ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทบาท-ผลงาน

ท่านปรีดี นักกฎหมาย

24
ธันวาคม
2568

ท่านปรีดีศึกษาวิชากฎหมายในประเทศไทย ณ โรงเรียนกฎหมาย ซึ่งต่อมาท่านปรีดีเองได้จัดให้ทั้งรัฐบาลและสภาเห็นดีเห็นชอบยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยซึ่งขณะนี้มีชื่อว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

คุณพ่อข้าพเจ้า พระยาประเสนชิต เคยเป็นกรรมการสอบกฎหมายท่านปรีดี ตามหลักฐานที่ข้าพเจ้ามีอยู่ปรากฏว่ามีนักเรียนกฎหมายรุ่นท่านปรีดีหลายคน แต่เท่าที่ข้าพเจ้ารู้จักในเวลาต่อมา มี

๑. ท่านวรดี พรหมสาขา (คุณหลวงวรนิติปรีชา)

๒. ท่านประวัติ ปัตตพงษ์ (คุณหลวงธรรมนูญวุฒิกร)

๓. ท่านกิมเหลียง วัฒนปรีดา (คุณหลวงวิจิตรวาทการ)

๔. ท่านธัญญา ณ สงขลา (คุณหลวงสารนัย)

๕. ท่านสมโภชน์ อัศวนนท์ (คุณหลวงประเจิดอักษรลักษณ์)

๖. ท่านบุญรอด จุลเนตร์ (คุณหลวงวิเทศจรรยารักษ์)

ท่านอื่น ๆ ยังมีอีก ท่านสอบได้เนติบัณฑิตพร้อมกับท่านปรีดีก็มี ที่สอบไล่ได้ทีหลังก็มี ที่ทิ้งการเรียนกฎหมายไปประกอบอาชีพอื่นไม่ใช้กฎหมายก็มี ท่านปรีดีสอบกฎหมายได้ดี และได้รับเข้าเป็นสมาชิกของเนติบัณฑิตยสภา จึงได้ชื่อว่าเป็นเนติบัณฑิต ในขณะนั้นผู้สอบกฎหมายได้ยังไม่ได้เป็นเนติบัณฑิตทันทีที่สอบได้ ต้องได้รับเข้าเป็นสมาชิกของเนติบัณฑิตยสภาเสียก่อนจึงจะเรียกได้ว่าเป็นเนติบัณฑิต (อ่านกันว่า ดิด พวกเก่า ๆ บางท่านอ่านว่า “ทิด” ยังกับพระสึกออกมาใหม่ ๆ)

เพราะการเรียนดีเลิศ สติปัญญาว่องไว ชิงทุนได้ กระทรวงยุติธรรมจึงส่งท่านปรีดีไปศึกษาวิชากฎหมาย ณ ประเทศฝรั่งเศส ท่านปรีดีไม่ใช่คนไทยคนแรกที่เรียนวิชากฎหมาย ณ ประเทศฝรั่งเศส ขณะนั้นท่านชื้น จารุวัสตร์ (คุณพระสารสาสน์ประพันธ์) ได้ทำงานอยู่ในสถานทูตไทยทั้งในอังกฤษและฝรั่งเศส ท่านผู้นี้สอบกฎหมายได้ทาง Bar ของอังกฤษ และได้รับเข้าเป็นสมาชิก (Member) เลยได้คำพ่วงท้ายชื่อว่า Barrister-at-Law เมื่อท่านชื้นได้เป็น Barrister-at-Law แล้วในโอกาสที่ท่านมาประจำอยู่ ณ สถานทูตไทยที่ Paris ฝรั่งเศส ท่านได้ขอเทียบเท่าชั้นลิซังซิเอ ได้ศึกษากฎหมายฝรั่งเศสชั้นมหาวิทยาลัยต่อ และสอบได้ถึงขั้นด๊อกเตอร์อังดรัว ชั้นมหาวิทยาลัย เพราะท่านไม่ได้ผ่าน Licence en Droit เหมือนท่านปรีดี

ท่านชื้นมาเมืองไทย คนไทยก็เรียกท่านว่า “ด๊อกเตอร์ชื้น” พอท่านได้บรรดาศักดิ์เป็นหลวงเป็นพระ คำ “ด๊อกเตอร์” ก็หายไป คนจะเรียกท่านว่า “ด๊อกเตอร์” คงมีแต่พวกท่านผู้มีอาวุโส อย่างเราท่าน ชั้นอายุน้อยกว่าจะไปเรียก หาถูกต้องตามความรู้สึกของคนไทยไม่ ดูจะเป็นการทำตนมีฐานะเท่าเทียมเกินไป และดูจะเป็นการเยาะ ๆ เสียด้วยซ้ำ ในฝรั่งเศส ด๊อกเตอร์ เขาเรียกเฉพาะหมอ นายแพทย์ดีกรีหรือปริญญาด๊อกเตอร์ทางกฎหมาย (นิติศาสตร์) อักษรศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ เป็นปริญญาที่พ่วงท้ายชื่อของพวกที่สอบได้ ไม่มีใครนำเอาคำด๊อกเตอร์ จะเป็นคำย่อหรือคำเต็มไปนำหน้าชื่อเลย เขาเขียนไว้ข้างหลัง ไม่ใช้คำย่อ และไม่เรียกสั้น ๆ ว่าด๊อกเตอร์ เขาใส่อย่างเต็มยศเลย เช่น Docteur en Droit, Docteur-es Lettres, Docteur-es Sciences สำหรับ Docteur en Médecine เท่านั้นที่เขาใส่ Docteur หรือ Dr. นำหน้าชื่อในนามบัตร ปริญญานี้พิมพ์ในบรรทัดสอง ถัดจากชื่อลงมา และไม่มีอักษรย่อเหมือนอย่าง B.A.,LL.B., PHD. ฯลฯ ของอังกฤษ

เมื่อข้าพเจ้ากลับมาเมืองไทย พ.ศ. ๒๔๗๓ เมื่อได้ยินเขาเรียกชื่อข้าพเจ้าว่า “ด๊อกเตอร์เดือน” ข้าพเจ้ารู้สึกแปลก และเมื่อได้ยินเขาเรียกพวกฝรั่งที่ได้ปริญญาด๊อกเตอร์อังดรัว ใช้คำด๊อกเตอร์นำหน้าชื่อ เช่น ด๊อกเตอร์ แอล ดูปลาตร์, เอกูต์, ด๊อกเตอร์ฮัจเจสัน และท่านเหล่านี้ก็รู้สึกยินดีที่เขาเรียกดังนั้น ทั้งมาทราบว่าท่านดูปลาตร์นั้น ถ้าคนพิมพ์หนังสือของท่านลืมพิมพ์คำว่า Docteur หรือ ด๊อกเตอร์ Dr. หรือ ดร. นำหน้าชื่อของท่านละก็ท่านโกรธใหญ่ เรียกมาดุอบรมแล้วให้พิมพ์เสียใหม่

ข้าพเจ้าสนใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ยิ่งเห็นท่านปรีดีเมื่อพิมพ์ชื่อข้าพเจ้าในเอกสารท่านให้ใส่คำว่า “ด๊อกเตอร์” หน้าชื่อด้วย ข้าพเจ้าสงสัยจึงได้ถามดูว่าทำไมจึงให้ใส่ มันไม่ถูกประเพณี ซึ่งท่านเองก็รู้ดีอยู่แล้ว ท่านเลยบอกว่าไม่ใส่ไม่ได้พวกฝรั่งเศส ท่านดูปลาตร์และคนอื่น ๆ เขาใส่กัน เราต้องใส่บ้าง แสดงว่าเราเรียนศึกษาได้ดีกรีเท่ากันกับเขาเหมือนกัน แต่ข้าพเจ้าก็ยังสงสัยว่าท่านดูปลาตร์และท่านชาวฝรั่งเศสต่าง ๆ ก็รู้ดีว่าในฝรั่งเศสเขาใช้กันอย่างไร ทำไมจึงมาดัดแปลงไปตามใจชอบดั่งนี้ ข้าพเจ้าก็เลยสอบสวนมูลเหตุต่อไปอีก จึงได้ความว่า ชาวฝรั่งเศสผู้เล่าเรียนมาในทางกฎหมายและเข้ามารับราชการในเมืองไทย ส่วนมากได้เพียง Licencié en droit ปริญญาตรี ผู้ที่ได้ถึง Docteur en Droit ขณะนั้นก็มีท่านเรอเน กียอง ผู้หนึ่ง

ซึ่งเวลานี้แปลงสัญชาติเป็นไทย ยังคงรับราชการและใช้ชื่อไทยว่า นายพิชาญ บุลยง แต่ท่านกียองนี้ก็ไม่ใช้เรียกตัวเองว่าด๊อกเตอร์กียอง คนอื่นก็ไม่เรียกท่านว่าด๊อกเตอร์ กลับเรียกมิสเตอร์บ้าง เมอซิเออร์บ้าง ท่านก็ไม่เห็นว่ากระไร แต่พวกที่ได้เพียง Licencié มานั่นสิ พอเวลาต่อมาภายหลังบางท่านได้กลับไปสอบเพิ่มเติมได้ปริญญา Docteur en Droit มา ท่านที่พึ่งได้ Docteur มาใหม่นี้เอง เพื่อจะข่มท่านที่ยังคงเป็นเพียง Licencié จึงให้เสมียนใส่ปริญญานำหน้าชื่อ และท่านเองก็เรียกตัวเองให้ปริญญานำหน้าชื่อต่อ ๆ มา

คำว่า “ด๊อกเตอร์” เลยเป็นคำนิยมกันใช้เรียกนำหน้าชื่อ เอาปริญญาเรียกเฉย ๆ ก็มี เช่นในเวลาคุยกันมักจะกล่าวทำนองว่า “ไงด๊อกเตอร์ว่าไง ด๊อกเตอร์เห็นอย่างไร ดื่มอีกหน่อยนะด๊อกเตอร์” เป็นต้น เวลานี้ดูเหมือนจะเรียกกันในเมืองไทยมากที่สุด พวกอเมริกันที่มาช่วยสอนในมหาวิทยาลัยของเราปัจจุบันก็ถูกยกย่องเรียกกันเป็น “ด๊อกเตอร์” ทั้งนั้น แล้วเขาก็ชอบเสียด้วย แต่ในอเมริกาข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเขาจะเรียก คิดว่าสมัยก่อนคงไม่เรียก และคงใช้อย่างอังกฤษแต่สมัยนี้อเมริกาอาจเปลี่ยนเรียกก็ได้ เพราะเขาหมุนเวียนเปลี่ยนเก่ง

พูดถึงเรื่อง “ด๊อกเตอร์” เสียยืดยาว ขอย้อนกลับเข้าเรื่อง เมื่อท่านปรีดีได้รับทุนจากรัฐบาลให้ไปเรียนกฎหมายที่ฝรั่งเศส เวลานั้นท่านไม่มีพื้นความรู้ภาษาฝรั่งเศสเลย ก่อนจะไปได้ทราบว่าท่านศึกษาภาษาฝรั่งเศสกับท่าน Laydeker ซึ่งเป็นที่ปรึกษากระทรวงยุติธรรมขณะนั้น และเป็นอาจารย์สอนกฎหมายที่โรงเรียนกฎหมายด้วย ท่าน Laydeker ป่วยรับราชการอยู่ประเทศไทยไม่ได้ จึงออกจากประเทศไทยไปอยู่ฝรั่งเศส แต่รัฐบาลไทยก็ได้จ้างท่านให้เข้ารับราชการที่สถานทูตไทยที่ปารีสต่อไปด้วย ท่านปรีดีก็ต้องนับถือท่าน Laydeker มาก จึงอุทิศวิทยานิพนธ์เป็นการแสดงความเคารพและกตัญญูต่อท่านผู้นี้อย่างชัดแจ้ง คือใส่ชื่อลงไปเลย ส่วนบิดามารดา ครูบาอาจารย์ซึ่งท่านปรีดีขอเคารพและขอบคุณ ท่านปรีดีไม่ได้ระบุชื่ออย่างใดไว้เลย

ท่านปรีดีมีความเฉลียวฉลาด สติปัญญาดี เรียนทั้งภาษาฝรั่งเศส ลาติน อังกฤษ ไม่ถึงปีก็สอบเข้าคณะนิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเมืองกัง (Caen) ได้ ที่คณะนิติศาสตร์แห่งเดียวกันนี้ ต่อมาก็มี ท่านวิสูตร อรรถยุติ ผู้เคยเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเข้าศึกษา แล้วก็มีคนอื่น ๆ เช่น ท่านทองเปลว ชลภูมิ ด้วย

อันคณะนิติศาสตร์นี้ เมื่อรวมกับคณะอักษรศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ คณะแพทย์ เป็น ๔ คณะก็ประกอบเป็นมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมีตามจังหวัดใหญ่ๆ ที่มีความสำคัญมาแต่โบราณ นอกจาก กัง ปารีส ก็มีเกรอนอเบลอ มองต์แปลลิเอร์ ปัวติเอร์ ลิลล์ บอรโดส์ และอื่น ๆ อีก ตามที่ถือมาแต่ดั้งเดิม ถ้าพูดถึงมหาวิทยาลัย ยูนิเวอร์ซิตี้ ก็หมายความว่าวิชาที่จะศึกษาได้ ๔ อย่าง ซึ่งแบ่งเป็น ๔ คณะ ฟากัลตี้ นิติศาสตร์ อักษรศาสตร์ วิทยาศาสตร์ แพทยศาสตร์ หากมหาวิทยาลัยในจังหวัดใดจัดให้การศึกษาวิชาให้ครบ ๔ คณะไม่ได้ เช่นเกรอนอเบลอ มีแต่โรงพยาบาลเล็ก ๆ มหาวิทยาลัยเกรอนอเบลอก็ไม่มีคณะแพทยศาสตร์

ปัจจุบันวิทยาการเจริญก้าวหน้าแบ่งแยกเป็นแขนงวิชามากมาย ซึ่งล้วนมีความสำคัญกันไปแต่ละวิชา ประเทศใหม่ๆ เช่น อเมริกา จึงไม่ถือการแบ่งเป็น ๔ คณะอย่างโบราณนี้เป็นเกณฑ์ แต่เพิ่มเติมการศึกษาวิชาอื่น ตั้งหน่วยศึกษาพิเศษ ไม่เรียกว่า Faculty ก็มี เรียกเป็น College (ซึ่งไม่ใช่โรงเรียนสามัญอย่างอัสสัมชัญ คอลเลซ) ก็มี เรียกว่า School ก็มี (ซึ่งก็ไม่ใช่โรงเรียนสามัญอีก) ฝรั่งเศสนั้นมักจะเพิ่ม Institute, Center ศูนย์ค้นคว้า School เฉยๆ หรือ School for high study เข้าไว้เป็นส่วนของมหาวิทยาลัยรวมกับคณะทั้ง ๔ ที่มีอยู่แล้วเป็นประเพณีด้วยก็มี

ท่านปรีดีเรียนกฎหมายที่คณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยกังได้ ๓ ปี ก็สอบได้เป็น Licencié en Droit สมัยท่านปรีดีศึกษาและสมัยที่ข้าพเจ้าศึกษา นักศึกษาต้องสอบวิชาปีที่ ๑ ของกฎหมาย เรียกว่า Baccalauré at en Droit, lére Partie แล้วจึงสอบวิชาปีที่ ๒ ซึ่งเรียกว่า Baccalauréat en Droit, 2° partie สอบวิชาปี ๒ ได้ เขาเรียกผู้สอบได้ว่า Bachelier en Droit มีสิทธิ์เป็น Notaire หรือ Public Notary ผู้รักษาผลประโยชน์ของบุคคลทั่วไป เอกสารทางแพ่ง-ทางพาณิชย์ที่ก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย บางเรื่องกฎหมายบังคับให้กระทำที่สำนักงาน Notariat ต่อหน้า Notaire บางเรื่องที่กฎหมายไม่บังคับนั้น ถ้าได้กระทำต่อหน้า Notaire ก็กลายเป็น Acte notarié ใช้เป็นหลักฐานที่ศาลได้ดีที่สุด นอกจากนี้ผู้ได้เป็น Bachelier en Droit จะสอบเป็นจ่าศาล Greffier ก็ได้

ถัดจากปีที่สองไปก็เรียนปีที่สาม ถ้าสอบได้ก็ถือว่าได้ Licenee en Droit ผู้สอบได้ชื่อเป็น Licencié en Droit จะสอบเข้ารับราชการหรือจะเป็นทนายความ สอบเป็นผู้พิพากษาได้ทั้งสิ้น นักศึกษาจะได้ปริญญาสูงกว่า Licenee ขึ้นไปอย่างไร คือถึงจะได้ปริญญา Docteur ก็ไม่ได้สิทธิ์พิเศษ ฝรั่งเศสถือว่า ความรู้ขั้น Licence นี้เป็นความรู้หลักมาตรฐาน วิชาขั้น Licenee ๓ ปีนี้ (เวลานี้ขยายเป็น ๔ ปีแบบอเมริกา) บรรจุวิชาหลักสำคัญทั้งสิ้นใส่เข้าไปในสมองแน่นเปรี๊ยะ วิชาใหญ่ที่ต้องเรียนทั้ง ๓ ปี และมีการสอบทั้งเขียนและปากเปล่าทุกปี ก็คือกฎหมายแพ่ง ถือเป็นหลักฐานของวิชาทั้งปวง ถัดจากกฎหมายแพ่งก็คือกฎหมายโรมันและเศรษฐศาสตร์ ซึ่งรวมลัทธิด้วย เรียนวิชาละ ๒ ปี กฎหมายอื่นเรียนเต็มปี ปีเดียวก็มี ครึ่งปีก็มี

วิชากฎหมายแท้ ๆ ที่มีอีกก็มีกฎหมายอาญา กฎหมายพาณิชย์วิธีพิจารณาความอาญา วิธีพิจารณาความแพ่ง ประวัติศาสตร์กฎหมายเก่าของฝรั่งเศส ทางปกครองก็มีกฎหมายรัฐธรรมนูญ การเลือกตั้ง และกฎหมายปกครอง ทางเศรษฐศาสตร์ นอกจากเศรษฐศาสตร์ ๒ ปี ก็มีกฎหมายการคลัง งบประมาณ กฎหมายอุตสาหกรรม การประกันสังคม (Assurance Sociale) สอนรวมกัน ทางระหว่างประเทศก็มีกฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีการเมือง แผนกบุคคล พวกวิชาประเภทหลังๆ นี้ ในการสอบปีหนึ่งๆ มีการจับฉลาก (ทางการเป็นผู้กระทำและประกาศให้รู้ล่วงหน้าก่อนสอบเล็กน้อยไม่กี่วัน) ว่าวิชาใดที่จะออกเป็นข้อสอบเขียนในปีนั้น สำหรับการศึกษาปีที่ ๑, ปีที่ ๒, ปีที่ ๓, ส่วนวิชาที่เหลือไปเป็นการสอบปากเปล่าทั้งสิ้น

จึงเห็นได้ว่าการศึกษาแบบฝรั่งเศสถือกฎหมายเป็นหลักใหญ่ แต่เอาวิชาอื่นๆ เข้ามาสอนมากมาย เพื่อให้ผู้สอบได้ Licence en Droit มีความรู้กว้างขวางที่สุด เข้าทำงานได้เกือบทุกแห่งหน ยุติธรรม ศาล มหาดไทย คลัง เศรษฐการ ต่างประเทศ อะไรๆ ก็มีความรู้พอทำได้ คือมีความรู้มาตรฐานพอเพียง แต่ถ้าผู้นั้นอยากมีความเชี่ยวชาญเรียนรู้ลึกซึ้งในเรื่องใด ก็หาโอกาสศึกษาเพิ่มเติมต่อไปในเรื่องนั้นในการศึกษาชั้นสูงต่อไป

ดังนี้เมื่อตอนที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองจัดวางหลักสูตรเริ่มแรกซึ่งท่านปรีดีและข้าพเจ้าเป็นผู้วาง จึงอาศัยวิชาของ Licence en Droit เป็นหลัก แต่แบ่งกฎหมายแพ่งเป็นว่าด้วย บุคคล ทรัพย์ นิติกรรม หนี้ ซื้อขาย เช่า ฯลฯ จนครอบครัว มรดก ตามแบบที่สอนที่ Bar ของอังกฤษ ของเราซอยกฎหมายแพ่งมาก เพราะจะเหมาให้บุคคลคนเดียวเป็นผู้สอนกฎหมายแพ่งมากเรื่องก็จะเป็นการหนักแก่ท่านผู้สอนไป เพราะท่านที่มาทำการสอนก็มีราชการอย่างอื่นประกอบเป็นประจำอยู่ ไม่ได้เป็นอาจารย์ผู้สอนทำงานการสอนด้านเดียว การวางวิชาสอนจึงต้องแบ่งให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในประเทศเราในขณะนั้น

สำหรับกฎหมายโรมันซึ่งทางอังกฤษและฝรั่งเศสมีอยู่ในหลักสูตรของวิชากฎหมายนั้น เราได้เคยพิจารณาว่าควรจะนำมาสอนจัดอยู่ในหลักสูตรหรือไม่เหมือนกัน โรงเรียนกฎหมายครั้งหนึ่งได้มีการสอนกฎหมายโรมัน ได้มอบให้คุณหลวงเมธีนฤปกรณ์ พี่ข้าพเจ้าเป็นผู้สอน แต่เป็นการสอนนอกหลักสูตร เพื่อประดับความรู้ สอนได้ไม่ถึงปีก็เลิกไป ในที่สุดเห็นว่ายังไม่สมควร เพราะประเทศไทยไม่เคยเกี่ยวข้องกับจักรวรรดิโรมัน ภาษาลาตินก็ไม่ใช่เป็นรากของภาษาไทย จึงยังมองไม่เห็นประโยชน์ในการจะสอนวิชานี้ในมหาวิทยาลัย อนึ่งความรู้วิชาชั้นปริญญาตรี ที่บรรจุเต็มอัตรา จะเพิ่มใส่วิชากฎหมายโรมันเข้าไปอีกจะเกินอัตราไป

เมื่อท่านปรีดีสอบได้เป็น Licencié en Droit แล้วก็ได้ย้ายมหาวิทยาลัยจาก Caen มายังมหาวิทยาลัย Paris เข้ามาอยู่ในคณะนิติศาสตร์ ท่านได้ปริญญาโทซึ่งฝรั่งเศสเขาเรียกว่า High Study, Etudes Supérieures ทั้งทางกฎหมายแท้และทางเศรษฐศาสตร์ และท่านได้ทำวิทยานิพนธ์ในเรื่องกฎหมายแท้ๆ จึงได้รับปริญญาเป็น Docteur en Droit (Sciences Juridiques) วิทยานิพนธ์ที่ท่านเขียนเมื่อ ค.ศ.๑๙๒๗ มีชื่อว่า Du Sort des Socié tés de Personnes en cas de Dé cés d'un Associé (Etude de droit franeais et de droit comparé) แปลเอาความเป็นไทยได้ว่า “ในกรณีที่หุ้นส่วนคนหนึ่งถึงแก่ความตาย ฐานะของห้างหุ้นส่วนส่วนบุคคลจะเป็นอย่างไร (ศึกษาตามกฎหมายฝรั่งเศสและกฎหมายเปรียบเทียบ)”

การศึกษาของท่านปรีดีนั้นเป็นชั้นเลิศ แต่ท่านก็เกือบต้องทิ้งการศึกษาเสียกลางคัน คือตอนท่านมาศึกษาที่ Paris ใกล้สำเร็จนั้น เกิดมีเรื่องสมาคมนักเรียนไทยกับท่านอัครราชทูตฟ้องร้องกันมาถึงเมืองไทย นักเรียนไทยถือว่ารัชกาลที่ ๗ ขณะดำรงยศเป็นกรมขุนสุโขทัยไปศึกษาวิชาเสนาธิการทหารที่ Paris และได้ทรงรับเป็นผู้อุปถัมภ์สมาคมนักเรียนไทยนั้น นักเรียนนึกว่าท่านซึ่งต่อมาได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินจะทรงโปรดปรานทางพวกนักเรียน ท่านศึกษาอยู่ในฝรั่งเศสน่าจะต้องฟังเสียงทั่วๆ ไปบ้าง นักเรียนฝรั่งเศสจึงอาจหาญยื่นเรื่องราวกล่าวโทษท่านเอกอัครราชทูตมามากมาย

ฝ่ายท่านอัครราชทูตก็ฟ้องสมาคมนักเรียนไทยมายังรัชกาลที่ ๗ เหมือนกัน และกล่าวหาว่านักเรียนจะจับกลุ่มเป็นบอลเชวิก เป็นซีนดิเคต สมัยนั้นคำว่า คอมมิวนิสต์ยังไม่โด่งดัง มิฉะนั้นคงถูกกล่าวหาเป็นแน่แท้ บอลเชวิกนั้นเรียกกันมาก เพราะรัสเซียโค่นพระเจ้าซาร์ได้ใหม่ๆ พวกโค่นเป็นฝ่ายรุนแรงทำการสำเร็จ ชื่อบอลเชวิกจึงดังก้อง ส่วนซีนดิเคตนั้นเป็นเรื่องของกรรมกรพวกคนงานฝรั่งเศสจัดตั้งกันขึ้นเป็นกลุ่มก้อน เพื่อป้องกันสิทธิและผลประโยชน์ของผู้ทำงาน ปัจจุบันไทยเราก็มีเรียกว่า สหบาลบ้าง สมาคมบ้าง สหพันธ์บ้าง แต่ซีนดิเคตของคนงานฝรั่งเศสเป็นหน่วยกรรมกร คนงานแท้ๆ ราชการบ้านเมืองไม่ได้เข้าเกี่ยวข้อง เกิดขึ้นมาเอง เกิดขึ้นเพื่อป้องกันผลประโยชน์และสิทธิของผู้ทำงาน

เมื่อเป็นกลุ่มก้อนรวมผู้คนได้มากมาย กำลังก็แข็งแกร่ง ในพวกซีนดิคาลิสม์นั้น หัวรุนแรงก็มี อะลุ้มอล่วยก็มี แต่ความเห็นรุนแรงดูจะดังกว่า (ข้าพเจ้าไม่ใช้คำว่ามาก เพราะผู้ไม่ชอบพูดมีเยอะ จะว่าเขาเห็นด้วยทีเดียวก็ไม่ถูก เพียงแต่เขาไม่พูดด้วยเท่านั้น) พวกซีนดิคาลิสม์ในระยะต่อๆ มา มีบางคนหาว่าเป็นอย่างเดียวกับคอมมิวนิสต์ไป ซึ่งเป็นคนละเรื่องทีเดียว และไปเข้าใจว่าเพราะเป็นกลุ่มคนงานทำนองเดียวกัน เลยถูกกล่าวหาว่าเหมือนกัน จะอธิบายมากจะยืดเยื้อนอกเรื่องไป ผู้สนใจอ่านดูในหนังสือเศรษฐศาสตร์ที่สอนกันในฝรั่งเศส

สรุปได้ว่า ท่านอัครราชทูตกล่าวหานักเรียนฝรั่งเศส เฉพาะอย่างยิ่งท่านปรีดีเสียอย่างมากมาย ถึงกับท่านอัครราชทูตมีหนังสือเวียนถึงนักเรียนทุกคน เรื่องการฟ้องครั้งนี้มีเหตุมาอย่างไรนั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ตอนต้นของหนังสือนี้ ตอนที่ข้าพเจ้าเริ่มรู้จักท่านปรีดี ขอท่านผู้อ่านได้พลิกดูตอนนั้น ๆ เถิด

ท่านอัครราชทูตขอให้รัชกาลที่ ๗ เรียกท่านปรีดีกลับ งดให้ทุนการศึกษา รัชกาลที่ ๗ เลยส่งเรื่องให้กระทรวงยุติธรรม เพราะท่านปรีดีเป็นนักเรียนของกระทรวงยุติธรรม เวลานั้นท่านเจ้าพระยาพิชัยญาติ ลุงของข้าพเจ้าเป็นผู้รั้งตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมอยู่ และระหว่างกระทรวงยุติธรรม โดยเฉพาะท่านผู้พิพากษาชั้นผู้ใหญ่ก็ได้เคยงัดข้อกับท่านอัครราชทูต (ท่านพระองค์เจ้าจรูญฯ) มาครั้งหนึ่ง ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ส่งท่านพระองค์เจ้าจรูญฯ ไปเป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม สมัยนั้นท่านสั่งการ ซึ่งผู้พิพากษาหาว่ายุ่มย่าม เลยถูกแข็งข้อ และแข็งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ท่านเลยเป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมอยู่ไม่ได้ รัชกาลที่ ๖ จึงได้ย้ายท่านไปดำรงตำแหน่งอื่น แล้วมาเป็นอัครราชทูตไทยที่ปารีส ท่านพระองค์เจ้าจรูญฯ นี้เป็นพี่เขยของท่านควง อภัยวงศ์ และเคยเป็นผู้บังคับบัญชาของคุณพ่อข้าพเจ้า คุณพ่อข้าพเจ้ายังได้เคยกราบเรียนท่านว่า “บุตรข้าพระเจ้านั้นขอถือเป็นข้าของฝ่าพระบาทด้วยผู้หนึ่ง”

อาจเป็นว่าเพราะพระองค์เจ้าจรูญฯ ถูกผู้ใหญ่ในกระทรวงยุติธรรมแข็งข้อมาแล้ว มาโดนเด็กรุ่นหนุ่มของกระทรวงยุติธรรมแข็งข้ออีก อัดอั้นมานานทำกับผู้ใหญ่ไม่ได้ก็เลยทำกับเด็ก ขอให้เรียกตัวกลับเลยก็ได้ แต่ผู้ใหญ่ของท่านปรีดีก็มีไม่น้อย กระทรวงยุติธรรมผู้ให้ทุนเห็นว่าท่านปรีดีเรียนดีและใกล้จะสำเร็จ เรียนเกือบได้ด๊อกเตอร์แล้ว เหตุทะเลาะกับท่านเอกอัครราชทูตนั้นไม่เป็นเหตุพอที่จะเรียกกลับ สิ่งที่ท่านปรีดีกระทำไปเป็นเรื่องที่จะว่ากล่าวตักเตือนกันได้ไม่ถึงกับต้องเรียกกลับ กระทรวงยุติธรรมโดยท่านผู้รั้งเสนาบดีจึงชี้แจงต่อรัชกาลที่ ๗ ขอให้ท่านปรีดีศึกษาต่อไปจนสำเร็จ หากท่านปรีดีทำอะไรผิดไปประการใดท่านผู้รั้งเสนาบดีขอเป็นประกัน ในข้อนี้ รัชกาลที่ ๗ ได้อนุโลมเห็นด้วย ท่านปรีดีเลยไม่ถูกส่งกลับ คงสอบขั้นด๊อกเตอร์และได้เกียรตินิยมดีมาก คือ Très bien กล่าวไว้ว่าท่านปรีดีเป็นคนแรกที่สอบได้ Docteur de l'Etat ด๊อกเตอร์ของรัฐ ไม่ใช่ Docteur de l' Université คือด๊อกเตอร์ของมหาวิทยาลัย เป็นด๊อกเตอร์ของผู้ที่เรียนมาแต่ชั้น Licence en Droit ตั้งแต่ปีที่ ๑ ตลอดมาจนถึง Doctorat en Droit

สอบเสร็จแล้วท่านปรีดียังไม่หมดเคราะห์ทีเดียว ท่านอัครราชทูตจะให้โดยสารเรือกลับชั้นปากเรือหรือชั้นสาม แล้วต่อมาจะเปลี่ยนเป็นชั้นสอง จะให้ตัดเสื้อกางเกงเดินทางเป็นสีน้ำตาลอย่างแบบคนงาน พวกเราชาวนักเรียนไทยในฝรั่งเศสจึงช่วยกันตามมีตามเกิดบริจาคเงินช่วยท่าน ท่านปรีดีก็กลับประเทศไทยได้สะดวกสบายหน่อย

เหตุต่าง ๆ ที่ปรากฎมา ถึงจะไม่เป็นเรื่องไม่เป็นราว แต่เป็นสิ่งแสลงใจของผู้ที่อยู่ในวัยหนุ่ม ดูผู้ใหญ่จะทำอะไรเอาแต่ใจ รังแกเด็กเสียเรื่อย ไม่เห็นมีความยุติธรรม เที่ยงธรรมตรงไหน การกระทบกระเทือนทีละเล็กละน้อยนี้ หลายๆ ครั้งเลยกลายเป็นมูลเหตุสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินในสมัย ๒๔๗๕ และในสมัยหลังสุดก็คือ การรัฐประหาร ๑๖ กันยายน ๒๕๐๐ นี้เอง จริงอยู่เหตุการณ์และบุคคลไม่เหมือนกัน แต่มูลฐานแท้คงเป็นอย่างเดียวกัน คือ เกิดไม่ยุติธรรม ไม่เที่ยงธรรม เมาอำนาจรังแกกันเหล่านี้ขึ้น ผู้ที่ทนไม่ไหวก็ต้องฮึดขึ้นล้างกัน ถึงจะไม่ล้างชีวิต ล้างทรัพย์สิน ริบราชบาทว์ ประหารชีวิตเจ็ดชั่วโคตร เอาให้สิ้นแผ่นดินไทย ไม่ให้มีเชื้อสายสืบพันธุ์ดังในสมัยโบราณ เพียงแต่ล้างชื่อ ล้างเกียรติ บางท่านก็ว่าพอเหมาะพอควรกับสมัยแห่งความเจริญแล้ว แต่บางท่านไม่เห็นด้วยก็มีไม่น้อยเหมือนกัน

เมื่อท่านปรีดีกลับมาถึงเมืองไทยแล้วก็เข้ารับราชการ การเข้ารับราชการตอนนี้ข้าพเจ้ายังศึกษาอยู่ที่ฝรั่งเศส ทราบว่าท่านได้เกี่ยวข้องกับโรงเรียนกฎหมายโดยเป็นผู้สอน ทางท่านดูปลาตร์ซึ่งเป็นเพื่อนกับคุณพ่อของข้าพเจ้าและเป็นผู้แนะนำให้คุณพ่อส่งข้าพเจ้าไปเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยเกรอนอเบลอ เพราะท่านดูปลาตร์เป็นชาวเมืองนั้น และต้องการให้ข้าพเจ้ามาสอนในโรงเรียนกฎหมาย ให้ทำงานอย่างท่านปรีดี คุณพ่อข้าพเจ้าซึ่งได้กล่าวแล้วว่ารู้จักท่านปรีดีมาตั้งแต่เป็นนักเรียนกฎหมายไทย ได้สั่งข้าพเจ้าให้เรียนทุกอย่างเหมือนอย่างท่านปรีดีเรียน

ดังนั้น เมื่อท่านปรีดีได้ Licence en Droit เข้ามาต่อที่ Paris ส่วนข้าพเจ้าเมื่อได้ Licence en Droit จาก Grenoble ก็เข้ามาต่อที่ Paris เหมือนกัน ท่านปรีดีเรียนสอบได้ Sciences Juridiques ตอนหลังเขาเปลี่ยนเป็น Droit Privé ข้าพเจ้าก็เรียนและสอบได้ Droit Privé ท่านปรีดีเรียนและสอบได้ปริญญาโททางเศรษฐศาสตร์ ข้าพเจ้าก็เรียนและสอบปริญญาโททางเศรษฐศาสตร์ได้ ท่านปรีดีเขียนวิทยานิพนธ์ในเรื่องของกฎหมายเป็นเรื่องกฎหมายเปรียบเทียบ ข้าพเจ้าก็เขียนวิทยานิพนธ์ในเรื่องกฎหมายเป็นเรื่องเปรียบเทียบเช่นเดียวกัน

ข้าพเจ้าเขียนเรื่องการจัดการมรดกโดยมีพินัยกรรมตามกฎหมายอังกฤษ เปรียบเทียบกับกฎหมายของฝรั่งเศสให้ชื่อเรื่องว่า De l' exé cuteur testamentaire dans le droit anglais ข้าพเจ้าเป็นคนไทยแต่เขียนกฎหมายอังกฤษให้คนฝรั่งเศสอ่าน ดูก็จะอวดดีไปหน่อย แต่ครูของข้าพเจ้าท่านศาสตราจารย์ Levy Ullmann ประสงค์ให้ข้าพเจ้าทำเช่นนั้น เพราะลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่งเป็นคนฝรั่งเศสเขียนเรื่องมรดกของอังกฤษโดยไม่มีพินัยกรรมไว้แล้ว ข้าพเจ้าเป็นลูกศิษย์ของท่านอีกคนหนึ่งก็เลยต้องเขียนเรื่องมรดกอังกฤษโดยมีพินัยกรรมเพื่อให้เป็นหนังสือคู่กัน

ท่านปรีดีระหว่างอยู่ปารีส มีเพื่อนฝูงที่เป็นชาวต่างประเทศมาก สำหรับชาวเอเชียท่านมีเพื่อนชาติญวนและจีน แต่มีเพื่อนเป็นญวนมากกว่า ท่านประยูร ภมรมนตรี ซึ่งขณะนั้นก็ศึกษาอยู่ที่ Paris เช่นเดียวกัน เคยเล่าว่า พวกญวนที่มาศึกษาอยู่ในฝรั่งเศสเป็นนักปฏิวัติทุกคน อันที่จริงก็เป็นของธรรมดา เพราะฝรั่งเศสปกครองญวนอยู่ญวนยังไม่มีอิสระ ญวนก็อยากเป็นอิสระมีเสรีบ้าง ฝรั่งเศสไม่ให้ก็ต้องปฏิวัติกันเท่านั้น ท่านปรีดีกลับถึงประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๐ ข้าพเจ้ากลับถึงประเทศไทยปลายปี พ.ศ. ๒๔๗๓ หลังท่าน ๓ ปีเศษ เมื่อข้าพเจ้ากลับมาท่านได้แต่งงานแล้ว อยู่บ้านป้อมเพ็ชรที่เรียกว่าเรือนหอ ข้าพเจ้าเช่าบ้านของคุณหญิงชัยวิชิตมารดาท่านผู้หญิงพูนศุข บ้านที่เช่านั้นอยู่ตรอกพิกุล ข้าพเจ้าจึงได้พบกับท่านปรีดีบ่อยครั้ง และได้พบกับท่านผู้ต่อมาได้มีตำแหน่งใหญ่โตตามลำดับที่บ้านของท่านปรีดีด้วย เช่น ท่านจอมพลแปลก คุณหลวงทัศนัยนิยมศึก ท่านควง คุณหลวงสินธุ คุณหลวงธำรงและผู้อื่นอีกมาก

ในฐานะที่ท่านปรีดีเป็นผู้ทรงความรู้สูงในทางกฎหมาย ท่านปรีดีจึงได้อธิบายทฤษฎีของ Lombroso ศาสตราจารย์ทางนิติเวชวิทยาของมหาวิทยาลัยติวริน-อิตาลี ทฤษฎีนี้กล่าวถึงบุคคลผู้กระทำผิดว่ามีลักษณะอย่างไร ฝรั่งเศสเรียกว่า L'homme criminel ท่านปรีดีได้อธิบายที่สามัคยาจารย์ มีบุคคลเข้าฟังอย่างล้นหลาม เป็นความรู้ใหม่ของคนไทยสมัยนั้น ท่านปรีดีได้พิมพ์หนังสือเล่มนี้ไว้ด้วย ผู้ศึกษากฎหมายอาญาแม้ในฝรั่งเศสต้องรู้จักนามของท่าน Lombroso นามของท่าน Farri ศาสตราจารย์กฎหมายอาญาอิตาลีอีกผู้หนึ่ง และท่าน Garofalo ผู้พิพากษาอิตาลี ทั้งสามท่านนี้ได้เป็นผู้ตั้งสำนักศึกษาเรื่องลักษณะของผู้ที่มีสันดานร้ายมีชื่อเสียงตอนต้นศตวรรษที่ ๒๐ นี้มาก

ท่านปรีดีได้รวบรวมบทบัญญัติของกฎหมายไทย ตั้งแต่สมัยกฎหมายตราสามดวงเป็นต้นมา รวมกับบทบัญญัติกฎหมายสมัยใหม่ จัดเป็นหนังสือชุด กล่าวถึงตัวบทกฎหมายของไทยแต่แรกจนถึงสมัยนี้ ท่านปรีดีให้พิมพ์เป็นหนังสือเรียกว่า ประชุมกฎหมายไทย ผู้พิพากษา ทนายความ และผู้ที่ใช้ตัวบทกฎหมาย ซื้อกันมากมาย บางคนเลยกล่าวว่า เงินที่ได้จากการขายหนังสือนี้แหละที่ท่านปรีดีนำมาลงทุนใช้จ่ายในการปฏิวัติ การพิมพ์ประชุมกฎหมายไทยนี้ มีผู้ชมความคิดท่านมาก คือแทนที่ท่านปรีดีจะจ้างคนคัดคนทาน ท่านใช้ถ่ายภาพทำบล๊อค ย่อส่วนของจริงให้เล็ก เพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองกระดาษ นับว่าท่านเป็นนักเศรษฐกิจที่ทำงานโดยลงทุนน้อย ประหยัดค่าใช้จ่าย ได้ผลงานเยี่ยม ถ้าคัดผิดทานผิด ก็ต้องแก้กันใหญ่ สิ่งบกพร่องมีได้มากและง่าย นี่ถ่ายภาพมาจากสมุดข่อย ราชกิจจาแท้ๆ ผิดถูกอยู่ที่ผู้เขียนสมุดข่อยผู้พิมพ์ราชกิจจาเอง

สำหรับกฎหมายตราสามดวงลายมือโบราณอ่านยาก ถ่ายคัดเป็นบล๊อคแล้วมาพิมพ์ จะให้ชัดเจนก็ยาก เพราะของจริงเลือนหรือลบไป ทั้งกฎหมายตราสามดวง ก็มีถึง ๓ ชุด ผู้คัดแต่ละชุดมีบางตอนสะกดการันต์หรือคัดถ้อยคำไม่เหมือนกัน ดังนี้เมื่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองแล้ว ท่านปรีดีได้มอบให้ท่านผู้สอนวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายไทย คือ ท่าน ร.แลงกาต์ ตรวจสอบแล้วจัดพิมพ์ใหม่ เรียกว่า ประมวลกฎหมายรัชกาลที่ ๑ จ.ศ. ๑๑๖๖

เมื่อท่านปรีดีมีภาระหน้าที่ราชการมาก ท่านจะคุมโรงพิมพ์นิติสาสน์ หนังสือนิติสาสน์ ก็ไม่มีเวลา ถึง คุณวิจิตร ลุลิตานนท์ จะเป็นหัวแรง ทั้งข้าพเจ้าและผู้อื่นจะช่วยกันเขียนบทความ เฉพาะอย่างยิ่งคำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เรียงตามลำดับมาตราต่อจากท่านปรีดี เราจะได้ช่วยกันทำมาได้เกือบครึ่งแล้วก็ตาม แต่ต่างคนต่างก็มีภารกิจทางอื่นมาก มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองก็ได้ตั้งแล้ว ต้องมีโรงพิมพ์พิมพ์คำสอนและอื่นๆ ท่านปรีดีจึงได้โอนกิจการของโรงพิมพ์นิติสาสน์ทั้งแท่นพิมพ์และตัวพิมพ์ และหนังสือนิติสาสน์พร้อมทั้งกู๊ดวิลทั้งหมดให้เป็นกรรมสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยดำเนินงานต่อไป

มหาวิทยาลัยได้ตอบแทนมูลค่าแห่งการโอนให้แก่ท่านน้อยมาก ไม่ได้ถือเป็นการซื้อขายในราคาตลาดมหาวิทยาลัยขณะนั้นมีเงินน้อย เงินอุดหนุนจากงบประมาณประจำปีก็ต้องจ่ายให้กระทรวงกลาโหมเป็นการผ่อนส่งราคาซื้อที่ดิน จึงตอบแทนเงินให้ท่านปรีดีเพียงเล็กน้อย

คำอธิบายกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เรียงตามลำดับมาตรานี้ ก่อนท่านปรีดีเขียน ก็มีผู้อื่นเขียน แต่ก็เขียนอธิบายได้ไม่กี่มาตราไม่จบ ท่านปรีดีก็เขียนไม่จบ ข้าพเจ้า คุณวิจิตร ลุลิตานนท์ คุณเสริม วินิจฉัยกุล ได้ช่วยกันเขียนต่อไปก็ไม่จบอีก ต่อมาคณะนักนิติศาสตร์ได้ร่วมกันช่วยกันทำคำอธิบายให้จบได้ จึงเป็นตำรับตำราใช้ในการค้นคว้าต่อไป

ท่านปรีดีเคยเกี่ยวข้องกับเรื่องความ คือการวินิจฉัยให้ความเห็นในทางกฎหมาย เคยเกี่ยวข้องทั้งงานทางราชการ อัยการ ศาล ทนายมาแล้ว ในระยะเวลาก่อน พ.ศ. ๒๔๗๕ นั้น ท่านได้เป็นเลขานุการที่กรมร่างกฎหมายเป็นที่สองถัดจากคุณพระสารสาสน์ประพันธ์ คู่กันกับคุณหลวงประพนธ์นิติสรรค์ เนติบัณฑิตไทยและอังกฤษ ซึ่งถึงแก่กรรมไปนานแล้ว ท่านปรีดีจึงได้เกี่ยวข้องกับการร่างกฎหมายมาก เฉพาะอย่างยิ่งพวกประมวลกฎหมาย เพราะเวลานั้นที่กรมร่างกฎหมายกำลังพิจารณาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ ๔-๕-๖ และวิธีพิจารณาต่าง ๆ

ท่านปรีดีศึกษากฎหมายจากฝรั่งเศส รู้เรื่ององค์การจัดร่างกฎหมายของฝรั่งเศสดี องค์การนี้นอกจากจะร่างกฎหมายแล้วยังทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมายของแผ่นดิน นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นศาลปกครองพิจารณาข้อพิพาทระหว่างเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองกับประชาชนอีกด้วย ดังนี้เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วรัฐบาลจึงได้สถาปนากรมร่างกฎหมายใหม่ ยกฐานะเป็น คณะกรรมการกฤษฎีกา จะให้ทำหน้าที่ศาลปกครองอีกหน้าที่หนึ่ง แต่จนถึงวันนี้ยังไม่มีกฎหมายกำหนดว่าอะไรเป็นคดีปกครอง หน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกา การนั่งเป็นศาลปกครองจะเป็นอย่างไร นี่ก็หลายปีมาแล้ว รัฐบาลหลายรัฐบาลเสนอกฎหมายในเรื่องอำนาจของกรรมการกฤษฎีในเรื่องศาลปกครองมาหลายครั้ง สภาผู้แทนราษฎรรับหลักการทุกที แต่พอพิจารณาได้เพียงวาระสองเป็นอย่างมากก็ไม่เคยพิจารณาถึงวาระสามตลอดไปสักที

อุปสรรคของเรื่องก็คือหลักกฎหมายที่คนไทยส่วนมากได้รับการอบรมและมีความนึกคิดในทางกฎหมายเป็นหลักของกฎหมายอังกฤษ ซึ่งถือว่าเรื่องการพิจารณาพิพากษาคดีแล้ว ก็มีแต่ที่ศาลยุติธรรมแห่งเดียวเท่านั้นที่มีอำนาจ ดังนี้ถ้าประเทศไทยจะให้มีศาลปกครองอีก ก็เท่ากับตั้งศาลยุติธรรมชนิดที่สองขึ้น ทั้งสองศาลอาจขัดแย้งกันได้ ดูเรื่องจะยุ่งกัน และจะปรับให้ลงรอยกลมเกลียวกันคงจะต้องใช้เวลานาน ทั้งงานราชการเรื่องอื่น ๆ ของไทยที่สำคัญและด่วนกว่าเรื่องศาลปกครองยังมีอีกมาก เรื่องศาลปกครองจึงรอกันเรื่อยมาจนบัดนี้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าทิ้งเรื่องเสียทีเดียว ยังรอเอาไว้พิจารณากันต่อไปอยู่

ในส่วนงานเป็นครูบาอาจารย์นั้น ท่านปรีดีเป็นอาจารย์ผู้สอนที่โรงเรียนกฎหมาย เคยสอนหลายวิชา แต่วิชาหนึ่งซึ่งถึงไม่ใช้วิชากฎหมายแท้ ได้สร้างชื่อเสียงให้กับท่านมาก คือวิชากฎหมายปกครอง ในข้อความตอนต้นในคำอธิบายวิชานี้ท่านปรีดีได้พูดถึงธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน ซึ่งในเวลานี้เรียกว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญ ท่านได้อธิบายเรื่องเสรีภาพต่างๆ ที่เขียนและพูดในสมัยนี้ แต่ในครั้งนั้นท่านปรีดีเรียกว่า ความเป็นอิสระ

ท่านได้อธิบายถึงเรื่องการปกครองของเมืองไทย สมัย เวียง วัง คลัง นา เปลี่ยนแปลงมาเป็นลำดับ การแบ่งเขตปกครอง การจัดการปกครองเป็นกระทรวง แล้วไปเติมเรื่องหน้าที่ของรัฐในทางเศรษฐกิจ ซึ่งท่านปรีดีเรียกในขณะนั้นว่า “การงานซึ่งฝ่ายปกครองกระทำเพื่อส่งเสริมบำรุงฐานะและความเป็นอยู่ ความสุขสมบูรณ์ของราษฎร” ท่านปรีดีแบ่งชนิดแห่งการงานซึ่งฝ่ายปกครองต้องกระทำนี้ออกเป็นสาขาใหญ่ ๒ ประเภท คือ ๑. ในทางเศรษฐกิจ (Economie politique) ๒. ในทางสมาคมกิจ (Economie sociale) แล้วท่านปรีดีก็พูดเรื่องประดิษฐกรรม ปริวัตกรรรม วิภาคกรรม โภคยกรรม เขียนความสั้นๆ เพียงไม่ถึง ๕ หน้ากระดาษ ท่านปรีดีจบคำอธิบายกฎหมายปกครองด้วยการคลังของประเทศ เกี่ยวกับงบประมาณรายได้ รายจ่าย การกู้เงิน การชำระหนี้ของรัฐ

ดั่งนี้ คำอธิบายกฎหมายปกครองของท่านปรีดี จึงกว้างขวางจูงใจบุคคลผู้อ่านให้หันเข้าเอาใจใส่ในกิจการบ้านเมือง ราษฎรผู้ถูกปกครองใคร่ได้มีปากมีเสียงในการปกครองบ้าง ความรู้สึกอยากปกครองตนเองจึงเกิดมีขึ้น

เมื่อเปลี่ยนการปกครองแล้ว ท่านปรีดีได้จัดการวางรากฐานการศึกษาในเรื่องประชาธิปไตย จัดปรับปรุงจักรกลในการปกครอง ตลอดจนการปรับปรุงภาษีอากรทั้งหลาย แต่เขาเห็นกันว่าท่านเก่งนักเลยวางกับดักท่านในเรื่องเศรษฐกิจ ฟังท่านพูดทำเป็นเห็นด้วย ขอให้ท่านเขียนเสนอขึ้นมา ท่านก็รู้เท่า จึงเสนอแต่เพียงเค้าโครงฯ แต่เมื่อเขาจะหาเหตุกับท่านปรีดีแล้ว เขาก็หาเอาจนได้ ท่านปรีดีจึงต้องออกไปนอกประเทศ แต่ท่านไปได้ไม่นานก็เกิดการยึดอำนาจการปกครองกันใหม่ ท่านปรีดีจึงได้กลับเข้ามายังประเทศไทยได้อีก

จากนี้เรื่อง เค้าโครงการเศรษฐกิจ เป็นอันว่าเก็บเงียบไม่พิจารณา ไม่มีใครกล้าพูดถึง แต่สิ่งที่เขียนไว้ในเค้าโครงฯ นั้นรัฐบาลชุดต่างๆ ต่อมาจัดทำขึ้น เราจึงเห็นสิ่งที่กล่าวไว้ใน เค้าโครงการเศรษฐกิจ เป็นตัวเป็นตนขึ้น เช่น ธนาคารชาติ และหลังที่สุดก็คือ การประกันสังคม ซึ่งมีชื่อหรู แต่จะมีแก่นหรือมีเพียงแต่เปลือกนอก น่าจะต้องพิจารณากันดูให้ถ่องแท้

หมายเหตุ

  • คงอักขระสะกดไว้ตามต้นฉบับ
  • คงเลขไทยไว้ตามต้นฉบับ