ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
ศิลปะ-วัฒนธรรม

GROUNDED ห้ามบิน พราวพลังหยิน จากผืนดินสู่แผ่นฟ้า

2
สิงหาคม
2568

 

ศูนย์ศิลปการละครสดใส พันธุมโกมล นอกจากเป็นพื้นที่ของการฝึกฝนค้นคว้าของเหล่านักศึกษาวิชาการแสดงของ ภาควิชาศิลปการละคร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ให้ความรู้ครอบคลุมหลากสาขาหลายวิชา ตั้งแต่การกำกับการแสดง (Directing), การแสดง (Acting), การออกแบบ(Design), การเขียบท(Playwriting) ไปจนถึงการจัดการในโรงละคร (Theatre Management) ฯลฯ ที่นี่ยังเป็นศูนย์ศึกษาวิชาศิลปการละครของประชาชนคนรักศิลปการแสดง ที่แฝงตัวมาตัวเรียนนอกหลักสูตรไปกับนักศึกษาด้วย เพราะเทศกาลละครก่อนจบทั้งของ ระดับปริญญาตรี ทั้งช่วงรายวิชา (“ เทศกาลแหวกม่าน ”) และผลงานนักศึกษาปี 4 รวมถึงระดับปริญญาโท (“ เทศกาลละครก่อนจบ ”) ที่ต้องเกณฑ์กำลังพลและขนทรัพยากรทุกด้าน ได้เปิดโอกาสให้สาธารณะเข้าร่วมรับความรู้โดยมี ‘ครู’ คือผลงานของนักศึกษา (และเสวนาให้ความรู้) ที่ล้วนคุณภาพระดับมืออาชีพประชันกันโดยไม่เก็บค่าเข้าชม ด้วยระเบียบการศึกษาในหลักสูตรและนโยบายของมหาวิทยาลัย และที่พิเศษคือการสอนให้เป็นผู้ที่มีหัวใจนอบน้อมต่อสถานะของ ‘นักศึกษา’ ที่แปลว่ายังไม่สามารถจะประกาศตนเป็นปัญญาชนผู้เชี่ยวชาญ แม้มีประสบการณ์แต่ยังอยู่ระหว่างการฝึกฝนค้นหา และผลงานจะเป็นครูของผู้ไฝ่รู้ได้แล้วก็ตาม ปีนี้ละครก่อนจบยังคงเข้มขลังเปี่ยมพลังบัณฑิตน่าติดตามไม่แพ้ทุกปีที่ผ่านมา หนึ่งในหลายเรื่องที่น่าจับตาคือ “ GROUNDED ห้ามบิน ” การแสดงเดี่ยวที่โดดกับผลงานเด่นน่าศึกษาเบื้องหลัง ‘ขุมพลัง’ ที่ใช้ในการสร้างงาน

 

“ เทศกาลละครก่อนจบ ป.โท 2568 ”

ผลงานละครวิทยานิพนธ์ของนิสิตปริญญาโท ภาควิชาศิลปการละคร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ รุ่นที่ 17 ภาควิชาศิลปการละคร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำปีการศึกษา 2568 ที่เปิดสอนใน 6 สาขาวิชา

  1. สาขาการแสดง
  2. สาขาการเขียนบท
  3. สาขาการออกแบบ
  4. สาขาการกำกับการแสดง
  5. สาขาการจัดการละคร
  6. สาขาบูรณาการข้ามศาสตร์ทางศิลปะการละคร

นำเสนอละครเวที 7 เรื่อง ละครทุกเรื่องเป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์ในหลักสูตรอักษรศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาศิลปการละคร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

21-23 มีนาคม 2568 : The Maids  
โดย เมธาวุฒิ นวลฉวี (สาขากำกับการแสดง)

28-30 มีนาคม 258 : The Proposal  
โดย สหัสวรรษ โชติขันธ์ ,วิเศษ สงวนพันธุ์ (สาขาการแสดง , สาขาการจัดการละคร)

4-6 เมษายน 258 : Boeing-Boeing  
โดย รัชชานน วงศ์โกมล (สาขาการแสดง)

18-20 เมษายน 2568 : Grounded  
โดย มาเรียน พุ่มอ่อน (สาขาการแสดง)

24-26 เมษายน 2568 : “ เพี้ยวโลกกับอุ๊ยมอมแมม ”  
โดย พรธิดา ผลดี (สาขาการแสดง)

2-3 พฤษภาคม 2568 : ดินแดนคนตาบอด  
โดย มุนินทร์ สุวรรณประเสริฐ (สาขาการเขียนบท)

TBC พฤษภาคม 2568 : “ THE ROOM ”  
โดย เก็จดาว เอกอุรุ (สาขาการแสดง)

 

 

“ Grounded ” - ห้ามบิน เป็นการแสดงเดี่ยวในรูปแบบ Solo Performance ด้วยความยาวกว่า 1 ชั่วโมง 40 นาที (พูดบทตลอดเวลา 100 นาทีเต็ม โดยไม่มีการหยุดพัก) โดย มาเรียน พุ่มอ่อน นักศึกษาปริญญาโท หลักสูตรอักษรศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาศิลปการละคร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์ หลักสูตรอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาศิลปการละคร (การแสดง) ในหัวข้อ “การสร้างภาวะพร้อมทางกายจิตด้วยแนวทางไซโคฟิสิคัล และศาสตร์ชี่กงสำหรับนักแสดงเดี่ยวละครแนวสมจริง” : กรณีศึกษาบทละครเรื่อง กราวด์ ของ จอร์จ บรานท์ นำเสนอ  เรื่องราวของนักบินรบ F-16 (หญิง) กับภารกิจสุดบีบคั้นและถูกกดดันด้วยพันธกิจของความเป็นแม่ คือหนึ่งในเจ็ดเรื่องที่มีเนื้อหา การแสดง และ Production Design ที่โดดเด่นในทุกด้านทั้ง เทคนิคฉาก แสง เสียง ได้มืออาชีพชั้นดีที่มาสนับสนุน content ในประเด็นที่เน้นศักภาพของ “ความเป็นผู้หญิง” ซึ่งมีบทบาทความรับผิดชอบและสถานะพิเศษที่ต่างจากความคุ้นเคยของคนทั่วไปให้ชัดขึ้น ภายใต้ความ เรียบ-ล้ำ ของการออกแบบเวที มีอุปกรณ์เพียงเก้าอี้นั่งเก่าใกล้พังตัวเดียวแทนเครื่องบินรบ แทนสนามรบด้วยการจัดไฟชาญฉลาด สาดไฟพาร์ (Par Light) 6 ดวง ใส่สองด้านซ้ายขวา น่านฟ้าแทนดวงอาทิตย์ศูนย์กลางจิตจักรวาลด้วยไฟเพดานดวงใหญ่ ที่ให้ความหมายได้หลายประเด็น เป็นจุดเด่นของงานออกแบบที่ส่งงานการแสดงได้อย่างเปี่ยมพลัง

เปิดการแสดงเพียง 3 รอบ ชมฟรี เมื่อวันที่ 18 - 20 เมษายน 2568  
จัดแสดง ณ ศูนย์ศิลปการละครสดใส พันธุมโกมล ชั้น 6  
ณ อาคารมหาจักรีสิรินธร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

  • บทละคร George Brant
  • แปลบท ศรัณย์ภัทร เอี่ยมสุโร
  • นักแสดง มาเรียน พุ่มอ่อน
  • กำกับการแสดง จารุนันท์ พันธชาติ
  • ออกแบบฉาก รัถยา ตรีรัตน์
  • ออกแบบแสง ปาลิตา สกุลชัยวานิช
  • ออกแบบเสียง กวิรัตน์ ไทรเมฆ
  • ออกแบบวิดีโอ วรปรัชญ์ อุ่นอก
  • ออกแบบเสื้อผ้า บรรดิษฐ์ วรานุยุตร
  • กำกับเทคนิค กรชัย มีวงศ์
  • กำกับเวที พิมดาว อินทะวงษ์ และณัชชา พงษ์ประพัฒน์
  • อำนวยการแสดง ธัญธร คุณาภิญญา

 

 

“ Grounded ” ห้ามบิน ถ่ายทอดเรื่องราวการเดินทางของผู้หญิงคนหนึ่ง ตั้งแต่นักบินรบ F-16 ที่ประสบความสำเร็จในกองทัพอากาศสหรัฐฯ ไปจนถึงผู้บังคับโดรนรีเปอร์ในทะเลทรายเนวาดา  ดัดแปลงจากบทละครของ จอร์จ แบรนท์ นักเขียนบทละครชาวอเมริกัน (George Brant - 1969) Grounded  ได้รับรางวัล Smith Prize ของ National New Play Network ในปี 2012 และรางวัล Fringe First ในงาน Edinburgh Fringe Festival ในปี 2013 นำเสนอผลกระทบทางจิตวิทยาของสงครามสมัยใหม่ รวมถึงบทบาทของผู้หญิงในกองทัพและในสังคมโดยรวม ความขัดแย้งทางจริยธรรมและผลกระทบทางจิตวิทยาของสงครามสมัยใหม่ในศตวรรษที่ 21  Opera “ Grounded ”  แสดงโดย เอมิลี่ ดีแอนเจโล เมซโซ-โซปราโน (Mezzo-soprano Emily D’Angelo - 1994) หนึ่งในดาราสาวผู้มีเสน่ห์ที่สุดในวงการอุปรากร รับบทเป็น เจส (Jess) นักบินขับไล่ฝีมือฉกาจ การตั้งครรภ์โดยไม่ได้วางแผนไว้ทำให้เธอต้องออกจากห้องนักบินและลงจอดที่ลาสเวกัส ขณะบังคับโดรนรีเปอร์ที่บินอยู่คนละฟากโลก ขณะที่เธอพยายามปรับตัวให้เข้ากับวิถีการต่อสู้แบบใหม่นี้ เธอต้องต่อสู้เพื่อรักษาสติและจิตวิญญาณของเธอไว้ ขณะที่มีคำสั่งเรียกตัวให้ปฏิบัติการสังหารศรัตรูด้วยรีโมตคอนโทรล นักบินขับไล่ที่ตั้งครรภ์โดยไม่ได้วางแผนไว้ทำให้เธอต้องออกจากห้องนักบินและลงจอดที่ลาสเวกัส ขณะบังคับโดรนรีเปอร์ที่บินข้ามโลก ขณะที่เธอปรับตัวเข้ากับการต่อสู้แบบใหม่นี้ เธอต้องต่อสู้ภายใต้แรงกดดันที่จะต้องเป็นทหารที่สมบูรณ์แบบ ภรรยาที่สมบูรณ์แบบ และแม่ที่สมบูรณ์แบบในเวลาเดียวกัน

ล่าสุดในเมื่อปี 2023  Grounded  ถูกนำไปสร้างเป็นโอเปราโดยมี จีนีน เทโซรี (Jeanine Tesori) เป็นผู้ประพันธ์เพลง เธอเป็นนักประพันธ์เพลงเจ้าของรางวัลโทนี่ถึงสองครั้ง เธอมีผลงานมากที่สุดในประวัติศาสตร์ละครเวทีอเมริกัน Grounded เป็นโอเปร่าเรื่องที่สี่ของเธอ ต่อจากเรื่องล่าสุด “Blue” ซึ่งได้รับรางวัลจากสมาคมนักวิจารณ์ดนตรี ในสาขาโอเปร่าใหม่ยอดเยี่ยม และเป็นหนึ่งในสองของผู้หญิงคนแรกที่ได้รับมอบหมายให้ประพันธ์โอเปร่าให้กับ โรงละคร Met ผลงานละครเวทีของเธอรวมถึงละครเพลงยอดเยี่ยมที่ได้รับรางวัลโทนี ได้แก่ “คิมเบอร์ลี อาคิมโบ” และ “ฟันโฮม” และ โอเปรา Grounded จาก บทประพันธ์ของนักเขียนบทละครชื่อดัง จอร์จ แบรนท์ ที่ดัดแปลงมาจากบทละครเรื่อง Grounded ซึ่งใช้เป็นต้นแบบของโอเปร่าเรื่องนี้ 

ยานนิค เนเซต์-เซกิน ผู้อำนวยการฝ่ายดนตรีของ Met (Met Music Director - Yannick Nézet-Séguin) ดูแลการฉายรอบปฐมทัศน์ของดนตรีประกอบภาพยนตร์หลากหลายแนวของ Tesori และทีมนักแสดงที่นำโดย เบน บลิส นักร้องเสียงเทเนอร์ รับบทเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ในไวโอมิง การจัดฉากสุดล้ำของ ไมเคิล เมเยอร์ (Michael Mayer’s) ที่ใช้จอ LED จำนวนมาก นำเสนอมุมมองที่หลากหลายเกี่ยวกับฉากแอ็คชั่น รวมถึงมุมมองอันน่าหวาดเสียวของโดรนจากเบื้องบน การถ่ายทอดสดภาพยนตร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของ ซีรีส์ Live in HD ที่ได้รับรางวัลของ Met ซึ่งนำพาการแสดงโอเปร่าสู่โรงภาพยนตร์ทั่วโลก

 

Grounded  : Present by Andrew J. Martin-Weber และ Lynne และ Richard Pasculano

การสนับสนุนเพิ่มเติมจากมูลนิธิ Laidlaw และ HM Agnes Hsu-Tang, Ph.D. และกองทุนบริจาค Oscar Tang Groundedเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ New Works Initiative ของมูลนิธิ Neubauer Family Foundation  เป็นโครงการร่วมสร้างของ  โรงละคร เมโทรโพลิทันโอเปร่า (Metropolitan Opera) และ Washington National Opera  “GROUNDED”  เปิดแสดงรอบปฐมทัศน์โลก ณ โรงละครโอเปร่าแห่งชาติวอชิงตัน ปี 2023 โดยได้รับมอบหมายจาก โครงการ New Works ของ เมโทรโพลิทันโอเปร่า (Metropolitan Opera) และ โรงละคร ลินคอล์นเซ็นเตอร์ (Lincoln Center Theater)

 

 

บันทึกการเตรียมงาน : เทคนิคการจำบท

มาเรียน พุ่มอ่อน ผู้วิจัย

กระบวนการซ้อมอย่างเป็นทางการของ มาเรียน พุ่มอ่อน  เรื่อง “ กราวด์ ” (GROUNDED) เริ่มต้นขึ้นในเดือน มกราคม 2568 โดยก่อนหน้านั้นในช่วงเดือน ธันวาคม 2567 ได้มีการนัดอ่านบทครั้งแรก (First Read) ร่วมกับผู้กำกับและทีมงาน ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้ทุกฝ่ายได้รับฟังเนื้อหาโดยรวมของบท และเริ่มประเมินลักษณะของการทำงานที่จะเกิดขึ้นตลอดสามเดือนต่อจากนั้น เมื่อเข้าสู่เดือนมกราคมการซ้อมจึงเริ่มขึ้นภายใต้แผนการทำงานที่ถูกจัดวางอย่างมีเป้าหมายชัดเจน โดยผู้กำกับและผู้วิจัยร่วมกันตกลงว่า จะใช้ระยะเวลา 3 เดือน ในการซ้อมบทละครความยาว 90 หน้า โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ช่วงได้แก่

ช่วงที่ 1 หน้า 1-30 สำหรับเดือน มกราคม

ช่วงที่ 2 หน้า 31-60 สำหรับเดือน กุมภาพันธ์

ช่วงที่ 3 หน้า 61- 90 สำหรับเดือน มีนาคม

ทั้งนี้เพื่อตอบสนองข้อจำกัดทางเวลาของทั้งสองฝ่าย ซึ่งต่างมีภารกิจอื่นควบคู่กัน และไม่สามารถซ้อมร่วมกันได้อย่างต่อเนื่องทุกวัน แผนการซ้อมแบบแบ่งช่วงนี้จึงถูกออกแบบขึ้นเพื่อสร้างความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องภายใต้เวลาอันจำกัด โดยผู้กำกับได้มอบโจทย์ให้ผู้วิจัยต้อง ‘จำบท’ ให้ได้ล่วงหน้าเดือนละ 30 หน้า เพื่อให้ทุกครั้งที่มีการนัดซ้อม ผู้วิจัยสามารถเริ่มทำงานร่วมกับผู้กำกับได้ทันที โดยไม่ต้องใช้เวลาทบทวนบท แม้จะมีเส้นตายหลักอยู่ที่สิ้นเดือนของแต่ละเดือน เช่น สิ้นเดือนมกราคมจะต้องซ้อมได้ครบ 30 หน้าแรกอย่างสมบูรณ์ในระดับหนึ่ง แต่ในทางปฏิบัติผู้วิจัยจำเป็นต้อง ‘เตรีมตัวให้พร้อมตั้งแต่ต้นเดือน’ เนื่องจากไม่สามารถคาดเดาได้ว่า ในวันใดวันหนึ่งของการซ้อมผู้กำกับจะเลือกเริ่มต้นทำงาน ตั้งแต่หน้าไหนจนถึงหน้าไหน ตัวอย่างเช่น วันแรกของการซ้อมอาจทำงานได้เพียง 5 หน้า แต่ในวันถัดไปอาจลื่นไหลไปจนถึงน้า 20 ได้ ซึ่งมายความว่า นักแสดงต้องมีความพร้อมในการจำบทและทำความเข้าใจเนื้อหาทั้ง 30 หน้า ไว้ล่วงหน้าเสมอ

จากประสบการณ์ของผู้วิจัยในการทำงานการแสดงก่อนหน้านี้ ผู้วิจัยทราดีว่าตนเองเป็นผู้มีนิสัย ‘ขี้กังวล’ และต้องการระยะเวลาเพื่อย่อยเนื้อหาให้ซึมลงในร่างกายก่อนการแสดงจริง ดังนั้น แม้ผู้กำกับจะวางแผนให้ซ้อมจบทั้งเรื่องในสิ้นเดือนมีนาคม ผู้วิจัยก็ได้วางเป้าหมายของตนเองไว้ล่วงหน้าว่า ต้องการให้การจำบทและการซ้อม ‘จบทั้งเรื่องภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ หรือต้นเดือนมีนาคม’ เพื่อให้สามารถใช้เวลาที่เหลืออีกหนึ่งเดือนในการฝึกซ้อมซ้ำ ฝึกความแม่นยำ และขัดเกลาองค์ประกอบทางพลังงานของการแสดงให้ละเอียดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ผู้วิจัยสามารถจำบทครบทั้ง 90 หน้า ได้ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ และเริ่มต้นการซ้อมทั้งเรื่องอย่างต่อเนื่องได้ตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม ซึ่งตรงตามเป้าหมายส่วนตัวที่วางไว้ ทั้งนี้เป็นผลจากการค้นพบวิธีการจำบทที่สอดคล้องกับธรรมชาติของผู้วิจัยเอง

สิ่งที่ผู้วิจัยค้นพบจากกระบวนการฝึกซ้อมในครั้งนี้ คือธรรมชาติของตัวเองในการจำบทนั้น ‘ไม่สามารถแยกร่างกายออกจากกระบวนการจำได้’  กล่าวคือ หากผู้วิจัยนั่งอยู่กับที่เพียงอย่างเดียวและพยายามจำบทด้วยการอ่านหรือท่องในใจ การจดจำจะเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยและใช้เวลานาน แต่เมื่อใดที่ร่างกายได้เคลื่อนไหวไปด้วย พร้อมกับการพูดบทออกเสียง การจดจำจะเกิดขึ้นอย่างลื่นไหลและเป็นธรรมชาติด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงออกแบบรูปแบบการจำบทของตนเองให้สอดคล้องกับกลไกการเรียนรู้ของร่างกาย โดยใช้วิธีการ ‘เดินไป-พูดไป’ ซึ่งไม่ใช่การเดินไปมาอย่างไร้ทิศทาง แต่เป็นการเดินอย่างมีจังหวะ มีสมาธิ โดยมากผู้วิจัยจะเลือกไปเดินในห้างสรรพสินค้า หรือสวนสาธารณะ (ซึ่งเป็นพื้นที่กึ่งเปิดที่ปลอดภัยและเคลื่อนไหวได้สะดวก) พร้อมกับถือบทในมือแล้วพูดบทออกมาในระดับความดังที่ตนเองได้นินได้ กระวนการนี้กลายเป็นเหมือนการฝึกสองประสาทการรับรู้ไพร้อมกัน กล่าวคือ ตาได้เห็นข้อความในบท หูได้ยินเสียงของตนเองพูดบทนั้นออกมา และร่างกายก็ได้เคลื่อนไหวตามธรรมชาติของจังหวะการพูด

การฝึกแบบนี้แม้จะดูเรียบง่าย แต่ช่วยให้บทละครซึบซับเข้าสู่ร่างกายของผู้วิจัยได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องเร่งเร้า ผู้วิจัยตั้งเป้าให้กับตนเองในแต่ละวัน เช่น วันนี้จะจำให้ได้ 10 หน้า หรือพูดบทจนรู้สึกว่าจำได้โดยไม่ต้องดูบทเลย แม้จะมีวันที่จำได้น้อยหรือรู้สึกเหนื่อย ผู้วิจัยก็ไม่บังคับตัวเองเกินไป เพราะเชื่อว่าการจำบทคือการค่อย ๆ รดน้ำให้ต้นไม้เติบโต ไม่ใช่การเร่งให้ต้นไม้โตด้วยความกดดัน การจำบทจึงไม่ใช่เพียงการท่องจำเพื่อให้พูดได้เท่านั้น แต่เ็นการเริ่มสร้าง ‘เส้นประสาทแห่งความสัมพันธ์กับตวละคร’ ตั้งแต่ช่วงต้น การเดิน การพูด และการอยู่กับบทอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้ตัวบทกลายเป็น ‘สภาพแวดล้อมภายใน’ ที่ผู้วิจัยสามารถเข้าไปอยู่อาศัยได้อย่างเป็นธรรมชาติ

 

 

บทบาท บทเรียน บทจร

หนึ่งในผลงานเด่นเป็นที่โจษจันของ “ เทศกาลละครก่อนจบ ป.โท 2568 ”  ปีนี้คือ “ Grounded ” Solo Performance  โดย มาเรียน พุ่มอ่อน เป็นนักแสดงที่เริ่มต้นชีวิตสายละครเวทีด้วยการเป็นนักศึกษาสาขาการละคอน ที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บนเวทีมาเรียนเคยเป็นทั้งเจ้าหญิงอาภัพที่ลุกขึ้นงัดกับความอยุติธรรม, นักเดินทางหญิงชราผู้ฝ่าขีดจำกัดของยุคสมัย ไปจนถึงปีศาจงูเขียวที่รักพี่สาวสุดหัวใจ  ผ่านมาแล้วหลายบทบาท แต่ไม่อาจเทียบครั้งนี้ได้ การแสดงเดี่ยวครั้งแรกในบท นักบินรบหญิง F-16 กับการตกจากตำแหน่ง นักบินขับไล่ฝีมือฉกาจ มาลาดตระเวนอยู่ภาคพื้นดินของตัวละคร เพราะบทบาทซ้อนที่เพิ่มขึ้นมาโดยไม่คาดหมายคือความเป็นแม่ แค่นี้ก็บอกความซับซ้อนที่ต้องทำงานกับจิตเพื่อเข้าถึงวิธีคิดของตัวละครได้หลายระดับ มาเรียนจัดการกับชีวิตของ เจส (Jess) ด้วยอาวุธพิเศษหลังจากที่ได้ฝึกวิทยายุทธมาอย่างดี มี 3 ขั้นตอน ที่สอนให้เห็นถึงการฝึกจิตที่ต้องอยู่กับพื้นฐานการใช้ชีวิตให้ปกติสุข แม้ต้องทุกข์เพราะความเปลี่ยนแปลงแปรปรวนที่ไม่ประสงค์ เพื่อดำรงตนอย่างง่างามในนาม แม่ เมีย และ นักบินรบ

ช่วงตอนที่ 1 เป็นงานปูพื้นฐานตัวละครที่ไม่ซับซ้อนของสาวเท่แบบหญิงยุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 ที่ใช้ชีวิตเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ชายอย่างสง่าและท้าทาย เป็นเดือนในหมู่ดาวที่เด่นจรัสแสงแรงพลังบนน่านฟ้าของกองทัพอากาศสหรัฐฯ การแสดงช่วงนี้มีมิติของอารมณ์ความรู้สึกของการเป็น ‘ ผู้ชนะ ’ ที่ภาคภูมิใจในความสำเร็จที่ผู้หญิงน้อยคนจะสามารถทำได้ในระดับนี้ เหมือนเธอมีปีกบินเหนือเมฆ และอยู่ในสถานะที่ ‘ เหนือชาย ’ เพราะสัญชาติญาณของความเป็นมนุษย์เพศหญิง ที่ยังมีบริบทของสังคมกดทับแม้ปรับสู่ยุคใหม่ ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับมาเรียน ด้วยบุคคลิกที่ดีมีพื้นฐานเอื้อให้งานแสดงน่าเชื่อถือ บวกกับฝีมือทำให้บทบาทของเจสรู้สึกเป็นจริง มาเรียนยืนยันความเป็นหญิงด้วย ‘ ชุดชั้นใน ’ (เสื้อยืดทีเชิร์ตกับกางเกงขาสั้นใส่นอน) ก่อนสวมเครื่องแบบทหารอากาศ เธอเปิดเปลือยความคิดความรู้สึกแบบหญิงสาวชาวตะวันตกได้ไม่ติดขัด มัดใจหนุ่มในเรื่องและในโรงละครได้ไม่น่าเกียจ

ช่วงตอนที่ 2 หลังถูกปลดประจำการ เหมือนดาวตกจากราวฟ้าหาทิศไม่พบ เมื่อถูกลบเกียรติด้วยเหตุผลที่หมดทางต่อสู้และต้องอยู่กับผลกระทบที่เลวร้ายต่อจิตใจ ในขณะเดียวกับที่ต้องเตรียมรับสถานะใหม่คือ ‘ ความเป็นแม่ ’ อย่างไม่มีสิทธิ์หลบเลี่ยง มาเรียรับมือกับอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามาอย่างเห็นพัฒนาการ ที่ไม่ได้เปลี่ยนไปในทันทีแต่มีการไต่ระดับอยู่ภายในอย่างไม่สะทกสะท้าน เหมือนเปลี่ยนงานใหม่ต้องปรับใจรับความเปลี่ยนแปลง แม้เมื่อถูกกักบริเวณขณะตั้งครรภ์ หน้าที่ของเธอถูกปรับเปลี่ยนจากการบินเครื่องบิน F-16 ไปเป็นการบินโดรนระยะไกล ซึ่งก่อให้เกิดความทุกข์ทางจิตใจ แต่สิ่งที่ประคองไว้คือลูกในท้องที่ไม่ได้เรียกร้องความเห็นใจ  มาเรียเป็นหญิงสาวที่ขาดประสบการณ์ แต่สัญชาติญาณช่วยได้ เธอใช้พลังหยินรินสายตาสื่อความรู้สึกภายในที่แม้ผู้ชมนั่งไกลก็ร่วมรับรู้คู่กับน้ำเสียงหวั่นไหวภายใต้ความแกร่ง โดยเฉพาะช่วงที่ต้องเร่งแรงขับตระเวนข้ามทะเลทรายในทุกวัน

ช่วงตอนที่ 3  ชัดในความเป็นหญิงที่มี ‘ พลังหยิน ’ เมื่อต้องบินกลางทะเลทรายอย่างผู้สังหารไล่ผลาญศรัตรูท่ามกลางภาวะหดหู่ที่ต้องเผชิญ เป็นช่วงที่ชัดด้วยพลังทั้งมวลแม้ถูกรบกวนด้วยความล้า เหมือนนักรบกล้าที่รวบแรงสุดท้ายเผชิญความตายที่อยู่ตรงหน้า และไม่รู้ว่าภาพที่เห็นก่อนสังหารคือความจริงหรือความลวง แล้วลูกไปอยู่ในวิถีกระสุนได้อย่างไร ถ้าคือภาพลวงแล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร  แล้วมีจุดประสงค์อะไร  แม่ต้องตัดสินใจเลือกอะไรถึงจะไม่‘ พลาด ’ ในโอกาสบังคับที่มีเพียงครั้งเดียว มาเรียนมาถึงจุดที่ peak สุดของการแสดง จากบทเด็กสาวธรรมดาพัฒนาตามวัย เธอใส่วุฒิภาวะที่ไม่ธรรมดาให้กับหน้าที่ของแม่และนักบินรบได้อย่างครบถ้วน สุดท้าย…ชวนผู้ชมกลับมาอยู่กับตัวตนแท้จริงของคนชื่อมาเรียนกับบทเรียนที่ได้รับ ไม่ว่าจะเคยบินสูงแค่ไหน ก็ต้องกลับคืนสู่ความเป็นสามัญของชีวิต คือสัจธรรม เธอทำให้อารมณ์ ความเชื่อ ของผู้ชมเปลี่ยนไปเมื่อหลุดจากบทบาทของเจส แล้วพบว่าตัวจริงของมาเรียนยังเด็กเกินไปที่จะให้บทเรียนใคร แล้วที่ผ่านมา 100 นาที ก่อนหน้านี้ที่ต่างลุ้นเอาใจช่วยเธอมาตลอดคืออะไร… ชวนใจตั้งคำถาม ‘ ความจริงในความลวง หรือความลวงในความจริง ’

 

 

“ Grounded ”  ห้ามบิน  เสวนาหลังการแสดงรอบ วันที่ 19 เมษายน 58 เวลา 19.30 น. หัวข้อ “ Standing Ground, Taking Flight: สู่ภาวะพร้อมของนักแสดงเดี่ยว ” โดย วิทยากรในสาขาที่เกี่ยวข้องและทีมงาน Grounded ได้แก่

ผศ.ดร. กฤษณะ พันธุ์เพ็ง อาจารย์ประจำสาขาวิชาการละคอน มธ. นักแสดงและผู้กำกับละครเวที

ถนอมวงศ์ มังคลรังษี อาจารย์ชี่กง ศูนย์ชี่กงอาจารย์หยางเผยเซิน และ ศูนย์ฝึกสมอง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

อ.ดร.ธัญญรัตน์ ประดิษฐ์แท่น อาจารย์ประจำสาขาวิชาศิลปะการแสดง คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ Acting Coach และนักแสดงอิสระ

จารุนันท์ พันธชาติ ผู้กำกับการแสดง เรื่อง “ Grounded ” นักแสดง ผู้เขียนบท และผู้กำกับการแสดงจากกลุ่มละคร B-floor Theatre

มาเรียน พุ่มอ่อน นักแสดง นิสิตปริญญาโทสาขาการแสดง ผู้ทำวิจัยวิทยานิพนธ์

ดำเนินรายการเสวนาโดยชนัตถ์ พงศ์พานิช อาจารย์พิเศษด้านการแสดง ภาควิชาศิลปการละคร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

 

ช่วงเวลาของการแสดง 1 ชั่วโมง 40 นาที ทุกวินาทีคือ ‘ บทละคร ’ ที่ถูกร้อยเรียงออกจากความจำ ความเข้าใจของนักแสดงหญิงตัวเล็กเปี่ยมพลังถั่งโถมไปที่บทบอกเล่าทั้งเรื่องราว อารมณ์ ฯลฯ ความคมในทักษะการแสดงที่สะสมชั่วโมงบินยังน้อยไปหากเทียบกับศักยภาพแท้จริงของ มาเรียน พุ่มอ่อน ที่สามารถสวมจิตวิญญาณซึ่งตรงข้ามกับประสบการณ์ชีวิตจริง ในบทบาทของผู้หญิงแกร่งแห่งสนามรบ ที่ต้องต่อสู้อยู่กับจุดบรรจบระหว่างสถานะที่เปลี่ยนไปกับสภาวะจิตใจที่พร้อมจะผันผวนรวนล้มได้ทุกขณะ เพราะสิ่งปะทะคือความจริงที่อิง ‘มายาภาพ’ เสวนาเบื้องหลังการสร้างงาน เปิดทุกประเด็นที่เป็น ‘ขุมพลัง’ ทั้งศาสตร์การแสดง และสิ่งที่แฝงอยู่เบื้องหลังการบริหารจิต-กายภายในตัวตน กว่าจะเป็นคนที่ใช่ในละคร  “ GROUNDED ”

ชนัตถ์ พงศ์พานิช - มาเรียนทำวิจัยในหัวข้อ  การสร้างภาวะพร้อมทางกายจิตด้วยแนวทาง PSYCHOPHYSICAL และศาสตร์ชี่กงสำหรับนักแสดงเดี่ยวละครแนวสมจริง ด้วย อะไรคือปัญหาของการทำงานวิจัยครับ

นักแสดง มาเรียน พุ่มอ่อน - ปัญหาของมาเรียนเริ่มตั้งแต่เข้าภาคการศึกษาที่ต้องทำ thesis อาจารย์ให้ตั้งต้นจากปัญหา ก็เปิดไอแพดเขียนเลยว่า “ ปัญหาของนักแสดงชื่อ มาเรียน ” แล้วลิสต์ออกมาว่าปัญหาที่เจอคืออะไร มีประมาณ 4-5 ข้อ มีอยู่ข้อหนึ่งที่อ่านแล้วรู้สึกว่าเป็นปัญหาของเราบ่อย ๆ คือ เวลาที่เราเล่นทำการแสดงเราไม่พยายามตั้งใจจะแยกสมองหรือความรู้สึกนึกคิดเราออกจากร่างกาย หรือว่าถ้าจะพูดให้เห็นภาพง่าย ๆ เวลาถูกฝึกเราโดนทั้งสองฝั่งอยู่แล้วแต่ว่าในฐานะที่เราเป็นนักแสดงเรารู้ตัวว่าถ้าเทียบเป็นมุมซ้ายขวา ในเรื่องของการวิเคราะห์แรงจูงใจตัวละคร การเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดตัวละคร ถ้าเปรียบเป็นมือขวาเราจะหนักเลย แต่ว่าร่างกายเราไม่ใช่มือซ้ายใช้ไม่ได้นะ มันใช้ได้เมื่อเราอยากจะใช้มัน แต่ถ้าถามว่ามันเป็นสิ่งที่เราถนัดเท่ามือขวาหรือเปล่า ไม่ใช่เลย เหมือนเราต้องรอให้ข้างนี้รู้สึกมาก ๆ มาเรียนก็มีความเชื่อเดิมว่า ถ้าเรารู้สึกมากพอร่างกายจะตอบสนองของมันเอง พอเวลาผ่านขวบปีของการแสดงมาเรื่อย ๆ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นตลอด บางครั้งมันรู้สึกมากแต่ว่าบอกไม่ถูก มันเป็นภาวะอั้น ไม่สามารถไปทั้งร่างกายทั้งตัวได้ ก็เลยอยากแก้ปัญหาตรงนี้อยากเพิ่มสกิลมือซ้าย

ที่เลือกบทละครเรื่องนี้เพราะ เพื่อนที่เรียน ป.โท จะรู้เลยว่ามาเรียนมีเรื่องที่ปักใจไว้ว่าอยากจะเล่นมาก ๆ เลย พอตั้งโจทย์ไว้แบบนั้นว่าอยากจะเป็นอะไรที่มันท้าทายตัวเองมาก ข้อจำกัดอะไรที่ทำให้ต้องไปอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นชิน ดูแล้วก็น่าจะต้องเป็น solo เพราะมันคือเขตพื้นที่ที่เราไม่เคยไป ไม่ใช่ safe zone ของเราเลย มันคงผลักเราแรงมากพอจนทำให้ลงมือทำอะไรที่ไม่เคยทำ Grounded เป็นเรื่องสุดท้ายในบรรดา 30 เรื่องที่มาเรียนอ่านตอนที่เหลือเวลา 7 วันที่ต้องหาเรื่องใหม่ที่จะเล่น มาเรี่ยนเชื่อว่าถ้าเรื่องที่เราอยากเล่นมันจะมี calling อะไรบางอย่าง สำหรับเรื่องนี้มันอยู่ตรงประโยคที่คุณนักบินพูดตอนลงมาเป็นเมียกับแม่แล้ว เขาไม่รู้จะบอกยังไงว่า เขาไม่ใช่ทุกอย่าง ลูกไม่ใช่ทุกอย่าง เขาเป็นลูกเป็น อ่านแล้วไม่รู้ด้วยวัยหรือเปล่ามันค่อนข้างจะจูนกับประเด็นนี้ได้ง่ายมากเลยว่า มันมีนอร์มบางอย่างบอกว่า เราเป็นผู้หญิงถ้าเราได้เป็นเมียเป็นแม่มันอาจจะจบก็ได้ แต่ว่ามานึกตามตัวละครเแล้วมันจบจริงหรือเปล่า มันผิดไหมถ้าเขาไม่ได้ตอบทุกอย่างเหมือนที่ตัวละครพูด ก็เลยโอเคเลือกเร่องนี้ค่ะ

 

 

ชนัตถ์ - อ่านบทจบแล้วรู้สึกยังไงบ้างครับ ความยากความท้าทายตลอด 1 ชั่วโมง 40 นาที เจออะไรบ้างครับ

จารุนันท์ พันธชาติ ผู้กำกับการแสดง - รู้สึกยากจัง บอกมาเรียนว่าดูตารางก่อนถ้าว่างก็มา เขาเคยช่วยงานเราก็มาตอบแทนบุญคุณ ปัญหาเจอได้ทุกวัน เรื่องนี้อ่านดี ๆ มี Stage Direction อยู่ 3-4 บรรทัดเองนะ นอกนั้นก็เป็นบทกลอน ลักษณะที่เขียนเหมือนกลอนเปล่า มีบทพูด แล้วก็ค่อนข้างเปิดกว้าง ฉากและเวทียังไงก็ได้แต่ควรจะนำเสนออย่างงี้ นักแสดงเป็นนักบินนะไม่ใช่นักแสดง เวลาที่เล่นห้ามเล่นคัท ห้ามเล่นบิดตัวนะ หรือ นักแสดงควรจะวิดพื้นได้เท่านี้ เพราะฉะนั้นมันให้ภาพนักบินของทหารมากกว่าที่จะบอก เขามีอายุเท่าไหร่มีนิสัยยังไงตามปกติที่บทละครเขียน รู้สึกว่าเขา require (เรียกร้อง) เราเยอะเหมือนกัน

ชนัตถ์ - แล้วมาเรียนล่ะครับการเป็นตัวละครนี้มันท้าทายอะไรบ้าง

มาเรียน - ท้าทายอย่างแรกคือรู้สึกว่าเขามีวิธีคิดที่ไม่เหมือนมาเรียนเลย เรื่อง body ด้วย ถ้าเราจะแบ่งคนเป็นเส้นตรงกับเส้นโค้ง คนนี้เป็นเส้นตรงมาก ๆ ใน body ในวิธธีคิดของเขาซึ่งมาเรียนสุดยอดจะโค้งเลย ยากที่จะทำงานกับ instinct กับความคิดของเขาที่มันเป็นทหาร ต้องลดทอนความรู้เท่าทันความรู้สึกลงไปเยอะเพื่อที่จะเป็นเขา แล้วก็ในเรื่อง body ด้วย การออกกำลังกายต่าง ๆ ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ชอบแต่ก็ต้องทำเพื่อที่จะเป็นเขาได้ 

ชนัตถ์ - ครูส้มโอ (อ.ดร.ธัญญรัตน์ ประดิษฐ์แท่น) เคยศึกษาเรื่อง PSYCHOPHYSICAL ดูจบแล้วทำงานกับครูยังไงบ้างครับ (PSYCHOPHYSICAL[1] - การทำงานแบบองค์รวม เน้นความเชื่อมโยงระหว่างแง่มุมทางจิตวิทยา ความคิด การวิเคราะห์ อารมณ์ความรู้สึก จินตนาการ และแง่มุมทางกายภาพคือร่างกาย การเคลื่อนไหว ประสาทสัมผัส ฯลฯ)

อ.ดร.ธัญญรัตน์ ประดิษฐ์แท่น - เรื่องนี้ทำงานกับครูมากค่ะ เคยดูงานแสดงเคยทำงานกับมาเรียนด้วย รู้สึกว่าผลงานชิ้นนี้เป็นหนึ่งใน masterpiece ของมาเรียน นักแสดงได้ใช้ทั้งหมดที่เขามี ตั้งแต่เส้นผมถึงปลายเท้าให้กับการถ่ายทอดตัวละครแล้ว เรื่อง Stage Direction ที่เคยเขียนมากับบทที่พี่จาเล่า รู้สึกว่ามาเรียนฉลาดมากในการเลือก approach อันนี้มา ก็คงใช้ประสบการณ์การแสดงของเขามาทั้งหมดแหละ แต่ในงานชิ้นนี้เลือกใช้ชี่กงเป็นหลัก ทำให้เห็นว่ามันมี quality ที่นักบินต้องการ แล้วมาเรียนพยายามใช้ในการ approach เข้าสู่ตัวละคร องค์ประกอบศิลป์ทั้งหมดรู้สึกว่ามันช่วยส่งเสริมทำให้เราเห็นภาพตาม ต้องบอกเลยว่า 1 ชั่วโมง 40 นาที กับความรับผิดชอบของนักแสดงมันเยอะมาก ชอบ beat แต่ละ beat ที่เปลี่ยนไปในเรื่อง แอบถามพี่จาว่าในบทมีระบุไว้ไหมพี่จาบอกไม่มีต้องหาเองกับนักแสดง นั่นยิ่งทำให้รู้สึกว่านักแสดงรับภาระหนักมาก ในการที่ต้องทำความเข้าใจเรื่อง เข้าใจตัวละคร เข้าใจทุกอย่าง คำตอบง่าย ๆ สามารถถึงอยู่แล้วค่ะ ถึง รู้สึกร่วม เข้าใจ แล้วก็เห็นชิ้นงานด้วยในฐานะคนดูที่เรามาช่วยดูแลด้วยค่ะ

 

 

ชนัตถ์ - เรื่อง quality ที่ใช้ในการสร้างตัวละคร ช่วยอธิบายหน่อยครับ

มาเรียน - ในแง่ตัวละครที่ลงมาใน psychophysicl มาเรียนใช้ ไมเคิล เชคอฟ (Michael Chekhov 1891-1955 นักแสดง ผู้กำกับ และนักการศึกษา หลักการที่ชี้นำเทคนิคของเขา ได้แก่ การเปลี่ยนแปลง การทำงานจากแรงกระตุ้น ความรู้สึกเป็นประตูสู่อารมณ์ และท่าทางทั้งภายในและภายนอก)[2] ถ้าเป็นในแง่การสร้างตัวละครส่วนใหญ่จะ balance เรื่อง ‘แรง’ เพราะรู้สึกว่าเราค่อนข้างจะ work กับมันแล้วมัน work กับเราค่ะ ถ้าเป็นของ Chekhov มันมีหลายจังหวะมากที่ฉากมันไม่มีอะไรแต่เราเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเห็นในจอ Drone น่ะค่ะ เห็นศพเห็นอะไรเยอะมากที่ัมันไม่มีแต่เราต้องเห็น ต้องใช้ Image Work (จินตภาพ) มาช่วยเยอะมาก ต้องขอบคุณครูหนุ่มมากค่ะไป workshop กับครูหนุ่มมา (กฤษณะ พันธุ์เพ็ง) พยายามจะหาภาพหาอะไรที่มันทำงานกับตัวเอง บางช่วงมาเรียนไม่สามารถแทนค่าตรงไปตรงมาได้ เพราะเราไม่เคยเห็นแบบเขา หรือว่าให้ดูหนังหนังก็ไม่ได้ให้ภาพกับเราได้ขนาดนั้น ต้องมาตีความว่าภาพนี้สำหรับตัวละครมันคืออะไรนะ แล้วค่อยมาแทนค่ากับตัวเองว่า ถ้าเราไปเห็นภาพแบบนั้นแล้วให้รู้สึกเท่าเขา สำหรับเรามันคือภาพอะไร แล้วค่อยเอาภาพนั้นมา work กับเราอีกทีค่ะ 

ชนัตถ์ - มาเรียนลองยกตัวอย่าง Image Work ได้ไหมว่าใช้ภาพอะไรในช่วงละคร

มาเรียน - มาเรียนกลัวงูมาก แต่กลัวในระดับที่เลือกใช้ทำงานได้นะคะ ตรงนี้ค่ะมีอยู่หลายช่วงที่หันขึ้นไปเห็นแล้วรู้สึกเหมือนโดนจ้องมอง (ชี้ไปที่ไฟดวงขนาดใหญ่บนเพดานเวทีที่ถูกออกแบบพิเศษให้เป็นส่วนหนึ่งของฉากใช้ประกอบการแสดง) ถ้ามองปกติไม่ได้รู้สึกอะไรเลย แต่ว่ามาเรียนแทนค่าเป็นภาพงู ตอนเด็ก ๆ กลัว Anaconda ถ้าเป็นงูสีดำตัวใหญ่มาก ๆ เลื้อยอยู่ข้างบน แล้วเราลองทำงานกับมันดูว่า มันเข้าใกล้ มันมอง พอเห็นแล้วส่งผลยังไงกับ body เราบ้าง แต่ก็ต้อง spare เผื่อไว้หลาย ๆ อย่าง  ตอนแรกก็ งู ๆ ๆ สักพักเริ่มเอาไม่อยู่แล้ว พอเริ่มชินแล้วไงงูก็งูกลายเป็นตัวน่ารักไปแล้ว ต้องเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นด้วยบางทีมันจะมาในรูปแบบของ atmosphere ความหนาว ความเย็น บางครั้งมันเหมือนกับว่าเราคิดไว้แล้วว่าช่วงนี้เราจะใช้อันนี้ แค่เสี้ยวเดียวอยู่บนเวทีอันนี้ไม่ work เปิด catalog ใหม่ เอาอะไรมาดีวันนี้ไปต่อ

ชนัตถ์ - ตรงนี้พี่จาได้ช่วยโยนโจทย์เข้าไปไหมครับ (ผู้ชมขำครืน)

จารุนันท์ - เรารู้สึกว่ามันเป็นแค่ thesis ของเขาน่ะ แล้ว  thesis กำลังทำงานเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นควรเป็นงานของเขาสิ่งที่เราทำมันแค่ … ซ้อมครั้งแรกเราก็ไม่ได้เตรียมอะไรมาเท่าไหร่ แล้วมาเรียนพูดถึงอะไรซักอย่างเกี่ยวกับ Chekhov นี่แหละ เราก็เออเท่าที่อ่านเตรียมมามันเป็น … ทำ archetype ตัวละครตัวนี้ให้หน่อย เขาก็ทำแล้วก็ลอง แล้วก็ทำ blocking ไปเรื่อย ๆ

มาเรียน - มีอยู่วันหนึ่งพี่จาให้หนูทำ archetype ไปเรื่อย ๆ 4 ช่อง ทำแบบเส้นตรงตามตัวละครทำไปเยอะมากให้จำ

 

 

ชนัตถ์ - ครูหนุ่มช่วยอธิบาย key word ของศาสตร์การแสดงให้หน่อยได้ไหมครับ

ผศ.ดร. กฤษณะ พันธุ์เพ็ง - ไม่ได้รู้การทำงานของมาเรียนมาก่อนหน้านี้นะครับ จากประสบการณ์ที่เคยสอนเคย work shop ร่วมกัน แล้วก็การแสดงในวันนี้ อยากย้อนกลับไปตอนที่ 1 สิ่งแรกที่เห็นคือ Image Work หรือการแสดงกับภาพ แต่จะต่างจาก Imagination ตรงที่ว่า เป็นภาพที่มีรายละเอียดแล้วเราจะต้องมีความสามารถที่จะทำงานอยู่กับภาพ ๆ นั้นอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาหนึ่ง ไม่ใช่ Imagination ที่ฟุ้ง ๆ ผ่านมาผ่านไป เลยมีคำว่า  Image Work ซึ่งเป็นคำเฉพาะ

‘ Psychophysical ’  คำนี้เป็นร่มใหญ่มาก ๆ มาจากคำว่า psycho ในเชิงจิตวิทยากับ physical ร่างกาย โดยรวมคือการฝึกนักแสดงการทำงานกับบท การสร้างสรรค์ผลงาน ที่ไม่ได้เทน้ำหนักไปที่ฝั่งไดฝั่งหนึ่ง ไม่ได้จัดอันดับว่าจะต้องทำงานในเชิงจิตวิทยาก่อนแล้วตามด้วยร่างกาย หรือร่างกายก่อนแล้วตามด้วยจิตวิทยา จะมีคนที่ใช้คำนี้ครั้งแรกคือ สตานิสลาฟสกี้ approach ใช้ทำงานกับบทในช่วงท้ายชีวิตของเขา (Konstantin Stanislavski [4] นักแสดง ผู้กำกับ และครูสอนการแสดงชาวรัสเซียผู้ คิดค้น ‘วิธีการแสดงอารมณ์’ Grammar of Acting ซึ่งมุ่งเป้าไปที่การสร้างอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์บทละครของนักเขียนบทละครด้วย)

ช่วงแรกในชีวิตของเขาให้ความสำคัญกับเรื่องจิตวิทยามาก่อน มีเทคนิคเช่น Emotion Memory ที่พึ่งพาความทรงจำในอดีตเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก หรือ Sense Memory (Stanislavski’s ‘system’ [5] กำหนดให้ผู้แสดงใช้สิ่งต่าง ๆ เช่น การระลึกถึงประสบการณ์และอารมณ์ในอดีต) ในช่วงท้ายเขามองเห็นว่าจริง ๆ แล้วมันไม่ค่อย work สำหรับนักแสดงเขา มันเกิดการแพลนไว้ล่วงหน้า มันก็เลยไม่มีความสด ความเป็นธรรมชาติ ก็เลยคิดค้นสองแบบฝึกหัดหลัก ๆ ขึ้นมาชื่อว่า Method Physical Action แทนที่จะอ่านบทวิเคราะห์บทเป็นระยะเวลานานก่อนจะเริ่มต้นลุกขึ้นมาทำงาน (แสดง ซ้อม) แต่ให้นักแสดงอ่านบทก่อนแล้วลิสต์แอคชันในฉากออกมา แล้วลอง impovise ทำแอคชันทั้งหมด แล้วอารมณ์ความรู้สึกจะตามมาเอง

 

Diagram_of_Stanislavski's_'system' [6]  
By DionysosProteus - Own work

 

‘Active Analysis’ เป็นการ Improvise โดยทำความเข้าใจกับบทคร่าว ๆ ก่อน แต่ไม่ต้องจำบท สิ่งที่ตรงข้ามกับ approach นี้ก็คือ เรานั่งอ่านบทแล้ววิเคราะห์บทเป็นระยะเวลานานก่อนจะลุกขึ้นมาซ้อม แล้วก็ซ้อมพูดบทตามที่บทบอกมา Psychophysical ในแบบ Stanislavski ก็คือ อ่านเพื่อทำความเข้าใจบทแบบคร่าว ๆ แล้วทำเลย แล้วปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ มันออกมาเอง

มี Chekhov ที่เป็นลูกศิษย์ของ Stanislavski บอกว่าให้ลุกขึ้นมาทำท่าก่อน ทำท่าทำท่าแล้วข้างในมันก็จะออกมา เพียงแต่ข้อโต้แย้งก็คือว่า ก่อนที่จะทำท่ามันต้องผ่านการวิเคราะห์ก่อน คิดก่อนว่า desire ความต้องการของตัวละครคืออะไร  ดังนั้นมันต้องมีการทำงานเชิงจิตวิทยาก่อน เป็นการทำงานในระดับเบื้องต้น ก่อนที่จะคิดภาพออกมาได้ เขาก็เลยใช้คำว่า Psychophysical จะอยู่ในพาร์ทที่เป็นการเทรนนักแสดงด้วย มีอีกหลายคนเช่น Phillip Zarrilli เกี่ยวข้องกับการที่มาเรียนเอาชี่กงมาใช้ในการเทรนด้วย

การเทรนในเชิง Psychophysical มีเป้าหมายว่าเราจะต้องตีความบทให้ได้ พูดถึงว่าในระดับทักษะพื้นฐานของนักแสดงมันคือการอยู่กับปัจจุบันให้ได้ ความพร้อมที่จะ respon ความพร้อมที่จะมี awareness สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มันมีหลากหลายชั้น ภายใน, รอบ ๆ ตัว, ผู้แสดง, ภายนอกพื้นที่, คนดู ฯลฯ ซึ่งมันเป็นศาสตร์พื้นฐานที่ิื Phillip Zarrilli บอกว่านักแสดงในปัจจุบันจำเป็นจะต้องมี เพราะนักแสดงในปัจจุบันไม่ได้ทำการโปรโมท Naturalism แบบนี้ (แนวทางการแสดงแบบจิต-กาย ของ ฟิลลิป ซาริลลี) [7]

 

 

ชนัตถ์ - ทั้งหมดนี้ทำให้มาเรียนใช้มือซ้ายของตัวเองมากขึ้น ซึ่งกายกับจิตจริง ๆไม่ได้แยก? มาเรียนไปฝึกชี่กงด้วย หลายคนอาจเคยได้ยิน แต่ไม่รู้ว่าชี่กงฝึกอย่างไร แล้วมาเรียนเอามาใช้กับ acting ยังไงพี่ก็สงสัย ขอรบกวนอาจารย์ปูพื้นฐานครับ

ถนอมวงศ์ มังคลรังษี - ชี่กง เป็นภาษาจีนกลางนะคะ ชี่ แปลว่าพลังในร่างกายของเราซึ่งทุก ๆ คนมีพลังภายในร่างกายอยู่แล้ว กง หมายถึงการฝึกพลังภายใน ทุกสิ่งในจักรวาลล้วนมีพลังในตัวเองทั้งสิ้น แล้วพลังนี้ก็มีลักษณะที่จะต้องโคจรอุดตันไม่ได้ต้อง flow โคจรตามวงรอบ เวลาที่เราอายุยังน้อยพลังนี้สมดุลก็โคจรดีเราก็ไม่เจ็บป่วยอะไร พอพลังเริ่มเสื่อมไม่สมดุลการโคจรก็จะไม่ทะลุทะลวงเกิดการอุดตัน ตรงนี้นำมาสู่การไม่ทะลุทะลวง อุดตัน ติดขัด ทำให้เกิดเซลปลายทางที่ชี่ต้องไปหล่อเลี้ยง นอกสุดรอบผิวหนัง ข้างในก็อวัยวะภายใน เมื่อไม่ได้รับพลังไปหล่อเลี้ยงนานเข้าก็จะเริ่มเสื่อม เปรียบเสมือนต้นไม้ถ้าเราไม่รดน้ำวันสองวันก็เหี่ยวเฉา บางต้นอาจตาย แล้วแต่ลักษณะต้นไม้ ลักษณะของเซลภายในก็เหมือนกัน

ดังนั้นประโยชน์ของวิชาชี่กงจึงบำบัดโรคได้ เพราะชี่กงเป็นหนึ่งในแพทย์แผนจีนที่มีทั้งหมด 4 แขนง ได้แก่  ฝังเข็ม ปรุงยา(ยาจีน) นวดกดจุด แล้วก็ชี่กง ที่คงเป็นหลักแก่นของวิชาแพทย์แผนจีนด้วยซ้ำไป ในวิชาชี่กงมองว่าการเกิดโรคจะภายนอกภายในก็แล้วแต่เจาะจงที่ภายในซึ่งต้องโคจรตามวงรอบ ดังนั้นเป้าหมายของการฝึกชี่กงก็เพื่อให้พลังภายในกลับมาโคจรตามรอบ แล้วฝึกอย่างไร มาถึงสิ่งที่น้องมาเรียนฉลาดมาก เก่งมาก เข้าถึงวิชา ไปเรียนแล้วถึงรู้ว่าหัวใจของการฝึกชี่กงคือการฝึกจิต  ถ้าใช้จิตในการฝึกอย่างถูกต้องให้ผลสำเร็จถึง 80 เปอร์เซ็นต์  มีเป็นพัน ๆ วิธีเลยนะ  ท่า ที่ฝึกถูกต้องให้ผลสำเร็จเพียง 10 เปอร์เซ็นต์, หายใจ ถูกต้องให้ผลสำเร็จในการฝึก 10 เปอร์เซ็นต์, แต่การใช้จิตขณะฝึกสำคัญที่สุด การกำหนดจิต มี 2 วิธีคือ การกำหนดจิต และ การสั่งจิต

การกำหนดจิต คือการรู้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเรา ถ้าพูดถึงชี่กงคือการฝึกพลังจิต การที่เราจะทำให้พลังภายในของเราซึ่งมันอาจโคจรไม่สะดวกหรือ ‘พร่องพลัง’ (จากพลังธรรมชาติ) ดังนั้นเวลาที่เรากำหนดจิตรับรู้เอาจากพลังธรรมชาติต้องเห็นเป็นภาพ เมื่อเห็นเป็นภาพแล้วก็ต้องเห็นพลังภายในของตัวเองด้วยว่ามันต้องโคจรนะ พอภาพที่เราเห็นนิ่งแล้วไม่พอต้องสั่งจิตด้วย โดยใช้ลมหายใจเป็นเครื่องมือดูดซับพลังเข้ามาสู่ร่างกายเรา ถ้าเรากำลังฝึกท่าหายใจเข้ารับพลัง หายใจออกเอาไปเก็บ หรือเรากำลังฝึกหายใจเข้ารับพลัง หายใจออกขับโรคออกจากร่างกาย ภาพที่เป็นโรค ภาพการขับพลัง เป็นการกระตุ้นให้ชี่ในร่างกายเรากลับมาโคจร

เปรียบเหมือนถ้ามีน้ำเต็มแก้วอยู่บนโต๊ะ เราอยากให้น้ำในแก้วเคลื่อนไหวเราต้องทำยังไงคะ (หันไปถามครูส้มโอนั่งข้าง ๆ ) เขย่าใช่ไหมคะ เปรียบไปก็เหมือนเราเอาตัวเราไปให้หมอนวดเขานวด แต่ชี่กงเราไม่ทำอย่างนั้น ชี่กงใช้วิธีเอาน้ำเทลงไปในน้ำที่เต็มค่ะ น้ำเคลื่อนไหวใช่ไหมคะ ชี่กงใช้วิธีนั้น คือรับพลังจากธรรมชาติเข้าสู่ร่างกายด้วยวิธีใช้จิต ขณะฝึกจิตต้องเคียงคู่กายทุกลมหายใจ เวลาน้องมาเรียนไปฝึกก็ต้องฝึกว่า 8 ท่า จิตอยู่กับกายตลอดทั้ง 8 ท่าไหม ถ้าวันนี้เราฝึกได้ 80 เปอร์เซ็นต์ วันหน้าก็ต้องให้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นภาพที่เห็นจากพลังธรรมชาติ พลังจากจักรวาล พลังจากพื้นดิน พลังจากรอบตัว เราก็สั่งจากจิตเข้ามา นี่คือหัวใจของการฝึกชี่กง น้องมาเรียนฉลาดมากที่รู้ว่าถ้าเราใช้จิตสร้างภาพ รับรู้ชีวิตตัวละครเป็นภาพ รับรู้สถานการณ์ของตัวละครเป็นภาพ แน่นอนก็ต้องเตรียมความพร้อมร่างกายในหลาย ๆ เทคนิค แล้วก็สื่อมันออกมา นี่ก็คือวิธีการฝึกชี่กงค่ะ

แต่ว่าในเรื่องของประโยชน์ เป้าหมาย ถ้าสนใจก็ไปเรียนที่ศูนย์ชี่กงที่ถนนทรัพย์ใกล้  ๆ นี่เอง ส่วนศูนย์ฝึกสมองเป็นโรงพยาบาลเกี่ยวกับสมองเสื่อมถ้าเป็นโรค อัลไซเมอร์ (Alzheimer's disease) ถ้าเริ่มเป็นหรือเวชศาสตร์ป้องกันก็ไปที่ชั้น 7 ให้คุณหมอตรวจก่อน ถ้าไม่เป็นไรเลยก็บอกว่าขอมาเวชศาสตร์ป้องกัน ส่วนหมออาจารย์หยางไปได้ตลอดเลยนะคะ (ที่ตึกสามย่านมิตรทาวน์) ชี่กงเป็นศษสตร์แห่งการชะลอความ เสื่อมถ้าพิธีกรถามอายุอาจารย์จะเข้าใจค่ะ (เรียกเสียงฮือฮากับคำตอบตัวเลข 68 ที่กำลังจะย่าง 69 ในอีก 1 เดือน แต่ใบหน้าดูอ่อนกว่าอายุมากนัก) การฝึกชะลอความเสื่อมเราต้องออกกำลังกายด้วย อาจารย์เล่นกอล์ฟสัปดาห์ละ 2-3 วันนะ ตีปิงปองทุกวันพุธ เราต้องชะลอความเสื่อมด้วยร่างกายที่แข็งแรงแบบนี้ค่ะ

 

 

ชนัตถ์ - ฟังดูแล้วสอดคล้องกับความเป็น actor หลายอย่างมาก สมาธิ การกำหนดจิต ในบทที่ 2 เคยมีคนทำชี่กงกับ acting ไหมครับมาเรียน ทำไมถึงใช้ชี่กง

มาเรียน - แรกศึกษาคนที่มาทางสาย Psychophysical หลายคนมาเรียนศาสตร์สายตะวันออกเพิ่มเติมที่มันจะ aware เรื่องร่างกาย เรื่องจิตมากขึ้น มาเรียนก็เลยเริ่มเลือกจะฝึกอะไรดี เริ่มหาข้อมูลว่ามีอะไรบ้างก็เจอชี่กงเห็นว่าเป็นหลักการใช้เรื่องจิต เรื่องลมหายใจ ร่างกาย ก็เอ๊ะ! ทำไมคุ้นจังเหมือนเวลาเรียน acting เลย แปลกมากตอนมาเรียนเริ่มไปเรียนชี่กง ตอนที่อยู่ในห้องมันคล้ายเวลาเรา warm ก่อน acting มาก ๆ เลย จะมี key world หลาย ๆ อย่างมากที่ทำให้… “ ตอนนี้เราอยู่ห้องไหนกันแน่นะ ” อาจารย์จะบอก เห็นภาพ กำหนดจิตนะ พลังงานของเราไปที่ไหน อยู่ตรงไหนตอนนี้ มีคำที่อาจารย์พูดว่า “เห็นเป็นสีก็ได้ , เห็นเป็นแสงก็ได้” เหมือนตอนที่เข้า work shop กับครูหนุ่มมากค่ะ

กฤษณะ - อีกเรื่องที่เป็น quality คือเห็นการใช้ energy ของมาเรียนตอนแสดง เห็นการไหลเวียนของ energy อยู่ตลอดเวลา ที่พูดถึงการ train ใช่ไหม  Phillip Zarrilli เขาใช้  ไท่ จี๋ ขออาจารย์ช่วยขยายความหน่อยได้ไหมครับ

ถนอมวงศ์ - ภาษาจีนเรียก ไท่จี๋ฉวน เป็นการเคลื่อนไหว  คือมวยประเภทหนึ่ง ซึ่งจีนมีอยู่เยอะเลย แต่ถ้าไม่ได้ใช้จิตขณะฝึกก็เป็นแค่มวย ถ้าเราเอา ไท้เก๊ก  (Tai Chi) ที่ฝึกกันอยู่ทั่วไป เห็นเป็นภาพมีจินตนาการ ไม่เห็นว่า ‘สร้าง’ นั่นแหละค่ะคือการเปิดสมองขวาเรียบร้อยแล้ว (คนเราจิตเร็วมาก สร้างหลอกตัวเองว่ามีพลัง มีแสง แต่ ‘ลืมสร้าง’ ขณะที่เรายังเคลื่อนไหวอยู่) ฝึกชี่กงคือการฝึกเปิดสมองขวาด้วย

ชนัตถ์ - เรื่องนี้นำมาใช้ในการแสดงเป็นพิเศษช่วงไหนเหรอครับ

มาเรียน - ในช่วงแรกค่ะ คือมาเรียนจะแยกกันการทำงานกันเลย ชี่กงเหมือนเป็นการฝึกอุปกรณ์ของนักแสดง (เครื่องมือ) ส่วน  Psychophysical มาเรียนจะพา  Chekhov & Laban มาในช่วงของการทำงานกับบท ตอนแรกแยกมันออกจากกันเลยค่ะ แต่สุดท้ายมันแยกไม่ได้ขนาดนั้น เพราะยังต้องทำต่อไปเรื่อย ๆ เพราะมันเป็นมือซ้ายน่ะค่ะ

 

 

ผู้ชม 1 - สวัสดีครับ อยากถามว่าอาชีพทหารน่าจะห่างไกลกับประสบการณ์นักแสดงมาก ๆ  อย่างนี้แล้วมีการไป experience เกี่ยวกับทหารยังไงบ้างครับ

มาเรียน - เรื่องการฝึกเป็นทหารใช่ไหมคะ ขอเติมว่าเป็นทหารอากาศนะคะ เราเลือกเรื่องนี้ก่อนวันเด็ก พอวันเด็ก 11 มกราคม 2568 มาเรียนก็ไปแย่งเด็ก ๆ ดูโชว์เครื่องบิน อยู่แถวหน้าเลยแย่งเด็กขึ้นเครื่องบิน ไปดูไปคุยกับนักบินว่ารู้สึกยังไงเวลาอยู่ข้างบน พี่เขาบอก “ ไม่รู้สึกอะไรหรอกแรง g มันกดจนคิดอะไรไม่ทัน ” (แรง g คือหน่วยวัดความเร่งที่เกิดจากแรงโน้มถ่วง โดยปกติแล้วจะแสดงเป็นหน่วยของแรงโน้มถ่วงมาตรฐาน g ซึ่งก็คือแรงที่กระทำต่อวัตถุหนึ่ง ๆ เมื่อเทียบกับแรงโน้มถ่วงของโลก) เห็นอย่างนี้เรื่อง body มาเรียนถึงพยายามวิดพื้นแล้วก็ planking

จังหวะโชคดีมากที่ทางทหารอากาศก็มีการจัดงานพอดี ดีมากเลยหลายคนน่าจะเห็นข่าวนักบินหญิงที่บิน F-35  [9 เมษายน วันกองทัพไทย ทหารอากาศ จัดงาน “ วันครบรอบ 88 ปี กองทัพอากาศ ” ภายใต้แนวคิด “ อธิปไตยเหนือน่านฟ้า ผ่านความร่วมมืออันแข็งแกร่ง ” AIR SOVEREIGNTY THROUGH UNBEATABLE COLLABORATION” )  นาวาอากาศตรีหญิง เมลานี คลูสเนอร์ Melanie Kluesner จากกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา เธอเป็นผู้บังคับบัญชาของ ทีมสาธิตการบิน F-35 (F-35 Demonstration Team) ได้แสดงการบินด้วยเครื่องบินขับไล่ F-35 ในงานฉลอง 88 ปี กองทัพอากาศไทย ดอนเมือง เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2568]

งานได้เห็นภาพความเป็นทหารมาก ๆ มันให้ sense เวลาขับเครื่องบิน วันนั้นตอนเดินกลับมาเรียนคุยกับพี่จาว่า “พี่จาหนูว่าคนพวกนี้เหมือนไม่ใช่คนเลย” มีครั้งหนึ่งมาเรียนยืนดูแล้วรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ค่ะ เขาขึ้นไปอยู่บนนั้นได้ยังไง ต้องทนแรงจิกตีขนาดไหน ที่ต้องสู้กับแรงโน้มถ่วงของโลกขนาดนั้น

เพิ่มเติมในเรื่องของการทำงานกับทหาร มาเรียนพยายามจะดูหนังเกี่ยวกับทหารเยอะ ๆ เพื่อจะเห็นภาพให้มี collection เพราะเราไม่สามารถจะไปทะเลทรายได้จริง ๆ สิ่งที่รู้สึกว่าต้อง work เพิ่มเยอะ ๆ เลยคือความเป็นทหาร ตีความตามความเข้าใจของมาเรียน ทหารคือการรับคำสั่ง คือการลดความรู้สึกบางอย่างลง คือการตัดสินใจเร็วทำเลย มีอยู่อย่างที่มาเรียนทำมากคือพยายามจะฟังพวก podcast ที่เกี่ยวกับนักบินรบที่เขาว่าเขา train ยังไง มันคือการจับนักบินทีละคนขึ้นไปยืนตรงกลางห้องจำลองสถานการณ์ให้ฟัง เป็นสถานการณ์ที่ตัดสินใจยาก คุณกำลังจะเอาเครื่องลงนำ้มันกำลังจะหมด เจอว่ามีคู่ต่อสู้อยู่ตรงหน้า แล้วถามว่าถ้าเจอแบบนี้จะตัดสินใจยังไง อะไรประมาณนี้ค่ะ เหมือนเป็น challenge ของนักบิน เหมือนต้องพยายามทำความเข้าใจวิธีคิดเขาน่ะค่ะ มองภาพให้ชัด ต้องตัดสินใจเร็ว เด็ดขาด

 

 

ผู้ชม 2 - ไม่ได้เรียนการแสดงนะคะแต่ทำงานในแวดวงที่เกี่ยวข้อง มีประโยคหนึ่งที่ผู้กำกับมักจะบอกนักแสดงว่า “ ให้ทำเหมือนรู้สึกจริง ๆ แล้วก็ทำมันออกมา แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ให้นึกถึงอะไรก็ได้ แล้วค่อยดึงมันกลับมาให้เข้ากับเรื่อง ” เขาบอกว่าไม่อยากใช้วิธีนี้เพราะมันไม่ใช่ เลยอยากถามที่มาเรียนบอกว่านึกเรื่องงูมาให้กลัว หรือเรื่องอื่นมาทำให้กลัวมันเป็นเพราะแบบนี้หรือเปล่าที่ทำให้เราเลยต้องเปลี่ยนเรื่องกลัวไปเรื่อย ๆ เพราะมันไม่ใช่ อะไรอย่างนี้ค่ะ วิธีนี้มันใช้กับการแสดงได้จริงใช่ไหม หรือว่าข้อดีข้อเสียของมันเป็นยังไง หรือว่ารู้สึกกับเรื่องนั้นจริง ๆ หรือว่าในเมื่อไม่ได้ก็เลือกเรื่องอื่นให้เข้ากับเรื่องมาช่วย แล้ววิธีนี้คือใช่-ช่วยให้อินหรือเปล่าคะ

กฤษณะ - ตัวอย่างของมาเรียนนะครับ อย่างภาพที่เลือกมาก็ไม่ใช่ภาพ random มันมีความเกี่ยวข้องกับเรื่อง เกี่ยวข้องกับตัวละคร เกี่ยวข้องกับความรู้สึกภายในเชิงจิตวิทยาของตัวละครด้วย ดังนั้นไม่ใช่ภาพอะไรก็ได้ที่นักแสดงคิดขึ้นมา จะ work ไหมนี่แล้วแต่ธรรมชาติของคน แล้วแต่ศักยภาพของคนด้วย ผมสอนเทคนิคการใช้จินตนาการมาเยอะมาก ด้วย assumption หรือการ assume ว่าทุกคนมีความสามารถในการเข้าถึงภาพได้เท่าเทียมกัน หรือว่าสามารถต่อการพัฒนาทักษะในการทำงานกับจินตนาการได้เท่าเทียมกัน  เพิ่งมารู้ว่าจริง ๆ แล้วไม่ใช่ มีบางคนที่เรียกว่า fantasia คือไม่สามารถที่จะใช้จินตนาการได้เลย เวลาเราบอกให้นึกถึงภาพแอพเปิลเขาไม่สามารถสร้างภาพแอพเปิลเข้ามาในหัวได้เลย จะเป็นภาพสีดำอย่างเดียว แล้วทักษะมันเป็น spectrum ด้วย (การกระจายของพลังงานหรือคุณสมบัติของคลื่น) ไม่ใช่ทำได้หรือทำไม่ได้   มันมีอยู่ตรงกลางด้วย เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละคน ความชอบ อื่น ๆ ฯลฯ ถ้าจะบอกว่าเป็น Outside in ก็คงไม่ใช่เพราะว่าเริ่มจากการที่เราต้องคิดก่อน, ต้อง befor, ต้องจินตนาการ, ต้องใช้สมองก่อนที่ร่างกายจะถูกสั่งให้ทำตาม หรือสมองคิดปุ๊บร่างกายไปเลยก็ได้เหมือนกัน ถึงเรียกว่าเป็น pyschophysical ที่มันเกิดขึ้นพร้อมกันมีความเชื่อมโยงระหว่างจิตและกายครับ

ชนัตถ์ - ในเรื่องมีประสบการณ์หลายอย่างที่สุดโต่งมาก เอาโดรนไปยิงคนแบบนี้ หาคนที่มีระสบการณ์อย่างนี้ยาก พอมาเรียนเห็นเป็นงูแล้วเก็บเกี่ยวความน่ากลัวของงูมาสนับสนุนตัวละครยังไง มันเชื่อมกันยังไง เอามาเทียบเทียงเพื่อให้เข้าถึงสถานการณ์นั้น

มาเรียน - มันเชื่อมมายังไง มาเรียนใช้งูตอนที่ … เคยเห็นพวกอินเดียกับงูใช่ไหมคะ มันเป็นความรู้สึกกลัวไม่อยากเข้าใกล้ เพราะในเรื่องจะพูดว่า “ เขาเข้ามา ๆ ๆ เขาค่อย ๆ เข้ามา ” ในหัวมันเลยเห็นแล้วว่างูสีดำตัวเบ้อเริ่มเลยค่อย ๆ เข้ามา ๆ ๆ มันเป็น sense ของ สิ่งที่เรากลัวค่อย ๆ เข้ามา ไม่ใช่อยู่ตรงหน้า แต่มันขึ้นมาข้างบน ช่วงนั้นตัวละครกำลังลุ้นมาก ๆ กับการคุมเกม เหมือนสิ่งที่เรากลัวมาก ๆ กำลังมองเราอยู่

 

 

ผู้ชม 3 - ในความยาวของเรื่อง 1 ชั่วโมง 40 นาที มีช่วงไหนในเรื่องที่รู้สึกว่ามัน challenge เรา หรือรู้สึกกับมันมากเป็นพิเศษเป็นสิ่งที่ต้องกลับไปทำการบ้าน

มาเรียน - ช่วงที่ยากที่สุดสำหรับมาเรียนเป็นช่วงท้ายเรื่องค่ะ ตั้งแต่ตอนที่เราขึ้นรถขับไป เป็นวันสุดท้ายที่เรารู้ว่ามันจะเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น ยากทั้งในแง่การตีความตอนแรกด้วย มาเรียนอ่านตอนแรก เอ๊ะ!! แล้วลูกมาได้ยังไง ลูกมาทำอะไรตรงนี้ ต้องทำความเข้าใจตรงนั้นก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้นนะ อะไรมันจริงสำหรับตัวละครตอนนี้ แล้วมันคืออะไร เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นจุด peak ของเรื่องเลยก็ได้ ในฐานะนักแสดงมันเป็นจุดที่เราเหนื่อยที่สุดแล้วด้วย ถ้าเห็น…มันเป็นจุดที่ไม่ได้เลี้ยงอะไรยาวเลยฉึบฉับ ๆ เห็นปุ๊บ โป๊ะ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก moment นั้นยากเพราะต้องเลี้ยงสมาธิให้ดีมาก ๆ เพราะอยู่คนเดียวไม่มีจังหวะ “ ฉันรอเธอส่งสัญญาณกลับมา ฉันได้จากเธอแล้วฉันก็จะรอดไป ” ไม่มีค่ะ

เราคนเดียวเลยที่เชื่อและเห็นทุกอย่างตรงนี้จริง ๆ ไม่มีจังหวะให้เทคขนาดนั้น ภาพในหัวต้องแม่นมากเลยว่าใช้ภาพอะไร แล้วไม่ใช่แต่ละรอบภาพนั้นจะ work เสมอไป ขณะเล่นอยู่พอรู้แล้วว่าภาพไม่เวิร์คต้องรีบเปลี่ยนเลยค่ะ มันไม่ได้ถ้ายังดื้อจะไปต่อแบบนี้ พอได้ภาพใหม่มาแล้วก็ยังไม่ใช่ถ้าจมไปกับภาพตัวเองอีก กลับกระโดดเข้ามา track ตัวละคร มันยากตรงที่มาเรียนยังไม่เคยมีโอกาสเป็นแม่ค่ะ ต้องหาอะไรเทียบเคียงประมาณหนึ่งเหมือนกันในการเสียลูกไปตรงนั้น มันหลาย layer ด้วย คือในการทำความเข้าใจตัวละคร … ตัวละครเห็นอะไร เชื่ออะไร ไม่ใช่ลูกเราทำไมเราเห็น แค่จะไปเห็นว่าเป็นลูกเราก็ยากแล้ว ที่จริงมันคืออะไรนะในใจตอนนั้น    

 

 

 

ในความเป็นหญิงแท้จริงมีธรรมชาติที่บางมนุษย์ใช้ ‘ จุดเด่น ’ มาเน้นให้เป็นจุดด้อยในหลายมิติ  โดยเฉพาะสังคมยุคใหม่ที่เทคโนโลยีอยู่เหนือความเป็นคนยิ่งถูกกดดันโดยไม่ตั้งใจ เพราะคนเป็นแม่ต้องอุทิศชีวิตให้ความรับผิดชอบจนผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการหลอนไม่รู้ตัว … ล้วนเป็นผลมาจาก ‘ ภาระของความเป็นหญิง ’ แม้โลกปัจจุบันเปลี่ยนไปไม่ใส่ใจเพศสภาพก็ตาม การแสดงทำให้เกิดคำถามและพยายามหาคำตอบว่า ถ้าจิตไม่ยึดติดกับ ‘ สิ่งสมมุติ ’ และมนุษย์ไม่มีความเป็นอยู่ที่บีบคั้นขนาดนี้ เราจะหลีกหนีจาก ‘ มายาภาพ ’ ได้ไหม… ผู้หญิงเป็นเพศที่แกร่งต่อแรงห้ำหั่นของสารพัดอย่างยังสะเทือนขนาดนี้ กับชีวิตเปราะบางที่จะเติบโตตามมาต้องใช้เวลารักษาแค่ไหนจึงจะพ้นภัยที่เรียกกันว่า ‘ ความเจริญ ’ ในทุก ๆ ด้าน  หรือเป็นงานที่สตรีเพศต้องแบกในฐานะตัวแทนของ ‘ มนุษยชาติ ’

 

Cr.  : ขอบพระคุณข้อมูลข่าวและภาพการแสดงโดย Drama Arts Chula 

 


[1]  "ไซโคฟิสิคัล" (Psychophysical) แนวทางการฝึกนักแสดงร่วมสมัย, act train, สืบค้น 20 เม.ย. 2568 https://youtu.be/qvnJY6eYFcc?si=glOPo_vM82XR-IWQ

[2] ไมเคิล เชคอฟ – สตูดิโอ   Michael Chekhov, https://share.google/sJu46iNChz10NXznb

[3] Konstantin Stanislavsky Russian actor and director,britannica.com, สืบค้น 25 เมษายน 2568  https://www.britannica.com/biography/Konstantin-Stanislavsky

[4] Stanislavsky system, britannica.com ,  สืบค้น 25 เมษายน 2568 https://www.britannica.com/art/Stanislavsky-system,

[7] กฤษณะ พันธุ์เพ็ง, แนวทางการแสดงแบบจิต-กาย ของ ฟิลลิป ซาริลลี,  so02.tci-thaijo.org, สืบค้น 25 เมษายน 2568 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/human_dru/article/view/252261/170768