ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

เดือน บุนนาค และทัศนะในเรื่องของ “ชาตินิยม” ตามความนึกคิดของชนไทย

5
กันยายน
2568

นายเดือน บุนนาค
ที่มา : พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายเดือน บุนนาค ม.ว.ม., ป.ช.
ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส 25 สิงหาคม 2525

 

ชนชาติไทย จะว่ามาจากยูนานก็แล้วแต่ และพื้นแผ่นดินไทยแต่ก่อน จะมีชนบางหมู่ บางเหล่าอาศัยอยู่ ผลัดเปลี่ยนขับไล่กัน แย่งที่ทำกินกัน ชนต่าง ๆ บางหมู่เหล่าก็ตายไป หนีไปผสมกับชนเหล่าอื่น เกิดเป็นชนเหล่าใหม่ก็มี ชนชาติไทยก็เหมือนชนหลายชาติ เป็นชนชาติผสมหลายหมู่ หลายเหล่าผสมกัน แต่เพราะหลายหมู่หลายเหล่านั้น มีขนบธรรมเนียมประเพณีคล้ายกัน ภาษาพูด ภาษาเขียนก็จะเพี้ยนกันก็เล็กน้อย การเคารพนับถือในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนา ก็เรียกได้ว่าเกือบอย่างเดียวกัน ฉะนั้นหมู่เหล่านั้นจึงรวมกันเป็นชนชาติไทย คำว่าชนชาติไทยจึงต้องหมายถึงหมู่เหล่าต่างๆ เหล่านั้นด้วย

ถ้าจะว่ากันตามกฎมณเฑียรบาลที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนารถตราขึ้นไว้เมื่อศักราช ๗๒๐ ทั้งกรุงศรีสัตนาคณหุต แสนหวี โคตรบอง ตองอู ตะนาวศรี ทวาย ตลอดจนมลายู มลากา และอื่น ๆ อีก ก็ได้ชื่อว่าอยู่ในไทย ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร ของพระพุทธเจ้าอยู่หัวไทยทั้งสิ้น

คำว่าไทยหมายถึงความเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่ใคร คือไม่ใช่ทาษ คนจึงอยากเป็นไทยกันเยอะ มีมาแต่สมัยโบราณนานมาแล้ว และไทยก็โอบอ้อมอารี ต่างประเทศจะเข้ามาอาศัยทำมาหากิน หรือมารับราชการก็ได้ ตัวอย่างการรับราชการก็มีเช่น ชาวอาหรับ คือท่านเฉกมหหมัด ต้นสกุลบุนนาคของข้าพเจ้านี่เอง บรรดาศักดิ์เป็นถึงเจ้าพระยาบวรราชนายก ท่านยามาดา ญี่ปุ่น ก็ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นออกญาเสนาพิมุข ท่านโฟลคอน ชาวกรีซก็ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นถึงท่านเจ้าพระยาวิชาเยนท์ ว่ากันในสมัยรัตนโกสินท ท่านโรแลงยัคเกอแมงส์ ชาวเบลเยี่ยมก็เป็นท่านเจ้าพระยาอภัยราชา รูปปั้นของโรแลงยักเกอแมงส์ ยังมีอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชาวอเมริกันท่านดอกเตอร์ ฟรังซิส. บี. แซร. สมัยไม่นานนี้ก็เป็นพระยากัลยาณไมตรี เพียงพ่อค้าชาวต่างประเทศอื่นที่ได้รับบรรดาศักดิ์ยังมีอีกมากมาย ท่านแมคฟารแลนด์ก็เป็นคุณพระอาจวิทยาคม มักจะกล่าวว่าจีนต้ออเป็น “พระยาโชฎึกรชเศรษฐี” แขกต้องเป็น “พระยาจุฬาราชมนตรี” บิดาของคุณชวดผู้หญิงของข้าพเจ้า คือ ท่านเจ๊สัวเนียม[1] ก็ได้บรรดาศักดิ์เป็นพระศรีทรงยศ เลือดข้าพเจ้าจึงเป็นเลือดผสม มีทั้งไทยจีนแขก ลูกข้าพเจ้าที่อยู่เมืองนอกมีเลือดฝรั่งผิวขาวเสียด้วย อันที่จริงเลือดของคนไทยก็เป็นเลือดผสมทั้งสิ้น เพราะดังนี้เรื่องชาตินิยมของไทยในโบราณกาลจึงไม่มีในลักษณะการรุกราน เราถือประเทศที่มีชื่อว่า “ประเทศไทย” เป็นใหญ่ ไม่ได้ถือเลือดหรือชาติพันธุ์ มิฉะนั้นใครจะเคารพยกย่องพระเจ้าตากสิน ซึ่งมีแซ่จีนว่า “แต้” ให้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นผู้นำของประเทศไทยในสมัยนั้นจนกู้อิสระภาพได้คืนมาจากพม่าได้สำเร็จ ยกเป็นพระมหาวีระบุรุษ เชิดชูสร้างเป็นอนุสาวรีย์ให้ประชาชนเคารพไว้ที่จังหวัดธนบุรี

ชาตินิยมในไทยพึ่งมีเมื่อไม่นานนี้เอง ทั้งนี้เพราะชาติอื่นเกิดมีชาตินิยมกันขึ้น เราก็จำต้องมีชาตินิยมของเราบ้าง ทั้งนี้เพื่อป้องกันตัวของเราเอง และรักษาผลประโยชน์ของเราเป็นใหญ่ แต่ใจจริงเรายังเกื้อกูลอารีแก่ชนชาติทุกเผ่าพันธุ์ ขอให้เป็นมิตรแท้แก่เรา ก็แล้วกัน

ทั้งที่ชนชาวไทยไม่ได้ถือผิว มีแต่ความเมตตากรุณาชนต่างประเทศ แต่ชนต่างประเทศบางคราวบางสมัยซึ่งถึงจะได้เจ้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร คือ มาหาประโยชน์หาลาภในดินแดนไทย ถ้าพูดอย่างภาษาปัจจุบันก็เรียกว่ามาเซ็งลี้ ชนชาวต่างประเทศนั้นได้เคยเล่นงานชนไทยอย่างย่ำแย่ก็มี ปล้นก็เคยมี จะฮุบเอาเมืองไทยไปเป็นเมืองขึ้น ไปเป็นลูกน้อง หรือขี้ข้าก็เคยมีเหมือนกัน พ่อค้าญี่ปุ่นที่เข้ามาค้าขายในเมืองไทยสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ได้ทีเห็นว่าสมเด็จท่านพึ่งครองราชสมบัติได้ใหม่ ๆ กำลังยังน้อย พ่อค้าญี่ปุ่นเพียงไม่กี่ร้อยคนก็เข้าปล้นพระราชวัง ถือได้ว่าพ่อค้านั้นเป็นสลัด เพราะมาเรือและปล้น เป็นการกระทำการเยี่ยงโจรทั้งหลาย เดชะบุญท่านเสนาบดีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ซึ่งต่อมาจะเป็นสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ควบคุมผู้คนเข้ามาต่อสู้ตีสลัดญี่ปุ่นเสียแพ้ สลัดญี่ปุ่นเลยลงเรือหนีไป การเสียหายมีไม่มาก แต่สลัดญี่ปุ่นยอมฉวยฉกอะไร พอที่จะเอาไปได้ก็คงเอาไป แล้วก็เฮโลลงสำเภาหนีไปเลย การกระทำของสลัดญี่ปุ่นนี้ไม่มีปัญหา พระมหาจักรพรรดิ์ญี่ปุ่น รัฐบาลญี่ปุ่นไม่ได้รู้ ไม่ได้ร่วมมือด้วยแน่ ถ้าหากร่วมแล้วก็คงส่งคนมานับเป็นพันเป็นหมื่น

พระมหากษัตริย์ไทยสมัยโบราณ มีทหารอันเป็นคนต่างด้าวด้วย นอกจากพวกเตลง มอญ แขกจาม ญี่ปุ่น พวกฝรั่งชนผิวขาวเช่นพวกปอรตุเกศก็เคยมารับอาสาเป็นทหารของพระมหากษัตริย์ไทย เขาเหล่านั้นต้องได้สินจ้างตอบแทนแน่ๆ สมัยสมเด็จพระชัยราชาก็มีพวกปอรตุเกศสมัครเข้ามาเป็นทหาร ท่านบีนโตก็ได้เขียนจดหมายเหตุไว้ ชาวดัทช์ หรือฮอลันดา หนังสือเก่า ๆ มักเรียกว่าวิลันดาได้เข้ามาค้าขายตั้งห้างแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง นายห้างฮอลันดา ท่าน Jeremias Van Vliet ก็ได้เขียนจดหมายเหตุเล่าเรื่องเมืองไทยไว้ ฮอลันดาเท่าที่เกี่ยวกับไทยมุ่งในการค้าขาย จึงไม่มีเรื่องราวอะไรกับไทยในทำนองบีบบังคับ หรือข่มเหง นันว่าสมัยนั้นฮอลันดาได้สร้างเมือง New Amsterdam ไว้ที่พระประแดงสมัยนี้ แต่เวลานี้จะมีทรากหรือไม่ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็น

ถัดมาถึงสมัยสมเด็จพระนารายน์ ชาวฝรั่งเศสเข้ามาในเมืองไทยมาก มีทั้งหลวงพ่อสอนศาสนาคาโธลิก พ่อค้า นายทหาร และทูตผู้แทนพระมหากษัตริย์ของฝรั่งเศสเสียด้วย แผ่นดินสมเด็จพระนารายน์ตรงกับแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ของฝรั่งเศส ซึ่งฝรั่งเศสยกย่องเทียมเท่าพระอาทิตย์ มีพระสมญาว่า “Le Roi Soleil” ดั่งจะส่องให้โลกมีความสว่างอบอุ่นดังดวงอาทิตย์ พวกบาดหลวง หลวงพ่อ หลวงพี่เข้ามาก่อน เห็นลู่ทางดีจึงชักนำให้รัฐบาลและพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสให้ส่งทูต “Envoye extraordinaire” เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทย นอกจากทูตยังส่งนายช่าง นายทหาร มาช่วยแนะนำเรื่องช่าง เรื่องทหารแก่ไทยเราด้วย บังเอิญขณะนั้นในราชสำนักไทยของสมเด็จพระนารายน์ก็มี ชนผิวขาว ชาวกรีซรับราชการอยู่เป็นที่โปรดปรานอยู่ไม่น้อย และก็ดำรงในตำแหน่งขุนนางผู้ใหญ่ เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย ถือว่าเป็นผู้ต่างพระเนตรพระกรรณของสมเด็จพระนารายน์ได้ ท่านผู้นี้ ท่านผู้อ่านย่อมรู้จักชื่อดีอยู่แล้ว คือท่าน โฟลคอน Phaulcon ซึ่งมีบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยาวิชาเยนท์ พงศาวดารว่าท่านเป็นชาวกรีซ ฝรั่งเศสเขาว่าท่านเป็นกรีซเกิดในฝรั่งเศส ภรรยาท่านเขาว่ามีเลือดปอรตุเกศ ใส่เกือกทอง เราเลยเรียกว่า “ท่านท้าวกีบทอง”[2] ท่านโฟลคอนมิใช่จะพูดฝรั่งเศสได้ดี หากรู้กิจการบ้านเมืองของฝรั่งเศสและรู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ฝ่ายรัฐบาล และเจ้านายของฝรั่งเศสไม่ใช่น้อย ท่านโฟลคอนเป็นสื่อสำคัญที่เชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ท่านโชมองต์ ท่านลาลูแบร์ หลวงพ่อ ตาชารต์ ท่านเดอ ฟอรบัง และฝรั่งเศสอื่นๆ ยอมรับว่าท่านโฟลคอนมีอิทธิพลในราชสำนักไทยมาก มีในจดหมายเหตุบางตอนเหมือนกันที่ท่านเหล่านี้หาว่าท่านโฟลคอน จะเรียกร้องในการบริการมากไปหน่อย ฝรั่งเศสเข้ามาในสมัยนั้นดูอยากชักจูงสมเด็จพระนารายน์ให้ทรงเลื่อมใสในพระเยซู ศาสนาคาโธลิก ในจดหมายเหตุได้กล่าวว่า สมเด็จพระนารายน์ทรงพระปรีชาและมีพระปฏิภาณดี เช่นว่าเมื่อทางบาดหลวงอ้างคุณงามความดีของพระเยซู ว่าพระเยซูโปรดสัตว์และมีอำนาจยิ่งใหญ่ทั้งปวง ดลบันดาลอะไรให้สิ่งใดเป็นคุณก็ได้ เขาว่าสมเด็จพระนารายน์รับสั่งตอบว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ทรงบันดาลให้ทุกคนในโลกถือศาสนาเดียวกัน ประกอบแต่สิ่งที่เป็นคุณซิ ทำไมจึงไม่ทรงบันดาลเช่นนั้นเล่า ทำไมจึงยังมีศาสนาโน้นศาสนานี้อีกเล่า และต้องมาชักจูงกัน

ชาวทหารฝรั่งเศสได้มารับใช้สมเด็จพระนารายน์ได้สร้างป้อมแถวบางกอก คือกรุงเทพฯ นี้เอง แต่จะชี้เวลานี้สร้างตรงไหน ขอให้ผู้ชำนาญทางโบราณคดีชี้ดีกว่า บางคนก็ว่าทหารฝรั่งเศสมิใช่จะมารับใช้สมเด็จพระนารายน์ แต่มาดูว่าถ้าว่าจะมีท่าทียึดเมืองไทยได้ก็จะยึดเอา ตัวอย่างอย่างนี้ ประเทศอื่น ๆ ได้เคยประสบมาแล้ว

ในการช่างก็ว่ากันว่าการสร้างวัง การปรับปรุงลพบุรีใหม่ก็อาศัยช่างฝรั่งเศส พระราชวังที่ประทับนั้น พูดกันไปถึงว่าจะเลียนแบบพระราชวังแวรซายส์ของพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ของฝรั่งเศสอย่างย่อ ๆ

สมัยสมเด็จพระนารายณ์ไทยเราพวกหนึ่งคบค้ากับฝรั่งเศสได้ดี ถึงกับส่งลูกหลานไปเรียน แต่เรือล่มทำให้ตายเสียก็หลายคน ที่เหลือคงไม่มี เพราะมีก็คงสืบพันธุ์ไทยในฝรั่งเศสให้ชาวไทยสมัยปัจจุบันรู้เห็น น่าเสียดายแท้ แต่ไทยมีอีกพวกที่เขม่นฝรั่งเศส และเฉพาะอย่างยิ่งท่านโฟลคอนหรือท่านเจ้าพระยาวิชาเยนท์ เรื่องก็คือการแย่งอำนาจกันเป็นใหญ่ในบ้านเมือง ประกอบกับสมเด็จพระนารายน์ถึงจะมีแสนยานุภาพมาแต่ก่อน แต่เมื่อทรงชราภาพแล้ว พระโอรส พระราชวงศ์ ก็ไม่มีใครจะทำตนเป็นหลักผู้ปกครองประเทศได้ เรื่องก็เลยยุ่ง เป็นการแย่งชิงบัลลังก์ เมื่อสมเด็จพระเพทราชาได้ราชสมบัติ ท่านโฟลคอนก็ถูกฆ่า ชนฝรั่งเศสก็ถูกขับไล่ไสส่ง มีฆ่ากันบ้าง แต่ก็ไม่มีการแทรกแซงทางการเมือง ไทยสมัยนั้นชิงชังฝรั่งเศสก็เพราะไทยอยากเป็นไทย ไม่อยากให้คนอื่นมาเกี่ยวข้องกับเรื่องการปกครองของไทย และก็เป็นดั่งนี้ตลอดมาจนหมดสมัยกรุงศรีอยุธยา

อย่างไรก็ตาม ตามเรื่องราวที่เป็นมา ชาตินิยมในไทยยังใม่เกิดขึ้น การยกย่องผิวของเราก็ไม่มี การเกลียดชังผิวอื่นก็ไม่มี ดู ๆ บางโอกาศไทยเราจะยกย่องผิวอื่นเช่นผิวขาวเสียด้วยซ้ำ

ในสมัยรัตนโกสินทร ผิวขาวฝรั่งเศสเล่นงานคนผิวอื่นมากมาย เป็นสมัยล่าเมืองขึ้น ผิวขาวต่อผิวขาวแย่งเมืองขึ้น กันอย่างสนุก หรือเรียกตามศัพท์หรูว่า “อาณานิคม” รอบ ๆ ประเทศไทย พม่า ญวน ก็สูญเสียเอกราช อินเดียนั้นก็แล้วแต่ท่านมหาราชา หรือราชาจะตกลงกับอังกฤษอย่างไร จีน ญี่ปุ่นก็ต้องเปิดเมืองท่าให้พวกผิวขาวทำการค้าขาย ผิวขาวเสปญ (ที่จริงเสปญผิวคล้ำหน่อย) ก็ต้องปล่อยฟิลิปปินส์ให้ผิวขาวอเมริกัน ไทยเราก็ต้องค่อยประคับประคองตน อังกฤษเอาแคว้นทางใต้และทางตะวันตกของไทยไป ฝรั่งเศสเอาแคว้นทางตะวันออกของไทย รุกล้ำข้ามมาจากฝั่งโขง ทึ้งเราอย่างสนุกถึงกับแบ่งแยกเขต แบ่งอิทธิพลในประเทศไทยเรา ถือเกณฑ์แม่น้ำเจ้าพระยา คืออังกฤษมีอิทธิพลด้านกรุงธนฯ ฝรั่งเศสมีอิทธิพลด้านกรุงเทพฯ ว่ากันสนุกดี ไทยเราชักทแม่ง ๆ พวกผิวขาวมากขึ้น นักบ้าบิ่นไทยก็เคยมี เช่นคราวหนึ่งอาจมึนเคไปบ้าง เห็นแหม่มฝรั่งเศสจุ้นจ้านที่สถานีรถไฟแห่งหนึ่งทางสายใต้ เลยอยากลองดูว่าจะหนังเหนียวไหม เอาของมีคมจ้วงเข้าที่ศีรษะซึ่งมีหมวกสวม หมวกขาดนิดหน่อย แต่สามีอ้างว่าศีรษะมีแผล เจ้าบ้าบิ่นไทยเลยโดยตราง แต่รัฐบาลไทยสมัยนั้นก็ต้องยอมให้เงินค่าทำขวัญแก่แหม่ม ซึ่งเรียกร้องมาไม่ใช่น้อย[3] ทั้งที่รัฐบาลไทยและไม่ว่ารัฐบาลใดไม่มีความรับผิดในกรณีทำน้องนี้อะไรสักนิดเดียวเพราะเป็นเรื่องของเอกชน แต่จะเรียกสมัยซึ่งว่าเป็นสมัยที่ไทยกลัวฝรั่งก็ได้ จึงต้องยอมเสียสตางค์ บางท่านว่าน่าจะเป็นเรื่องเมตตากรุณาของคนไทยตามหลักของพระพุทธศาสนามากกว่า จะอย่างไรก็ตาม มาในปี ๒๔๙๙ นี้เอง คณะโรดิว Redeo เคาวบอยโคบาลอเมริกันมาแสดงการขี่ม้าโลดโผนให้คนไทยดู ขอเช่าโฮเต็ลอยู่ เขานึกว่าจะเก็บสตางค์ค่าดูได้จากการแสดง อย่างการแสดงฮอลิเดย์ออนไอซ์ แต่แสดงแล้วคนดูน้อย เก็บสตางค์ได้นิดเดียว ม้าก็ต้องขาย ค่าที่พักค่าอาหารก็ค้างไม่สามารถชำระให้แก่โฮเต็ลได้ บางคนในคณะเห็นท่าไม่ดีก็หลบหนีออกนอกประเทศไปโดยไม่ยอมเสียค่าใช้จ่ายให้แก่โฮเตล บางคนวิ่งไปหาสถานทูต สถานทูตก็ส่งเจ้าหน้าที่มาเจรจาขอผลัดผ่อน โฮเตลได้ให้ผลัดผ่อน แต่แล้วพวกเหล่านั้นก็หลบหนีไปทีละคนสองคน โฮเตลแจ้งความแก่ตำรวจ นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ของเราก็ติดต่อกับสถานทูต สถานทูตก็ส่งเจ้าหน้าที่มาเจรจากับโฮเตลอีก นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ของเราก็ใจป้ำรับรองกับโฮเตลว่า หนี้สินหากค้างเท่าใดไม่มีใครใช้ก็จะใช้ให้ โฮเตลได้รับชำระหนี้คืนมาบ้าง คือพวกที่ไปติดต่อกับสถานทูต สถานทูตก็ชำระไป แต่พวกที่หนีไปก่อนไม่ได้ติดต่อกับสถานทูต สถานทูตก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จะชำระไปก็ใช่ที่ ที่จริงก็เป็นเรื่อง “แพ่ง” คือเรื่องส่วนบุคคลระหว่างคณะ Rodeo กับโฮเตล ในแง่กฎหมาย สถานทูตไม่ต้องรับผิด ที่จ่ายมาบ้างนั้นก็ดีแล้ว ก็นับว่าสถานทูตอเมริกันหรือสหรัฐก็ใจป้ำ สิ่งใดช่วยได้เขาก็ช่วย

ไทยเราพึ่งจะมีกลิ่นไอชาตินิยมนี้ เห็นจะในสมัยรัชกาลที่หกนี้เอง ข้าพเจ้าเรียกว่า “กลิ่นไอ” เพราะเป็นเพียงข้อความกล่าวเกริ่นให้ชวนคิดกันไว้บ้าง ชาตินิยมมาวางรากสมัยท่านแปลก สมัยไทยทำ “นิยมไทย” แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จะเรียกว่าเป็นชาตินิยมอย่างนโยบายของพรรคนาซีเยอรมันสมัยท่านฮิตเล่อร์ก็ไม่ได้ ไกลกันลิบลับ จะเปรียบกับชาตินิยมในประเทศอื่น ๆ เช่นในอังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น หรือจะไปเปรียบกับรัสเซีย จีนแดง เครือจักรวรรดิ์คอมมิวนิสต์ก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง ถ้าจะกล่าวให้ถูกต้อง ไทยเราจนถึงปัจจุบันนี้ เราต้องยอมรับว่าเรามีชาตินิยม ชนิด “ผลุบโผล่” ไม่เป็นหลักยึดมั่นถาวร ดูเป็นเรื่องมีชาตินิยมตามอารมย์ในสมัย ๆ หนึ่งมากกว่า แต่ “อนาคต” จะเป็นฉันใด ข้าพเจ้าไม่ใช่นักพยากรณ์ นักโหราศาสตร์ ไม่มีความรู้ที่จะกล่าวถึง

ที่กล่าวว่าสมัยสมเด็จพระมงกุฏเกล้า (รัชกาลที่ ๖) มีกลิ่นไอเรื่องชาตินิยมให้นิยมไทยขึ้นมานั้น ก็เพราะพระองค์ท่านประสงค์จะกระตุ้นเตือนให้คนไทยประกอบการงานให้เข้มแข็งจริงจัง และให้ประกอบการงานในแขนงงานทุกแขนง ไม่ใช่ว่าจะเป็นข้าราชการ ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน เสียร่ำไป หัดเป็นพ่อค้าคนกลางบ้าง คนไทยเป็นผู้ผลิต เป็นผู้บริโภค แต่คนไทยไม่ได้เป็นผู้ชาย พระองค์ท่้านจึงทรงพระวิตกมากว่า คนไทยซึ่งผลิตสิ่งของ เช่นทำนา ได้ข้าวเปลือกขึ้นมา คนไทยก็ขายข้าวเปลือกให้คนกลาง ซึ่งไม่ใช่คนไทย เขาคือคนจีน คนจีนซื้อข้าวเปลือกไปสีเป็นข้าวสาร ก็ส่งข้าวสารขายตามร้านต่างๆ ซึ่งก็เป็นคนจีนเช่นเดียวกัน แต่คนไทยทุกคนเป็นผู้ซื้อข้าวสารมาบริโภค ถ้าคนไม่สีข้าวเปลือกเป็นข้าวสารให้เรา ชาวนาไทยก็ขายข้าวเปลือกได้ลำบาก ชาวบริโภคไทยก็ซื้อข้าวสารได้ลำบาก ไม่เช่นนั้นก็ต้องซื้อข้าวเปลือกมาตำ มาซ้อม ร่อนให้เปลือกออกเป็นข้าวสาร

ยิ่งในสมัยหนึ่งนานมาแล้ว สมัยที่เมืองจีนมีการปฏิวัติ ท่านซุนซัดเซนได้นำความคิดของตะวันตกมาสู่เมืองจีนหลายอย่าง หนุ่มจีนพั้งหลายก็ฮึกเหิมอยากให้จีนยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้นไป จีนที่ใช้ผมเปียก็ตัดผมเปียกันเป็นการใหญ่ จีนถือตนเป็นจีนไม่เพียงประเทศจีน แม้ในประเทศอื่นที่จีนไปทำมาหากิน ก็ถือเป็นจีนไปแล้ว เมื่อก่อนจีนไม่ได้ถือตนอย่างนี้ จีนอยู่ที่ไหน ก็ทำตนเข้ากับคนพื้นเมืองที่นั่น หัดพูดภาษาพื้นเมือง ถือและปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณีของชนพื้นเมือง มีเมียเป็นคนพื้นเมือง มีลูกสาวก็ยกให้เป็นเมียคนพื้นเมือง คือชนพื้นเมืองที่มีอำนาจพอที่จะให้การทำมาหากินของท่านพ่อตาจีนดำเนินไปโดยปกติสุขและเจริญมั่งคั่งยิ่ง ๆ ขึ้นไป จีนที่มาเมืองไทยสมัยก่อนปฏิบัติอย่างนี้ จีนเก่า ๆ เป้นผู้ใหญ่บ้าน กำนัน กินหมาก ถ้าอยู่ทางใต้ก็พูดไทยมีสำเนียงใต้ ถ้าอยู่ทางเหนือก็พูดไทยมีสำเนียงเหนือ ภรรยาของชนจีนเหล่านี้ก็คือหญิงไทย มีลูกก็ให้ชื่อเป็นชื่อไทย ไม่ใช่ให้ชื่อจีนแล้วมาเปลี่ยนเป็นไทยเมื่อโตแล้ว อย่างที่เปลี่ยนกันอย่างชนิดโก้หร่านไปเลยในสมัยนี้ เอาพระนามของเจ้านายไทย เอาบรรดาศักดิ์มาตั้งเรียกกันเกร่อไปหมด ไปขอพระขอเจ้านายที่เคารพนับถือของเขา ท่านก็ให้ก็ประทานเสียงามหรู[4]

ไม่จำเป็นที่จะกล่าวมากเรื่องในเรื่องของคนจีนไว้ผมเปียมาอยู่เมืองไทย คลุกคลีกับคนไทย ร่วมเผ่าพันธุ์เลยกลายเป็นไทยเพียงไม่ชั่วคน มีตัวอย่างมากมาย ข้าพเจ้าเองก็ไม่เคยปฏิเสธว่าไม่มีเลือดจีน ภูมิใจเสียด้วย ตรุจจีนทุกปีก็ต้องมีการเซ่นไหว้รูปท่านเจ๊สัวเนียม (พระศรีทรงยศ) ที่ประดิษฐภายในเก๋งจีนจำลอง ท่านก็ไว้ผมเปีย ถือกล้องยาแดง แต่นุ่มผ้าปูมไทย รูปนี้ทำให้ลูกหลานกราบไหว้บูชา ทุกข์ยากลูกหลานบลบานขอความช่วยเหลือท่านก็ช่วยให้จริงๆ เสียด้วย

แต่พอคนจีนตัดเปีย เกิดมีเก๊กเหมง แล้วต่อมาเปลี่ยนเรียกเป็นก๊กมินตั๋ง มีจีนใหม่ ตอนนี้จีนกับไทยห่างเหินไป ชักเข้ากันไม่ค่อยติด เฉพาะอย่างยิ่งชนจีนในเมือง เพราะพวกในเมืองรู้อะไรสมัยใหม่มากกว่าพวกในชนบท พวกจีนที่อยู่ในชนบทยังเข้ากับคนไทยได้ พวกนี้ไม่ยอมตัดเปีย ยังเอาเปียไว้เป็นระยะเวลานาน อาจถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ แต่พอมีคนล้อเข้าเลยต้องตัด

ธงเก๊กเหมงนั้นเป็นธงห้าสี มีสีแดง สีเหลือง สีน้ำเงิน สีขาว สีดำ สีเหลืองหมายถึงพวกหั่ง คือคนจีนแท้ ๆ มีเหลืองหมายถึงพวกมั้วพวกแมนจู ซึ่งมาตีเมืองจีนชนะวงศ์เหม็ง  สีน้ำเงินหมายถึงพวกโม้วคือ พวกมงโกล ซึ่งเคยรวมอยู่กับจีนมาแล้ว สีขาวหมายถึงพวกฮ้วย ชนอีกเผ่า ซึ่งก็มารวมอยู่กับจีนนานแล้ว ส่วนสีดำนั้นหมายถึงพวกจั่ง หรือจั๋น ธิเบต นอกจากธงแล้ว ตามบ้านของชนจีนก็ติดรูปท่านดอกเตอร์ ซุนยัดเซ็นกันเต็มที่ รูปท่านนายพลยวนซี่ไขนั้นติดอยู่เพียงพักเดียว พอหมดอำนาจก็ปลดทิ้ง ต่อมาเก๊กเหมงจึงมาเป็นก๊กมิงตัง ธงห้าสีเลยเปลี่ยนเป็นพื้นแดง มุมบนสี่เหลี่ยมสีน้ำเงินมีดาวล้อมดวงอาทิตย์ อันเป็นธงจีนชาติปัจจุบัน จีนสมัยใหม่ชอบอยู่เป็นหมู่ด้วยกัน ไม่ค่อยยอมปะปนกับชนพื้นเมืองเหมือนแต่ก่อน เมื่อตอนกำลังเห่อ “จีนใหม่” กันนั้น จีนในกรุงเทพฯ ก็ได้แสดงความเป็นใหญ่ของจีนโดยการไม่ยอมขายของในตลาด ครั้งนั้นทั้งสามเพ็งต้องเอาทหารถือปืนไปคุม บางท่านว่าทหารของไทยเราเอา “ปืนใหญ่ไปตั้ง” จังก้าด้วย การคุมก็เพื่อไม่ให้ชาวจีนก่อความวุ่นวาย และเป็นการบังคับให้ชาวจีนเปิดร้านและขายของตามปกติ ผู้หลักผู้ใหญ่ของฝ่ายข้าพเจ้าได้เล่าให้ฟังว่า ทั้งเจ้าคุณลุง คุณพ่อ คุณอาของข้าพเจ้า ซึ่งเวลานั้นกำลังหนุ่ม และบ้านก็อยู่ที่เยาวราชที่ตั้งโรงหนังคาเธ่ย์ ปัจจุบันนี้เอง ยังได้ไปช่วยรับหมูมาและช่วยหั่นหมูขายที่ตลาดเก่าอันเป็นตลาดของเจ้าคุณปู่ของข้าพเจ้า

คงเป็นการสำแดงความหมดความเป็นกันเองดั่งนี้ สมเด็จพระมงกุฏเกล้าจึงทรงเห็นว่าต้องปลุกคนไทยให้ตื่น ให้ทำงาน ให้ค้าขาย อย่าอาศัยชาวจีน มิฉะนั้นจะลำบาก ก็เพียงมีธงเก๊กเหมง เขายังสำแดงเดชให้เห็นแล้ว ถ้ามีอะไรต่ออะไรที่ปลุกใจในชาตินิยมจีนให้เกิดขึ้นแก่จีนมากขึ้นกว่านี้ ชนไทยย่อมแย่อย่างไม่เป็นปัญหา บทความของพระองค์ท่าน ซึ่งใช้นามปากกาว่า “อัศวพาหุ” และนามปากกาอื่น ได้ลงตีพิมพ์และชักชวนคนไทยให้กลัว “ยิวแห่งบูรพทิศ” คือจีนนั้นเอง

เมื่อความคลั่งในจีนใหม่ลดน้อยลง สภาพของการเป็นกันเองระหว่างไทยกับจีนก็กลับมีขึ้น กลับกลมเกลียวกันดังเดิมอีก สมเด็จพระมงกุฏท่านก็พอพระทัย ท่านยังได้พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้แก่ชนจีน เช่น ช่างทำรองเท้าก็ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น หลวงประดิษฐ์บาทุกา

เราต้องรอมาถึงสมัยรัชกาลที่แปด เมื่อท่านแปลกเป็นหัวหน้ารัฐบาล การนิยมไทย หรือชาตินิยมของไทยจึงเกิดเป็นเรื่องเป็นราว มีรากมีฐานขึ้น บางท่านว่า ท่านแปลกเอาอย่างท่านฮิตเล่อร์ แต่ท่านแปลกไม่ได้จำกัดจีนเหมือนท่านฮิตเล่อร์จำกัดยิว ท่านแปลกประสงค์จะสงวนอาชีพง่าย ๆ ไว้ให้คนไทยทำ จึงได้ออกกฎหมายว่าด้วยการสงวนอาชีพบางอาชีพไว้ กฎหมายนี้ห้ามมิให้คนต่างด้าวประกอบอาชีพที่สงวนไว้ให้คนไทย คนต่างด้าวนี้ก็มุ่งถึงชนจีนเป็นส่วนใหญ่ เช่นช่างตัดผม ฝรั่งตัดผมนั้น ข้าพเจ้าเห็นมีแต่นายโยเซฟ ชาวรัสเซียขาว แต่เขาก็เป็นเจ้าของร้านตัดผมเป็นนายห้างไปในตัว ในเมืองไทยข้าพเจ้าไม่เคยเห็นแขกตัดผมที่มีร้านของตนเอง แต่เห็นเขาไปตัดผมให้พวกแขกด้วยกันเองที่บ้าน ตัดกันบนบาทวิถีเอากันง่าย ๆ ปากก็พูดคุยกันเพลินไปก็มี แต่ชาวจีนก็มีเล่ห์เหลี่ยม เมื่อกฎหมายบัญญัติว่าช่างตัดผมต้องมีสัญชาติไทย ช่างตัดผมของร้านจีนก็มีสัญชาติไทยตามไปด้วยได้เหมือนกัน แต่ถ้าดูหน้าแล้วก็เป็นชนจีนดีๆ เพียงพูดไทยได้เท่านั้นเอง เขาจะได้สัญชาติไทยมาจากไหน อย่าคิดให้เปลืองสมอง เพราะเจ้าหน้าที่ไทยเราเองเป็นผู้รับรองให้ นอกจากอาชีพตัดผมแล้วก็มีอาชีพอย่างอื่นอีกที่สงวนไว้ เป็นรายละเอียดมากไป ไม่ขอกล่าวถึง นอกจากนี้แล้ว ในงานรับจ้างบางอย่างเช่นงานแบกหาม งานกุลี งานรับจ้างง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความรู้หรือใช้แต่เพียงเล็กน้อย เราก็มีกฎหมายบังคับนายจ้าง ให้จ้างคนไทยเป็นคนงานมีจำนวนเท่านั้นเท่านี้คิดเป็นเปอร์เซนต์ตามจำนวนของคนงานทั้งหมด ในปัจจุบันเนื่องจากอาหาร ค่าครองชีพแพง คนงานจีนซึ่งถือว่ามีฝีมือเรียกร้องค่าจ้างสูง ช่างไม้จีน ช่างปูนจีน เรียกวันละตั้ง ๖๐-๘๐ บาท หรือกว่านั้น งานไม้ งานปูน ที่ผู้ว่าจ้างไม่พิถีพิถันกวดขันในฝีมือก็วางราคาการจ้างถูก จ้างชาวจีนไม่ได้เพราะเขาเอาแพง ผู้ว่าจ้างก็หันมาจ้างคนไทย ซึ่งเรียกร้องค่าจ้างต่ำกว่าคนจีน เวลานี้งานช่างไม้ ช่างปูนธรรมดา มีคนไทยทำมาก ก่อน ๆ เราเคยเห็นผู้หญิงไทยผูกโครงเหล็ก แต่ในขณะนี้ผสมปูนก็เป็น ปีนขึ้นไปเทปูนบนตึกสูง ๆ ก็ได้ การขุดดิน ถมดิน เกลี่ยดินตามถนนเป็นผู้หญิงไทยทำทั้งนั้น ทั้งนี้เพราะผู้หญิงยอมรับค่าจ้างต่ำกว่าผู้ชาย ชนจีนชั้นกุลีหายาก งานกุลีแบบหามแถวทรงวาดก็มีคนไทยทำแล้ว พวกไทยต่างจังหวัดมีร่างกายแข็งแรงล่ำสันไม่น้อยทำงานได้ ส่วนชนจีนนั้นกลายเป็นชั้นหัวหน้างานไปแล้ว แต่จีนกุ๊ย จีนอันธพาลนั้นก็ยังมี ทั้งนี้ทุกชาติแม้ไทยเองก็มีคนเลวเหมือนกัน ดีกับเลวเป็นของคู่กัน ไม่มีเลวทั้งหมดและก็ไม่มีดีทั้งหมดเป็นเรื่องของโลกมนุษย์

ชาตินิยมระหว่างจีนไทยมารุนแรงขึ้นอีกครั้งหนึ่งเมื่อเสร็จสิ้นสงครามโลกครั้งที่สองใหม่ ๆ ขณะนั้น ท่านเจียงไคเช็คยังไม่ได้อพยพไปอยู่ใต้หวัน หรือฟอรโมซา  พอพวกอัลไลย์ คือสัมพันธมิตรชนะพวกอักษะ คือเยอรมัน และญี่ปุ่น ตั้งพวกตัวเอง ๕ ประเทศเป็นมหาอำนาจ คืออเมริกัน รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน จีนในเมืองไทยก็ฮึกเหิม ชักธงชาติจีนกันเป็นการใหญ่ และทำการ “เลี๊ยะ-พ๊ะ” นัยแปลว่า “จับ-ชก” ก่อกวนแบบอันธพาลทั้งหลาย ทำเอาแถวเยาวราชไม่มีความสงบไปพัก ท่านเจียงไคเช็คกับจีนสมัยใหม่ในไทยเห็นว่า ชาติจีนเป็นมหาอำนาจแล้ว จีนก็ต้องมีสถานทูตในไทย คุ้มครองคนจีน ทูตก็ต้องเป็นชั้นอัมบัสซาเดอร์ เอกอัครราชทูตเสียด้วย ตั้งแต่ตั้งสถานทูตมากว่า ๑๐ ปี ไม่เห็นมีใครว่าอะไรเลย แต่บัดนี้กลับมีผู้กล่าวใน พ.ศ. ๒๕๐๑ ว่า รัฐบาลไทยในสมัยนั้นไม่ควรตกลงให้ตั้งสถานทูต มีเจ้าหน้าที่การทูต ควรเป็นอย่างดั้งเดิม ซึ่งไม่มีทูตแต่ก็ไม่เห็นเสียหายอะไร แต่ผู้พูดก็ไม่บอกว่ารัฐบาลไทยหลังสงครามรัฐบาลไหนเป็นผู้ตั้ง อันที่จริงในระยะหลังสงครามนั้นไทยก็มีหลายรัฐบาล คือรัฐบาลของท่านทวีบุณยเกตุ รัฐบาลของท่านเสนีย์ รัฐบาลของท่านควง และจากสงครามเสร็จถึงหกเดือนจึงมาถึงรัฐบาลของท่านปรีดี นโยบายต่างประเทศทุกรัฐบาลไทยสมัยหลังสงครามนั้น เป็นนโยบายที่ต่อเนื่องกันมาทั้งสิ้น เรื่องมันต้องมีสถานทูต ไม่มีไม่ได้ และถ้าจะลองคิดดูอีกทีก็เมื่อตอนสงครามนั้นเองแมนจูเกากับเราซึ่งก็ไม่เคยมีสัมพันธ์อะไรกันที่เป็นล่ำเป็นสันอยู่ห่างไกลกันแสนไกล อาจเป็นเพื่อเอาใจญี่ปุ่น และเพื่อมหาเอเชียบูรพา วงษ์ไพบูลย์ก็ได้ แมนจูเกาก็มีสถานทูตในไทย และเราก็มีสถานทูตในแมนจูเกา นี่ก็เป็นเรื่องของรัฐบาลท่านแปลก และสืบเนื่องมายังรัฐบาลท่านควง รัฐบาลตอนสงครามนั้นเอง แม้ขณะนี้พวกที่เป็นเมืองขึ้นหรืออยู่ในคุ้มครองของอังกฤษแต่เดิม พอเขาได้เอกราชมีอิสระ เขาก็มีการสัมพันธ์ทางทูตกับอังกฤษผู้ปลดปล่อยเขาเองเสียด้วยซ้ำ

ก็เป็นความจริงในสมัยที่มีสถานทูตจีน และมีเอกอัครราชทูตจีนคนแรกในไทยนั้น คือเมื่อท่านหลิเทียะเจิง เป็นเอกอัครราชทูตนั้น ชนจีนในกรุงเทพซึ่งเดิมแสดงว่าเป็นไทยแท้ได้แปรรูปเป็นจีนแท้หลายท่าน ล้วนเป็นผู้หวังประโยชน์ทั้งสิ้น พวกชนจีนพื้น ๆ คือพวกทํามาหากิน และยิ่งพวกอยู่ชนบทด้วยแล้ว ไม่สู้เอาเอาใจใส่ในเรื่องการมีทูตหรือไม่มีทูตเท่าใดนัก ท่านหลีเทียะเจิงเพิ่งเคยคุยว่า คนทําอาหารของท่านนั้นเป็นคนทำอาหารประจําตัวของท่าน ไปไหนต้องเอาไปด้วย เพราะฝีมือทําอาหารเขาดีมาก ถึงจะเป็นการอวดอ้างแบบทูต แต่ท่านก็พูดไม่ผิด ข้าพเจ้าได้รัปทานอาหารที่เขาปรุงแล้ว ยอมรับว่าดีจริง รสแบบรสอาหารจีนปนรสอาหาร

ฝรั่งเศส พวกทูต ๆ นี่ชอบพูดอะไร ๆ อวดเราและอยากให้เราหลงเสมอ ข้าพเจ้ายังจําได้ครั้งหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้าไปรักษาการในตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ ต่างประเทศแทนท่านนายกรัฐมนตรีสมัยนั้น คือคุณหลวงธำรงเป็นระยะเวลาเพียง ๑๕ วัน ท่านหลีเทียะเจิงมาหาข้าพเจ้าบอกว่าได้พบกับท่านนายกฯ ที่สถานีรถไฟหัวลําโพงก่อนท่านนายกไปหัวหิน ท่านหลีเทียะเจิงได้พูดกับท่านนายกคุณหลวงธํารงถึงเรื่องโควตาคนเข้าเมืองของคนจีน ท่านนายกตกลงด้วย แล้วบอกให้ท่านหลีเทียะเจิงมาพูดกับข้าพเจ้าซึ่งรักษาราชการแทนนั้นเถิด เขาจึงมาหาข้าพเจ้า แล้วขอเจรจาเรื่องน ฉุนก็ฉุนแต่สุภาพไว้ ข้าพเจ้าก็ตอบเขาว่า อีกไม่กี่วันท่านนายกก็จะกลับมาแล้ว รอไว้พูดกันตอนนั้นดีกว่า เขาก็อําลากลับไป นี่ละลูกไม้การทูต ต่อมาก็ไม่เห็นเขาเรียกร้องอะไรเลยขึ้นมา เห็นเราเป็นเด็กอมมือ ทั้งหลอกทั้งขู่พร้อม (บางคราวแสดงเศร้าเสียด้วย นี่แหละเขาเรียกว่า การทูตแท้)

แต่พอท่านเจียงไคเช็คและคณะต้องปราชัยในผืนแผ่นดินแก่ชาวจีนด้วยกันคือ ท่านเมาเซตุง ท่านเจียงและคณะซึ่งเรียกว่าคณะชาติต้องอพยพไปอยู่ใต้หวัน สถานทูตจีนก็เหงียบเหงา เพราะเป็นจีนชาติไปแล้ว ชนจีนในไทยก็แปรพักตร์กันอีกตอนนี้อยากเป็นพวกท่านเมาเซตุง จีนพื้นแผ่นดินใหญ่ การชักธงจีนชาติลดน้อยจํานวนลงตามลําดับ พวกเลื่อมใสท่านเมาเซตุง มักเป็นชายหนุ่ม หญิงสาว หนุ่มสาว อยากสําแดงความรักชาติ อยากช่วยชาติ หรือท่านจะเรียกว่า เก่งกล้าก็ตามใจ อยู่เมืองไทยดูไม่มีหวังเป็นหัวหน้าแผนก หัวหน้ากอง อธิบดี รัฐมนตรี จะไปเป็นนายร้อย นายพัน นายพล ก็สุดเอื้อม ถ้ากลับไปจีน ไปดินแดนใหม่ อาจมีหวังเป็นใหญ่เป็นโตได้กว่า เอาให้ฐานะดีกว่าพ่อแม่ซึ่งเป็นเพียงผู้ค้าขาย การค้าดูต่ำต้อยสําหรับผู้มีวิชา มีความรู้สมัยใหม่ หนุ่มสาวจีนในไทยก็คลั่งใคล้ถึงผืนแผ่นดินจีน หนีพ่อแม่กันไปมากมาก ไทยเราสมัยนี้ก็ชักคลั่งไปจีนไปรัสเซียกับเขาเหมือนกัน แต่ทําไมไม่เรียนภาษาจีน ไม่หัดพูดจีนก็ไม่รู้ รัสเซียนั้นอย่าเรียนเลยมันยากมาก และใช้ประโยชน์ในไทยก็ไม่ได้

ดังนี้ ว่ากันในเรื่องชาตินิยมแล้ว จีนมีชาตินิยมมากกว่าไทย ไทยเรามีชาตินิยมไทยน้อยมาก เกือบจะไม่มีเลย แต่อย่างไรก็ตามถึงในปัจจุบันนี้ชนจีนในไทยจะมีชาตินิยมคือนิยมจีนมากกว่าในสมัยก่อน ๆ แต่ก็ไม่รุนแรง แต่บางท่านว่าอย่าพึ่งประมาทเขา

นอกจากการสงวนอาชีพบางอาชีพให้คนไทยทำ และการให้คนไทยได้งานรับจ้างบางอย่างทำเป็นโควต้าของจํานวนคนงาน เรายังมีพระราชกฤษฎีกาสมัยใหม่ คือ

พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การ ซึ่งขณะนี้เห็นจะมีร่วม ๓๐ องค์การกระมัง มีบทบัญญัติในพระราชกฤษฎีกาเหล่านี้เสมอว่าตําแหน่งกรรมการ ผู้อํานวยการนั้น ห้ามมิให้แต่งตั้งจากผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทย เอก็รัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้ง กรรมการ ผู้อำนวยการเอง ดูก็แปลกที่รัฐมนตรีไทยจะไปตั้งคนต่างด้าวให้ไปเป็นกรรมการหรอผู้อานวยการ ใส่ไว้ทําไม หรือเพราะเหตุเกรงกลัวกันว่า เดี๋ยวคนต่างด้าวเฉพาะอย่างยิ่งจีนที่มีชื่อไทยที่เข้ามาใกล้ชิดกับรัฐมนตรีบางท่านผู้มีอำนาจ ท่านอาจถูกหว่านล้อมด้วยคําพูดและเงินจนทนไม่ไหว ก็จะตั้งคนต่างด้าว คนของท่านซึ่งเคยใช้สอยหรือถือเป็นบุตรบุญธรรมขึ้นเป็นกรรมการหรือผู้อํานวยการก็ได้ และก็คงมีข่าวทะแม่ง ๆ อย่างนั้น รัฐบาลท่านแปลกจึงให้กันไว้ก่อน อย่างนี้จะเรียกว่า นิยมไทย หรือชาตินิยมก็ไม่ถูกต้อง เป็นเรื่องกลัวพวกเดียวกันจะเล่นพิเรนทร์มากกว่า

ควรจะกล่าวเพิ่มเติมเสียว่า ชาตินิยมที่คนไทยถือกันในประเทศไทยนั้น ถือกันเฉพาะเจ้าหน้าที่ ยิ่งพวกที่มีหน้าที่ปราบปรามแล้วยิ่งถือจัด เพราะเป็นช่องทาง “ตบทรัพย์ เอาสตางค์” กับชนต่างด้าว คือ ชนจีน เคยมีการเล่ากันว่า หลังรัฐประหาร ๘-๙ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ครั้งนั้นไม่กี่คืน ได้มีเจ้าหน้าที่พลเรือน ทหาร อ้างตัวเป็นคณะรัฐประหารเสียด้วย พกปืนสองกระบอกหลาข้างเอว เอารถทหารไปจับจีนแถวถนนเยาวราช ในฐานขายอาหารริมฟุตปาต เกะกะการจราจร เรื่องก็จะแสดงอํานาจหรือขอกันกินบ้าง แต่ไม่ใช่เรื่องชาตินิยมอย่างไรเลย ฉวยโอกาสเอาสตางค์แท้ ๆ

รวมความแล้วเราชาวไทยไม่คลั่งในชาตินิยม เราอาจชังคนบางคนเป็นส่วนบุคคล แต่ไม่ชังทุกคน ไม่ชังผิว ยิ่งผิวขาวด้วยแล้ว เราไทยยิ่งโอนอ่อนยอมยกย่องมาก แม้พวกกุ๊ยฝรั่งมาจุ้นจ้าน เราก็ไม่จัดการอย่างกุ๊ยพวกเรากันเอง ยกย่องให้เกียรติเสียด้วยซ้ำ เรื่องชนจีนเราก็ยกให้เป็นเฮีย ตรุษสารทก็แวะไปรัปทานอาหารที่เขาเลี้ยงร่วมกับเขา เขาก็เลี้ยงดูอย่างดีเสียด้วย เขามีมิตรจิตรมา เราก็มีมิตรใจตอบ เรื่องไฟฟ้า ประปา และอื่น ๆ อีกมากมาย ชนจีนติดต่อกับทางการของไทยดีกว่าคนไทยติดต่อด้วยกันเองเสียด้วยซ้ำ คนจีนเขาก็ดี เวลาพูดกับคนไทยที่พึงจะเป็นประโยชน์แก่เขาได้ เขาก็เรียกว่า “ในเท้า” “ใต้เท้า”

สำหรับแขก คือพวกที่มาจากอินเดีย มีทั้งฮินดู สิงหฬ ซิกก์ และอื่น ๆ ขนาดแขกยามเราก็เรียกว่า “บัง” หรือ “อาบัง” มีร้านแม้เป็นเพียงลูกจ้าง เราก็เรียกว่า “นายห้าง” ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะหลักของพุทธศาสนาที่สั่งสอนให้พุทธศาสนิกชน เฉพาะอย่างยิ่งคนไทยให้มีจิตเมตตากรุณา และสงสารต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในจิตใจของคนไทย แสดงให้เห็นความดีความงามอันหนึ่งของไทย ก็มีบางท่านที่เห็นว่าเป็นการอ่อนแอ ข้าพเจ้าจะเขียนต่อไปก็จะนอกเรื่อง นอกราวของเรื่อง “ชาติ-สังคม” นี้ไป

ชาตินิยมควรยุติได้เท่าที่เขียนมาถึง ชาตินิยมตามนึกคิดของไทยนี้ แต่มาสมัยนี้เกิดมีศาสนามาเกี่ยวข้องกับการนิยมมาก และเกี่ยวข้องกับประเทศชาติเสียด้วย จึงขอเติมเรื่องศาสนานิยมไว้อีกบทหนึ่ง

 

หมายเหตุ :

  • บทความชิ้นนี้เป็นการถอดความบางส่วนจากหนังสือ
  • เดือน บุนนาค, 2448-2525. ชาติสังคม. [ม.ป.ท.]: เสริมวิทย์บรรณาคาร; 2501.
  • ตั้งชื่อบทความใหม่โดยกองบรรณาธิการ
  • คงอักขรวิธีการสะกด และการเว้นวรรคตามต้นฉบับ

 

เชิงอรรถ : 

[1] ตรอกเจ๊สัวเนียม ก็ยังมีอยู่ระหว่างถนนเยาวราชกับถนนเจริญกรุง

[2] ว่ากันว่า ฝอยทอง สังขยา ขนมชั้น เป็นขนมของปอรตุเกศ ที่กรุงลิสบอนปัจจุบันก็หาซื้อได้ ชาวปอรตุเกศมาทำให้คนไทยรัปทานแต่สมัยต้นกรุงศรีอยุธยา เลยกลายเป็นขนมไทยไป

[3] ชาวฝรั่งเศสที่ดีก็มีเหมือนกัน เขาได้เล่าเรื่องนี้ให้ข้าพเจ้าฟัง เขาว่าบาดแผลไม่มีสักนิด เรื่องได้ทีก็เรียกเอาเงินถือโอกาสว่ากันให้ร่ำรวย เวลานั้นว่ากันเป็นหมื่น ๆ แต่หมื่น ๆ สมัยนั้นก็นับล้านสมัยนี้ นี่แหละนิยมหรั่งของไทย เห็นเขาเป็นเทวดาไปได้

[4] แปลกจริง ๆ ชื่อหรู ๆ ไม่ยักค่อยเป็นใหญ่เป็นโต ท่านปั้น ท่านเจิม ท่านแปลก ท่านถวัลย์ ท่านควง ท่านพจน์ (ทั้งเจ้าคุณพหล และคุณพจน์) ท่านถนอม ท่านเผ่า และท่านอื่น ๆ ผู้เป็นใหญ่เป็นโตอีกเยอะ ก็ชื่อสามัญ ธรรมดาทั้งนั้น