาจ ประเทศมหาอํานาจดังกล่าวก็แสวงหารัฐมนตรีส่วนน้อยในรัฐบาลของประเทศเล็กนั้นประกอบเป็น “กลุ่มบีบบังคับ” (Pressure Groups) ภายในรัฐบาลนั้นเองเพื่อปฏิบัติการใด ๆ ที่ทําให้รัฐบาลของประเทศนั้นจําต้องดําเนินตามแนวทางของประเทศมหาอํานาจซึ่งเป็นผู้บงการ “กลุ่มบีบบังคับ” นั้น

(3) ประเทศมหาอํานาจดังกล่าวจัดวาง “กลุ่มบีบบังคับ” ขึ้นหลาย ๆ กลุ่มในหมู่ชนที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจ, ทางการเมือง, ทางวัฒนธรรม (รวมทั้งการศึกษา) ฯลฯ เพื่อจูงใจบุคคลอื่น ๆ ในประเทศเล็กให้หลงเชื่อตามแนวทางของประเทศมหาอํานาจซึ่งเป็นผู้บงการ “กลุ่มบีบบังคับ” (Pressure Groups) นั้น และเพื่อใช้หมู่ชนและบุคคลที่หลงเชื่อนั้นเป็นพลังในการ “บีบบังคับ” (Pressure) ทางตรงและทางอ้อมต่อรัฐบาลของประเทศเล็กนั้นให้ดําเนินตามแนวทางของประเทศมหาอํานาจผู้บงการ

(4) ประเทศมหาอํานาจดังกล่าวจัดวาง “ตัวแทนก่อเรื่อง” (ภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า “Agent Provocateur” ออกสําเนียง “อาซอง โปรโวกาเตอร์” ซึ่งพจนานุกรมเวบสเตอร์ได้นําคําฝรั่งเศสนั้นมาใช้ในภาษาอังกฤษด้วย) คือบุคคลที่ประเทศมหาอํานาจใช้ให้แฝงเข้าไปในหมู่ชนต่าง ๆ แสดงความเห็นอกเห็นใจว่า ประเทศเล็กนั้น ๆ จะถูกรุกรานจากประเทศเล็กอีกประเทศหนึ่ง

บุคคลดังกล่าวก็ใช้วิธีต่าง ๆ เพื่อก่อเรื่อง ให้เกิดขึ้นกับประเทศเล็กอีกประเทศหนึ่ง เปรียบประดุจวิธีที่คําพังเพยไทยโบราณเรียกว่า “เสี้ยมเขาควายให้ชนกัน” หรือ “ปั่นหัวจิ้งหรีดให้กัดกัน”

(5) ประเทศมหาอํานาจดังกล่าวจัดตั้ง “ตัวแทนโฆษณาชวนเชื่อ” อันเป็นการใช้ยุทธวิธีจิตวิทยา (Psychological tactics) เพื่อยุยงบุคคลชั้นนําและบุคคลจํานวนพอสมควรแห่งประเทศเล็กหลงเชื่อและตกเป็นตัวแทนของประเทศมหาอํานาจในการทําสงคราม ซึ่งจะกล่าวต่อไปในข้อ 4.2

4.2 (1) เครื่องมือที่ “ตัวแทนโฆษณาชวนเชื่อ” ของประเทศมหาอํานาจสามารถใช้คือสิ่งตีพิมพ์ต่าง ๆ, วิทยุ, โทรทัศน์, วิทยุกระจายเสียง, ตลอดจนสร้างข่าวลือเปรียบประดุจ “หนังสือพิมพ์ปาก” ฯลฯ

(2) เนื้อเรื่องซึ่งตัวแทนโฆษณาชวนเชื่อเผยแพร่นั้นก็เป็นไปตาม “ยุทธวิธีจิตวิทยา” ที่ถือเอาผลที่จะได้ตามเป้าหมายเป็นสําคัญ คือการทําให้บุคคลชั้นนําและบุคคลจํานวนพอสมควรแห่งประเทศเล็กหลงเชื่อและตกเป็นตัวแทนของประเทศมหาอํานาจในการทําสงคราม

ดังนั้นเนื้อเรื่องแห่งการโฆษณาชวนเชื่อจึงไม่คํานึงถึงความเป็นจริงคือ อาจเป็นเรื่องหลอกลวง, เรื่องบิดเบือนความจริง, เรื่องความเท็จส่วนมากปนเจือกับความจริงส่วนน้อย ฯลฯ ที่สามารถทําให้บุคคลชั้นนําและบุคคลจํานวนพอสมควรแห่งประเทศเล็กหลงเชื่อได้ก็นําไปใช้ ได้แก่ยุทธวิธีจิตวิทยาแห่งการโฆษณาชวนเชื่อ

(3) ถ้าท่านผู้ใดวิเคราะห์วิจารณ์เนื้อเรื่องแห่งการโฆษณาชวนเชื่อนั้น โดยอาศัยหลักวิทยาศาสตร์แห่งการวิเคราะห์วิจารณ์เอกสารทางประวัติศาสตร์และวรรณคดี (Scientific Investigation of Historical and Literary Documents) ประกอบด้วยจิตใจวิทยาศาสตร์ 6 ประการคือ จิตใจสังเกต, จิตใจมาตรการ, จิตใจค้นคว้าหลักฐานและเหตุผล, จิตใจวิเคราะห์วิจารณ์, จิตใจปราศจากอคติ, จิตใจที่มีความคิดเป็นระเบียบ, แล้ว ท่านก็จะสามารถพบว่าเนื้อเรื่องแห่งการโฆษณาชวนเชื่อนั้นเป็นเรื่องหลอกลวง, เรื่องบิดเบือนความจริง, เรื่องเท็จส่วนมากเจือปนกับความจริงส่วนน้อย ฯลฯ ดังที่ข้าพเจ้ากล่าวใน (2)

ปัญหามีว่าเมื่อเนื้อเรื่องแห่งการโฆษณาชวนเชื่อมีลักษณะดังกล่าวนั้น เหตุใดบุคคลชั้นนําหรือบุคคลจํานวนหนึ่งแห่งประเทศเล็กจึงหลงเชื่อคําโฆษณาชวนเชื่อของตัวแทนประเทศมหาอํานาจอันเป็นเหตุให้ประเทศเล็กตกเป็นตัวแทนทําสงครามแทนประเทศมหาอํานาจได้

ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นทํานองเดียวกับปัญหาที่มีผู้ข้องใจว่าในประเทศเยอรมันสมัยฮิตเล่อร์นั้นชาวเยอรมันที่มีการศึกษาชั้นสูงก็มีจํานวนมากแต่เหตุใดจึงหลงเชื่อคําโฆษณาชวนเชื่อของฮิตเล่อร์และยอมทําตามฮิตเล่อร์อย่างหลับหูหลับตา

ฮิตเล่อร์ได้วางแผนและหลักโฆษณาชวนเชื่อไว้ในหนังสือชื่อ “ไมน์ แคมฟ์” (Mein Kampf) ซึ่งพวกเผด็จการนาซีถือเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของเขานั้น หมวดที่ว่าด้วยการโฆษณาชวนเชื่อมีใจความว่า การโฆษณาชวนเชื่อจะต้องใช้วิธีที่ถือเอาเพียงระดับของคนที่มีปัญญาต่ําที่สุด

หมายความว่า ชาวเยอรมันสมัยนั้นมีการศึกษาชั้นสูง คือมีปัญญาจากการเรียนรู้เป็นจํานวนมาก แต่ถ้าใช้ปัญญาอย่างเดียวโดยไม่ประกอบกับ “สติ” ก็หลงเชื่อคําโฆษณาชวนเชื่อได้

ฉะนั้นในปัจจุบันนี้ บุคคลชั้นนําและบุคคลจํานวนพอสมควรของประเทศเล็กที่มิได้ใช้ปัญญาประกอบด้วย “สติ” ก็อาจตกหลุมเชื่อคําโฆษณาชวนเชื่อของตัวแทนประเทศมหาอํานาจแล้วผลักดันให้ประเทศเล็กของตนต้องตกเป็นตัวแทนของประเทศมหาอํานาจในการทําสงคราม

(4) กลวิธีของตัวแทนประเทศมหาอํานาจมีมากมายที่จะทําให้ผู้ได้ยินได้ฟังได้อ่านคําโฆษณาชวนเชื่อ หลงเข้าใจผิดเรื่องที่ตัวแทนโฆษณานั้นเป็นความจริง อาทิ ได้จัดให้มีตัวแทนโฆษณาชวนเชื่อไว้หลาย ๆ สาย ซึ่งทุก ๆ สายก็โฆษณาชวนเชื่อเรื่องทํานองเดียวกัน ทําให้ผู้ได้ยินได้ฟังได้อ่านคําโฆษณาชวนเชื่อหลาย ๆ สายนั้นหลงเข้าใจผิดว่ามีบุคคลจํานวนมากที่เห็นว่าเรื่องนั้น ๆ เป็นความจริง

ยิ่งตัวแทนโฆษณาชวนเชื่อเป็นชาวต่างประเทศด้วยแล้วก็ยิ่งทําให้ผู้ได้ยินได้ฟังได้อ่านซึ่งนิยมว่าเรื่องใดที่ชาวต่างประเทศเขียนหรือบอกเล่านั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อถือได้นั้น หลงเชื่อว่าเรื่องที่คําโฆษณาชวนเชื่อนั้นเป็นความจริงแต่ว่าที่แล้วก็เป็นเรื่องที่นํามาจากบุคคลชั้นนําหรือเจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่คนเดียวหรือจํานวนน้อยของประเทศมหาอํานาจที่วางแนวทางไว้เพื่อจูงใจบุคคลชั้นนําหรือบุคคลจํานวนพอสมควรแห่งประเทศเล็กให้หลงเชื่อ เพื่อผลักดันประเทศเล็กให้เป็นผู้ทําสงครามแทนประเทศมหาอํานาจนั้น ๆ ฯลฯ

(5) ตัวแทนโฆษณาชวนเชื่อของประเทศมหาอํานาจจัดสรรเอาเรื่องหลอกลวง, เรื่องบิดเบือนความจริง, เรื่องความเท็จส่วนมากที่ปะปนความจริงส่วนน้อย ชนิดที่เร่งเร้าใจให้บุคคลเกิดสภาพทางจิตชนิดที่ในทางพุทธศาสนาเรียกว่า “อกุศลมูล” (Root of evils) 3 ประการ อันได้แก่ “โลภะ, โทสะ, โมหะ”

“โลภะ” หมายความว่า “ความอยากได้ไม่รู้จักพอ” ถ้านํามาประยุกต์แก่การยุยงบุคคลชั้นนําหรือบุคคลจํานวนหนึ่งแห่งประเทศเล็กก็ได้แก่การยุยงให้บุคคลนั้น ๆ มีความอยากได้ดินแดนของชาติอื่นมาเป็นของตนหรืออยู่ใต้อิทธิพลของตนโดยไม่รู้จักพอเท่าที่มีอยู่แล้ว

“โทสะ” หมายความว่า “ความโกรธแค้นขุ่นเคือง” ซึ่งถ้านํามาประยุกต์แก่การยุยงบุคคลชั้นนําหรือบุคคลจํานวนหนึ่งแห่งประเทศเล็กก็ได้แก่การยุยงให้บุคคลนั้น ๆ เกิดความโกรธแค้นขุ่นเคืองประเทศเล็กอีกประเทศหนึ่งที่ขัดแย้งเฉพาะเรื่องชายแดนกับประเทศตนซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถเจรจาตกลงกันได้โดยสันติวิธีให้หลงเข้าใจผิดว่าจะต้องแก้ไขโดยทําสงครามกับประเทศเล็กอีกประเทศหนึ่งนั้น

“โมหะ” หมายความว่า “ความหลงเชื่องมงาย” ซึ่งเกิดจาก “สติปัญญาทึบ” (Dullness of mind), ความหลงเชื่อเรื่องที่ขัดต่อสภาพที่เป็นจริง (Delution), ความเข้าใจปะปนยุ่งเหยิง (Bewilderment), ความหลงเชื่อจากความตื่นเต้นโดยปราศจากเหตุผลตามความเป็นจริง (Infatuation), ความหลงเชื่อจากการมองเห็นภาวะลาง ๆ เลือน ๆ ในขณะที่สภาพจิตไม่ปกติ (Hallucination)

ถ้านํามาประยุกต์แก่การยุยงบุคคลชั้นนําหรือบุคคลจํานวนหนึ่งในประเทศเล็กก็ได้แก่การยุยงให้บุคคลนั้น ๆ เกิดความหลงเชื่อว่าประเทศของตนกําลังจะถูกประเทศเล็กอีกประเทศหนึ่งยกทัพมายึดครอง ทั้ง ๆ ที่ประเทศเล็กที่ถูกอ้างว่าจะทําการรุกรานนั้นมีพลเมืองและมีกําลังทหารน้อยกว่า และขาดเสบียงอาหารที่จะเลี้ยงกองทัพและพลเมืองของประเทศเล็กที่จะทําการรุกรานนั้น บุคคลที่หลงเชื่อจึงผลักดันประเทศเล็กของตนให้ขอความช่วยเหลือจากมหาอํานาจประเทศใดประเทศหนึ่งและยอมเป็นตัวแทนของมหาอํานาจประเทศนั้นในการทําสงคราม

ประเทศเล็กดังกล่าวก็ตกเป็นอาณานิคมแบบใหม่ (Neo-colony) ของประเทศมหาอํานาจโดยปริยาย

 

อ้างอิง :

  • ปรีดี พนมยงค์, เรื่อง "สงครามประสาท WAR OF NERVES กับ สงครามโดยตัวแทน WAR BY PROXY ยุคปรมาณู (นิวเคลียร์)" หนังสือที่ระลึกวันธรรมศาสตร์ 15 ธันวาคม 2522 ของสมาคมธรรมศาสตร์แห่งแคลิฟอร์เนีย ส.ร.อ  ใน รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ชี้ทางรอดของไทย, (กรุงเทพฯ: มิตรสยาม, 2524), น. 83-106.

ประชาสัมพันธ์กิจกรรม

PRIDI Talks #31: เอกราษฎร์ และอธิปไตย ยุคประชาธิปไตย 2475 ถูกท้าทาย

วันอังคารที่ 24 มิถุนายน 2568 เวลา: 13.30 - 17.00 น.

ณ ห้องประชุมเอนกประสงค์ ร.103 (ห้องทวี แรงขำ) คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์)

 

ลงทะเบียนเข้าร่วมงาน

ผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม สามารถลงทะเบียนได้ที่นี่ : https://pridi.or.th/th/register/pridi-talks-31