อ. ดร. ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์:
ก่อนที่เราจะไปฟังเรื่องสงครามและสันติภาพในแง่มุมทางเศรษฐกิจการเมืองและประเด็นอื่น ๆ ขอเรียนเชิญอาจารย์มารค ตามไท เริ่มกล่าวถึงพื้นฐานให้ผู้ฟังและผู้ชมได้ทำความเข้าใจเรื่องสงครามและสันติภาพ มนุษย์เกี่ยวข้องอย่างไรกับเรื่องนี้ เรียนเชิญค่ะ
รศ. ดร. มารค ตามไท:
สวัสดีครับ ผมขอแบ่งประเด็นที่จะกล่าวเป็น 3 เรื่อง ดังนี้
ประเด็นแรก มิติทางเวลาที่ผมกล่าวอาจจะแตกต่างจากท่านอื่น ในเรื่องระเบียบโลกใหม่ ระเบียบโลกใหม่ของผมคือ 30 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ 5-10 ปีที่ผ่านมา และสันติภาพผมหมายถึง สันติภาพที่ยั่งยืน ไม่ใช่สันติภาพที่ผ่านมา ไม่ใช่ช่วง 10 ปีหรือปัจจุบันนี้ ผมอยากเริ่มต้นด้วยการสมมติเราเข้าไปในป่าแล้วมีทางเลือก 2 ทางและเราต้องเลือกไปทางใดทางหนึ่ง ถ้าเราเลือกไปทางซ้าย ซึ่งอาจจะมีอุปสรรค เพื่อการข้ามอุปสรรคเราต้องสร้างสะพาน หรือซ่อมแซมบางอย่างเพื่อผ่านอุปสรรคไปให้ได้ แต่ในอีกมุมหนึ่งบางครั้งอาจจะถึงเวลาที่อาจจะไม่ใช่การซ่อมสิ่งที่เผชิญที่เป็นอุปสรรคเพื่อข้ามอุปสรรค แต่เป็นการเลือกเดินทางเลือกหนึ่ง ทางเลือกใหม่ สำหรับสถานการณ์โลก เราอาจจะเลือกเดินผิดทางเพื่อไปสู่สันติภาพ
วันนี้ผมพยายามถัดร้อยมโนทัศน์จำนวนหนึ่งเข้าด้วยกัน ได้แก่ สันติภาพ ความรุนแรง ความเกลียดชังวัฒนธรรม ความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ประชาธิปไตย Homo Sapiens การปล่อยวาง การอยู่เป็น ความเป็นมนุษย์ด้วยกัน โดยที่หัวข้อหลักคือ Homo Sapiensหัวข้อรองคือวัฒนธรรม ประเด็นแรกที่ผมจะกล่าวคือ เสรีไทยกับวันสันติภาพไทย : งานที่ยังทำไม่เสร็จ ผมเกิดมาท่ามกลางเสรีไทย รูปสัญลักษณ์เสรีไทยผมจำได้เป็นรูปแรกก่อนที่ผมจะสามารถจดจำใบหน้าบิดา มารดาของผมได้เสียอีก เนื่องด้วยบิดาของผมสวมชุดเสรีไทยบ่อยครั้งเนื่องจากบิดาของผมเป็นเสรีไทยสายอเมริกา วันนี้ผมมีความรู้สึกดีใจมากที่ได้พบคุณสุดาและคุณดุษฎี ทั้งสองท่านเลี้ยงผมมาตั้งแต่เล็ก สิ่งนี้สร้างความสับสนให้ผมมาตลอดในเรื่องสันติภาพเนื่องจากสิ่งนี้คือการเอาสงครามไปสร้างสันติภาพ
วันนี้คือวันสันติภาพไทย 16 สิงหาคม สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ผมไม่สามารถหยุดคิดเรื่องนี้ได้เนื่องจากทางบ้านมักมีเพื่อนของบิดาซึ่งท่านเป็นเสรีไทยได้มีการมาพูดคุยเรื่องนี้ในบ้านของผมอยู่บ่อยครั้ง ผมนั่งฟังตั้งแต่เล็กจนโต เมื่อถึงวัยเรียนมหาวิทยาลัย ผมได้รับเสื้อกันหนาวตัวแรกที่เป็นเสื้อกันหนาวสีน้ำเงินที่มีสัญลักษณ์ของเสรีไทยนี้อยู่ที่แขนและผมก็สวมใส่มาตลอด จนถึงปัจจุบันนี้สิ่งของในบ้านของผม อาทิ หมวก เสื้อยืด มักมีสัญลักษณ์เสรีไทยนี้ทั้งหมด ถึงกระนั้นสาเหตุที่ผมมีความคิดว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องที่ย้อนแย้งเนื่องจากผมเติบโตมารู้จักเพื่อน ๆ ของบิดา ผู้ซึ่งเป็นคุณอาทั้งหลาย เริ่มรู้จักความสัมพันธ์ต่าง ๆ อาทิ OSS CIA ครั้นเมื่อผมเคลื่อนไหวต่อต้าน CIA และ CIA เชิญผมไปที่พิพิธพัณฑ์ที่มีมุมเสรีไทย ผมมีความสับสน เนื่องจากไม่สามารถทำความเข้าใจตรงนี้ได้ จนกระทั่งเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผมเริ่มมีความเข้าใจว่างานเราคืออะไร ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาการครบรอบ 60 ปี วันสันติภาพไทย ณ ขณะนั้น ผมกำลังจะเกษียณจากการเป็นอาจารย์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ ขณะนั้น ผมกำลังขึ้นเสวนาและได้รับทราบข่าวเกี่ยวกับ Gulf War
สำหรับผม ผมมีฝ่ายที่สนับสนุนอยู่ภายในใจ และเมื่อผมได้ทราบข่าวว่าฝ่ายที่ผมไม่ได้สนับสนุนนั้นถูกโจมตีหนักและมีผู้เสียชีวิต ผมประหลาดใจกับตนเองที่ผมมีความรู้สึกดีใจกับการสูญเสียที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นผมเริ่มมีความรู้สึกโกรธทุกส่วนที่มีส่วนสร้างความขัดแย้งในสงครามนี้ ส่งผลกระทบให้ผมไม่เป็นมนุษย์ ผมมีความรู้สึกดีใจที่มนุษย์ผู้อื่นเสียชีวิตและซึ่งบุคคลเหล่านั้นที่เสียชีวิตก็มีบทบาทในสังคม อาทิ การเป็นบุตร สามี ภรรยา หลาน ของใครสักคน ถึงกระนั้นผมกลับรู้สึกดี นำมาสู่การที่ผมกล่าวว่าสิ่งนี้คือความท้าทาย หลังจากนั้น 20 ปีผ่านมา
ผมพยายามคลายปมนี้ และตั้งคำถามว่าทำไมการสร้างสันติภาพไม่สามารถทำได้โดยไม่สร้างความรุนแรง สาเหตุที่แท้คืออะไร และผมก็อยู่ในทางด้านนี้และปัจจุบันสอนที่มหาวิทยาลัยพายัพ เพราะฉะนั้นผมรู้สึกว่าคุณูปการของเสรีไทยกับวันสันติภาพไทยคือเป็นการตั้งคำถาม ถ้าสันติภาพที่ยั่งยืนยังไม่สามารถตอบคำถามให้กระจ่างได้ วันนี้เป็นวันที่เตือนเราว่าอย่าลืมหาคำตอบเพราะคำตอบหายาก 20 ปีที่ผ่านมา การเข้าใจเรื่องนี้ยากกว่าเรื่องอื่น ๆ มันเกี่ยวกับทุกวิชา วิชาการ ผมเองก็ยังคลายปมนี้ไม่ได้เช่นกัน
ประการถัดมา เรื่อง หลายบริบทวัฒนธรรมให้ความชอบธรรมกับการใช้ความรุนแรง ผมขอยกตัวอย่างเหตุการณ์ อาทิ กรณีตากใบและโปสเตอร์ทั่วไปที่มีการกล่าวว่าให้หยุดใช้ความรุนแรง ซึ่งไม่นับกรณีที่คนใช้ความรุนแรงสร้างผมประโยชน์ส่วนตัวซึ่งก็มีจำนวนมาก แต่ทุกกรณีเช่นนี้ก็สามารถดึงผู้คนมาเข้าร่วมด้วยได้ โดยอ้างคุณค่าบางอย่างซึ่งอาจจะศักดิ์สิทธิ์สำหรับบางวัฒนธรรมจึงนำไปสู่การอ้างความชอบธรรม ที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงและอ้างว่ามีจุดประสงค์ในการกระทำเพื่อสันติภาพหรือเพื่อสิ่งอื่นที่ดีกว่า ซึ่งสิ่งนี้ในความรู้สึกของผมเป็นปัญหาใหญ่ เป็นปมปัญหาที่ต้องแก้ให้ได้ ในทางวิชาชาการเรียกว่าความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม กล่าวคือ ความรุนแรงที่ได้รับความชอบธรรมจากคุณค่าบางอย่างทางวัฒนธรรมของตัวเอง เท่าที่ผมปฏิบัติงานในด้านต่างๆ ในช่วงนี้ ตั้งแต่ครั้นที่ผมเป็นหัวหน้าคณะพูดคุยสันติภาพ เมื่อยังปิดลับตั้งแต่ปี 2549 และต่อเนื่องถึงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผมรู้สึกว่าสิ่งที่เป็นปัญหา คือ การอ้างความชอบธรรมในการทำสงคราม ปัญหานี้คือสิ่งที่ผมกำลังจะแก้ไข หัวใจคือความเกลียดชัง อย่างที่ท่านประธานได้กล่าวไปในข้างต้น ความเกลียดชังไม่ใช่สิ่งที่แท้จริง ไม่มีในสัตว์ชนิดไหนยกเว้น Homo Sapiens ธรรมชาติของสัตว์อื่น คือ การฆ่ากันเพื่อรับประทานกันเอง ถึงกระนั้นเมื่อพิจารณาถึงความเกลียดชังกลับไม่เจอสัตว์ชนิดไหนเนื่องจากความเกลียดชังไม่ได้เกิดมาจากธรรมชาติหรือวิวัฒนาการ แต่เกิดมาจากการเล่าสู่กันฟัง การสอน ดั่งเช่นการกล่าวว่าความเกลียดชังต้องเรียนรู้ ไม่มีเด็กคนไหนเกิดมาพร้อมความเกลียดชัง อาทิ การเรียนรู้ผ่านที่บ้าน โรงเรียน สื่อ โซเชียล ปัญหาเรื่องนี้คือทำอย่างไรให้ลดอิทธิพล ที่ไม่ใช่อิธิพลแท้ เป็นอิทธิพลเทียมที่อยู่ในตัวมนุษย์ที่เรียกว่าความเกลียดชัง ถ้าสาเหตุคือความเกลียดชังคือเรื่องที่ถูกต้อง สมุทัย เราจะหาทางแก้อย่างไร และนิโรธคืออะไร นั่นคือการหันหลับไปและตระหนักการเป็น Homo Sapiens ของเรา
ประการสุดท้าย ASEAN - ประเทศไทย: ปล่อยวางวัฒนธรรม หยุดความเกลียดชัง สร้างสันติภาพที่ยั่งยืน สิ่งที่ผมจะกล่าวถึงต่อไปคือ “Amygdala” คือสมองของเรา ที่จริงไม่ใช่แค่มนุษย์เพียงเท่านั้น แต่รวมไปถึงสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังก็มี Amygdala เช่นเดียวกัน เมื่อกล่าวถึง Amygdala คือ ศูนย์รวมความกลัวของสมอง เมื่อเราพบเห็น หรือได้รับประสบการณ์จากสิ่งใด ซึ่ง Amygdala ทำหน้าที่เตือนเรื่องการป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกทำร้าย Amygdala มีการทำงานก่อนสมองส่วนที่ใช้เหตุผล นำไปสู่เรื่องปัญหาของวัฒนธรรมคือการสร้างความเกลียดชังและความเกลียดชังแทรกกลไลของ Amygdala สร้างความกลัวที่ไม่เป็นธรรมชาติ สร้างความกลัวผ่านเรื่องเล่าหรือประสบการณ์บางอย่างนำไปสู่อคติของคนบางกลุ่มหรืออคติบางประเด็นในสังคม อาทิ การแต่งตัว สีผิว เมื่อ Amygdala เข้าไปแทรกแซงทางการทำงานของสมองและไม่สามารถที่จะออกมาได้ ซึ่งยังมีอีกหลายส่วนที่เกี่ยวกับการสร้างสันติภาพที่เป็นธรรมชาติมาก อาทิ การให้อภัย การให้อภัยมีบทบาทมากในวิวัฒนาการของ Homo Sapiens จำนวนมาก และมีผู้ศึกษาในเรื่องนี้พอสมควร กลับกันการสอนการเกลียดชังยังไม่มีผู้ศึกษา ความเกลียดชังนั้นมาจากวัฒนธรรมโดยเฉพาะ ผมจึงกำลังคิดว่าเพื่อที่จะเดินต่อได้เกี่ยวกับความขัดแย้งที่ยั่งยืน อาจจะถึงเวลาเราเดินกลับมาและทบทวนเส้นทางใหม่ ให้ความสำคัญการศึกษาเรื่องเหมือนกันของมนุษย์ของการเป็น Homo Sapiens รวมไปถึง Common Humanity มากกว่าการชื่นชมความต่างของมนุษย์ ซึ่งมีข้อควรระวังในเรื่องนี้ ถ้าหากเราให้ความสำคัญกับความต่างของมนุษย์มากเกินไปจะกระทบคุณค่าศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละวัฒนธรรมซึ่งปัญหานี้ไม่สามารถแก้ไขได้ อาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งที่ดื้อยา (Intractable) ทำได้เพียงให้ความสำคัญน้อยลง เรื่องคุณค่าทางวัฒนธรรมที่ต่างกัน ขอบคุณครับ
อ. ดร. ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์:
ขอบคุณอาจารย์มารคค่ะ แง่มุมที่น่าสนใจคือ ความกลัวที่มากับสัตว์ทุกประเภท แต่มนุษย์เท่านั้นที่สร้างความกลัว ผ่านความเกลียดชัง เป็นแง่มุมที่น่าสนใจและมีผู้ศึกษาน้อย เราจะเห็นมุมมองการทำสงครามที่ไม่ใช่การใช้อาวุธเท่านั้นแต่เป็นการใช้คำพูดทิ่มแทงฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นความท้าทายในการสร้างอัตลักษณ์อาเซียน ถ้าสมาชิกของอาเซียนยังคงมีความเกลียดชังแบบนี้
รศ.ดร. มารค ตามไท:
สวัสดีครับ ผมมีความต้องการกล่าวถึงถึง 2 ประเด็น ได้แก่
ประเด็นแรก คำถามคือศักยภาพของอาเซียนที่จะสร้างสันติภาพ ผมจะพูดถึงบทบาทนักวิชาการของอาเซียน สิ่งแรกคือ อาเซียนมีวัฒนธรรมที่หลากหลาย อาทิ ประเทศอินโดนีเซีย มลายู ปัตตานี ก็มีความหลากหลายพอสมควร สิ่งที่นักวิชาการสามารถที่จะกระทำได้ที่จะเป็นประโยชน์คือการศึกษาความคิดในแต่ละวัฒนธรรมว่ามนุษย์เหมือนกันอย่างไร สิ่งที่เหมือนกันของความเป็นมนุษย์มีจำนวนมากพอสมควร อาทิ เรื่องเกิดแก่เจ็บตาย แต่ในประเด็นนี้นั้นมีผู้ที่ศึกษาน้อย ซึ่งอาจจะเป็นผลกระทบมาจากการบัญญัติปฏิญญาสากลว่าด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม
ประเด็นสุดท้าย สำหรับความคิดเห็นของผม อาเซียนมีความอึดอัดเกี่ยวกับประชาธิปไตย ความอึดอัดนี้ผมมองว่าเป็นโอกาสที่ดี เพลโตเตือนเรามา 2,000 กว่าปีแล้วเกี่ยวกับจุดอ่อนของประชาธิปไตย ปัญหาคือระบอบอื่นแย่กว่าประชาธิปไตย เราเลยพอใจประชาธิปไตยที่ดีกว่าระบอบอื่น แต่เราไม่คิดต่อในการคิดหาระบอบอื่น นำมาสู่การวนเวียน การตั้งคำถามว่าจะอยู่กับประชาธิปไตยแบบไหน อย่างไร ผมว่าอาจจะถึงเวลาสำหรับบุคคลที่อึดอัดกับประชาธิปไตย ซึ่งผู้ที่อึดอัดในระบอบประชาธิปไตยนั้นจะมีการคิดหาวิธีการในระบอบอื่นได้ดีกว่าผู้ที่ติดอยู่กรอบของประชาธิปไตย ซึ่งอาจจะนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
หมายเหตุ :
- ถอดความและเรียบเรียงใหม่โดยกองบรรณาธิการ
รับชมถ่ายทอดสดฉบับเต็มได้ที่ : https://www.youtube.com/live/TuI2P3oYm4w
ที่มา :
- PRIDI Talks #32 : อนาคตไทย-อาเซียน: ความร่วมมือเพื่อสันติภาพท่ามกลางระเบียบโลกใหม่ วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม 2568 เวลา 10.00-12.30 น. ณ สวนประวัติศาสตร์ธรรมศาสตร์กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและหอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์