ภาพเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 สหรัฐอเมริกา
ที่มา : POLITICO
ในผลงานชิ้นสำคัญของ Mark Twain เรื่อง "A Connecticut Yankee in King Arthur's Court" ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1889 Twain ได้เขียนข้อความที่กระตุ้นความคิดไว้ว่า มีความหวาดกลัวสองยุคในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส ยุคหนึ่งคือความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งมีการประหารชีวิตด้วยกิโยตินและเลือดไหลนองบนท้องถนน อีกยุคหนึ่งคือความรุนแรงของระบอบเก่าที่กดขี่ประชาชนมาหลายศตวรรษก่อนหน้านั้น
สิ่งที่น่าสนใจคือ Twain ชี้ให้เห็นว่า แม้การปฏิวัติจะดูโหดร้ายและสร้างความสยดสยองแก่ผู้คน แต่ความรุนแรงนั้นเกิดขึ้นเพียงไม่กี่เดือนหรือไม่กี่ปี ในขณะที่ความรุนแรงของระบอบเก่าดำเนินต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน สร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้คนนับล้านชีวิต แต่สังคมกลับมองข้ามและยอมรับมันเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นจริง การเปรียบเทียบนี้นำเราไปสู่คำถามสำคัญว่า ทำไมสังคมจึงตอบสนองต่อความรุนแรงทั้งสองรูปแบบแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
บทความตอนแรกนี้จะสำรวจธรรมชาติของ "ความรุนแรงที่มองเห็นได้" หรือความรุนแรงแบบที่ Twain เรียกว่า "ยุคแห่งความหวาดกลัวที่หนึ่ง" ซึ่งเป็นความรุนแรงที่ชัดเจน ตรงไปตรงมา เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และสร้างความตระหนกให้กับสาธารณชน เพื่อที่เราจะเข้าใจว่าทำไมมันจึงดึงดูดความสนใจของสังคมอย่างมาก และทำไมการตอบสนองที่รวดเร็วนี้อาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดในการรับมือกับความรุนแรงในสังคม
ลักษณะของความรุนแรงที่มองเห็นได้
ความรุนแรงที่มองเห็นได้มีลักษณะเด่นที่แตกต่างจากความรุนแรงรูปแบบอื่นอย่างชัดเจน คือความเป็น "เหตุการณ์" ที่เกิดขึ้นในเวลาและสถานที่เฉพาะเจาะจง มันเป็นการกระทำที่สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า บันทึกได้ด้วยภาพถ่าย และรายงานได้ในหนังสือพิมพ์ ความชัดเจนนี้ทำให้สังคมสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและตรงไปตรงมา
การปฏิวัติฝรั่งเศสที่ Twain อ้างถึงเป็นตัวอย่างคลาสสิกของความรุนแรงประเภทนี้ ตั้งแต่การโจมตีคุกบาสตีย์ในปี 1789 ไปจนถึงยุครัชกาลแห่งความหวาดกลัวในปี 1793-1794 ความรุนแรงเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างเข้มข้นและรวดเร็ว มีผู้เสียชีวิตหลายหมื่นคนภายในระยะเวลาไม่กี่ปี กิโยตินกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรุนแรงนี้ แท่นประหารตั้งอยู่กลางจัตุรัสสาธารณะ ประชาชนมาชุมนุมเพื่อชมการประหารชีวิต เสียงของใบมีดตกลงมาและศีรษะที่กลิ้งลงมาในตะกร้ากลายเป็นภาพที่ฝังแน่นในความทรงจำของผู้คน สื่อในยุคนั้นรายงานข่าวอย่างละเอียดถึงจำนวนผู้ถูกประหารแต่ละวัน ชื่อของพวกเขา และคำพูดสุดท้ายก่อนตาย
ความรวดเร็วและความรุนแรงเฉียบพลันนี้เป็นเพียงด้านหนึ่งของความรุนแรงที่มองเห็นได้ อีกด้านหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือความสามารถในการระบุตัวผู้กระทำและเหยื่อได้อย่างชัดเจน ในการปฏิวัติฝรั่งเศส เรารู้ว่าใครคือคณะจาโคแบ็ง ใครคือโรเบสปีแยร์ และใครคือผู้ที่ถูกส่งขึ้นกิโยติน ความรุนแรงนี้มีใบหน้า มีชื่อ และมีความรับผิดชอบที่สามารถติดตามได้ เมื่อกองทหารเข้าปราบปรามผู้ชุมนุม เมื่อตำรวจใช้กำลังกับประชาชน หรือเมื่อผู้ก่อการร้ายวางระเบิด เราเห็นผู้กระทำและเหยื่ออย่างชัดเจน เราสามารถจับกุม ลงโทษ หรือปกป้องพวกเขาได้ ความชัดเจนนี้สร้างความรู้สึกว่าเราสามารถควบคุมและจัดการกับสถานการณ์ได้
การประหารชีวิตพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ในปี 1793
ที่มา : Paris Musées
นอกจากนี้ ความรุนแรงที่มองเห็นได้มักเกิดขึ้นในพื้นที่สาธารณะหรือมีการรายงานสู่สาธารณะอย่างกว้างขวาง การประหารชีวิตในจัตุรัสหลวง การปราบปรามผู้ชุมนุมบนท้องถนน การโจมตีทางทหาร หรือแม้แต่การลอบสังหาร ล้วนเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น "ต่อหน้าต่อตา" ของสังคม ในยุคสมัยใหม่ สื่อมวลชนและสื่อสังคมออนไลน์ยิ่งทำให้ความรุนแรงเหล่านี้มีการเผยแพร่อย่างกว้างขวางและรวดเร็วยิ่งขึ้น ภาพวิดีโอของเหตุการณ์ความรุนแรงสามารถแพร่กระจายไปทั่วโลกภายในไม่กี่ชั่วโมง สร้างความตระหนกและปฏิกิริยาตอบโต้จากสาธารณชนอย่างทันที
ปฏิกิริยาของสังคมต่อความรุนแรงที่มองเห็นได้
เมื่อความรุนแรงปรากฏต่อหน้าต่อตา สังคมมักมีปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรงและทันทีทันใด ความตกใจ ความโกรธ และความต้องการความยุติธรรมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาพของเลือดไหล ศพนอนเกลื่อนพื้น และเสียงกรีดร้องของเหยื่อสร้างความสยองขวัญให้กับผู้พบเห็น แม้แต่ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์โดยตรงก็รู้สึกถึงความหวาดกลัวผ่านการรายงานข่าวและภาพที่เผยแพร่ ความสยองขวัญนี้ไม่ใช่เพียงอารมณ์ที่เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว แต่มันฝังรากลึกอยู่ในจิตวิทยาของมนุษย์
ความน่ากลัวนี้นำไปสู่การเรียกร้องความยุติธรรมอย่างรวดเร็ว เมื่อมีผู้กระทำและเหยื่อที่ชัดเจน สังคมจะเรียกร้องให้มีการลงโทษผู้กระทำความผิดอย่างทันที ศาลจะถูกเรียกร้องให้พิจารณาคดีอย่างเร่งด่วน รัฐบาลจะถูกกดดันให้ดำเนินการ และสาธารณชนจะเฝ้าติดตามเพื่อดูว่าความยุติธรรมจะเกิดขึ้นหรือไม่ กรณีศึกษาที่ชัดเจนคือเหตุการณ์โจมตีก่อการร้ายที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในปี 2001 ภายในไม่กี่สัปดาห์ สหรัฐอเมริกาก็ประกาศสงครามต่อการก่อการร้ายและเริ่มปฏิบัติการทางทหารในอัฟกานิสถาน ความรวดเร็วของการตอบโต้นี้สะท้อนถึงความเร่งด่วนที่สังคมรู้สึกเมื่อเผชิญกับความรุนแรงที่มองเห็นได้
การตอบสนองที่รวดเร็วนี้ไม่ได้หยุดแค่การลงโทษผู้กระทำความผิดเท่านั้น มันยังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายและกฎหมายอย่างกว้างขวาง ความรุนแรงที่มองเห็นได้มักเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้รัฐบาลต่าง ๆ ผ่านกฎหมายใหม่ เพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคง และปรับเปลี่ยนระบบยุติธรรม เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ซ้ำรอยอีก หลังเหตุการณ์ 11 กันยายน สหรัฐอเมริกาผ่าน USA PATRIOT Act ภายในไม่ถึงสองเดือน ซึ่งเป็นการขยายอำนาจของหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่างมาก หลายประเทศทั่วโลกก็เดินตามและปรับปรุงกฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายของตนเอง การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะแรงกดดันจากสาธารณชนและความต้องการที่จะทำ "อะไรสักอย่าง" เพื่อป้องกันความรุนแรงในอนาคต
ผลกระทบระยะสั้นของความรุนแรงที่มองเห็นได้
แม้ความรุนแรงที่มองเห็นได้จะสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล แต่ผลกระทบส่วนใหญ่มักเป็นระยะสั้น เมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไป ความตื่นตระหนกค่อย ๆ คลี่คลาย สังคมเริ่มฟื้นตัว และชีวิตกลับสู่ภาวะปกติ ในกรณีของการปฏิวัติฝรั่งเศส ประมาณการชี้ว่ามีผู้เสียชีวิตระหว่าง 16,000 ถึง 40,000 คน ในช่วงยุครัชกาลแห่งความหวาดกลัว ตัวเลขนี้น่าสะพรึงกลัวอย่างแน่นอน แต่ดังที่ Twain ชี้ให้เห็น มันคือเพียงเศษเสี้ยวเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ที่ตายจากความอดอยาก โรคภัยไข้เจ็บ และการทารุณกรรมภายใต้ระบอบเดิมที่กินเวลาหลายศตวรรษ
ความสามารถในการฟื้นฟูจากความรุนแรงที่มองเห็นได้นั้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจ สังคมมีความยืดหยุ่นในการกลับคืนสู่ภาวะปกติ เมื่อภัยคุกคามถูกกำจัดหรือควบคุมได้แล้ว ผู้คนจะค่อย ๆ กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ธุรกิจกลับมาเปิดดำเนินการ เด็ก ๆ กลับไปโรงเรียน และความไว้วางใจในสังคมค่อย ๆ สร้างขึ้นใหม่ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แม้ว่ายุโรปจะถูกทำลายอย่างหนัก แต่ภายในไม่กี่ทศวรรษ ประเทศต่าง ๆ ก็สามารถสร้างใหม่และกลายเป็นสังคมที่เจริญรุ่งเรืองได้อีกครั้ง ความรุนแรงที่ชัดเจนและมีจุดสิ้นสุดทำให้สังคมสามารถวางแผนและฟื้นฟูได้ เพราะผู้คนรู้ว่าเมื่อไหร่ความรุนแรงจะสิ้นสุด และพวกเขาสามารถมองเห็นเส้นทางไปสู่อนาคตที่ดีกว่าได้
บทเรียนจากความรุนแรงที่มองเห็นได้
การศึกษาความรุนแรงที่มองเห็นได้ให้บทเรียนสำคัญแก่เราหลายประการ บทเรียนแรกคือเราไม่ควรประเมินค่าความรุนแรงที่มองเห็นได้สูงเกินจริงจนลืมความรุนแรงรูปแบบอื่น แม้ความรุนแรงที่มองเห็นได้จะน่ากลัวและโดดเด่น แต่มันไม่ได้หมายความว่ามันสำคัญหรือร้ายแรงที่สุดเสมอไป สื่อมักให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นและมองเห็นได้ชัด ทำให้ผู้คนคิดว่านั่นคือปัญหาใหญ่ที่สุดของสังคม ในขณะที่ปัญหาที่แท้จริงอาจซ่อนอยู่ใต้พื้นผิวและสร้างความเสียหายมากกว่าในระยะยาว
บทเรียนที่สองคือความรวดเร็วในการตอบสนองไม่ใช่คำตอบที่ดีเสมอไป การตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อความรุนแรงที่มองเห็นได้อาจนำไปสู่นโยบายที่ไม่รอบคอบและสร้างปัญหาใหม่ตามมา กฎหมายที่ผ่านอย่างเร่งด่วนโดยไม่มีการพิจารณาอย่างรอบคอบอาจละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนผู้บริสุทธิ์ การใช้กำลังตอบโต้อย่างรุนแรงอาจสร้างความแค้นและนำไปสู่วงจรแห่งความรุนแรงที่ไม่มีที่สิ้นสุด ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า การตอบสนองที่รีบเร่งเกินไปมักสร้างปัญหาใหม่ที่ยากต่อการแก้ไขกว่าปัญหาเดิมที่ต้องการจะแก้
บทเรียนสุดท้ายและอาจเป็นที่สำคัญที่สุดคือ การเห็นไม่ได้หมายความว่าเราเข้าใจ การที่เราเห็นความรุนแรงเกิดขึ้นไม่ได้หมายความว่าเราเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงของมัน การปฏิวัติไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะคนโกรธในวันหนึ่ง แต่เพราะมีสาเหตุสะสมมาอย่างยาวนาน มีความไม่เป็นธรรมที่ถูกเพิกเฉย มีความหวังที่ถูกทำลาย และมีความทุกข์ทรมานที่สั่งสมจนไม่อาจทนได้อีกต่อไป การก่อการร้ายไม่ได้เกิดจากความชั่วร้ายล้วน ๆ แต่มาจากความรู้สึกถูกกดขี่ ถูกทอดทิ้ง ถูกลิดรอนศักดิ์ศรี และความสิ้นหวังที่สั่งสมมาจนกลายเป็นความโกรธและความเกลียดชัง หากเราเพียงแค่มองที่การกระทำความรุนแรงโดยไม่พยายามเข้าใจสาเหตุลึกซึ้งที่อยู่เบื้องหลัง เราก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง และความรุนแรงก็จะกลับมาเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในรูปแบบที่แตกต่างกันไป