Focus
- บทความ “อันธพาล – มาณวิกา กับพิพากษาศาลมนุษย์” มุ่งวิเคราะห์การตัดสินคุณค่าความเป็นมนุษย์ผ่านสายตาสังคม โดยเปรียบเทียบตัวละคร “แดง ไบเล่” จาก อันธพาล 2499 The Musical กับ “มาณวิกา” จากพุทธประวัติ เพื่อชี้ให้เห็นว่า ทั้งคู่ต่างตกเป็น “จำเลยของสังคม” อันเนื่องมาจากกรอบคิดทางศีลธรรมและอคติที่มองเพียงภาพภายนอกมากกว่าความจริงในบริบท บทความชวนตั้งคำถามต่อกระบวนการพิพากษาทางสังคม ที่มักไม่เปิดพื้นที่รับเหตุผลของความจริงจากทุกฝ่ายอย่างรอบด้านด้วยเมตตา หรือทำความเข้าใจต่อความซับซ้อนของมนุษย์ ฝากให้คิด ว่าทุกชีวิตต่างมีเงื่อนไขของความเป็นไปอยู่เบื้องหลังที่ยังไม่รู้ และไม่ควรถูกละเลยก่อนจะมีการตัดสินความ

‘ความเป็นมนุษย์’ มักตัดสินทุกอย่างจากทุกสิ่งที่มองเห็นด้วย ‘ตาเนื้อ’ เพื่อพิพากษาด้วยบรรทัดฐานที่เรียกว่า ‘มาตรฐานของสังคม’ ซึ่งสั่งสม ‘สมมุติกฏกติกา’ ผ่านเงื่อนไขของการรับรู้โดยมีความจริงเป็นสิ่งสิงสู่คู่ขนานมากับมายา ทั้งมายาคติ และ มายาภาพ ที่ถูกฉาบไว้ด้วยความลวงและพร้อมจะหลอกให้หลงได้ทุกครั้ง เพียงเราหันหลังให้กับการมองด้วย ‘ตาที่สาม’ แล้วตัดสินความตามกันไปในบริบทที่จดจำ และให้ความสำคัญว่านั่นคือถูกต้องตามความเป็นจริงเพราะสิ่งที่เห็น ซึ่งเป็นคำพิพากษามีทั้ง ‘ความจริง’และ ‘สิ่งลวง’ ควงกันมาเหมือนเป็นโลกคู่ขนาน… ไม่ว่าในจักรวาลของทางโลกหรือทางธรรม คนที่มีพฤติกรรมตกเป็น ‘จำเลยสังคม’ จึงมีถมไป ตัวอย่างของคนที่ถูกสร้างให้ไม่มีทางต่อสู้กับ ‘สถานะ’ นั้น และต้องยอมรับมันด้วยมติของสังคมที่ตกลงร่วมกันอย่างเป็นเอกฉันท์ ในโลกของวรรณกรรมและการแสดงที่จำลองมาต่างมีมากมาย ล่าสุด ละครเวทีสองเรื่องพูดถึงเกี่ยวเนื่องกับประเด็นนี้ไว้ในบริบทที่ต่างกันต่างกรรมต่างวาระ (แต่กระจ่างชัดใน ‘วัฏกรรม’ ทุกสิ่งเกิดขึ้น-เป็นไปด้วยเหตุปัจจัยของ ‘กรรม’ (การกระทำ)ทั้งในอดีตและปัจจุบัน (ปฏิจจสมุปบาท)[1]) คือ “อันธพาล 2499 เดอะ มิวสิคัล” กับ “มาณวิกา” ด้วยประเด็น ‘พิพากษาศาลมนุษย์’ที่ไม่มีวันสิ้นสุดอายุคดีความ
แดง ไบเล่ ใน “อันธพาล 2499 เดอะ มิวสิคัล”เป็นหัวหน้าแก๊ง แม้มีตำแหน่งที่เรียกว่า ‘พระเอก’ แต่ก็มีบทบาท-คุณสมบัติที่เข้าข่าย Anti-Hero เพราะพฤติกรรมที่สังคมตราหน้าว่าชั่ว-เป็นอันธพาลระรานไปทั่วจนผู้คนมองไม่เห็นความดี ในขณะที่เนื้อแท้เขามีความเป็น ‘เทพบุตรนักเลง’ เพราะมีความเป็นคนสุภาพ,เป็นสุภาพบุรุษ-ให้เกียรติผู้หญิง, มีคุณธรม, มีความเป็นผู้นำ, มีความกตัญญู ในขณะเดียวกันก็นักเลงพอที่จะไม่ปล่อยให้ใครหยาม(ข้ามศพกูไปก่อน) มีจุดอ่อนเพราะรักแม่ (แม่ข้าใครอย่าแตะ) คำพิพากษาจากสังคมทับถมปมด้อยคอยดูถูกว่าเขาเป็นลูกโสเภณีแต่มีบันทึกในสารคดีที่ยืนยันจากพยานแวดล้อมใกล้เคียงว่าแท้จริงแม่ของเขาเป็นแม่บ้านที่ดูแลทำอาหารทำงานบ้านรับใช้ผู้คนในสถานเริงรมย์เท่านั้น ต่อมาเจ้าของเลิกทำไว้ใจยกกิจการให้นางจึงได้เป็นคนรับช่วงสืบทอดกิจการต่อมา แดงจึงชั่วเพราะปกป้องคนอื่น เลวเพราะสิ่งแวดล้ออมที่หลอมเขาขึ้นมากลางดงเสือทั้งที่มีสันดานดีโดยกำเนิด
มาณวิกาผู้ได้ชื่อว่าเป็น ‘นางมาร’ ผู้เจตนาล้างผลาญพระพุทธเจ้าด้วยการวางแผนใส่ร้ายว่าเป็นนักบุญที่ประพฤติผิดต่อวินัยสงฆ์ เพราะทำให้เธอท้องแล้วไม่ใส่ใจดูแล เบื้องหลังความเลวที่ผู้คนประณามว่าเป็นมารศาสนาเพราะ นางตกเป็นเหยื่อรับใช้ของบรรดาเดียรถีย์(นักบวชนอกพุทธศาสนา)ที่มีแผนปิดกั้นการเผยแพร่ศาสนาพุทธด้วยการจ้องกำจัดศาสดาของศาสนาใหม่(พระพุทธเจ้า)ที่กำลังเจริญรุ่งเรือง จึงอุบายใช้มารณวิกาเป็นเครื่องมืออย่างแนบเนียนในพุทธประวัติได้ยกชาดกขึ้นมาประกอบคำสอนเรื่องเหตุ-ปัจจัยที่ทำให้เป็นไปอย่างละเอียดว่า เพราะในอดีตชาติพระพุทธเจ้าเคยทำร้ายเธอมาก่อน อันเป็นเหตุให้เธอแค้นจึงตามมาจองล้างจองผลาญผ่านชาติภพ จึงควรต้องจบด้วยการให้อภัยเพื่อไม่ให้มีเวรกรรมต่อกัน ไม่งั้นจะกลายเป็น ‘วัฏจักรแห่งมิจฉาจิต’ ที่ชีวิตต้องวนเวียนเพียรแค้นต่อเนื่องไม่สิ้นสุด

คนต้นเรื่อง&ภาพยนตร์ต้นแบบ
Dang Bireley's and Young Gangsters
ผู้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้อุตสาหกรรมหนังไทยจารึกไว้“2499อันธพาลครองเมือง”อำนวยการสร้างโดย ไท เอ็นเตอร์เทนเม้นต์(วิสูตรพูลวรลักษณ์)
กำกับการแสดงโดย นนทรีย์ นิมิบุตรหนังลงโรงวันแรก 11 เมษา 2540(ค.ศ. 1956)ปีนี้2568ครบรอบ 28 ปี หนังทำรายได้ลบสถิติของวงการหนังไทยในยุคกลาง คือจุดเปลี่ยนวงการหนังไทย และก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของบริษัทผู้สร้าง ไท เอ็นเตอร์เทน(ก่อนรวมกิจการกับหับโห้ฮิ่นเป็นGTH) เป็นหนังไทยเรื่องแรกที่ทำรายได้ทุบสถิติ 75 ล้านบาทก่อนที่ "นางนาก" (2542) หนังไทยเรื่องที่สองของผู้กำกับคนเดียวกัน จะทำลายสถิติ 100 ล้านเป็นเรื่องแรกของวงการหนังไทย
“2499อันธพาลครองเมือง”แจ้งเกิดพระเอกประดับวงการพระเอกติ๊กมาแคสหนังโฆษณา (ทีมงานกำลังทำโฆษณาตามปกติ) แรกที่ถูกพี่อุ๋ยผู้กำกับชวนเล่นหนังเขาปฏิเสธเพราะยังเรียนวิศวะหอการค้าและเป็นนักดนตรี ติ๊ก เจษฎาภรณ์ถูกวางมาเบอร์หนึ่งทันทีที่พบตัวโดยบังเอิญขณะรอเพื่อนที่มาแคสงานแสดง
นำแสดงโดย
- แดง ไบเล่ย์ - เจษฎาภรณ์ ผลดี
- เปี๊ยก วิสุทธิ์กษัตริย์ -อรรถพร ธีมา
- ปุ๊ ระเบิดขวด - ศุภกรณ์ กิจสุวรรณ
- ดำ เอสโซ่ - ชาติชาย งามสรรพ์
- แหลมสิงห์ - นพชัย มัททวีวงศ์
ถ่ายทำแบบหนังไทยทุนต่ำ แต่มีรายละเอียดที่ประณีตและฉลาดใช้เท่าที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผลตอบรับทำลายสถิติรายได้ 4 วัน 30 ล้าน ในยุคหนังไทยซบเซา อันธพาลพากู้ชาติ ความสำเร็จเกิดจากภาพลักษณ์ใหม่ไม่จำเจตามตลาดเก่าและวิธีการเล่า (present) ที่แปลกไปจากจารีตหนังไทยในยุคนั้น +เทคนิคหนังโฆษณาตามภูมิหลังการทำงานของทีมทุกฝ่าย แหวกสูตรสำเร็จหนังไทยที่จับตลาดวัยรุ่นในยุคนั้น(กระโปรงบานขาสั้น RS และนโยบายมาหัวเราะกันเถอะของ ไทเอ็นเตอร์เทนเมนต์) เหมือนการออกแบบอาหารเมนูใหม่ที่คนไทยไม่คุ้นเคย แต่ถูกปากในรสชาติที่ไม่ขาด ความดั้งเดิม (บริบททางวัฒนธรรม)กลายเป็นตัวเลือกใหม่ที่มาพร้อมความเปลี่ยนแปลงของกระแสความนิยม และเทร็นของตลาดหนังไทย
“ปรากฎการณ์ อันธพาลครองเมือง” ที่ต่อเนื่องยาวนาน / คลิปหนังยังว่อนโซเชียลมีเดียดังเดิม / หนังไทยเรื่องแรกของ นนทรีย์ นิมิบุตร / วิศิษย์ ศาสนเที่ยง เขียนบท / เตรีมงาน 2 ปี เป็นเงื่อนไขสำคัญที่ต้องปั้นนักแสดงใหม่ทั้งหมด 5 คน (บุคลิกตัองเหมือนตัวจริง แม้หน้าไม่เหมือน) ที่สำคัญคือบทบันทึกของยุคสมัยที่ไม่ใช่แค่ประวัตินักเลง แต่คือความประพฤตนำชีวิตลิขิตชะตากรรม นำประวัติศาสตร์หน้าใหม่มาสู่วงการภาพยนตร์ไทยในมาตรฐานสากล บนมิติ(อัตลักษณ์)เอเซีย
“2499 อันธพาลครองเมือง” บางส่วนของรางวัลประกันคุณภาพ
- รางวัลภาพยนตร์ไทย ชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 6
- ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
- นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (อภิชาติ ชูสกุล)
- ผู้กำกับการแสดงยอดเยี่ยม (นนทรีย์ นิมิบุตร)
- บทภาพยนตร์ดีเยี่ยม (วิศิษฎ์ ศาสนเที่ยง)
- กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม (เอก เอี่ยมชื่น)
- โครงการของหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน)
- 100 ภาพยนตร์ไทยที่คนไทยควรดู ประเภทภาพยนตร์ดำเนินเรื่อง (พ.ศ. 2548)
- มรดกภาพยนตร์ของชาติ ครั้งที่ 3 (พ.ศ. 2556)
- เมื่อ พ.ศ. 2561 ได้รับการประกาศยกย่องให้เป็น 1 ใน 70 สุดยอดภาพยนตร์ไทยในสมัยรัชกาลที่ 9[2] (พ.ศ. 2477-2559) จัดโดย คณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ

สุภาพบุรุษอันธพาล
คนต้นเรื่อง กับ ภาพยนตร์ต้นแบบ “2499 อันธพาลครองเมือง” นำเค้าโครงเรื่องจริงอ้างอิงมาจากหนังสือ “เส้นทางมาเฟีย” ของ สุริยัน ศักดิ์ไธสง (เปี๊ยก วิสุทธิ์กษัตริย์) เลือกประวัตินักเลงสมาชิกแก๊งใหญ่ (มีหลายคนแต่เลือกคัดเฉพาะคนที่ตายไปแล้ว) ผู้เล่าเรื่องคือเปี๊ยก วิสุทธิ์กษัตริย์ นักเลงนิสัยดีที่เข้าได้กับทุกแก๊งแต่ใช้เสียงของผู้กำกับหนังไทยของค่ายไฟว์สตาร์คือ รุจน์ รณภพ ด้วยเรื่องราวที่มีความเป็น Gangster หลายมิติทางสังคมประกอบกันเป็น ‘ชีวิตที่มีสีสัน’ เต็มไปด้วยแง่มุมที่คนทั่วไปไม่คุ้นเคย คือที่มาของละคร “อันธพาล 2499 The Musical”
หนังอ้างอิงจากหนังสือว่า แดง ไบเล่ เป็นลูกคนงานเติบโตที่ตรอกโรงงานน้ำอัดลม ไบเล่ ใกล้กับวัดสุทัศน์ (มีฉากยืนหน้ารถส่งน้ำไบเล่ในซอย) แต่ในสารคดีที่มีพยานบุคคลยืนยันว่า แท้จริงแล้วแม่ของแดง (ชื่อ เชย) เป็นแม่บ้านในตรอกสลักหิน ดูแลงานบ้าน ทำครัว ซักรีด เคยใช้ชีวิตอยู่ในซ่องนางโลมหลังคลองเปรม (คนละมุมกับตรอกสลักหิน หัวลำโพง และไม่ใช่โสเภณี) แต่อยู่นานจนเจ้าของวางมือจึงให้รับช่วงต่อ เพราะเห็นว่ามีลูกเป็นภาระต้องส่งเรียนเลี้ยงดู แม่เชยจึงกลายเป็นเจ้าสำนักไป (นาทีที่ 35)[3]
แดง พิถีพิถันการแต่งตัวเลียนแบบ เจมส์ ดีน ชอบนังแฮงค์กับเพื่อนหยอดเพลงฟังในร้านกาแฟ ไม่ได้เกะกะระรานสุจริตชน จี้ ปล้น เรียกค่าคุ้มครอง (มีคำถามว่าใครจะจ่ายค่าคุ้มครองให้เด็ก 18 และในหนังระบุว่า เรียกค่าคุ้มครองได้ตอนอายุ 16 ) แต่ก็มีข้อเสียในสายตาคนอื่นคือชอบก่อเรื่องทะเลาะระหว่างกลุ่มวัยรุ่น ตะลุมบอนสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน
เมื่อสังคมดูถูกว่าเป็นลูกโสเภณีที่น่ารังเกียจ แดงเปลี่ยนปมด้อยให้เป็นปมเด่น อาชีพแม่ถูกคนอื่นจับเอาไปใช้เป็นชนวนยั่วโมโห ความเป็นคนรักในศักดิ์ศรีจึงกลายเป็นแผลใจที่แตะต้องไม่ได้ จุดเปลี่ยนเกิดในวัยเด็ก เมื่อแดงอายุเพียง 12 ขวบ คนแรกที่ถูกเขาฆ่าตายคือผู้ชายที่มารังแกแม่ แดงใช้มีดพกเป็นอาวุธแรกที่เรียนรู้ แม่อยากให้บวช แดงยื่นเงื่อนไขขอแม่เลิกอาชีพนี้
ความหมายและคุณสมบัติของความเป็น นักเลง (ลูกผู้ชาย) กับ อันธพาล แดงให้เกียรติผู้หญิง (ไม่รังแกหญิง ห้ามเพื่อนหื่น) ไม่เจ้าชู้และรักเดียว (มีแผลใจจากพ่อ) คนที่จะเป็นผู้นำได้ แม้เลวในสายตาคนทั่วไป แต่ต้องเป็นคนมีคุณธรรมเหนืออันธพาล (ไม่งั้นปกครองลูกน้องไม่ได้ เพราะต้องใช้ทั้งพระเดชและพระคุณนำ ทำให้คนอื่นเกรงใจในบารมี)
แฟชันของยุคสมัยไทย-กับอิทธิพลตะวันตก วิถีของคนไทยในยุคนั้นหลังยุคมาลานำไทย แต่งตัว ใช้ชีวิต ฯลฯ อิทธิพลจากดารา-นักร้องฝั่งตะวันตก เจมส์ ดีน, เอลวิส เพรสลี่ โดยเฉพาะตัวละคร แดง มี เจมส์ ดีน เป็นไอดอล เขาแต่งตัวหล่อรับกับบุคลิก มีชีวิตและชะตากรรมไม่ต่างจากฮีโร่เลย

หลังหนังออกฉายหลายคนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ชอบออกมาตอบมอบความจริง Thairath Variety - ไทยรัฐวาไรตี้ - วัลภา เมียของแดงเล่าว่า แดงมีความเป็นสุภาพบุรุษ ไม่เป็นนักเลงเถื่อน แดงมักบอกกับเธอเสมอเวลาที่เห็นไม่สบายใจว่า “เป็นเมียเราต้องอดทน” (ประโยคจำของหนัง) และสิ่งที่ต่างกันสุดขั้วกับในหนังคือแดงไบเล่ไม่เคยฆ่าคนตายไม่เคยจี้ปล้นไม่เคยเก็บค่าคุ้มครองจากใคร แดงเป็นคนเงียบขรึมพูดเพราะหน้าตาดีกินเหล้าสูบบุหรี่ได้แต่ไม่ชอบ วัลภายอมรับว่ารู้จักกับปุ๊ก่อนแล้วปุ๊แนะนำให้รู้จักกับแดง
สิ่งที่ทำให้แดงแตกหักกับ ปุ๊ ระเบิดขวด เพราะวันหนึ่งแดงไปดวลมีดกับนักเรียนนักเลงที่ใกล้สนามกีฬาแห่งชาติ แดงต่อสู้อย่างสมศักดิ์ศรีอริต้องหลบหนีไป แดงมีอิทธิพลมากขึ้นทำให้ปุ๊ไม่พอใจที่แดงตีตัวออกห่าง มีกฎของกลุ่มคือ ไม่เล่นการพนัน ไม่ทะเลาะกันเพราะผู้หญิง (เพราะฉะนั้นที่เล่ากันว่าแดงทะเลาะกับปุ๊เพราะผู้หญิงจึงไม่ใช่เรื่องจริง) แต่สุดท้ายปุ๊ก็ตายเพราะผู้หญิง (นาทีที่ 8)[4]
วัลภาเล่าความจริงว่า เมื่อแดงห่างเหินกับปุ๊ได้เปิดอกคุยให้เมียฟังว่า “นายมีอะไรให้คุยกับเราตรง ๆ อย่าทำร้ายรังแกวัลภาเพราะเธอไม่เกี่ยวข้องด้วย” แต่ปุ๊กลับข่มขู่วัลภาเพื่อกระแทกถึงแดงหาเรื่องเปิดศึกในช่วงที่แดงกำลังจะบวชให้แม่ตามคำขอ และต้องการหนีคดีต่างๆ ที่ตำรวจกำลังตามล่า วัลภาขอให้แดงมอบตัวในคดีที่ทะเลาะวิวาทหลายครั้งเพราะไม่อยากเห็นเแดงต้องหนีตลอดชีวิต วัลภากล่อมแดงสำเร็จจนได้เข้ามอบตัวถูกพิพากษาจำคุกลาดยาว3ปี(เป็นข่าวใหญ่ลงหน้านสพ แต่ติดคุกอยู่ราวปีเศษ หลังออกมาแดงกับปุ๊ก็ไม่มีเรื่องกันอีกเลย จนแดงประสบอุบัติเหตุรถประสานงากับรถบรรทุกที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แดงเสียชีวิตคาที่ในวัยเพียง 24 ปีเท่านั้น
ในหนัง แดง เริ่มธุรกิจนักเลงคุ้มครอง(ไม่ให้คนมาอาละวาดร้านเฮีย) ในวัย 16 มีแหลมเป็นสมุนเพียงคนเดียว มีนักเลงเฮียหมาเป็นเดิมพัน เป็นเหตุให้บุกถ้ำเสือไปเจรจากับเฮียหมา แต่ถูกมันยั่วให้โมโหแล้วถูกรุมซ้อมปางตาย
แดงรอดตายหายแล้วมาเอาคืน ยิงเฮียหมาตายกลางงานฉายหนังกลางแปลง แจ้งเกิดบนเส้นทางมาเฟียทันที…จุดเริ่มจากการถูกรังแก(ฆ่าได้ปแต่อย่าหยาม)ธรรมชาติของคนเรามักเติบโตไต่เต้าจากจุดสตาร์ทก่อนเลือกเปลี่ยนได้ภายหลังแต่สังคมไม่ได้ให้โอกาสใครขนาดนั้น…

หลังถูกกวาดล้าง แดงหนีไปอยู่กับหมู่เชียรที่มาบตาพุด ดินแดนฐานทัพชื่อ New Land หมู่เชียรกักขังผู้หญิงบังคับขายตัว แดงกับเปี๊ยกไปเจอเข้าที่บ้าน ทนไม่ไหว (จุดที่แตะแดงไม่ได้เขาระเบิดทันที) ทำร้ายตบตี กบ เด็กรับใช้ทอมบอยลูกน้องเชียรด้วยความโกรธ(ตรงข้ามกับความเป็นคนใจเย็น)เมื่อเห็นสภาพหญิง 3 คน ถูกเปลือยมัดมือแขวนไว้มีร่องรอยตามตัวเหม็นหึ่ง หมดสภาพ
“โทษทีเพื่อน มันโมโห ผู้หญิงด้วยกัน ทำกันได้ลงคอ” เกลี้ยกล่อมให้สามสาวยอมขายตัวเพื่อเอาชีวิตรอด เพราะพ่อแม่ขายขาดให้เชียรมาแล้ว
“ที่พูดมาก็ไม่ได้อยากจะให้เดินทางผิดหรอกนะ แต่มีใครบ้างที่เลือกทางเดินของตัวเองได้ ในเมื่อเราหนีมันไม่ได้ เราก็ต้องสู้กับมัน เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า น้องลองไปคิดดูก่อนแล้วกัน แล้วตัดสินใจเอาเอง” เพราะทางเลือกมีแค่ ยอม หรือ ตาย กบถูกเชียรตบ ไล่ออก ซื้อใจแดงได้ราบคาบ (ทั้งที่คนผิดคือเชียรทำชั่ว )
แดงช่วยกิจการบาร์ Blue Moon ของเชียรจนรุ่งเรือง ขยายกิจการไปเปิดบ่อนเป็นคู่แข่ง ขัดผลประโยชน์เฮียตั๋งเจ้าถิ่น แดงดึงแหลมมาช่วยงาน ส่วนเปี๊ยกคุมบาร์ต่อ ปุ๊ปรากฎตัว แดงท้วง เชียรปกป้องปุ๊เห็นว่าหนีร้อนมาให้แดงอโหสิ จะให้ปุ๊กับดำไปทำงานที่บาร์ด้วย แต่ไม่เป็นผลเพราะความชั่วของปุ๊ฝังใจ แดงเตือนว่าจะนำมาซึ่งความซวย และก็เป็นไปตามนั้นเมื่อปุ๊มันก่อเรื่องกับผู้หญิง
เชียรถูกลอบยิง ปุ๊ไปป่วนรัง โดนแดงไล่ออกจากบาร์ มันขู่เอาคืน หนักเข้ากิจการบาร์ต้องขายทิ้ง แดงล้างแค้นให้เชียร ยิงแกงค์เฮียตั๋งแล้วหลบไปหาแม่ที่ กท. ตั้งใจบวชตามสัญญา ในวันโกนปุ๊ส่งข่าวมาหาไม่ยอมให้บวช แดงตั้งใจขอเคลียร์เรื่องก่อนแต่แม่ไม่ยอม ที่สุดในวันงานขณะแห่นาคปุ๊ดำมาฆ่ากันตายทั้งสองฝ่าย เปี๊ยกตายแดงรอดจากหลายคดี ออกมาคุมธุรกิจเถื่อนสร้างอิทธิพลที่ปีนัง ก่อนปลูกบ้านให้แม่ทดแทนคุณ
ปลายปี 2507 จะไปเป็นมือขวาเสี่ยจิวที่ชลบุรี แต่เสียชีวิตจากรถคว่ำในวัย 24 ปี ตายไม่ต่างจาก เจมส์ ดีน วีรบุรุษที่เขาบูชา ไม่นานแม่เชยก็ตรอมใจตายตามเขาเกิดมาเพื่อเป็นตำนาน เพื่อเป็นเหตุให้เกิดการกวาดล้างคนชั่วทั้งภาคประชาชนและภาครัฐ
เปี๊ยก วิสุทธิ์กษัตริย์ เข้าคุกกว่า 20 ปีปัจจุบันนี้เขายังเป็นตำนานที่มีชีวิต

ชนวนศึก 13 ห้าง รอยบาดหมางในตำนาน
ปุ๊ กรุงเกษม ประวัติ ตำนานอันธพาล 2499 คู่ปรับ แดง ไบเล่ กับเหตุการณ์ ประวัติศาสตร์ "ศึก 13 ห้างบางลำพู" อดีต สามี แหวน ฐิติมา (Cr. เนื้อหาจากเพจ เก้ากระบี่เดียวดาย)
สำหรับ ประวัติ ปุ๊ กรุงเกษม เป็นบุคคลมีชื่อในยุค 2499 หรือที่รู้จักกันในชื่อ "อันธพาลครองเมือง" กับตำนานการยกพวกตีกันครั้งใหญ่ของนักเลงฝั่งพระนคร กับฝั่งธนบุรี บริเวณวังบูรพาแหล่งการค้ายอดนิยมของวัยรุ่นยุคนั้น
แม้เนื้อหาภาพยนตร์ “2499 อันธพาลครองเมือง” (Dang Bireley's and Young Gangsters) ที่เข้าฉายเมื่อปี พ.ศ. 2540 จะไม่ได้กล่าวถึง ปุ๊ กรุงเกษม แต่ความเป็นจริงแล้วชายผู้นี้คือตัวละครสำคัญของความบาดหมางจนลุกลามเป็นศึก 13 ห้างในที่สุด
ตำนานเล่าว่า ปุ๊ กรุงเกษม พร้อมพรรคพวกอย่าง เจตน์ หลังวัง และ แมว หลังวัง ซึ่งเป็นนักเรียน โรงเรียนชิโนรสวิทยาลัย ข้ามไปที่ถนน 13 ห้าง เพื่อที่จะไปซื้อผ้ามาตัดกางเกงขายาวใส่ ก่อนจะเกิดการเขม่นกับนักเลงเจ้าถิ่น แดง ไบเล่ พร้อมเพื่อนอย่าง เปี๊ยก เจริญพาสน์ และ จ๊อด ฮาวดี้
เมื่อความขัดแย้งเกิดก็ต้องนัดแนะมาเคลียร์ใจตามวิธีของนักเลงยุคนั้น พอนัดเวลา และสถานที่ได้ อีกวันทั้งกลุ่มของ ปุ๊ กรุงเกษม และ แดง ไบเล่ ก็พาพรรคพวกมาฝั่งละประมาณ 20 คน ก่อนยกพวกตะลุมบอนโดยมีอาวุธเป็นหมัด ไม้ มีด แต่ไม่มีปืน ก่อนจะมีคนตะโกนว่า “ตำรวจมา” ทำให้บรรดานักเลงหนีหายกระจัดกระจายแต่ไม่วายส่งซิกว่าพรุ่งนี้ “เอาอีก” ที่เก่าเวลาเดิมจนสุดท้ายถูกตำรวจที่มาดักรอรวบตัวตามระเบียบ
แม้จะเป็นอริกันจนกลายเป็นตำนานเล่าขานแต่สุดท้าย ปุ๊ กรุงเกษม และแดง ไบเล่ ก็กลับกลายเป็นเพื่อนรักกันด้วยนิสัยใจคอที่คล้ายคลึง ประกอบกับความเป็นลูกผู้ชายที่ยอมรับนับถือกัน ก่อนจะแยกทางไปตามวิถีของตนเองจนมาเกิดข่าวเศร้า แดง ไบเล่ เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ในวัยเพียง 24 ปี ส่วนปุ๊ครองตนจนเติบใหญ่เป็นทั้งนักธุรกิจ, สจ๊วต และ นักเขียน พร้อมวลีบ่งบอกตัวตน ระบุ "ในใจคือเอลวิส ความคิดคือเจมส์ดีน"
ปุ๊ กรุงเกษม หรือ บรรเจิด กฤษณายุธ สามีของ แหวน ฐิติมา สุตสุนทร เสียชีวิตเมื่อ วันที่ 5 พฤษภาคม 2565 สิริอายุ 85 ปี จากการเปิดเผยของ ‘ปันปัน’ เต็มฟ้า กฤษณายุธ ลูกสาว สร้างความเสียใจในวงกว้าง โดยเฉพาะบุคคลที่เคยสัมผัส หรือทราบถึงวีรกรรมในอดีตที่ถูกกล่าวขานมาถึงปัจจุบัน

“อันธพาล 2499 The Musical”/อำนวยการผลิต: Scenario
กำกับการแสดง: ถกลเกียรติ วีรวรรณ
เวลาแสดง: 140 นาที (รวมพักครึ่ง 15 นาที)
• 26 พฤษภาคม - 29 มิถุนายน 2568
• ณ เมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์
• ราคาบัตร : 4,000 / 3,500 / 3,000 / 2,500 / 2,000 / 1,500 / 800 บาท
ทีมนักแสดงอันธพาล 5 คนนำโดย นาย ณภัทร ในบท “แดง ไบเล่” , ไอซ์ พาริส ในบท “ปุ๊ ระเบิดขวด” , เทศน์ ไมร่อน ในบท “ดำ เอสโซ่”, บูม สหรัฐ ในบท “แหลมสิงห์” และ ไดม่อน ณรกร ในบท “เปี๊ยก วิสุทธิ์กษัตริย์” ,ปุยฝ้าย ภัทณชา รับบท “แม่โฉม” แม่ของแดง และ อ๋อลี่ ตติยา รับบท “วัลภา” นางเอกของเรื่องเจ้าของประโยคจำล้ำสมัย “เป็นเมียเราต้องอดทน” ร่วมด้วย ทีมนักแสดงสมทบที่ทรงพลังมากมาย พระเอกอันธพาลแต่ละคนมีเพลงประจำตัวที่สะท้อนบุคลิกสื่อเรื่องราวเฉพาะตัวของแต่ละคนให้ฟังเพลิน นาย ณภัทร จัดว่าฝึกฝนการร้องเพลงมาดี มีแนวโน้มที่จะพัฒนาต่อไปได้ ถ้ามีโจทย์ท้าทายให้เขาพิเศูจน์ความสามารถ
เพลง : ไม่มีอะไรจะเสีย
ร้องโดย : นาย ณภัทร
คลิก : https://youtu.be/NTKW4Por5wM
คนมีมลทินเหมือนเป็นกรวดดินที่มันไร้ค่า
โดนคนเหยียดหยามไม่มีปัญญาจะดูแลใคร
วันที่คนรักถูกคนทำร้ายเปรียบให้เราเหมือนคนที่หลังชนฝา
ครั้งนี้ยอมไม่ได้ แค้นนี้กลายเป็นไฟลุกโขนขึ้นมา
มัน หมด เวลายอมแพ้
เรามันไม่มีอะไรจะเสีย ชีวิตไม่สู้ก็ตาย
ขอชนทุกอันตราย เพื่อปกป้องเธอ
ความทรมานเจ็บปวดใด ๆ จะไม่ให้เธอได้เจอ
จงอุ่นใจได้เสมอ มีฉันคุ้มครองเธอเอง
เสือสิงห์แผ่นดินจึงเป็นเหยื่ออ่อนแอไม่สู้
มันคงไม่รู้ว่าใจข้างในนั้นคือนายพราน
วันที่คนรักถูกคนทำร้าย ผิดที่เราคนที่หลังชนฝา
แค้นนี้ยอมไม่ได้ ไม่ว่ามันเป็นใคร
เรามันไม่มีอะไรจะเสีย ชีวิตไม่สู้ก็ตาย
ขอชนทุกอันตราย เพื่อปกป้องเธอ
ความทรมานเจ็บปวดใด ๆ จะไม่ให้เธอได้เจอ
จงอุ่นใจได้เสมอ มีฉันคุ้มครองเธอเอง
มีฉันคุ้มครองเธอเอง
“อันธพาล 2499 The Musical” PLAYLIST
เมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์ การันตรีเพลงเพราะ
https://www.youtube.com/playlist…
• เพลง เป็นเมียเราต้องอดทน ( โดย นาย ณภัทร + อ๋อลี่ ตติยา)
คลิก : https://youtu.be/cqrwP4Hwp5U
• เพลง ไม่มีอะไรจะเสีย / โดย นาย ณภัทร
คลิก : https://youtu.be/NTKW4Por5wM
• เพลง คิดถึง คิดถึง ( โดย บูม สหรัฐ)
คลิก : https://youtu.be/o7Pugw12Vz0
• เพลง มิตรภาพ (โดย ไดมอนด์ ณรกร)
คลิก : https://youtu.be/azkEs_bRhSk
• เพลง รักแรก [เวอร์ชัน เปียโน] / โดย นาย ณภัทร
คลิก : https://youtu.be/q8qrFfdoxv0
• เพลง เพื่อนแท้ [เวอร์ชัน เปียโน]
โดยนาย ณภัทร, ไอซ์ พาริส, ไดมอนด์ กัณฐณัฏฐ์ ศุภสารรังสรรค์, ภู่กัน สฤชน์ สุธรรมรักษ์
คลิก : https://youtu.be/nQY_wb67wuk
• เพลง เพื่อนแท้ [เวอร์ชัน เปียโน]
ร้องโดย นาย ณภัทร, ไอซ์ พาริส, แพท พชรพงศ์ บุญปรีชา, ต้นหนาว ณปภัทช์ ศรีใคร
คลิก: https://youtu.be/TW88GxfxFcs
• เพลง ไม่มีอะไรจะเสีย [เวอร์ชัน เปิดห้องซ้อม] / โดย นาย ณภัทร
คลิก : https://youtu.be/8qoP-4LByDU

จากความสำเร็จของภาพยนตร์ไทย “2499 อันธพาลครองเมือง” และเสน่ห์ของหนัง Gangster แนวย้อยยุคที่ถูกนำมาปรับ look ใหม่ ใส่มิติของความเป็นเพื่อนที่เฉือนกันด้วยศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย คือจุดขายของ “อันธพาล 2499 The Musical” ที่กล้ากะกวาดแฟนละครทุกกลุ่มด้วยหนุ่ม ๆ อันธพาล ที่เล่นเป็นตัวละครหลักถึง 5 คน (แต่รุ่นวัยใกล้เคียงกัน หรือแม้กระทั่งแม่ของ แดง ไบเล่ ก็ไม่ห่างต่างกันมากนัก) นั่นเป็นเหตุให้กลุ่มเป้าหมายไม่กระจายเหมือนหนัง ที่ยังครอบคลุมหลายกลุ่มด้วยบริบทของบ้านเมือง และ ‘หน้าหนัง’ ที่ใหม่มากสำหรับความเป็นหนังไทยในยุคนั้น แต่ละครเวที “อันธพาล 2499 The Musical” เลือกชดเชยจุดอ่อนของละครด้วยจุดเด่นของหนัง และทดแทนจุดเด่นของหนังด้วยจุดต่างของละครเวที ด้วยวิถีที่ชาญฉลาดสามารถประคองเนื้อหาที่หนักอึ้งให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ พร้อมละลายใจนักเลงด้วยความเป็น ‘ละครเพลงติ่งตะวันตก’ สาธกเรื่องอันธพาลไทยให้รื่นรมย์

“อันธพาล 2499 The Musical” เลือกชดเชยจุดอ่อนของละครด้วยจุดเด่นของหนัง เพราะหนังมีภาพบรรยากาศของบริบททางการเมืองที่เข้มข้น โดยเฉพาะในช่วงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2490 – 2500 สังคมไทยอยู่ในยุคของการเปลี่ยนผ่านทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองสูงมาก โดยมีเบื้องหลังคือการชิงอำนาจระหว่างผู้นำประเทศ 2 คน ในยุคนั้นคือ จอมพล ป.พิบูลย์สงคราม กับ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ หลังรัฐประหารขึ้นสู่อำนาจของ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ในปี 2501 มีนโยบายปราบปรามกวาดล้างแก๊งอันธพาล เพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง แต่ละครเลือกที่จะตัดความขมของปมการเมือง โดยชูจุดเด่นให้เป็นเรื่องของ มิตรภาพระหว่างเพื่อนแทน โฟกัสที่แดงกับปุ๊ เมื่อต้องทะลุถึงขีดสุดแต่ละครเลือกฉุดผู้ชมให้ไปดำดิ่งกับประเด็นโดดเด่นคือความเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เด็กระหว่างแดงกับปุ๊ อารมณ์จึงเปลี่ยนเป็นโศกซึ้งแทน เทคะแนนไปที่ร้องเพลงกับความหมายได้ จุดด้อยเลยกลายเป็นจุดเด่นตามที่บทได้เฟ้นมาแล้วเป็นอย่างดี มี emotion ที่ละเอียดอ่อนในองศาความร้อนระดับตับแตก

“อันธพาล 2499 The Musical” ทดแทนจุดเด่นของหนังด้วยเสน่ห์ของละครเวที จุดที่แดงแตกหักกับ ปุ๊ ระเบิดขวด กับ ดำ เอสโซ่ คือ “ศึก 13 ห้างบางลำพู” ฉากปะทะรุนแรงที่เป็นจุด peak ของอารมณ์ในหนังบู๊รุ่นระเบิดภูเขาเผากระท่อม กลายเป็น iconic ของละคร เพราะถูกออกแบบท่าเต้น (choreoghaphy) โดยใช้เทคนิค musical เล่าเรื่องล้อเทคนิคหนังด้วยท่าสวยแบบ Slow Motion จนกลายเป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างท่วมท้น เพราะท่าเท่ ๆ ของหนุ่มอันธพาล กลายเป็นภาพหวานละลายใจ ไม่น้อยหน้าฉากโชว์เพลงของแต่ละคน แม้ฝ่ายชายจะไม่มีใครเด่นเกินพี่แดง แต่ความแกร่งของดาวดวงใหม่ก็ไม่มีน้อยหน้าใครเลย แต่ที่ลอยลำคือ อ๋อลี่ - ตติยา สนสกุล ในบท วัลภา บทส่ง เธอถูกฉุดจากหญิงไทยในคาเฟ่ ให้ออกมาเก๋เป็นสาวคาบาเร่ต์หรูที่ ‘เอาอยู่’ ทั้งร้อง เล่น เต้น ลีลา เธอมาแบบมืออาชีพ พร้อมด้วยผู้ช่วยอองซอมเสริมทีมอีกเพียบ ความเนี๊ยบของฝ่ายเทคนิคคืองานหนักของโปรดักชัน ที่ต้องสัมพันธ์ทั้งท่าเต้น แสง เสื้อผ้า การเปลี่ยนฉาก (เรื่องนี้แม้ไม่ซับซ้อนแต่ก็ไม่น้อยหน้าตัวละครเช่นเคย)

จุดเด่นของละครเมืองไทยรัชดาลัยเธียเตอร์คือความเว่อร์วังอลังการของ ฉาก ที่มักเป็นมากกว่าองค์ประกอบหลักเสมอ งานนี้ฉากหล่อเซอร์เหมือนไอ้หนุ่มยุคซิกตี้ฮิปปี้ป่วนเมือง ที่ผ่านยุครุ่งเรืองหลังสงครามโลกมาไม่นาน งานดีไซน์จึงออกมาเก๋าแต่เก๋ เททางเข้าออกไปที่ฝั่งซ้าย แต่ตึกย้ายสลับด้านสนานสนุกอยู่ระหว่างกลางกับฝั่งขวา เพียงกระพริบตาก็หมุนฝาเปลี่ยนด้านฝานตึกเป็นฝาบ้านได้ทันใจไม่ต้องรอเซ็ท รู้สึกเร็ว เบา เหมือนผนังทำด้วยกระดาษ(ไม้)แต่มี depth ในงานวาด จัดวาง prop น้อยชิ้นแต่ใช่ โดยเฉพาะห้องนอนแดง แสงช่วยเสริมความแรงให้ประโยคเด็ดหลังเสร็จ Love Scene “เป็นเมียเราต้องอดทน” … แม้ฉากรนหนีระเบิดยังเฉิดเฉดลึกไล่ระดับเล่นกับแสงควันเหมือนฉากฝันของตัวละครกำลังถูกไล่ต้อนอยู่บนก้อนเมฆที่เสกได้ เสียดายก็เพียงรถคันใหญ่ ไบเล่ย์ ที่ไม่ถูกลากให้เข้า theme ชัด ๆ จึงเหมือนจัดเกิน ถ้าไม่เพลินผ่านมองจะเห็นความหมายของยุคสมัย กับความนัยของ “ไบเล่ย์” ที่มาของชื่อเรื่องกับตัวละคร

ภาพรวมของละครให้บรรยากาศเหมือนจำลองงานรำลึกย้อนอดีต (ที่ถูกขีดขึ้นโดยคนสองสมัย มีการแสดงละครเป็นไฮไลท์ซ่อนอยู่ในฉากละครอีกชั้น) จินตภาพชวนมองภาพเหลื่อมซ้อนย้อนให้เห็นความเป็น ‘คนสีเทา’ ที่เขาเรียก “อันธพาล” ผ่านมุมมองของ ‘เงื่อนไขในชีวิต’ ที่อาจถูกลิขิตไว้ด้วยใครก็ไม่รู้อยู่เบื้องหลัง ตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกเวอร์ชันของ 2499 ให้ความหมายในมิติของความเป็นมนุษย์ซึ่งถูกตัดสินจากปลายเหตุ ไม่ว่าจะนำเสนอด้วยสื่อใดก็ไม่ทิ้งความจริงรอบด้าน เพียงเล่าผ่านความบันเทิงเพื่อความสุนทรีย์มีศิลป์ โดยไม่ตัดสินชะตากรรมบนความซับซ้อนที่ซ่อนความจริง(ลวง) ละครจบลงส่งความสุขผ่านเสียงเพลงฝากไว้ในความทรงจำของคน generation ใหม่ ที่เลือกจะไม่ตัดสินใคร แต่พร้อมเข้าใจในทุกความเป็นไป และร่วมรำลึกบันทึกไว้ด้วยความรักผ่านนักสร้างสรรค์ทุกฝ่าย อุ่นอายอันธพาล …

เตรียมพบความอลังการในระดับตำนานจากวรรณกรรมโลก
กับละครเวทีเรื่องใหม่ รัชดาลัย เธียเตอร์ “The Phantom of the Opera”
ต้องเพิ่มรอบตามคำเรียกร้องตั้งแต่เริ่มเปิดให้จองบัตร
ล่าสุดมีกำหนดเปิดการแสดง 5 - 31 สิงหาคม 2568 ณ เมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์
* มีคำบรรยายภาษาไทยประกอบการแสดง
• บัตรราคา : 6,500 / 6,000 / 5,500 / 4,300 / 3,500 / 2,500 / 1,800 บาท
• จองบัตรได้ที่เคาน์เตอร์ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกช่องทาง
หรือ คลิก https://bit.ly/phantombkk2025

ร่วมยินดีกับผลงานคนไทยในเวทีโลก
ถกลเกียรติ วีรวรรณ ผู้ประพันธ์บทละคร,ผู้กำกับ,โปรดิวเซอร์,โอล์เนอร์ ของ รัชดาลัยเธียเตอร์ ผลงานล่าสุดคือการกำกับ “อันธพาล2499เดอะมิวสิคัล” นอกจากผลงานในประเทศไทยแล้วยังมีผลงานระดับโลกที่บอร์ดเวย์อีกหลายเรื่องที่ผ่านมาอาทิ “Promises, Promises” ปี 2010, “On a Clear Day You Can See Forever” ปี 2011 ฯลฯ และเคยได้เข้าชิงรางวัลแห่งละครเวทีโทนีอวอร์ด ละครยอดเยี่ยม มาแล้วจาก “How to Succeed in Business Without Really Trying” (2011) [ละครเพลงรีไววัลยอดเยี่ยม], “Nice Work If You Can Get It” (2012) [ละครเพลงยอดเยี่ยม], “Water for Elephants” (2024) [ละครเพลงยอดเยี่ยม] และในปีนี้ 2025 ถึงทีของคนไทยแล้ว
ล่าสุดมีข่าวดีจากเวทีบรอดเวย์ กับงานประกาศผลรางวัลละครเวที Tony Awards 2025 ครั้งที่ 78 season 2024-2025 ประกาศเมื่อ วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน 2025 ณ Radio City Music Hal ด้วยเครือข่ายเชื่อมโยงระดับนานาชาติ ถกลเกียรติ วีรวรรณ หนึ่งใน Co-Producer (ร่วมกับทีมโปรดิวเซอร์ทั้งหมด 47 คน) ของละครเกาหลีเรื่อง “Maybe Happy Ending”[5] ได้รับรางวัล TONY ในฐานะโปรดิวเซอร์ของมิวสิคัลซึ่งได้รับรางวัลสูงสุดคือ ‘ละครเพลงยอดเยี่ยม’ และรางวัลสำคัญของปีนี้อีกรวมแล้วถึง 6 สาขาได้แก่ ละครเพลงยอดเยี่ยม, ผู้กำกับละครเพลงยอดเยี่ยม (Michael Arden), นักแสดงนำชายละครเพลงยอดเยี่ยม (Darren Criss), บทสำหรับละครเพลงยอดเยี่ยม, ดนตรีดั้งเดิมสำหรับละครเวทียอดเยี่ยม, และออกแบบฉากละครเพลงยอดเยี่ยม (Hue Park กับ Will Aronson ได้โทนีไปถึง 3 ตัวในค่ำคืนเดียว โดยมาจากสาขาละครยอดเยี่ยม, บท, และดนตรีดั้งเดิม ในขณะที่ Darren Criss ก็ได้ไป 2 โทนีเช่นกัน โดยอีกตัวมาจากสาขาละครยอดเยี่ยม) นับเป็นเรื่องน่ายินดีกับก้าวที่สร้างสรรค์บนเวทีโลกของคนไทยกับเครือข่ายพันธมิตร
คุก ไม่ควรฆ่าความเป็นมนุษย์

รัฐราชทัณฑ์ อำนาจลงทัณฑ์ในยุคสมัยใหม่
โดย ศรัญญู เทพสงเคราะห์
ทดลองอ่านได้ที่: https://bit.ly/4jrFgNl
สำนักพิมพ์มติชน matichonbook
เนื้อหาส่วนหนึ่งของ “รัฐราชทัณฑ์ อำนาจลงทัณฑ์ในยุคสมัยใหม่” ทำให้คิดเชื่อมโยงถึง อันธพาล ที่ “บ้านกาญจนาภิเษก” ที่มี ป้ามล ทิชา ณ นคร เป็นผู้นำความเป็นมนุษย์คืนสู่อาชญากร ด้วยกุศโลบายการปกครองเยาวชนที่ทำผิดร้ายแรงด้วยความรัก ความเมตตา เพราะมีความเชื่อว่าทุกคนมีเนื้อแท้และสัญชาติญาณใฝ่ดีในตัวตน แต่ต้องไว้ใจ ให้เกียรติ และให้โอกาส จึงจะสำนึกกลับตัวและกลายเป็นคนดีที่มีศักยภาพเป็นประโยชน์ต่อตัวเองและสังคมได้ ‘คุก’ จึงกลายเป็นบ้านที่อบอุ่นปลอดภัย แต่การดำเนินการของกรมราชทัณฑ์ในปี 2480 กลับล้มเหลว น่าสนใจว่าเป็นเพราะโมเดลที่วางไว้ไม่สอดคล้องกับการทำงานของพนักงาน หรือเพราะผู้ต้องขัง
“การสืบสาวจุดต้นกำเนิดและความเปลี่ยนแปลงของงานราชทัณฑ์ไทยสมัยใหม่ในภาพกว้าง ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงทศวรรษ 2500 โดยชี้ให้เห็นถึงแนวคิด วิธีการ รวมถึงปฏิบัติการลงทัณฑ์สมัยใหม่ของรัฐไทย ภายใต้เงื่อนไขซับซ้อนและข้อจำกัดของการปฏิรูปงานราชทัณฑ์แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา
“ทัณฑสถานวัยหนุ่ม” เกิดจากการปรับเปลี่ยนนโยบายราชทัณฑ์ใหม่ ในช่วงปลายทศวรรษ 2490 รัฐได้ให้ความสนใจกับการอบรมแก้ไขฟื้นฟูจิตใจและการฝึกอาชีพ
“ทัณฑสถาน” เป็นสถาบันราชทัณฑ์ที่ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงแก้ไขหรือฟื้นฟูผู้กระทำผิดเฉพาะกลุ่ม ในปี 2499 กรมราชทัณฑ์ได้เริ่มทดลองตั้งทัณฑสถานแห่งแรกคือ “ทัณฑสถานวัยหนุ่ม” สำหรับควบคุมยุวอาชญากรหรือผู้กระทำผิดที่อายุต่ำกว่า 25 ปี และเป็นความผิดครั้งแรก
การป้องกันยุวอาชญากรเป็นประเด็นที่องค์การสหประชาชาติให้ความสนใจนับตั้งแต่กลางทศวรรษ 2490 และปรากฏชัดเจนในการประชุมว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง ขององค์การสหประชาชาติ สำหรับภาพพื้นเอเชียและตะวันออกไกล ณ ประเทศพม่า ในที่ประชุมต่างเห็นพ้องว่า ควรมีนโยบายราชทัณฑ์เกี่ยวกับยุวอาชญากรเป็นการเฉพาะ ควรช่วยเหลือแก้ไขอบรมยุวอาชญากรให้กลับเป็นคนดีของสังคม ด้วยวิธีให้ความคุ้มครองให้การศึกษา และปรุงแต่งเด็กให้มีความเจริญทั้งทางร่างกาย อารมณ์ วัฒนธรรมและศีลธรรม
การแยกผู้ต้องขังที่เป็นวัยรุ่นออกจากผู้ต้องขังที่เป็นผู้ใหญ่ พร้อมกับให้มีการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิดวัยรุ่นแตกต่างจากผู้ใหญ่ โดยราชทัณฑ์ไทยเริ่มปรากฏแนวคิดการแยกขังนักโทษที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปีลงมา ไม่ให้ปะปนกับนักโทษผู้ใหญ่ หลังการประกาศใช้พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2479 ได้มีการออกกฎกระทรวงมหาดไทย ให้แยกผู้ต้องขังที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปีและต้องโทษ ดังนั้นกรมราชทัณฑ์จึงปรับปรุงเรือนจำอำเภอมีนบุรีมาเป็นสถานที่ควบคุมผู้กระทำผิดวัยหนุ่ม และได้ส่งผู้ต้องขังวัยหนุ่มไปฝึกอบรม ตั้งแต่ พ.ศ. 2480 ทว่าการดำเนินการกลับล้มเหลว
ทั้งนี้กรมราชทัณฑ์ได้ออกแบบทัณฑสถานวัยหนุ่มมีนบุรีให้สามารถควบคุมผู้กระทำผิดวัยหนุ่มจำนวน 350 คน โดยอาศัยหลักการของ สถานบอร์สตัล ประเทศอังกฤษ ทัณฑสถานแห่งนี้ล้อมรอบด้วยรั้วลวดตาข่ายและสังกะสี ซึ่งมีความมั่นคงระดับกลาง และดูภายนอกผ่อนคลายกว่าเรือนจำ ภายในทัณฑสถานแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนแรกเป็นบ้านพักเจ้าหน้าที่ สวนกสิกรรม โรงงานฝึกงาน อีกส่วนเป็นเรือนนอน เรือนพยาบาล โรงครัว ฯลฯ
ทัณฑสถานวัยหนุ่มมีการออกแบบระบบที่ประยุกต์มาจาก สถานบอร์สตัล รวมถึงการกำหนดอัตรากำลังเจ้าพนักงานและฝึกอบรมความรู้เกี่ยวกับการควบคุมผู้ต้องขังวัยหนุ่ม ทั้งจิตวิทยาวัยรุ่น อาชญวิทยาที่เกี่ยวกับเด็ก และระเบียบข้อบังคับของทัณฑสถานวัยหนุ่ม อีกทั้งการสร้างแรงจูงใจส่งเสิรมให้มีการปรับปรุงตัวเอง ผ่านการฝึกกายบริหาร กีฬาเพื่อพัฒนาร่างกายและจิตใจ การอบรมวิชาสามัญและวิชาชีพ และเปิดโอกาสให้ผู้กระทำผิดวัยหนุ่มสามารถพักผ่อนหย่อนใจรวมถึงมีกิจกรรมบันเทิงตามสมควร”
มาณวิกา-มิจฉาจิต-ปฏิจจสมุปบาท
‘มาร’ ในพระพุทธศาสนาหมายถึง อุปสรรคขัดขวาง หรือสิ่งที่เป็นศัตรูต่อการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวก แบ่งออกเป็น 5 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่
- กิเลสมาร (Defilements) : มารคือกิเลสต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติธรรม เช่น โลภะ (ความอยากได้), โทสะ (ความโกรธ), โมหะ (ความหลง)
- ขันธมาร (Five Aggregates) : ความทุกข์ที่เกิดจากขันธ์ 5
มารคือ ขันธ์ 5 หรือร่างกายและจิตใจของมนุษย์ ที่เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ (เกิด แก่ เจ็บ ตาย) - มัจจุมาร (Death): มารคือ ความตาย ซึ่งเป็นอุปสรรคในการทำความดีและการบรรลุธรรม
- อภิสังขารมาร (Kamma-Formations) : มารคือ กรรมและผลของกรรม หรือ วิบากกรรม ที่เป็นผลมาจากการกระทำในอดีต
- เทวปุตตมาร (Deity): มารคือ เทวดา หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่อาจมาขัดขวางการปฏิบัติธรรม
เรื่องราวการผจญมารของพระพุทธเจ้าที่ปรากฏในพุทธประวัติ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "พุทธชัยมงคล 8" หรือ "มารผจญ 8" [6]
- เรื่อง “พระยามาร” : การผจญมารด้วยทานบารมี
- เรื่อง “อาฬวกยักษ์” : การผจญมารด้วยขันติ
- เรื่อง “ช้างนาฬาคิรี” : การผจญมารด้วยเมตตา
- เรื่อง “องคุลิมาลโจร” : การผจญมารด้วยขันติ และการให้โอกาส
- เรื่อง “นางจิญจมาณวิกา” : การผจญมารด้วยสัจจะ
- เรื่อง “สัจจกนิครนถ์” : การผจญมารด้วยปัญญา
- เรื่อง “นันโทปนันทนาคราช” : การผจญมารด้วยพรหมวิหาร
- เรื่อง “พญามาร” : การผจญมารด้วยการบำเพ็ญเพียร
เรื่องราว "พุทธชัยมงคล 8" หรือ "มารผจญ 8" เป็นสิ่งย้ำเตือนและยืนยันว่า การปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย ทั้งจากสิ่งแวดล้อมภายนอกไม่ว่าจะมาจากคนที่มีพฤติกรรมเป็นภัยส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง หรือภัยจากกิเลสภายที่ต้องต่อสู้กับตัวตนในมิติของปัจเจก เช่นการที่ต้องผจญกับ ‘นางมาร’ โลกจารึกไว้ในพุทธประวัติ คือผู้หญิงที่เป็น ‘มารผจญ’ พระพุทธเจ้ามี 3 คน คือ ธิดาของพญามาร ได้แก่ นางตัณหา นางราคา และนางอรดี พวกนางได้พยายามยั่วยวนพระพุทธเจ้าด้วยรูปร่างที่สวยงามและการแสดงต่าง ๆ แต่ไม่สำเร็จ เพราะพระองค์ทรงก้าวผ่าน ‘มารทางโลก’ ปลง ก่อนออกจากวังมาเพื่อแสวงหาทางหลุดพ้น (จึงเป็นอิสระอยู่เหนือ รูป รส กลิ่น เสียง โผฐฐัพพะ และธรรมารมณ์ คือสิ่งที่เรารู้สึกได้ผ่านทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวกาย และทางจิตใจ)
เรื่อง “นางจิญจมาณวิกา” : การผจญมารด้วยสัจจะ หลักฐานในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท (คือคัมภีร์ที่รวบรวมคำอธิบายความในพระไตรปิฎก) มีว่า
พระพุทธเจ้าขณะประทับที่เชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี เผยแผ่พระพุทธศาสนาจนเป็นที่ศรัทธาแก่มหาชนอย่างมาก ทำให้เกิดลาภสักการะในพระพุทธศาสนาอย่างมาก นักบวชในศาสนาอื่น ๆ ก็ได้รับผลกระทบเสื่อมลาภ ผู้คนนับถือน้อยลง เกิดความอิจฉา และคิดจะกำจัดพระพุทธเจ้าเสีย จึงคิดอุบาย โดยส่งสาวงามชื่อว่า "จิญจมาณวิกา" ให้ไปใช้กลอุบายตามที่พวกตนวางไว้
จิญจมาณวิกา หรือชื่อย่อ จิญจา เป็นสตรีที่เชื่อว่ามีชีวิตอยู่ในพุทธกาล ในพระไตรปิฎกกล่าวว่านางได้ให้ร้ายพระโคตมพุทธเจ้าต่อหน้าคนจำนวนมากกล่าวหาว่าทำให้นางตั้งครรภ์ ด้วยความที่นางมีความฉลาดในมารยาของหญิง นับถือศรัทธาลัทธิเดียรถีย์ มีเจตนาเพื่อทำลายพระพุทธเจ้าจึงเดินเข้าออกวัดเชตวันอยู่เสมอ ทำทีเหมือนอยู่ในพระเชตวัน
นางจิญจมาณวิกาทำทีเป็นศรัทธาในพุทธศาสนา จึงไปยังวัดพระเชตุวันมหาวิหาร ร่วมฟังธรรมพร้อมกับคนอื่น ๆ แต่พอถึงเวลากลับ ไม่กลับ ทำทีเดินลับหายไปยังที่ ๆ พระพุทธเจ้าประทับแล้วแอบออกไปทางอื่น พอรุ่งเช้านางมาวัดแต่เช้ามืดแล้วไปแอบซุ่มบริเวณที่ประทับ พอผู้คนมาฟังการแสดงธรรมนางก็จะแกล้งเดินออกไปเป็นกลลวงให้ใคร ๆ เห็น และเข้าใจว่านางค้างคืนที่วัด
ผ่านไป 3 เดือน นางได้นำผ้ามาพันผูกท้องให้นูนแล้วนุ่งผ้าปิดทับเอาไว้ให้แลดูคล้ายตั้ง ครรภ์อ่อน ๆ พอถึงเดือนที่ 8 นางก็นำท่อนไม้มาพันผ้าผูกให้แลดูเหมือนตั้งครรภ์แก่ใกล้คลอด
วันหนึ่งขณะที่พระพุทธเจ้ากำลังแสดงธรรม นางจิญจมาณวิกา ก็ทำทีเป็นหญิงท้องแก่เดินอุ้ยอ้ายเข้าไปยืนตรงหน้าที่ประทับพร้อมกับกล่าว เสียงดังให้ทุกคนได้ยิน
"ท่านสมณะ ท่านจะมาเสแสร้งนั่งแสดงธรรมจอมปลอมหลอกลวงผู้คนไปไย ด้วยเวลานี้ท้องฉันนั้นได้โตใหญ่จนยากจะปกปิดความลับระหว่างเราทั้งสองได้อีกต่อไปแล้ว ท่านจงหันมาไยดีในตัวฉันซึ่งเป็นภรรยา และบุตรในครรภ์ฉัน ซึ่งเป็นลูกของท่านจะดีกว่า”
พระพุทธองค์ทรงหยุดแสดงธรรมและกล่าวกับนางว่า
“ดูก่อนน้องหญิง เรื่องนี้เจ้ากับเราสองคนเท่านั้นรู้กันว่าจริงหรือไม่จริงตามคำของนาง” จิญจมาณวิกาจึงตอบว่า “จริงทีเดียว เพราะการที่ข้าพเจ้ามีครรภ์ขึ้นนี้ มีแต่ท่านกับข้าพเจ้าเท่านั้นที่รู้กัน”
ผู้คนที่นั่งฟังธรรมได้ยิน นางจิญจมาณวิกา พูดก็ตกตะลึง หลายคนไม่เชื่อแต่บางคนก็เริ่มสงสัยเพราะเคยเห็นนางเดินเข้าออกที่ประทับจึง พากันซุบซิบแต่พระพุทธองค์ทรงนิ่งเฉย ชาวบ้านจึงกล่าวเตือนสติจิญจมาณวิกาว่า
"จิญจมาณวิกาเอ๋ย การกล่าววาจาโป้ปดนั้นเป็นการผิดศีล แต่วาจาที่กล่าวเท็จใส่ร้ายต่อผู้ทรงศีลนั้น ผิดยิ่งกว่ามากมายนัก นางจงหยุดเถิด"
แต่แทนที่จิญจมาณวิกาจะรู้สึกผิด กลับจาบจ้วงดุด่าใส่ร้ายพระพุทธองค์ต่อ หาว่าพระพุทธองค์ทรงปัดและบ่ายเบี่ยงไม่รับผิดชอบต่อบุตรในครรภ์ เทพเทวดารู้เห็นการกระทำอันเป็นบาปของจิญจมาณวิกา จึงแปลงกายเป็นหนู ปีนไต่ไปบนตัวนาง และกัดสายคาดผ้าที่ผูกท้องจนหลุดร่วงลงมากองที่พื้น
ความจริงจึงปรากฏแก่คนทั้งหลายว่า นางมิได้ตั้งครรภ์ แต่กล่าวหาใส่ร้ายพระพุทธองค์ คนทั้งหลายพากันลุกฮือขึ้นไล่ทุบตี พอออกไปพ้นประตูพระเชตวันมหาวิหาร นางก็ถูกแผ่นดินสูบ

“มิจฉาจิต”คือ”ความคิดไม่เป็นกุศล”
พระพุทธเจ้าได้รับแรงศรัทธาจากพุทธสศาสนิกชนจนนักบวชนอกพุทธศาสนา(เดียรถีย์) ที่สุูญเสียลาภสัการะจากประชาชน ถือโอกาสใช้ศรัทธาสูงสุดของมาณวิกาเป็นเครื่องมือโดยรวมกันล่อลวงให้เธอทำบาปสร้างความเข้าใจผิดให้เกิดแก่พระพุทธเจ้า พฤติกรรมของนางสร้างความไม่สบายใจให้พระในเชตวันจนต้องการแก้ข่าว แต่พระพุทธองค์ห้ามไว้ แม้กระทั่ง พระอานนก็กระวนกระวาย จนพระพุทธเจ้าต้องตรัสว่า “อย่าเดือดร้อนไปเลยคนที่จับคูถ ปามณฑลพระจันทร์ ย่อมได้รับความเดิอดร้อนเอง เพราะ…
- มือที่จับจะต้องเปรอะเปื้อนสกปรกมีกลิ่นเหม็น
- เขาจะเสียใจเมื่อรู้ว่า ‘คูถ’ ไม่สามารถทำอะไรพระจันทร์ได้ และกลับจะตกลงมารดหัวรดตัวเขาเอง
แต่ละคัมภีร์เฉลยจุดเผยความจริงต่างกันในวันพระพุทธองค์แสดงธรรมบ้างว่านาง กรี๊ดเพราะคำของพระพุทธองค์ที่ทรงตรัสจนผ้้าพันท้องปลอมหลุด บางคัมภีร์ว่าท้าวสักกะบนสวรรค์ร้อนอาสน์ได้แปลงกานเป็นหนูมากัดเชือกที่พันท้องของนาง แผ่นดินทนความชั่วของนางไม่ไหวแยกออกสูบนางลงนรก (ยำ้ให้จดจำทำดีได้ดีฯ ) พวกเดียรถีย์ก็ค่อย ๆ เสื่อมตามกันไป / มีย้อนประวัตินางทำชั่วกับองค์ในชาติก่อน และองค์ในอดีตชื่อ มุนาลิ เคยว่าร้ายพระปัจเจกพระพุทธเจ้าต้องชดใช้กรรมหลายชาติ แม้ชาติสุดท้ายเป็นพระพุทธเจ้าจึงต้องมารับกรรม
- ทุกคนมีกรรมเป็นของตนหนีไม่พ้น ทุกอย่างล้วนมีเหตุที่เราเคยทำมาทั้งนั้น
- เราไม่ควรเชื่ออะไรง่าย ๆ เพราะคนที่ปองร้ายศาสนามีมากมาย ถ้าไม่จริงพูดไปคนที่จะเสียคือตัวเรา ต้องตกนรกด้วยปากของตัวเอง
เหตุและผลกรรมจากการถูกใส่ร้าย
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ‘เหตุมาสู่ผล’ ที่ถูกใส่ร้าย เพราะเคยใส่ร้ายพระพุทธเจ้าในชาติอื่น ๆ แต่ปางก่อน เมื่อได้เกิดเป็นนักเลงชื่อ ปุนาลิ ไปใส่ร้ายพระปัจเจกพุทธเจ้ามีนามว่า สุรภี ผู้ไม่ประทุษร้ายใคร ด้วยผลของการกระทำนั้น ทำให้ตกนรกเสวยทุกขเวทนาหลายพันปี , ใส่ร้ายพระเถระนามนันทะ ทำให้ตกนรกถึง 100,000 ปี และเศษของการกระทำ ทำให้ต้องได้รับการใส่ร้ายจากนางสุนทรี และนางจิญจมาณวิกา [ในชาติภพที่ผ่านมาก็เช่นกัน ต่างมีกรรมต่อกันเป็นเหตุมาก่อน ไล่ย้อนกลับไปได้ทั้งสิ้น เพราะไม่มีอะไรเกิดโดยบังเอิญต่างมีที่มานั่นเอง]
หรือข้อมูลในพุทธาปทานชื่อปุพพกัมมปิโลติพระพุทธเจ้าตรัสบุพกรรมของตนไว้ว่า “เพราะการกล่าวตู่พระเถระนามว่านันทะ ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ครอบงำอันตรายทั้งปวง เราจึงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนรกเป็นเวลานาน เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนรก เป็นเวลานานถึง 100,000 ปี ครั้นได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็ได้รับการกล่าวตู่มาก ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่นั้น นางจิญจมาณวิกาจึงมากล่าวใส่ร้ายเราด้วยคำไม่จริงท่ามกลางหมู่ชน”
และนี่คือ ที่มาของพุทธวจนะแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เป็นสัจนิรันดร์ “เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ มีเพียงแต่เจ้ากับเราสองคนเท่านั้น ที่รู้ว่าสิ่งใดคือความจริง”

กระทรวงวัฒนธรรมโดยสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.) มีนโยบายขับเคลื่อน Soft Power สร้างเสน่ห์วิถีไทยครองใจคนทั้งโลก และมุ่งเผยแพร่อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยด้านต่างๆ เช่น ท่องเที่ยว ศิลปะ การแสดง ดนตรี ภาพยนตร์ เพื่อให้ Soft Power ของประเทศไทยเป็นที่รู้จักแพร่หลายไปสู่ระดับนานาชาติ รวมทั้งมุ่งส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์สาขาต่าง ๆ เพื่อยกระดับความสามารถของคนไทยไปสู่ระดับสากล
วธ. โดยกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย สศร. จึงได้ให้การสนับสนุนกลุ่มศิลปการแสดงภิวัฒน์ เพื่อส่งเสริมศักยภาพ พัฒนาและยกระดับบุคลากรในอุตสาหกรรมการแสดง ได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่ควบคู่กับภูมิปัญญาไทยมาช่วยถ่ายทอดการแสดง โดยสร้างสรรค์ศิลปะการแสดงร่วมสมัยในรูปแบบ MVT (Musical Virtual Theatre) หรือเทคโนโลยีภาพเสมือนจริงในฉากละครเพลง “มาณวิกา เดอะ มิวสิเคิล”
“มาณวิกา เดอะ มิวสิเคิล”นำเสนอโดย กลุ่มศิลปการแสดงภิวัฒน์ ภายใต้การนำของ นายนภาดล กำปั่นทอง ผู้นำโครงการฯร่วมกับ นางโชติกา อัครกิจโสภากุล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธาน พร้อมด้วยคุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย นายสุธีศักดิ์ ภักดีเทวา กรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย ร่วมด้วยศิลปินนักเต้นดารามานักแสดงสมทบที่ผ่านการคัดเลือกอีกหลายสิบชีวิต ร่วมจำลองบรรยากาศดินแดนชมพูทวีปผสานผ่านบทเพลงแนวคติธรรมทางพุทธศาสนาในจัดงานแถลงข่าวเมื่อวันพุธที่ 7 พฤษภาคม 2568 ณ อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรมก่อนเปิดการแสดงรอบปฐมทัศน์ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568 ณ โรงละคร เอ็ม เธียเตอร์และรอบปกติในวันที่14-15มิถุนายน 2568 ตามนโยบายเพื่อส่งเสริมการเสพ Musicalของคนไทยในราคาบัตรพิเศษเพียง 500 /1,000 /1,500บาท
“มาณวิกา เดอะ มิวสิเคิล” เรื่องราวที่ท้าทายกระแสแห่งศรัทธาในยุคโลกาภิวัตน์ รวมศิลปินดาราประชันบทบาท พร้อมนักแสดงสมทบที่ผ่านการคัดเลือกร่วมแสดงอีกหลายสิบชีวิต นำผู้ชมสัมผัสกับบรรยากาศในดินแดนชมพูทวีป ผู้ชมได้ร่วมท่องไปในโลกมายากับ “มาณวิกา เดอะ มิวสิคัล” พร้อมเพลงพุทธธรรมที่แต่งใหม่ทั้งหมดรวม 10 เพลง
นพภดล กำปั่นทอง เขียนบทและกำกับการแสดง
นำแสดงโดย เคท-มาริลิน เคท การ์ดเนอร์ , โบ๊ท- ธารา ทิพา ,หมอก้อง -พันตรี นายแพทย์ สรวิชญ์ ,เอ๋- นรินทร ณ บางช้าง ,นุ่น- ดารัณ ฐิตะกวิน,ตี๋- วิวิศน์ บวรกีรติขจร, ครูรัก- ศรัทธา ศรัทธาทิพย์, ท็อป- ดารณีนุช ปสุตนาวิน, ผัดไท -ดีใจ ดีดีดี, ธงธง- นที ธีระเสรีวงศ์, อิ๋งอิ๋ง- ธุรดี อารีรอบ, จีนี่- อรนลิน ลีลาบูรณธนกูร ฯลฯ
การกลับมาอีกครั้งของ’อมิตตดา’สตรีผู้อาภัพ
ที่ตายไปพร้อมกับความเคียดแค้นอาฆาตในชาติก่อน
สู่สมัยพุทธกาล ที่ความจริงถูกซ่อนไว้ด้วยกลลวงและเล่ห์มายา
ความรักของมันตรา อาจไม่ยิ่งใหญ่เท่าความศรัทธาของจิญจมาณวิกา
นี่คือ การเสียสละที่นำมาซึ่งความสิ้นสูญอันน่าสะพรึงชั่วกัลปาวสาน
ของสาวงามแห่งเมืองสาวัตถี…
“มาณวิกา เดอะ มิวสิเคิล”
เรื่องราวสตรีที่ถูกจารึกนามไว้ในฐานะ ‘นางมาร’
เรื่องราวที่มิใช่เป็นเพียงตำนานที่เล่าขานสืบมา
แต่เป็นวัฏจักรแห่งมิจฉาจิตที่มนุษย์ยังคงต้องเผชิญ…
และนี่คือ ที่มาของพระวจนะแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เป็นสัจนิรันดร์
“เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ มีเพียงแต่เจ้ากับเราสองคนเท่านั้น ที่รู้ว่าสิ่งใดคือความจริง”

กลุ่ม “ศิลปการแสดงภิวัฒน์”
(The Performing Arts Revolution Group)
ด้วยความรักและศรัทธาในศิลปะการแสดง และต้องการให้ศาสตร์ทักษะแขนงนี้มีสืบทอดต่อไป ทำให้เกิดการรวมตัวของคนกลุ่มหนึ่งที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการบันเทิงมากว่า 40 ปี ต่างมีจุดหมายเดียวกัน นำโดย นภาดล กำปั่นทอง ผู้ดำเนินการโครงการฯ, ผศ.ดร. สามมิติ สุขบรรจง รองคณบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ และผู้อำนวยการหลักสูตรปริญญาโท ด้านการออกแบบ วิทยาลัยการออกแบบ มหาวิทยาลัยรังสิต และผู้เชี่ยวชาญด้านการแสดง, นัยนา อึ้งสวัสดิ์ กรรมการบริษัท โซนิกซ์ ยูธ 1999 จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตละครและรายการโทรทัศน์, มนตรี วัดละเอียด (อ.ขวด) ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบแต่งหน้าภาพยนตร์และละคร, ผู้อำนวยการศิลปะการแต่งหน้าสวนขวด, ผศ.ดร. กิตติกร นพอุดมพันธ์ คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร และผู้ทรงคุณวุฒิอีกหลายท่าน ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ได้จัดตั้งกลุ่ม “ศิลปการแสดงภิวัฒน์” เพื่อส่งเสริมศักยภาพ พัฒนา และยกระดับบุคลากรในอุตสาหกรรมศิลปะการแสดง
เป็นความพยายามในการรวบรวมกลุ่มศิลปิน บุคลากรที่มีความรู้ ความชำนาญ และประสบการณ์ด้านศิลปะหลายแขนง อาทิ การแสดง, การกำกับการแสดง, การออกแบบเครื่องแต่งกาย ฉาก, แสง , การขับร้อง และดนตรี โดยเป็นผู้ที่มีความรู้ และความชำนาญในสายอาชีพนี้ไม่ต่ำกว่า 20 ปี และด้วยความตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมปัจจุบัน การเชื่อมโยงศิลปะการแสดงและการละคร จึงมีรูปแบบที่เปลี่ยนไป ศิลปะการแสดงในวันนี้ ถ้าจะให้มีความร่วมสมัย จำเป็นต้องมีการปรับปรุงและพัฒนา รวมทั้งเปิดรับเทคโนโลยีให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถช่วยสร้างประสบการณ์ที่ตื่นตาตื่นใจกับผู้ชมในยุคดิจิทัล
กลุ่มศิลปการแสดงภิวัฒน์ จึงเปิดโอกาสให้บุคลากรรุ่นใหม่ที่มีความสามารถทางเทคโนโลยี เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งเพื่อช่วยกันถ่ายทอดความรู้ ผ่านการสร้างสรรค์ศิลปะการแสดงร่วมสมัยในรูปแบบ ‘MVT’ (Musical Virtual Theatre) หรือละครเพลงผสานเทคโนโลยีภาพเสมือนจริง ใน “มาณวิกา เดอะมิวสิเคิล” การกลับมาของ อมิตตดา และวัฏจักรแห่งมิจฉาจิตเป็นครั้งแรกซึ่งจะเป็นเรื่องที่มีความร่วมสมัย ให้ผู้ชมได้รับรู้ถึงภัยอันตรายที่มาจาก ‘มิจฉาจิต’ หรือความเชื่อในใจที่ผิด ซึ่งการสร้างสรรค์ละครเรื่องนี้ เปรียบเสมือนกุศโลบาย ชี้แนะผู้ชมให้ตระหนักถึง การใช้สติปัญญา พิจารณาไตร่ตรอง อย่างมีเหตุผลในการดำเนินชีวิตซึ่งจะส่งผลต่อสังคมส่วนรวมและประเทศชาติต่อไป
สำหรับหน้าม่านของ “มาณวิกา เดอะมิวสิเคิล” เป็นการรวมตัวของดารานักแสดงมากฝีมือที่ถืออุดมการณ์เดียวกันมาร่วมถ่ายทอดอรรถรสความบันเทิงอย่างเข้มข้น ในส่วนหลังม่าน รวบรวมผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้มีประสบการณ์ ผู้เชี่ยวชาญ จากหลากหลายศาสตร์หลายแขนง และนอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้กับนักเรียนนักศึกษาที่ชื่นชอบการทำงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังเข้าร่วมออดิชันจำนวนมาก เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งให้ผลงานเรื่องนี้สมบูรณ์ที่สุด ก่อนถ่ายทอดสู่สายตาแฟนละครเวทีที่สนใจเสพศิลป์ในศาสตร์แขนงนี้ และมีการขยายฐานสู่วงกว้างมากยิ่งขึ้น

“ มาณวิกา เดอะมิวสิเคิล ”
องค์ที่ 1 : กำเนิดมาณวิกา
ย้อนไปในสมัยพุทธกาลกับเรื่องราวในพระไตรปิฎกที่กล่าวถึงนางอมิตตดาที่เป็นภรรยาของชูชก ใช้ให้ชูชกไปทูลขอกัณหา พระธิดาและชาลี พระโอรสของพระเวสสันดรและนางมัทรีมาเป็นบ่าวรับใช้ในเรือน แต่สุดท้ายพระเจ้ากรุงสนชัย พระบิดาของพระเวสสันดรได้ช่วยเหลือหลานของตนเองด้วยการแลกกับแก้วแหวนเงินทอง บำรุงบำเรอให้ชูชกบริโภคอาหารจนท้องแตกตาย ด้วยโมหะจิตนางอมิตตดาจึงกล่าวโทษพระเวสสันดรเป็นต้นเหตุให้ชูชกต้องตาย ครั้นเมื่อนางอมิตตดามาเกิดเป็นนาง “จิญจมาณวิกา”ได้อาฆาตข้ามชาติจองเวรกับพระพุทธเจ้า
องค์ที่ 2 : ชั่วเพราะศรัทธา บ้าเพราะหลงผิด
มาณวิกาถูกเหล่านักบวชนอกศาสนาพุทธใช้กลลวงล่อหลอกใช้ให้ไปกำจัดพระพุทธเจ้า ผู้เป็นศาสดาของศาสนาใหม่ที่กำลังรุ่งเรืองเป็นที่เคารพ เพื่อไม่ให้เป็นคู่แข่งลัทธิเดียรถีย์ของตน ด้วยความศรัทธาต่อลัทธิศาสนาเป็นที่ตั้งมาณวิกาจึงอาสาทำอุบายให้ผู้คนเข้าใจผิดด้วยการเฝ้าวนเวียนเข้าเขตเชตวัน มักปรากฎตัวในเวลาที่จะได้พบผู้คนมากมาย เพื่อให้เกิดการกังขาเพราะผิดเวลาอันควรนางทำเช่นนี้อยู่ 3 เดือนจนได้เวลาตามแผนจึงไขปริศนา
องค์ที่ 3 : มาณวิกาประกาศข่าวว่าท้องพระพุทธเจ้า
ในวันที่ผู้คนมากมายมาฟังการแสดงธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าณเขตเชตวัน เธอใส่ท้องปลอมที่ทำจากเยื่อไม้เมื่อมีใครถามนางก็กล่าวโทษว่าพระพุทธเจ้าผิดนัยทำให้ตนตั้งครรภ์ แม้มันตราพี่ชายของเพื่อนสนิทที่มาหลงรักเธอจะพยายามออกตัวปกป้อง แต่เธอไม่ยอมรับยังคงยืนยันความเท็จ จนเทวดาทนไม่ไหวปลอมตัวเป็นหนูมากัดผ้ามัดท้องให้หลุด ความจริงจึงเปิดเผยตัวเองออกมา ฟ้าดินลงโทษมาณวิกามีอันเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ทำ


เรื่องราวของ “มาณวิกา” ในละครแสดงให้เห็นว่า ‘มิจฉาจิต’ คือ ความคิดที่ไม่เป็นกุศล (ประกอบด้วยโทสะ โมหะ โลภะ) คือสิ่งซึ่งเกิดขึ้นในจิตใจคนได้เสมอ โดยเฉพาะในสังคมปัจจุบันก็ไม่ต่างจากสมัยพุทธกาล ที่ผู้คนถูกชักจูงให้หลงเชื่อและศรัทธาโดยไม่ใช้สติปัญญา จึงนำความเดือดร้อนมาสู่ตนเอง สังคมและประเทศชาติ ละครแฝงกุศโลบายใช้ความบันเทิงชี้แนะ ให้ผู้ชมตระหนักถึง ‘การรับรู้อย่างไร้ปัญญา ไม่พิจารณาเชิงลึก แต่ไหลไปตามกระแสที่ถูกชักนำ’ ไร้การไตร่ตรองอย่างมีเหตุผล และพร้อมพิพากษาใคร ๆ เพียงแค่รับฟังมาจากคนอื่น โดยยังไม่ทราบต้นสายปลายเหตุแห่ง ‘ความผิด’ นั้น เช่น การฟังความข้างเดียว โดยขาดการไตร่ตรองอย่างมีเมตตา เพราะธรรมชาติของจิตย่อมง่ายต่อการไหลลงต่ำ (รับสิ่งไม่ดีได้ง่าย) ไม่ต่างจากสายน้ำ ที่ต้องไหลตามแรงดึงดูดของโลก โดยเฉพาะเมื่อปล่อยใจให้อยู่ในแวดล้อมของ ‘อสูรกาย’ การตัดวัฏแห่งมิจฉาจิตทำได้อย่างเดียวคือ ‘ให้อภัย’ ไม่ก่อกรรมต่อกันอีกพระพุทธองค์ทรงไม่ตอบโต้มาณวิกาด้วยโทสะ โมหะ แต่มองเหตุที่มาด้วยเมตตาธรรม

จะเห็นว่า ‘จุดร่วม’ ที่พึงตระหนักของทั้งสองคน (พระเอกชั่ว-นางเอกเลว) แดง ไม่ได้ชั่วโดยกำเนิดหรือโดยสันดาน แต่ถูกตัดสินจากพฤติกรรมที่เขาจำยอมเพราะสิ่งแวดล้อมพาไป เช่นเดียวกับมาณวิกาผู้มีศรัทธาสูงส่งต่อเดียรถีย์ลัทธิ จึงถูกใช้เป็นเครื่องมือถือโอกาสหลอกลวงให้เสียสละ ทั้งสองต่างตกเป็น ‘จำเลยสังคม’ อย่างไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง เพราะไม่มีใครพิจารณาถึง ‘ต้นเหตุแห่งกรรม’ (ที่มาของการทำชั่วเลว) อย่างถ่องแท้ แม้รับรู้ว่า”ความจริงอาจไม่ใช่สิ่งที่คิด” และอาจเข้าใจผิดเพราะมองแค่ปลายเหตุ แล้วพิพากษาเฉพาะส่วนที่ตา(เนื้อ)มองเห็นเท่านั้น และในส่วนสำคัญที่คนนอกมองไม่เห็นมักถูกละไว้ฐานเข้าใจ (มองข้าม) แต่ถึงรู้ยังไงก็ไม่ให้อภัยกันอยู่ดี แม้ตระหนักในความเป็นมนุษย์ว่า แท้ที่สุดคือ ‘ทุกคนสีเทา’ (มีดีเลวหลอมรวม ชั่ว-ดี แค่ไหนขึ้นกับ เหตุ-ปัจจัย) และเนื้อแท้ภายในที่ต่างกัน ช่องว่าง- ทางเลือกจึงอยู่ที่ว่า ใครจะเป็นผู้พิพากษา หรือใครจะอาสาตกเป็นจำเลยสังคม.

[1] Somdet Phra Buddhaghosacariya (P. A. Payutto), เหตุปัจจัยในปฏิจจสมุปบาท และกรรม, watnyanaves.net, สืบค้น 5 พฤษภาคม 2568 https://www.watnyanaves.net/en/book-full-text/473
[2] ๗๐ สุดยอดภาพยนตร์ไทย ในสมัยรัชกาลที่ ๙, ๗๐ สุดยอดภาพยนตร์ไทย ในสมัยรัชกาลที่ ๙, สืบค้น 25 พฤษภาคม 2568 https://www.finearts.go.th/chiangmailibrary/view/19985-๗๐-สุดยอดภาพยนตร์ไทย-ในสมัยรัชกาลที่-๙
[3] 2502 อันธพาลครองเมือง, เส้นทางเลือด, สืบค้น 1 มิถุนายน 2568 https://youtu.be/leaOGqKVivo
[4] ว่าด้วยเรื่องของ...แดง ไบเล่ย์, JSL Global Media, สืบค้น 1 มิถุนายน 2568 https://www.youtube.com/watch?v=RbKI_GbzP_k
[5] 6 รางวัล Tony Awards : Maybe Happy Ending, today.line.me, สืบค้น 9 มิถุนายน 2025 https://today.line.me/th/v3/article/ZaNlqZg
[6] พุทธชัยมงคล 8, ขุนประพันธ์เนติวุฒิ (ช้อย เอมะพรหม) และ คำ ศาสนดิลก, สืบค้น 25 พฤษภาคม 2568 https://th.wikisource.org/wiki/พุทธชัยมงคล_8/คาถา