
ธนกร วงษ์ปัญญา:
เริ่มต้นอย่างนี้ ผมคิดว่าเราก็พูดถึงสถานการณ์ที่ใกล้ตัว วันนี้บริบทของไทยไม่ใช่แค่เรื่องพรมแดนอย่างเดียวแล้ว แล้วก็ไม่ใช่แค่เรื่องศึกในที่เราพูดถึงกัน ความท้าทายของประชาธิปไตย พรรคร่วม การปรับคณะรัฐมนตรี การต่อรองแย่งชิงอํานาจกัน วันนี้ใหญ่กว่านั้น ซึ่งก็คือเรื่อง Geo-politics (ภูมิรัฐศาสตร์) ระดับโลกด้วย ซึ่งก็มีผลกระทบต่อทั้งศึกนอกแล้วก็ศึกในที่เข้ามาอยู่ในเวลานี้ คํา สองคําที่ผมอยากให้คุณพรรณิการ์ วานิช ช่วยคลี่คลายแล้วก็ขยาย เราจะได้ยินอยู่ตลอดเวลา คําว่าอธิปไตยมันเป็นแบบไหนกันแน่ ทั้งเรื่องดินแดน แล้วก็ความหวงแหน การช่วงชิงคําอธิบาย รวมถึงมันมีความหมายในเชิงค่านิยมสากลแบบไหนกันแน่
พรรณิการ์ วานิช:
วันนี้ดีใจอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสในการพูดในประเด็นที่ร้อนแรงกันมากในเรื่องของเอกราช แผ่นดินจะไม่เสียแม้แต่ตารางมิลลิเมตรเดียว ต่อไปแม้แต่นาโนเมตรเดียวเราก็จะไม่เสียให้กับใครนะคะ ดิฉันคิดว่าวันนี้เราได้ยินคนจํานวนมากที่อาจจะไม่ได้อินกับการเมืองชาตินิยมแบบเก่า แต่ไม่สามารถแสวงหาคําตอบได้ว่าเราก็ไม่พอใจที่เพื่อนบ้านทํากับเราแบบนี้ แต่ถ้าเราจะไม่ตกอยู่ในวังวนวาทกรรมแบบขวาจัด ขวาคลั่งชาติเก่า ๆ แล้วมันมีทางออกทางเลือกที่มีแบบสายกลางหรือไม่ หรือว่าไม่ต้องกลางก็ได้ แต่ว่าขอแบบมีสติ มีเหตุผล เป็นการรักชาติแบบปกป้องผลประโยชน์ชาติแบบไม่ต้องเกลียดชาติอื่น และไม่ต้องรบกันได้หรือไม่ จริง ๆ ในทางหนึ่ง ประเทศไทยก็ไม่ค่อยก้าวไปไหนนะ อาจารย์ปรีดีก็ทํางานเรื่องนี้มาตลอดชีวิตของท่าน แล้วเราก็ยังต้องทําต่อ
ตอนนี้เราเข้าเรื่องเลยนะคะ ดิฉันคิดว่าเราเริ่มกันที่คําสําคัญที่สุดของวันนี้ ก็คือคําว่า “เอกราษฎร์” เอกราษฎร์ที่ไม่ใช่ ร.เรือ สระอา ช.ช้าง แบบที่เราคุ้นเคย แต่เป็น “ราษฎร” เอ๊ะ งานนี้ประดิษฐ์คํานี้ขึ้นมาเองหรือไม่ ก็ต้องบอกว่าไม่ คําว่าเอกราษฎร์จริง ๆ มันอยู่ใกล้ตัวทุกท่านมากกว่าที่คิดมาก เพียงแต่ว่ามันใกล้ตัวในอดีต ในปัจจุบันไม่ใกล้ตัวแล้ว เอกราษฎร์แบบสะกดด้วย ษ.ฤาษี ฎ.ชฎา ร.เรือ การันต์ คือราษฎรเนี่ย เป็นคําที่ปรากฏอยู่ในเพลงชาติไทยเวอร์ชั่นแรกในท่อน “เอกราษฎร์คือเจดีย์ที่เราบูชา” ซึ่งอยู่ท้าย ๆ เพลงชาติไทยเวอร์ชัน 2475 ส่วน “ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติไทย” อันนี้เป็นเวอร์ชั่นที่สาม

(ที่มา: Thairath.co.th)
ความหมายของ “เอกราษฎร์” ที่เป็นราษฎรคืออะไร ดิฉันยกอันนี้ขึ้นมาเพราะว่ามันจะเป็นคอนเซ็ปต์ตั้งต้นที่ทําให้เราเข้าใจได้ว่าเราสามารถรักชาติแบบมีสติได้ เราสามารถรักชาติแบบที่เจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศโดยไม่ตกอยู่ในวาทกรรมหลงชาติ หรือคลั่งชาติได้นะคะ อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เคยให้ความหมาย เกี่ยวกับความชาตินิยมเอาไว้ว่ามันจะมีสิ่งที่แข่งขันกันอยู่ ก็คือ Ethnic nationalism (ชาตินิยมชาติพันธุ์) กับ Civic nationalism (ชาตินิยมพลเมือง) นะคะ Civic Nationalism คือแปลเป็นไทยว่า “เป็นชาตินิยมที่ผูกกับพลเมือง” คือเป็นชาตินิยมที่ผูกติดความรักชาติ และปกป้องผลประโยชน์ชาติบนฐานของความเป็นพลเมืองร่วมกัน ถ้าเราพูดแบบคนรุ่นใหม่ ๆ ก็ต้องบอกว่าอยู่บนความหลากหลาย จริง ๆ ชาติที่ใกล้เคียงกับ Civic nationalism มาก ใกล้ ๆ เราเลยคือสิงคโปร์ สิงคโปร์จะผูกติดความรักชาติ หรือ Patriotism หรือ Nationalism ให้เข้ากับค่านิยมสากล นั่นคือการเคารพในความแตกต่างหลากหลาย ไม่ว่าคุณจะเป็นคนเชื้อชาติภาษาใด คุณเข้ามาเป็นพลเมือง ของสิงคโปร์ และเราจะมาพัฒนาชาตินี้ให้เจริญก้าวหน้าด้วยกัน ในขณะเดียวกัน Ethnic nationalism อันนี้สะท้อนชัดเจนมากในเวอร์ชั่นที่ 3 ของเพลงชาติไทย คือผูกติดความเป็นไทยเข้ากับความเป็นเชื้อชาติไทย
กลับมาที่เรื่องของชาตินิยมที่ผูกติดกับความเป็นพลเมืองและผูกติดกับความเป็นเชื้อชาตินะคะ เราควรจะต้องเข้าใจได้ทันทีว่าชาตินิยมที่คนในยุคสมัยนี้แสวงหา เราก็เชื่อว่ามันไม่ได้ผูกติดกับความเป็นเชื้อชาติ แต่เราผูกติดกับความเป็นพลเมืองและหน้าที่พลเมืองที่สอดคล้องกับระบบประชาธิปไตยและหลักสิทธิมนุษยชนสากล
ดิฉันอยากพูดถึงอีกเรื่องนึงที่ต่อเนื่องสอดคล้องกันไป กลับมาที่เอกราษฎร์ เพราะฉะนั้น เอกราษฎร์ที่หมายถึงในเพลงชาติไทยเวอร์ชั่นแรกและในชื่องานวันนี้ นัยยะของมันจึงเป็นคําที่ผูกติดความรักชาติเข้ากับความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของราษฎรในแง่ของ Civic nationalism อย่างชัดเจน คือความเป็นพลเมืองที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันภายใต้ชาติ ซึ่งต้องเรียกว่าชาติสยาม เพราะว่าชาติไทยเป็นสายจอมพล ป. คือ Ethnic nationalism เชื้อชาติไทย จริง ๆ เราก็ต้องบอกว่าอันนี้คือเอกราษฎร์ ซึ่งต้องไม่ใช่เอกราษฎร์ไทย ควรจะเป็นเอกราษฎร์สยาม จึงจะสอดคล้องต้องกันจากต้นจนจบ
ต่อเนื่องมามีอีกหนึ่งความหมาย หนึ่งคําที่ดิฉันอยากให้ทุกคนเข้าใจ บทความของอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ที่ชื่อว่า “ชาติยังคงมีอยู่” อยากให้ทุกท่านไปอ่านกันมาก เพราะว่าบทความต้นฉบับเป็นนิตยสารเพื่อนไทยฉบับปี 2516 ในบทความจะพูดถึงลัทธิมาร์กซิสต์ และความเชื่อเรื่องกรรมาชีพ ไม่มีประเทศ ไม่มีปิตุภูมิ ซึ่งอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ พยายามที่จะโต้เถียงว่าชาตินั้นยังมีอยู่ ไม่ใช่ว่าไร้ชาติซะทีเดียว แต่เป็นความเป็นชาติในแบบใด ความเป็นชาตินี้ผูกติดกับคําว่าเอกราษฎร์ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของประชาชนในชาติ เป็นความรู้สึกที่เราต้องทําให้มีขึ้น และจําเป็นต้องมีอยู่ เพราะมันคือความรู้สึกว่า Ego หรือตัวเราเองจะไม่สูงกว่าส่วนรวม นี่คือความเป็นเอกราษฎร์น้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวม ก็คือ Egoism vs Altruism ส่วนตัวกับส่วนรวม ชาติในความหมายของความเป็นส่วนรวมของพวกเราที่รวมกันเป็นเอกราษฎร์นั้นจะต้องเหนือกว่า นั่นคือความเป็นประชาชาติในความหมายของอาจารย์ปรีดี พนมยงค์
เรากลับมาพิจารณาว่าในวันนี้ความรักชาติและความรักในเอกราษฎร์ของประเทศไทยนั้นเป็นแบบใด ยกตัวอย่างที่ใกล้ตัวที่สุดในวันนี้ ถ้าท่านฟังข่าวท่านจะเห็นคนรักชาติเยอะมากเลยนะคะ พรรคการเมืองบางพรรคบอกว่าเราต้องมีความรักชาติ ปกป้องผลประโยชน์ชาติ พากันประคับประคองไปก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวเข้าทางศัตรู ใช้คําศัพท์ปิยะบุตร ใช้คำว่ารักชาติจนน้ำลายไหล คือคิดว่าประชาชนไม่รู้ใช่ไหมว่าจริง แล้วคือเรื่องเก้าอี้รัฐมนตรี แต่เวลาอ้างก็จะอ้างว่ารักชาติ จะเห็นได้ชัดว่าคอนเซ็ปต์ที่เราพูดกันเมื่อสักครู่นี้ว่ารักชาติแปลว่าชาติคือส่วนรวมต้องมาก่อนส่วนตัว มันกลับหัวกลับหางหมดเลยนะคะ วันนี้คนที่อ้างวาทกรรมรักชาติ จริง พรรคอื่นก็เช่นเดียวกันนะคะ พวกที่บอกว่ารักชาติ แต่ในความเป็นจริงใช้เมื่อต้องการได้ผลประโยชน์ส่วนตัวจากทรัพยากรของชาติ แต่พูดตรง ไม่ได้ ก็คือต้องบอกว่ารักชาติ ทําเพื่อชาติ
ธนกร วงษ์ปัญญา:
เหมือนประโยชน์ส่วนรวมและประโยชน์ส่วนตัวได้พร้อมกัน
พรรณิการ์ วานิช:
Win-win situation ซึ่งเกิดขึ้นจริงหรือไม่ Win-win situation หรือไม่ การที่รัฐบาลนี้ไปต่อ แล้วพวกท่านเหล่านี้ที่รักชาติจนน้ำลายไหลได้เป็นรัฐมนตรี ตกลงคนที่ได้ประโยชน์คือประเทศชาติและพวกเขาได้ประโยชน์ทั้งคู่ หรือใครได้ประโยชน์กันแน่
ดิฉันคิดว่ากลับมาที่วันนี้เราต้องระมัดระวังอย่างดี และค่อย ตอกย้ำดังที่อาจารย์ปรีดี พนมยงค์กล่าวว่ารักชาติไม่ใช่เรื่องผิด ความรักในชาติ และต้องการปกป้องเอกราษฎร์ คือความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของราษฎรไทยเพื่อปกป้องผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นเรื่องที่สวยงาม และเราไม่ต้องอายที่เราจะเป็นคนรักชาติ จงรักภักดีต่อชาติ และปรารถนาที่จะปกป้องเอกราษฎร์ของไทย แต่จงพึงรําลึกไว้อยู่เสมอว่าความเป็นชาติของเราไม่ควรจะผูกติดกับ Ethnic หรือเชื้อชาติ ในที่นี้รู้ดีอยู่แล้วว่าประเทศไทยของเรานี้แบ่งออกเป็นหลายเชื้อชาติ ศาสนา ความเชื่อ รวมไปถึงความเชื่อทางอุดมการณ์ทางการเมืองด้วย แต่เราสามารถรวมกันเป็นเอกราษฎร์เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนไทยได้ เอกราษฎร์ 3 ประการที่คณะราษฎรต้องปกปักษ์พิทักษ์ไว้คือ เอกราษฎร์ทางการศาล เอกราษฎร์ทางเศรษฐกิจ และเอกราษฎร์ทางการเมือง
วันนี้เรามาตั้งคําถามกันมั้ยคะว่าบรรดาบุคคล แม้แต่นายกรัฐมนตรีก็รักชาติมากวันนี้ นายกรัฐมนตรีก็รักชาติ ทุกคนก็รักชาติ บอกว่าปกป้องเอกราชอธิปไตย จะไม่ให้ใครมาย่ำยี ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด คําถามของดิฉันนะคะ คือบุคคลที่พึงรักชาติที่สุดเนี่ย แล้วอ้างอยู่เสมอว่ารักชาติที่สุดในวันนี้ แผ่นดินก็ยังไม่เสียนะ ดิฉันยังไม่เห็นว่าแผ่นดินไทยจะเสียไปตรงตารางนิ้วไหน บางสิ่งที่เราไม่เคยได้มาเนี่ย เราจะเสียมันไปได้อย่างไร แต่สิ่งที่ไม่ใช่ของเราเนี่ย บางทีเราก็เสียมันไปไม่ได้เช่นกัน
ไกลไปกว่านั้น หลายท่านน่าจะเคยฟังคลิปที่พูดสั่งการให้จับเป็นหรือจับตายฝ่ายค้านกัมพูชาในประเทศไทย โดยให้ประสานกับตํารวจไทย คลิปนี้วันที่ 22 กันยายน ปีที่แล้ว นี่คือการล่วงละเมิดเอกราษฎร์ของประเทศไทยหรือไม่ ทั้งทางการศาลและทางการเมือง อาจจะไม่เกี่ยวกับทางเศรษฐกิจนะคะ คําถามคือ ณ วันนี้ นายกฯ ผู้ที่บอกว่าตนรักชาตินั้นจงใจหลับตาข้างเดียว หรือแม้แต่มีส่วนรู้เห็นหรือไม่ในการให้ผู้นําต่างชาติเข้ามาแทรกแซงอธิปไตยของไทย และสั่งการให้คนของตัวเองทํางานกับตํารวจไทยไล่ล่าฝ่ายตรงข้าม โดยใช้คําว่าจับเป็นหรือจับตาย และมีคนตายในต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา นี่หรือคือการกระทําของผู้ที่เรียกว่ารักชาติ และจะปกปักษ์เอกราษฎร์อธิปไตยของไทยจนสุดชีวิต วันนี้คุณปกป้อง Ego หรือคุณปกป้องประเทศชาติ วันนี้ความรักชาติของคุณมันแปลว่าเสียสละส่วนตัวเพื่อรักษาส่วนรวมหรือไม่
จะสรุปแบบนี้ว่า วันนี้มีข้อพิสูจน์ที่ง่ายดายที่สุดว่าความรักชาติของผู้นําทางการเมืองของไทย ทั้งรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลในเวลานี้ พิสูจน์ผ่านสายตาคนไทยแล้วว่า เป็นรักชาติที่กลับกลอก เป็นรักชาติที่กลับหัวกลับหาง เป็นรักชาติที่ปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง โดยเอาผลประโยชน์แห่งชาติบังหน้าหรือไม่ วันนี้ประเทศไทยพึงลุกขึ้นมาปกป้องความเป็นเอกราษฎร์ คือความเป็นราษฎรที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของไทยแล้วเชิดชูความเป็นชาตินิยมของเรา คือเราจะไม่ให้เอกราษฎร์ของเราถูกผู้นําชาติใดมาข่มขี่ มาก่ออาชญากรรม โดยสั่งการตํารวจไทย เราจะไม่ให้ชื่อเสียงของประเทศไทยถูกย่ำยีในเวทีโลกว่าเป็นรัฐอันธพาล ปล่อยให้เกิดอาชญากรรม การไล่ล้าง การตามล่านักเคลื่อนไหว นักสิทธิมนุษยชนประชาธิปไตยข้ามชาติได้ ดิฉันคิดว่าวันนี้ถ้าเราต้องการให้มี Civic nationalism ความรักชาติอย่างมีสติ รักชาติในฐานะปกป้องเกียรติภูมิของประเทศชาติ เราอยากทําให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ประชาชนไทยร่วมกัน บอกว่าเอกราษฎร์ของเราจะไม่ให้ใครข่มขี่เกียรติภูมิของชาติ เราจะไม่ให้รัฐบาลไทยร่วมกับรัฐบาลอื่นในการมาข่มขี่ และ compromise อธิปไตยของไทยแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้
ธนกร วงษ์ปัญญา:
ผมคิดว่า Keyword แล้วก็คําถามสําคัญที่วันนี้เราถามตัวเองได้เลย จากที่คุณพรรณิการ์ได้แสดงความคิดเห็นเมื่อสักครู่นี้ ผมคิดว่าเราต้องถามตัวเองว่าเรารักชาติแบบใดก่อน รักชาติแบบใด แล้วความหมายหรือคําขยายต่อมาเป็นแบบที่คุณพรรณิการ์อธิบายเมื่อสักครู่นี้หรือไม่ หรือว่าในใจของทุกท่านมีโมเดลการรักชาติแบบไหน แล้วลองถกเถียงกันดู ในอันดับแรก อันดับที่สองก็คือ อะไรก็แล้วแต่ที่เราเห็นอยู่แล้ว ผมคิดว่าในฐานะ Active citizen ผมคิดว่าวันนี้ทุกคนเป็นคนที่นําตัวเองมาทั้งหมด มีความตื่นตัวทางการเมือง อยากได้ความรู้ แล้วลองแลกเปลี่ยนกันดู

เมื่อสักครู่นี้ คุณพรรณิการ์เริ่มต้นที่ประเด็น “รักชาติแบบใด” เพราะฉะนั้น คําถามที่ผมจะย้อนกลับมาหาที่คุณพรรณิการ์อีกในฐานะที่ผมว่าเราร่วมสมัยกัน ติดตามการเมืองมาสัก 2 ทศวรรษ หลายปีที่ผ่านมาคงไม่มีความท้าทายทางการเมืองหรือความท้าทายทางประชาธิปไตยใดที่จะหนักหนา สาหัส แล้วก็โดนมากที่สุด ก็คงเป็นพรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล แล้วก็ถูกดําเนินคดีทางการเมือง เมื่อเราเห็นสิ่งนี้ ผมอาจจะใช้คําว่าเป็นการบั่นทอนประชาธิปไตย หรือว่าทําให้ประชาธิปไตยถูกท้าทายด้วยหลักการของคณะราษฎร อยากให้คุณพรรณิการ์แสดงความคิดเห็นสักเล็กน้อยถึงเรื่องความท้าทายหรือการบั่นทอนนี้ หรือว่าสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงการเขย่าหลักการของคณะราษฎรในยุคปัจจุบัน
พรรณิการ์ วานิช:
เรื่องที่ฟังทั้งอาจารย์สุภลักษณ์ แล้วก็อาจารย์ธเนศ เราก็อยากจะมาพูดต่อเยอะมากเลยนะคะ ขอขมวดมาแล้วก็ตอบคําถามของท่านพิธีกรด้วยเลยว่า ผลกระทบหรือเรียกว่ากระบวนการ Disrupt ประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันเนี่ย ดิฉันคิดว่าขอกลับไปตอบโดยใช้เรื่องของเอกราษฎร์ 3 ประการของคณะราษฎรในการในการลองตอบ ลองเฟรมแบบนี้ดูนะคะ เมื่อสักครู่ ดิฉันชอบอาจารย์ธเนศที่บอกว่า คําว่าเอกราช แปลแบบเข้าใจง่ายที่สุดเลยเนี่ยก็คืออํานาจสูงสุดเป็นของกษัตริย์ เอกราช ช.ช้างนะคะ เพราะฉะนั้นเมื่อมาสู่ยุคของคณะราษฎร ก็เลยมีความนิยมในสมัยนั้นในการใช้คําว่าเอกราษฎร์ ก็คืออํานาจสูงสุดเป็นของประชาชน ก็ผนวกรวมกับความหมายที่เราพูดถึงความเป็นส่วนรวม ประชาชนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน พิทักษ์รักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของอาจารย์ปรีดี พนมยงค์
เรื่องของ Civic nationalism เอกราษฎร์ หรือ อํานาจสูงสุดเป็นของประชาชน ถ้าเราอธิบายแบบคณะราษฎร 3 ประการ ลองมาสํารวจว่าเอกราษฎร์เราถูกเซาะกร่อนบ่อนทําลายไปถึงไหนแล้ว เอกราษฎร์ทางการศาล เอกราษฎร์ทางเศรษฐกิจ แล้วก็เอกราษฎร์ทางการเมือง
เอกราษฎร์ทางการศาล ถ้าเป็นสมัยคณะราษฎร เราหมายถึงการทําสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับต่างชาติ ทั้งเรื่องการคิดดอกเบี้ยเงินกู้ ทั้งเรื่องของสิทธิสภาพนอกอาณาเขต แต่ว่าถ้าเรากลับมาถึงปัจจุบัน เอกราษฎร์ หรืออํานาจสูงสุดเป็นของประชาชนทางการศาล ดิฉันคิดว่าอาจจะเป็นสิ่งที่เราเห็นชัดที่สุดว่าถูกเซาะกร่อนบ่อนทําลาย เอาใกล้ตัวที่สุดเลย ดิฉันไม่ค่อยถนัดพูดเรื่องของตัวเองและพรรคตัวเองนะคะ เพราะว่าทุกท่านก็ทราบดีกันอยู่แล้วนะคะ ทุกท่านคิดว่าเอกราษฎร์ทางการศาลนั้นเป็น “เอกราษฎร์” หรือ “เอกราช” ในเมื่อวันนี้เราเดินทางมาถึงวันที่ต้องลุ้นว่านายกฯ จะพ้นจากตำแหน่งด้วยอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญอีกแล้วภายในหนึ่งปี ปีที่แล้วเกิดเหตุการณ์เรียกว่าการเซาะกร่อนบ่อนทําลายเอกราษฎรทางการศาลถึง 2 ครั้ง คือยุบพรรคก้าวไกล ต่อด้วยคุณเศรษฐาหลุดจากตําแหน่งด้วยข้อหาไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และละเมิดมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) กับ (5) วันนี้นายกฯ ก็กําลังเดินเข้าสู่กับดักเดียวกัน เราไม่ต้องพูดกันแล้วนะคะ สิ่งที่นายกฯ ทําเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมอะไรอย่างไร แต่วันนี้เราลองมาชวนกันตั้งคําถามว่า นายกรัฐมนตรีต้องหลุดจากตําแหน่งด้วยวิธีการแบบนี้เป็นคนที่ 2 ภายในเวลาหนึ่งปี ท่านจะชอบหรือไม่ชอบนายกรัฐมนตรีคนนั้น ดิฉันคิดว่าวันนี้อํานาจในการตัดสินใจเลือกผู้นําประเทศได้หลุดจากมือประชาชนไปแล้วนะคะ เอกราษฎร์ทางการศาล ณ วันนี้ไม่ใช่เอกราษฎร์ ไม่ใช่อํานาจสูงสุดที่เป็นของราษฎรอย่างแน่นอน แต่กลับถูกใช้ในการเซาะกร่อนบ่อนทําลายอํานาจของราษฎร
เอกราษฎร์ที่ 2 คือเอกราษฎร์ทางเศรษฐกิจ ทุกวันนี้มีอะไรบ้างที่ไม่ผูกขาด อินเทอร์เน็ตที่พวกเราใช้วันนี้แพงขึ้น แย่ลง เพราะว่าเหลืออยู่ 2 เจ้านะคะ ไม่ต้องพูดถึงร้านสะดวกซื้อ ไม่ต้องพูดถึงไฮเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่นะคะ วันนี้เราไปอุดหนุนแม่ค้าข้าวแกง หวังกระจายรายได้ แม่ค้าก็ได้ส่วนแบ่งเศษเนื้อข้างเขียงนิดหน่อย แต่แม่ค้าก็ไปซื้อของจากไฮเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่อยู่ดี มันกินรวบไปหมด ปุ๋ยแพง ยาแพง เกษตรกรเป็นหนี้ ปุ๋ยแพงยาแพงเพราะอะไรคะ เพราะว่าปุ๋ยกับยามีอยู่ไม่กี่เจ้าผูกขาดในประเทศไทย วันนี้เอกราษฎร์ทางเศรษฐกิจที่อาจารย์ปรีดีตั้งใจว่าจะปลดแอกประชาชนจากการกดขี่จากเอกชน จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เดินทางมา 93 ปี คือมันเหลือเชื่อมากว่าเราเดินทางมาสู่วันที่เศรษฐกิจถูกผูกขาดขนาดนี้ได้อย่างไร
ส่วนเอกราษฎร์ทางการเมือง ในอดีตนั้นหมายถึงความพร้อมในการรับมือกับสงคราม เพราะว่าสถานการณ์ 93 ปีที่แล้วเป็นสถานการณ์ที่โลกปั่นป่วน วันนี้จริง ๆ แล้วก็ปั่นป่วน แต่เราอาจจะไม่ได้คิดถึงสงครามโลกอีกต่อไปแล้ว ดิฉันคิดว่าในปัจจุบัน เอกราษฎร์ทางการเมืองหมายถึงแทนที่จะเป็นศักยภาพในการพร้อมเข้าสู่สงคราม ดิฉันคิดว่าเป็นศักยภาพในการเจรจากับประเทศต่าง ๆ และอยู่รอด ภายใต้สถานการณ์ Geopolitics ที่ร้อนแรง ณ วันนี้ คําถามคือเอกราษฎร์ของเรา หรือศักยภาพของเราในทางการเมืองในการที่จะเจรจาต่อรองในเวทีระหว่างประเทศ ดิฉันขอโทษนะคะที่จะต้องพูดว่าเจรจากับเพื่อนบ้านยังไม่รอดเลย แล้วจะไปเจรจากับประเทศอื่นรอดได้อย่างไร ดิฉันงงมากมาจนถึงวันนี้ว่าการดําเนินการระหว่างประเทศไทยมาถึงจุดที่เราเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้านขนาดนี้ได้อย่างไร วันนี้การทูตไทยเสียสมดุลไปให้กับจีนมากแค่ไหน คุณจะทําอะไรก็เดี๋ยวติดจีน เดี๋ยวติดสหรัฐอเมริกา ทําอะไรกับสหรัฐอเมริกา เกรงใจจีน คือวันนี้ศักยภาพของเราในการประคองตัวให้อยู่รอดอย่างสมดุลบนเวทีโลก ดิฉันคิดว่าสูญเสียไปตั้งแต่ยุครัฐบาล คสช. ยังพอเข้าใจได้เพราะเป็นรัฐบาลรัฐประหาร คุณไม่มีความชอบธรรมอยู่แล้ว คุณเสียเปรียบในเรื่องนี้ แต่วันนี้เรากลับมามีรัฐบาลพลเรือนกี่ปีแล้ว ทําไมเราถึงยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้
ดิฉันจึงอยากจะกลับไปที่เพลงชาติวรรคถัดจากที่ฮิต ๆ กันช่วงนี้คือ ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่ ดิฉันชอบคําว่าข่มขี่ ข่มขี่ไม่ได้แปลว่าเสียไปนะคะ ข่มขี่แปลว่าถูกกด ถูกขี่ ถูกเซาะกร่อนบ่อนทําลาย วันนี้เอกราษฎร์ของเรายังไม่ได้สูญเสียไป แต่เอกราษฎร์ทั้งทางการศาล เศรษฐกิจ และการเมืองอันหมายถึงอํานาจสูงสุดเป็นของประชาชน และถูกใช้เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของส่วนรวม นั่นก็คือประชาชนทั้งหมดในประเทศไทย ดิฉันคิดว่ามันถูกข่มขี่อย่างร้ายแรงนะคะ โดยที่เราเอง ประชาชนเองเนี่ย มัวแต่ไปตกหลุมอยู่ในการพิทักษ์รักษาเขตแดน หรือไปตกหลุมอะไรนะคะ เพลงที่ยังไม่รู้ ฟังไม่ออกเลยว่าตกลงเพลงอะไรกันแน่\

แต่ในวันที่เอกราษฎร์ทั้ง 3 ประการของเราถูกเซาะกร่อนแบบนี้ เรากลับไม่ได้สนใจมันมากเท่าที่กลัวว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ เรากลับไปถูกหลอกล่อให้สนใจเรื่องที่มันไม่ได้ใหญ่ แต่ถูกทําให้ใหญ่เพื่อผลประโยชน์ของคนบางส่วนที่อ้างว่ารักชาติ รักชาติเพื่อสร้างคะแนนนิยมให้ตัวเอง รักชาติเพื่อที่จะได้อยู่ในตําแหน่งรัฐมนตรีเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ต่อไป ดิฉันคิดว่าวันนี้อาจจะเป็นเวลาที่เราต้องมาพูดกันจริง ๆ ว่าถ้าเราจะพิทักษ์ประคับประคองเอกราษฎร์ และอํานาจอธิปไตยของไทย เอกราษฎร์ทั้ง 3 ประการ ประชาชนจะต้องตื่นจากวาทกรรมประเภทที่หมกมุ่นอยู่กับการเสียดินแดน แล้วลองมาคิดกันว่า อาจารย์ปรีดีเนี่ยได้เคยพูดเอาไว้ในเรื่องของเอกราษฎร์ว่า ถ้าประเทศเป็นประเทศที่ประชาชนพลเมืองอยู่ดีมีสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี เรามีระบบการศึกษาที่ดี เรามีอาวุธพร้อมพรั่งในการรับมือกับศัตรู เรามีการจัดการทางเศรษฐกิจที่ดี รัฐบาลผู้เข้าไปจัดการควบคุมให้เกิดการทํานุบํารุงประเทศให้เหมาะสม ประเทศใดเขาจะกล้ามาราวีเรา วันนี้ประเทศใด ๆ ก็กล้าราวีเรา เพราะฉะนั้นเนี่ย ดิฉันคิดว่า เป็นเรื่องจริงที่ว่าคุณปล่อยให้ประเทศที่กล้าบอกว่าด้อยกว่าเรา เราปล่อยให้ตัวเราเสียเปรียบขนาดนั้นได้อย่างไร ดิฉันคิดว่าวันนี้เราไม่จําเป็นต้องโกรธเกลียดประเทศไหนทั้งนั้นนะคะ เรามาพิจารณาตัวเองดีกว่าว่าเราปล่อยให้ผู้มีอํานาจในบ้านเมืองเราย่ำยีข่มขี่เอกราษฎร์อธิปไตยของพวกเรากันเองจนไม่สามารถที่จะมีศักยภาพในการยืนหยัดอย่างมีเกียรติภูมิบนเวทีโลกได้หรือไม่ ในเมื่อประชาชนตระหนักและตื่นรู้และเข้าใจว่าปัญหาที่แท้จริงในเรื่องเอกราษฎร์อธิปไตยของไทยคืออะไร ดิฉันคิดว่าก็จะตั้งต้นไปสู่การมีรัฐบาลที่รู้ว่าจะต้องทําอะไรเพื่อพิทักษ์เอกราษฎร์
ธนกร วงษ์ปัญญา:
ขอบพระคุณคุณพรรณิการ์ แต่ยังพอมีเวลาเหลืออีกนิดนึง ผมอยากให้คุณช่อช่วยตอบคำถามในช่วงที่พรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล พรรคประชาชน มาจนถึงตอนนี้เจอกับสถานการณ์ที่ต้องเสียพรรคไป เสียสมาชิกไป แล้วก็ต้องเริ่มต้นใหม่อยู่ตลอดเวลา สองสิ่งนี้ที่เราเห็นอยู่ตลอดเวลาก็คือ ผมไม่แน่ใจว่า เดี๋ยวเราจะมีคดีเรื่องจริยธรรมที่อาจจะต้องโดนเซาะกร่อนบ่อนทำลายกันไปอีก ตรงนี้ความท้าทายหรือว่าอนาคตของการเดินไปเพื่อให้ไม่วนกลับมาที่กับดักแบบเดิม ในฐานะคนที่มองอย่างสังเกตการณ์ คิดอย่างไร
พรรณิการ์ วานิช:
ก็คงมองอย่างสังเกตการณ์ไม่ได้นะคะ มองอย่างเป็นผู้ถูกเล่นแล้วผู้เล่น ก็ดิฉันคิดว่า ข้อแรก พวกเราไม่เคยเสียพรรคไปเพราะว่าพรรคการเมืองไม่สามารถถูกยุบโดยคนใส่ครุย 9 คนได้ พรรคการเมืองถูกทําลายโดยตัวเองสูญเสียความเชื่อมั่นศรัทธาที่ประชาชนมีให้ เมื่อนั้นพรรคการเมืองถูกทําลาย เพราะฉะนั้น ดิฉันขอยืนยันว่า แม้ว่าเราจะมีชื่อมา 3 ชื่อ ชื่อนี้เป็นชื่อที่ 3 และหวังว่าจะเป็นชื่อสุดท้าย แต่เราไม่เคยเสียพรรคการเมืองใดไป

ในส่วนของสมาชิกนะคะ ในวันที่เราเป็นพรรคอนาคตใหม่ เราก็มีสมาชิกประมาณซักห้าหมื่นคน ในวันที่เราเป็นพรรคก้าวไกล เรามีสมาชิกประมาณ 70,000 คนในวันที่เราเป็นพรรคประชาชน เรามีสมาชิก 120,000 คน เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ได้สูญเสียสมาชิกไปเช่นเดียวกันนะคะ ก็เพราะฉะนั้น สิ่งที่สูญเสียคือสูญเสียโอกาสในการที่เราจะได้เข้ามาสู่การบริหารประเทศ และทําทุกอย่างให้เข้ารูปเข้ารอย เพราะฉะนั้น ถามว่าจะทําอะไรเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสียโอกาสซ้ำซ้อน ดิฉันคิดว่าวันนี้สิ่งที่เราทําอยู่ทุกวันก็คือชี้ให้ประชาชนเห็นว่าปัญหาที่แท้จริงของประเทศคืออะไรกันแน่ หลาย ๆ ครั้งท่ามกลางความสับสนของข้อมูลข่าวสาร หรือว่าประชาชนเองก็มีหลายเรื่องหลายราว ดิฉันคิดว่าเราก็ช่วยกันทํางานทางความคิดไปว่าสิ่งที่ประเทศชาติต้องการคืออะไร ความหมายของการเลือกตั้งครั้งหน้าไม่ใช่ว่าต้องให้คุณณัฐพงษ์เป็นนายกฯ ต้องให้คุณพิธาเป็นนายกฯ ต้องให้คุณธนาธรเป็นนายกฯ มันไม่ใช่เกี่ยวกับว่าให้ใครเป็นนายก ในทุก ๆ การเลือกตั้ง ความหมายของมันก็คือคุณต้องการให้ประเทศเดินหน้าไปแบบไหน ดิฉันคิดว่าวันนี้สิ่งที่เราต้องทําก็คือโจทย์ในการเลือกตั้งครั้งหน้าทําให้ประชาชนคนไทยเห็นตัวเลือกให้ชัด พรรคอื่นก็แล้วแต่เขาเป็น เป็นเรื่องของเขา ก็คงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา แต่ว่าในพรรคของเราเอง รวมถึงพรรคที่ดิฉันสนับสนุน ซึ่งดิฉันคิดว่าในการเลือกตั้งก็ควรจะนําเสนอโมเดลให้ประชาชนเห็นให้ชัดว่าประเทศไทยแบบที่พวกเราอยากให้เกิดขึ้นเป็นแบบไหน มันเรียบง่ายเท่านี้ เหมือนตอนทําอนาคตใหม่ ประเทศไทยที่เราอยากเห็นเป็นแบบไหน ในวันที่เป็นอนาคตใหม่มันก็จะประมาณว่าประเทศไทยที่ไม่มีการรัฐประหารอีกต่อไป ไม่มีเศรษฐกิจผูกขาด มีการกระจายอํานาจ
เดินทางมาถึงวันที่เป็นพรรคประชาชน ดิฉันคิดว่าความฝันในการมีประเทศที่เราอยากให้ลูกหลานเรามีชีวิตต่อไปอาจจะไม่ได้ต่างจากเดิมมากนัก อาจจะมีเปลี่ยนไปบ้างนิดหน่อย พูดถึงปัญหาที่มันทันสมัยมากขึ้น เป็นสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น แต่ว่าหน้าที่ของพรรคประชาชนก็เรียบง่ายแค่นั้นเอง นําเสนอให้ประชาชนเห็นชัด ๆ ต้องไม่ใช้เทคนิคหาเสียงนะคะ ไม่ใช้การตุกติก หลอกล่อใด ๆ พูดกันอย่างตรงไปตรงมาว่า ประเทศไทยแบบที่เราจะทําให้เกิดขึ้นถ้าเราได้เป็นรัฐบาลคืออะไร แล้วประชาชนได้เห็น ได้เลือก และยิ่งประชาชนเลือกพวกเรามากเท่าไหร่ โอกาสที่พวกเราจะได้ทําตามนโยบายก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ได้ ส.ว. 250 เสียงก็คงได้เป็นรัฐบาลแน่ ๆ แต่ว่าก็ต้องมีพรรคอื่นมาร่วมด้วยอีกสัก 30-40 เสียง เขาก็คงจะต้องมีนโยบายที่จะนําเสนอเข้ามาเหมือนกัน ถ้าเราได้สัก 300 เสียงเราก็ตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ เราก็คงทําได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ดิฉันคิดว่าข้อเท็จจริงของประชาธิปไตยมันก็เรียบง่ายเท่านั้นเอง จริงใจแล้วก็บอกกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมาถึงทางเลือกทั้งหมดในวันที่เค้าจะเข้าสู่การเลือกตั้ง


หมายเหตุ :
- ถอดความและเรียบเรียงใหม่โดยกองบรรณาธิการ
รับชมถ่ายทอดสดฉบับเต็มได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=-q4KbUx9bbM&t=3s
ที่มา :
PRIDI Talks #31 เอกราษฎร์ และอธิปไตย ยุคประชาธิปไตย 2475 ถูกท้าทายวันอังคารที่ 24 มิถุนายน 2568 เวลา 13.30 - 17.00 น. ณ ห้องประชุมเอนกประสงค์ ร.103 (ห้องทวี แรงขำ) คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์