คำพิพากษา
คดีนายเตียง ศิริขันธ์
คดีหมายเลขดำ ที่ 2628/2501
คดีหมายเลขแดง ที่ 1542/2502
ในพระปรมาภิไธย์พระมหากษัตริย์
ศาลอาญา
วันที่ 20 เดือนตุลาคม พุทธศักราช 2502
ความอาญา
พนักงานอัยการ กรมอัยการ โจทก์
ระหว่าง นายพลตำรวจจัตวา รัตน์ วัฒนะมหาตม์ จำเลยที่ 1
นายพันตำรวจเอก วิชิต รัตนะภาณุ จำเลยที่ 2
นายพันตำรวจโท ศิริชัย กระจ่างวงศ์ จำเลยที่ 3
นายพันตำรวจตรี กมล ชโนวรรณ จำเลยที่ 4
นายพันตำรวจตรี สุนนท์ เอกะโรหิต จำเลยที่ 5
นายพันตำรวจตรี กระแสร์ อุณหสุวรรณ จำเลยที่ 6
นายร้อยตำรวจเอก อิทธิพล เครือใย จำเลยที่ 7
นายร้อยตำรวจโท ผัน ศาสตรปรุง จำเลยที่ 8
นายร้อยตำรวจตรี มรกต มัลลิกมาลย์ จำเลยที่ 9
นายสิบตำรวจเอก แนบ นิ่มรัตน์ จำเลยที่ 10
นายสิบตำรวจเอก ระวี เธียรนันท์ จำเลยที่ 11
นายสิบตำรวจโท ชุมพล ปรีแย้ม จำเลยที่ 12
นายสิบตำรวจตรี ศาสตร์ ภาษิตานนท์ จำเลยที่ 13
นายสิบตำรวจตรี เฉลย สุขสวัสดิ์ จำเลยที่ 14
นายสิบตำรวจตรี เจริญ ไทรสาเกตุ จำเลยที่ 15
เรื่องสมคบฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทุกคน นอกจากนายสิบตำรวจตรี ศาสตร์ ภาษิตานนท์ จำเลยที่ 13 รับราชการเป็นตำรวจประจำการ โดยนายพลตำรวจจัตวา รัตน์ วัฒนะมหาตม์ จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งประจำกรมตำรวจ ในขณะทำผิดมียศเป็นนายพันตำรวจโท ดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้บังคับการสันติบาล และรักษาการในตำแหน่งผู้กำกับการ 1 กองตำรวจสันติบาล กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
นายพันตำรวจเอก วิชิต รัตนะภาณุ จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการกองปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในขณะกระทำผิดมียศเป็นนายพันตำรวจตรี ดำรงตำแหน่งสารวัตร แผนก 1 กองกำกับการ 3 กอง บังคับการกองตรวจ กองบัญชาการตำรวจนครบาล
นายพันตำรวจโท ศิริชัย กระจ่างวงศ์ จำเลยที่ 3 ดำรงตำแหน่งประจำกองบังคับการตำรวจภูธร ภาค 6 ในขณะทำผิดมียศเป็นนายพันตำรวจตรี ดำรงตำแหน่งผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี
นายพันตำรวจตรี กมล ชโนวรรณ จำเลยที่ 4 ดำรงตำแหน่งรักษาการในตำแหน่งผู้กำกับการตำรวจสอบสวนกลาง ภาค 3 ในขณะกระทำผิดมียศเป็นนายร้อยตำรวจเอก ดำรงตำแหน่งรองสารวัตร แผนก 1 กองกำกับการ 3 กอง บังคับการกองตรวจ กองบัญชาการตำรวจนครบาล
นายพันตำรวจตรี สุนนท์ เอกะโรหิต จำเลยที่ 5 ดำรงตำแหน่งสารวัตรประจำกองกำกับการ 4 กองปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในขณะกระทำความผิดมียศเป็นนายร้อยตำรวจโท ดำรงตำแหน่งสารวัตร แผนก 1 กองกำกับการ 1 กองบังคับการกองตรวจ กองบัญชาการตำรวจนครบาล
นายพันตำรวจตรี กระแสร์ อุณหสุวรรณ จำเลยที่ 6 ดำรงตำแหน่งประจำกองบังคับการ กองตำรวจสันติบาล กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในขณะกระทำผิดมียศเป็นนายร้อยตำรวจโท ดำรงตำแหน่งประจำกองบังคับการกองปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
นายร้อยตำรวจเอก อิทธิพล เครือใย จำเลยที่ 7 ดำรงตำแหน่งประจำสถานีตำรวจจังหวัดพิจิตร ในขณะทำผิดเป็นนายร้อยตำรวจนอกประจำการ มียศเป็นนายร้อยตำรวจโท
นายร้อยตำรวจโท ผัน ศาสตร์ปรุง จำเลยที่ 8 ดำรงตำแหน่งรองสารวัตรแผนก 1 กองกำกับการ 1 กองตำรวจสันติบาล กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในขณะกระทำความผิดมียศเป็นจ่านายสิบตำรวจ สังกัดแผนก 1กองกำกับการ 1 กองตำรวจสันติบาล กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
นายร้อยตำรวจตรี มรกต มัลลิกมาลย์ จำเลยที่ 9 ดำรงตำแหน่งรองสารวัตรแผนก 1 กองกำกับการ 1 กองตำรวจสันติบาล กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในขณะที่กระทำความผิดมียศเป็นนายสิบตำรวจเอก สังกัดแผนก 1 กองกำกับการ 1 กองตำรวจสันติบาล กองบัญชาการดำรวจสอบสวนกลาง
นายสิบตำรวจเอก แนบ นิ่มรัตน์ จำเลยที่ 10 สังกัดกองบังคับการกองปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ขณะกระทำความผิด มียศเป็นสิบตำรวจโท สังกัดแผนก 2 กองกำกับการ 3 กองบังคับการ กองตรวจกองบัญชาการตำรวจนครบาล
นายสิบตำรวจเอก ระวี เธียรนันท์ จำเลยที่ 11 สังกัดแผนก 2 กองกำกับการ 1 กองตำรวจสันติบาล กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในขณะกระทำผิดมียศเป็นนายสิบตำรวจโท สังกัดแผนก 2 กองกำกับการ 1 กองตำรวจสันติบาล กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
นายสิบตำรวจโท ชุมพล ปรีแย้ม จำเลยที่ 12 สังกัดแผนก 1 กองกำกับการ 1 กองตำรวจสันติบาล กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในขณะกระทำผิดมียศเป็นสิบตำรวจตรี สังกัดแผนก 1 กองกำกับการ 1 กองตำรวจสันติบาลกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
นายสิบตำรวจตรี เฉลย สุขสวัสดิ์ จำเลยที่ 13 สังกัดสถานีตำรวจภูธรหนองสี สังกัดสถานีตำรวจภูธร จังหวัดกาญจนบุรี ในขณะกระทำผิดมียศเป็นพลตำรวจสมัคร สังกัดสถานีตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี
นายสิบตำรวจตรี เจริญ ไทรสาเกตุ จำเลยที่ 14 สังกัดสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง กาญจนบุรี ขณะกระทำผิดมียศเป็นพลตำรวจสมัคร สังกัดสถานีตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี
นายสิบตำรวจตรี ศาสตร์ ภาษิตานนท์ จำเลยที่ 15 เป็นตำรวจนอกประจำการ ในขณะกระทำความผิดมียศเป็นพลตำรวจสมัคร สังกัดกองบังคับการกองตรวจ กองบัญชาการตำรวจนครบาล
เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2495 เวลากลางวันและกลางคืน หลังเที่ยงต่อเนื่องกัน จำเลยทั้ง 15 คน ในคดีนี้ได้กระทำผิดต่อกฎหมาย กล่าวคือ จำเลยทุกคนกับพวกที่หลบหนี ยังจับตัวไม่ได้อีกหลายคน ได้สมคบร่วมกระทำความผิดด้วยกัน ใช้อำนาจด้วยกำลังกาย ทำร้าย ล็อคคอและใช้เชือกรัดคอนายชาญ บุนนาค นายเล็ก บุนนาค นายผ่อง เขียววิจิตร นายเตียง ศิริขันธ์ นายสง่า ประจักษ์วงศ์ โดยเจตนาฆ่าบุคคลทั้ง 5 คน ที่ระบุชื่อมาแล้วให้ถึงแก่ความตาย ด้วยการกระทำที่จำเลยกับพวกสมคบร่วมกัน สมดังเจตนาของจำเลยกับพวก ในวันเดียวกันนั้นเอง ทั้งนี้จำเลยกับพวกได้กระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและโดยเจตนาฆ่าโดยพยายามด้วยความพยาบาทมาดหมาย ทั้งเป็นการกระทำโดยทรมานโดยกระทำทารุณโหดร้าย หรือแสดงความดุร้ายแก่ผู้ตายทั้ง 5 คนให้ได้รับความลำบากอย่างสาหัส และเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2495 เวลากลางคืนหลังเที่ยง ต่อเนื่องกับวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2495 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง โดยเหตุที่จำเลยกับพวกเจตนาม่าบุคคลทั้ง 5 คนดังกล่าวข้างต้น ซึ่งได้ไตร่ตรองไว้ก่อนแล้ว จำเลยกับพวกได้สมคบร่วมกันเผาทำลายศพทั้ง 5 นั้นเสีย ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถจะทำการชันสูตรพลิกศพได้ตามกฎหมาย
เหตุเกิดที่ตำบลบางจาก อำเภอพระโขนง ตำบลปทุมวัน อำเภอปทุมวัน
จังหวัดพระนคร และเกี่ยวพันกับตำบลแก่งเสี้ยน อำเภอเมือง กาญจนบุรี
นายพันตำรวจโท ศิริชัย จำเลยที่ 3 นายสิบตำรวจตรี เฉลย จำเลยที่ 14 นายสิบตำรวจตรี เจริญ จำเลยที่ 15 เป็นคนเดียวกับจำเลยตามสำนวนคดีหมายเลขดำที่ 213/2500 ของศาลอาญา นายสิบตำรวจตรี ศาสตร์ จำเลยที่ 13 เป็นจำเลยคนเดียวกับจำเลยตามสำนวนคดีอาญา หมายเลขดำที่ 124/2500 ของศาลอาญา และ นายสิบตำรวจเอก แนบ จำเลยที่ 10 เป็นคนเดียวกับจำเลยตามสำนวนคดีอาญา หมายเลขดำที่ 876/2501 ของศาลอาญา ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 มาตรา 63, 64, 249, 250 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 289, 83, 84 และนับโทษจำเลยติดต่อกันกับคดีก่อนนั้นด้วย
จำเลยทั้ง 15 คน ยื่นคำให้การปฏิเสธต้องกันว่า มิได้กระทำความผิด ดังโจทก์กล่าวหาในฟ้องทุกประการ ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ปล่อยตัวจำเลยพ้นข้อหาไป
ทางพิจารณาได้ความว่า นายเตียง ศิริขันธ์ ได้เป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนครตั้งแต่ พ.ศ. 2480 และต่อ ๆ มา ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร นายเตียง คิริขันธ์ ก็ได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรตลอดมา
เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และทหารญี่ปุ่นเข้ามาอยู่ในประเทศไทยใน พ.ศ. 2485 จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ เป็นนายทหารคนสนิทของจอมพล ป. พิบูลสงคราม และเป็นผู้อำนวยการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ รัฐบาลในสมัยนั้นได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับฝ่ายอักษะ (ญี่ปุ่น) และประกาศสงครามกับฝ่ายอังกฤษและอเมริกา นักการเมืองฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยว่าฝ่ายอักษะจะชนะฝ่ายประชาธิปไตย จึงได้ตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้น เพื่อกอบกู้อิสรภาพ เมื่อฝ่ายอักษะแพ้สงคราม โดยดำเนินการร่วมกับฝ่ายเสรีประชาธิปไตยเป็นทางลับ หัวหน้าใหญ่ ของขบวนการเสรีไทยในประเทศคือ นายปรีดี พนมยงค์ นายเตียง ศิริขันธ์ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายถวิล อุดล นายจำลอง ดาวเรือง นายชาญ บุนนาค และคนอื่น ๆ ได้ร่วมในขบวนการนี้
พ.ศ. 2487 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม แพ้โหวตในสภาฯ เรื่องร่างพระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนด สร้างนครบาลเพ็ชรบูรณ์ และร่างพระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดสร้างพุทธบุรีมณฑล จึงได้ลาออกตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ การที่แพ้โหวตในสภาฯ ก็เนื่องจากสมาชิกกลุ่มนายเตียง นายทองอินทร์ นายถวิล นายจำลอง ซึ่งได้รวมกลุ่มนักการเมืองขึ้นกลุ่มหนึ่งเรียกว่า พรรคสหชีพ มี ดร.เดือน บุนนาค เป็นหัวหน้าพรรค นายถวิล อุดล ทำหน้าที่เป็นเลขาธิการพรรค
เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม ลาออกแล้วก็ไปพบกับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ปรับความเข้าใจกันแล้วเหตุการณ์จึงสงบลง
เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง กลุ่มขบวนการเสรีไทยได้เป็นรัฐบาล เริ่มตั้งแต่นายทวี บุณยเกต ต่อมา ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี นายเตียง นายถวิล นายทองอินทร์ นายจำลอง นายทองเปลว ได้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ ได้มีการจับกุมอาชญากรสงคราม หัวหน้าใหญ่คือจอมพล ป. พิบูลสงคราม มาขังและฟ้องศาล ในที่สุดศาลพิพากษายกฟ้องนายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และรัฐบุรุษอาวุโส นายปรีดี พนมยงค์ สนับสนุนพรรคสหชีพและพรรคแนวรัฐธรรมนูญ ของหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ อยู่หลังฉาก ต่อมาได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วก็ลาออก
ใน พ.ศ. 2490 ระหว่างที่หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี พวกเสรีไทย จากพรรคสหชีพ และแนวรัฐธรรมนูญ เช่น นายเตียง ศิริขันธ์ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายจำลอง ดาวเรือง เป็นต้น เป็นรัฐมนตรี ได้เกิดมีรัฐประหารขับไล่รัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ โดยจอมพล ผิน ชุณหะวัณ เป็นหัวหน้าคณะ ทำการรัฐประหารสำเร็จ แล้วให้นายควง อภัยวงศ์ จัดตั้งรัฐบาล เป็นอยู่ราว 3 เดือนก็ถูกบังคับให้ลาออกต่อจากนั้นจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีตลอดมา จนถึง พ.ศ. 2500
เมื่อเกิดรัฐประหารแล้ว นายปรีดี พนมยงค์ ได้หลบหนีออกไปอยู่นอกประเทศ ได้มีการจับกุมนายเตียง ศิริขันธ์และคนอื่นๆ
ในรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ได้เป็นรองอธิบดีกรมตำรวจ ต่อมาก็ได้เป็นอธิบดีและรัฐมนตรี ได้เกิดมีกบฏขึ้นหลายครั้ง แต่รัฐบาลปราบได้
เมื่อมีการกบฏปี พ.ศ. 2490 นายทองอินทร์ นายถวิล และนายจำลอง นายทองเปลว ถูกจับแล้วถูกยิงตาย นายเตียงก็ถูกจับแต่ถูกปล่อยตัวให้ไปสมัครรับเลือกตั้งที่จังหวัดสกลนคร นายเตียง สนิทสนมกับ นายทองอินทร์ นายถวิล และนายจำลอง เพราะสังกัดพรรคเดียวกัน นายเตียงเคยถูกฟ้องหาว่าเป็นกบฏแบ่งแยกดินแดน แต่ศาลพิพากษายกฟ้อง
โจทก์นำสืบพยานต่อไปว่าในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2495 พวกสหชีพได้รับเลือกตั้งประมาณ 20 คน พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ ได้มาติดต่อขอให้พวกสหชีพสนับสนุนรัฐบาล พรรคพวกปรึกษากันแล้วตกลงจะสนับสนุนรัฐบาล แต่มีข้อแม้ให้รัฐบาลรับเอานโยบายสหกรณ์อันเป็นนโยบายของพรรคสหชีพแต่เดิมนั้นไปปฏิบัติด้วย ฝ่ายรัฐบาลก็ยอมรับจะไม่ป้ายสีว่า พวกสหชีพเป็นคอมมิวนิสต์ ส่วนคนที่ถูกฆ่าตายไปแล้วก็จะไม่จองเวรกัน ระหว่างนั้นรัฐบาลมีการประชุมสมาชิกฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล ที่บ้านเสรีมนังคศิลา เรียกว่าคณะกรรมการนิติบัญญัติ และตั้งให้สมาชิกเป็นกรรมการนิติบัญญัติทุกคน นายเตียงเป็นกรรมการนิติบัญญัติประจำกระทรวงการคลัง จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นประธานกรรมการนิติบัญญัติ พลเอก มังกร พรหมโยธี เป็นรองประธาน พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ เป็นเลขาธิการคณะกรรมการนิติบัญญัติประชุมทุกวันอังคาร แต่อาจประชุมวันอื่นเป็นกรณีพิเศษด้วย แม้พวกสหชีพจะได้ร่วมสนับสนุนรัฐบาลก็ตาม แต่ก็ยังยึดถือนโยบายเดิมของตนตลอดมา
นายชาญ บุนนาค และนายน้อย บุนนาค เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน เดิมเมื่อ พ.ศ. 2430 ได้ทำงานอยู่ที่โรงหนังเฉลิมกรุง นายชาญเป็นคนฉายหนัง นายเล็กเป็นผู้ช่วย จนถึง พ.ศ. 2485 วันหนึ่งพากันนั่งรถยนต์ขับไปตามถนนที่มีน้ำฝนตกน้ำขังท่วมถนน เผอิญขับรถสวนกับคันที่จอมพล ป. พิบูลสงครามนั่งมา น้ำแตกกระจายเข้าไปในรถทั้งสองฝ่าย นายน้อยร้องเฮ้ยโดยไม่รู้ว่าเป็นรถของใครแล้วก็พากันร้องเฮฮากันตามประสาคนหนุ่ม ทันใดนั้น มีรถตำรวจไล่หลังมาเรียกให้หยุด ปรากฏว่าเป็นรถของขุนจำนงค์รักษา ต่อว่าทำไมจึงแสดงกิริยาอย่างนั้นแล้วขอดูใบขับขี่ แต่นายน้อยไม่ได้เอาใบขับขี่มาด้วย จึงถูกนำตัวมาสถานีตำรวจนางเลิ้ง ต่อจากนั้นก็นำตัวไปที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ประเดี๋ยวเดียว จอมพล ป. พิบูลสงคราม ออกมาถามว่า ทำไมแสดงกิริยาเช่นนั้น รู้ไหมว่าเป็นผู้บังคับบัญชา นายน้อยจึงตอบว่าไม่ได้แสดงกิริยาอะไรและไม่รู้ว่าเป็นใคร จอมพล ป. พิบูลสงคราม ถอดเสื้อแล้วท้าชก นายน้อยตอบว่าเป็นผู้น้อยขอไม่สู้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม สวมเสื้อแล้วบอกให้ตำรวจเอาตัวไปสถานีนางเลิ้ง ถูกขังอยู่คืนหนึ่ง พล.ต.อ.เผ่า มาด่าว่าอยู่พักใหญ่ ตำรวจปรับฐานไม่มีใบขับขี่และส่งเสียงอื้อฉาว 5 บาท วันรุ่งขึ้นตำรวจพาไปพบ พล.ต.อ. เผ่า ที่โรงหนังเฉลิมกรุง พล.ต.อ. เผ่า ถามว่าจะว่าอย่างไร นายน้อยขอประทานโทษ พล.ต.อ. เผ่า ก็บอกว่าตำรวจเอาไปได้ ตำรวจปล่อยให้กลับบ้าน จากนั้น พล.ต.อ. เผ่า ซึ่งเป็นผู้อำนวยการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ก็มีคำสั่งไล่ นายชาญ นายน้อย นายเล็ก ออกจากงาน พร้อมทั้งคนนามสกุลบุนนาค ที่ทำงานอยู่โรงหนังเฉลิมกรุง ก็ให้ออกหมด
ออกจากงานพากันอัดเสียงภาพยนตร์ นายปรีดี สร้างภาพยนตร์ เรื่องพระเจ้าข้างเผือก ให้นายชาญทำหน้าที่อัดเสียงจึงสนิทสนมกัน จนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้ง 3 คน ได้ร่วมทำการเสรีไทย นายน้อยประจำอยู่หัวหิน ที่บ้านนายชาญ บุนนาค เป็นที่รวมส่งข่าวสาร นายเตียง คริขันธ์ เป็นหัวหน้าสายทางสกลนคร ได้ไปมาติดต่อกับนายชาญ และนายเตียงกับนายชาญสนิทสนมกันมาก
สงครามเลิก นายชาญได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา และได้สัมปทานป่าไม้ที่หัวหินได้ 2 ปี เกิดรัฐประหารรัฐบาลหลวงอำรงค์นาวาสวัสดิ์ ต้องออก จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ. เผ่า เป็นรองอธิบดีกรมตำรวจ นายชาญถูกสั่งเลิกสัมปทานป่าไม้ จึงมาร่วมกันอัดแผ่นเสียงภาพยนตร์ ตั้งสำนักงานที่บ้านพระสุจริตสุดา ใช้ห้องใต้ดินเป็นที่อัดเสียง มีคนมาติดต่อมาก นายเตียง ศิริขันธ์ ก็มาติดต่อเรื่องภาพยนตร์และการหาเสียงเลือกตั้งผู้แทนราษฎร มีนายผ่อง เขียววิจิตร มาร่วมทำงานอัดแผ่นเสียงกับนายชาญด้วย
ต่อมามีกบฏหรือเหตุการณ์ทางการเมืองคราวใดนายชาญ นายเล็ก ต้องถูกจับด้วยทุกครั้ง แต่แล้วตำรวจก็ปล่อยทุกครั้ง
ครั้นวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495 ได้เกิดกบฏขึ้นอีก ทางราชการได้จับกุมบุคคลเป็นผู้ต้องหาหลายสิบคนด้วยกัน ตามหลักฐานปรากฏว่า พวกกบฏ ได้สมคบกับบุคคลนอกประเทศ เตรียมที่จะนำกำลังจากภายนอกประเทศมาล้มล้างรัฐบาล พล.ต.อ.พระพินิจชนคดี ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานกรรมการสอบสวน ซึ่งมีกรรมการสอบสวนมากคนด้วยกัน แบ่งออกเป็นสาย ๆ ทำการสอบสวน โดยรีบเร่งทั้งกลางวันและกลางคืน แม้วันหยุดราชการก็ไม่หยุด ใช้ตึกสโมสรกรมตำรวจเป็นที่ทำการสอบสวน นายเตียง ศิริขันธ์ นายชาญ บุนนาค นายเล็ก บุนนาค ได้ถูกตำรวจตามตัวและเรียกให้ไปสอบสวนที่สันติบาล กล่าวคือ
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2495 เวลาประมาณ 2 โมงเช้าเศษ มีตำรวจ 3 คนมาเชิญตัวนายชาญให้ไปที่สันติบาล เวลา 3 โมงเช้า นายชาญกับนายเล็กไปที่สันติบาลด้วยกัน เวลาเที่ยงก็กลับมา นายชาญเล่าให้นางปิ่มปลื้ม บุนนาค ภริยาฟังว่า ทางตำรวจเขาจับคุณทหาร ขำหิรัญ พบบันทึกว่าคุณทหาร ขำหิรัญได้ยืมเงินนายชาญ 1,000 บาท จึงเรียกไปสอบสวน ต่อมาวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2495 ได้มีชาย 3 คนได้มาตามตัวนายชาญให้ไปพบที่สันติบาลเวลา 3 โมงเข้าและให้ไปเอง ครั้นถึงเวลา 3 โมงเช้านายชาญ นายเล็ก และนายผ่อง ซึ่งเป็นคนทำงานอยู่ด้วยและมาค้างอยู่แต่วันก่อนได้พากันไปตามปรกติ นายเล็กได้เป็นคนขับรถยนต์ให้นายชาญ ส่วนนายผ่องเมื่อเสร็จธุระของนายชาญก็จะเลยกลับบ้านที่ฝั่งธนบุรี รถยนต์ที่นั่งไปวันนั้นเป็นรถของนายเล็กยี่ห้อเอ็มยีสีเทา ๆ นายชาญนุ่งกางเกงสีน้ำตาล ใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีเนื้อ มีนาฬิกาข้อมือโรเล็กซ์หนึ่งเรือน ปากกาป๊ากเกอร์หนึ่งด้าม สร้อยคอทองคำพร้อมด้วยพระ 5 องค์ องค์หนึ่งทำด้วยฟันของคุณพ่อ สวมรองเท้าหนังคัดชูสีน้ำตาล คาดเข็มขัดหนังสีน้ำตาล หัวเข็มขัดทำด้วยทองนอก รูปเหลี่ยมข้างบนบิดๆ
นายเล็ก บุนนาค เมื่อออกจากบ้านขับรถไปรับนายชาญ นายผ่อง นั้น นางสุวรรณี บุนนาค ภรรยาเห็นแต่งตัวนุ่งกางเกงสีเขียวขี้ม้า สวมเสื้อคอกลมขาวผ้าขนหนูแขนสั้น ใส่นาฬิกาข้อมือโรเล็กซ์เรือนเหล็ก ใส่แว่นตาขอบทองเรย์แบนด์ ก้านทอง ไม่ได้คาดเข็มขัด สวมรองเท้าหนังบาจาสีน้ำตาลไม่สวมถุง
ส่วนนายผ่อง เขียววิจิตร เมื่อออกจากบ้านไปทำงานกับนายชาญนั้น นางสนิท เขียววิจิตร จำได้ว่าแต่งตัวนุ่งกางเกงขายาวสีน้ำตาลสวมเสื้อเชิ้ตขาวแขนสั้น คาดเข็มขัดหนังสีน้ำตาล ผูกนาฬิกาข้อมือเรือนสีขาว ๆ สายเหล็ก สีขาว สวมสร้อยคอเงิน มีพระเครื่องทำด้วยเงินห้อย นายผ่องใส่ฟันเทียมด้านบนตลอดทั้งด้าน ฟันด้านล่างใส่ฟันเทียมเพียง 4 ซี่ มีแว่นตาไปสองแว่นคือแว่นตากันแดดกับแว่นตาดูหนังสือ
วันนั้น พ.ต.ท. จรัญญา สัตยาบัน เป็นผู้ทำการสอบสวน นายเล็ก บุนนาค ในฐานะเป็นพยาน เวลาเที่ยงเศษก็มี พ.ต.อ. นินนาท วิสุทธิกุล พ.ต.ท. ชิต รัตนพล ได้เห็นนายชาญ นายเล็ก นั่งรอการสอบสวนอยู่ที่ทำการสอบสวนคดีกบฏ 10 พฤศจิกายน
วันที่ 12 ธันวาคม 2495 นั้นเองก่อน 3 โมงเช้าเล็กน้อย นายศิวะ นามสนธิ ได้ไปหานายน้อย บุนนาค ที่ห้องใต้ดิน คุยกันอยู่นานกว่าชั่วโมงก็เห็นนายเตียง ศิริขันธ์ มาถามหานายชาญ นายน้อย บอกว่านายชาญไม่อยู่ ตำรวจมาตามตัวไป นายเตียงว่าชักเป็นห่วงนายชาญ นายเตียงมาถึง 1-2 นาที นายศิวะ ก็ลากลับออกไปจากห้องใต้ดิน เห็นรถนายเตียงจอดอยู่มีนายสง่า เป็นคนขับ
นายน้อยรอนายชาญ นายเล็กจนบ่าย 3 โมงไม่เห็นกลับมา จึงออกติดตามไปที่วังปารุสก์ ที่สันติบาลและที่โรงพักดุสิต ไม่พบ ก็กลับมาทำงานตามเดิม เวลา 6 โมงเย็น นางปิ่มปลื้ม นางสุวรรณี ได้ฝากเสื้อผ้าเอาไปให้นายชาญ นายเล็ก และนายผ่องที่สันติบาล เพราะเข้าใจว่า ยังอยู่ที่นั่น นายน้อยไปถามตำรวจ ๆ บอกว่าเห็นมาแต่ดูเหมือนกลับไปแล้ว จากนั้นนายน้อยไปที่วังปารุสก์ ก็ไม่เห็นจึงกลับบ้าน รุ่งขึ้นวันที่ 13 ธันวาคม ตำรวจมาจับตัวนายน้อยไม่ได้แจ้งข้อหาว่าทำผิดอะไร จากนั้นตำรวจคุมตัวไปสันติบาล ทางบ้านนายชาญมีตำรวจนำหมายจับตัวนายชาญข้อหากบฏ นางปิ่มปลื้มได้อ่านหมายจับนั้นและบอกว่านายชาญไปสันติบาลตั้งแต่วานนี้แล้วยังไม่กลับ ตำรวจขอค้นบ้าน นางปิ่มปลื้มยอมให้ค้น ตำรวจค้นได้ปืนพกหนึ่งกระบอก ถามหาทะเบียนปืน นางปิ่มปลื้มนึกไม่ออกว่าเก็บไว้ที่ไหน ตำรวจจึงยึดเอาปืนกระบอกนั้นไปเอาตัวนางปิ่มปลื้มไปด้วย วันเดียวกันนั้นก็ปล่อยให้กลับมา นายน้อยได้พบนางปิ่มปลื้มที่สันติบาล นายน้อยถูกนำตัวจากสันติบาลไปคุมตัวไว้ที่สถานีตำรวจพญาไท 7 วัน แล้วไปถูกควบคุม ที่โรงพักกลางอีก 23 วัน ตำรวจจึงปล่อยให้กลับบ้าน ตั้งแต่นายชาญ นายเล็ก นายผ่อง ไปสันติบาลเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2495 แล้วทางบ้านไม่มีใครทราบข่าวคราวของบุคคลทั้ง 3 อีกเลย
ในขณะที่นายเตียงและพวกร่วมกันสนับสนุนรัฐบาลขณะนั้น ซึ่งมีจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ เป็นอธิบดีกรมตำรวจและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และเลขาธิการพรรคเสรีมนังคศิลานั้น หลังจากประชุมในพรรครัฐบาลแล้ว นายเตียงเคยปรารภกับนางนิวาศภริยาว่าอยากจะเลิกการเมืองเพราะมันยุ่งนัก
ก่อนเกิดเหตุนี้ประมาณหนึ่งเดือน เวลากลางวันก่อนเที่ยง นายโมรา ณ ถลาง ยืนอยู่กับนายเตียง ศิริขันธ์ สองคนด้วยกันที่บนสภาผู้แทนราษฎร พล.ต.อ. เผ่า เดินมาคนเดียว นายเตียงบอกว่ามีเรื่องจะพูดกับอธิบดีเผ่าหน่อย นายโมราจึงถอยออกมาห่าง เพื่อรักษามรรยาท นายเตียงก็เข้าไปพูดกับ พล.ต.อ. เผ่า สักประเดี๋ยว ได้ยินพูดขึ้นเสียงดังว่า "ท่านก็นับถือพระองค์หนึ่ง ผมก็นับถือพระองค์หนึ่ง อย่ามาก้าวก่ายพระองค์ของผมก็แล้วกัน" พล.ต.อ. เผ่า พูดว่า "ไม่มีอะไรน่า เข้าใจกันดีแล้ว" นายโมราเข้าใจว่าพระองค์นายเตียงถือ คือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์) พระของ พล.ต.อ. เผ่า คือจอมพล ป. พิบูลสงคราม
สำหรับการประชุมหลังจากที่ พล.ต.อ. เผ่า ชวนพวกสหชีพเดิมไปร่วมสนับสนุนรัฐบาล เวลาอภิปราย ได้มีการพูดขัดใจระหว่างพวกสหชีพเดิมกับ พล.ต.อ. เผ่า บ้าง คนที่เสียงแข็งต่อ พล.ต.อ. เผ่า ก็คือนายเตียง พล.ต.อ. เผ่าเคยชี้หน้านายเตียงและพวกว่านี่ความเห็นของหลวงประดิษฐ์นี่ การแสดงอาการโกรธนี้เป็นไปชั่วขณะแล้วก็กลับพูดปรองดองด้วย
วันที่ 12 ธันวาคม 2495 ตอนเช้า นายเตียง ศิริขันธ์ ไปประชุมที่สภาผู้แทนราษฎร ขณะนั้นนางนิวาศภริยานายเตียงป่วยอยู่บ้านแพทย์ดุสิต สี่แยกราชวัตร เวลาหลังเที่ยงเมื่อเลิกประชุมที่สภาฯ แล้ว นายเตียงไปเยี่ยมนางนิวาศตามปกติ มีนายสง่าเป็นคนขับรถตามนายเตียงไปกับนายวิฑูรย์บุตรชายอยู่เกือบชั่วโมงนายเตียงจึงให้นายวิฑูรย์อยู่กับนางนิวาศก่อน บอกว่าจะไปประชุม คือประชุมกรรมการนิติบัญญัติที่บ้านมนังคศิลา วันนั้นนายเตียงแต่งตัวนุ่งกางเกงเวสป้อยส์สีกากีขายาว สวมเสื้อชั้นนอกสีเทามีทางขาว ๆ ผูกเน็คไท สวมรองเท้าสีน้ำตาล คาดเข็มขัดหัวเป็นทองเหลืองรูปสี่เหลี่ยมซึ่งใช้มาประมาณหนึ่งปีแล้ว ใช้นาฬิกาข้อมือเรือนเหล็กมีปากกาเหน็บกระเป๋า ใส่แว่นสายตาสั้นที่ใช้มาประมาณปีกว่า ขอบแว่นเป็นพลาสติกกระจกขาว นายเตียงใส่ฟันเทียมซี่หนึ่งหรือสองซี่ รถยนต์ที่ใช้เป็นรถยี่ห้อออสตินสีน้ำตาลเลขทะเบียน 11448
เวลาบ่าย 2 โมงประชุมกรรมการนิติบัญญัติที่บ้านมนังคศิลา วันที่ 12 ธันวาคม 2495 นั้นเป็นวันศุกร์ซึ่งนัดประชุมพิเศษ นายเตียงได้มาประชุม วันนั้นพวกสหชีพ ได้เข้าประชุมหลายคน เช่น นายโมรา ณ ถลาง นายฉันท์ จันทร์ชุม นายเอื้อน จันทร์วงศ์ นายพัน อินทุวงศ์ พากันนั่งรวมกลุ่มเดียวกันแถวหลังที่ประชุม นายฉันท์นั่งติดนายเตียงทางข้างขวา นายโมรานั่งข้างซ้าย ในที่ประชุมนั้นมี พ.ต.ต.ฉรฉัตร์ กับ ร.ต.อ.วิเชียรอยู่ข้างใน รอบนอกมีตำรวจอีก ร.ต.ท.สถิตย์ ฤชุปมัย ยืนเฝ้าที่ประตูนอกและยังมีตำรวจกองปราบเฝ้าอยู่ข้างนอกรั้วบ้านมนังคศิลาอีก
เมื่อประชุมได้สักหนึ่งชั่วโมงมีตำรวจรับใช้อยู่ในบ้านมนังคศิลา มาตามนายเตียงออกไปจากที่ประชุม นายเตียงออกไปลัก 4-5 นาทีก็กลับมานั่งตามเดิม นายโมราถามว่าใครมาตามไปธุระอะไร นายเตียงบอกว่า ตำรวจมาตามให้ไปสันติบาล นายโมราถามอีกว่า แล้วทำไมยังไม่ไป นายเตียงตอบว่าเดี๋ยวเลิกแล้วค่อยไป แล้วก็มีตำรวจมาตามนายเตียงอีก นายเตียงได้ลุกออกไป ได้เรียกนายพันธ์ อินทุวงศ์ ออกไปพบที่ห้องน้ำของห้องประชุม นายเตียงบอกนายพันธ์ว่า "ตำรวจมาตามอั้วไปสอบสวนแล้ว" นายพันธ์ถามว่าในฐานะอะไร เป็นพยานหรือผู้ต้องหา นายเตียงบอกว่าในฐานะพยาน แล้วสั่งว่า "ให้ลื้อบอกพวกเราให้รู้ไว้ด้วย และคอยสังเกตความเคลื่อนไหว ถ้าสงสัยอะไรให้ไปถามคุณเผ่า" นายพันธ์ก็กลับเข้าห้องประชุม บอกนายโมรา ส่วนนายเตียงออกไปเลย ระหว่างที่มีการประชุมนั้น ร.ต.ท.สถิตย์ ฤชุปมัย ขณะนั้นมียศเป็นจำนายสิบตำรวจ ยืนเฝ้าประตูนอก เวลาประมาณ 15.00 น. ได้เห็น พ.ต.ต.ประชา พูนวิวัฒน์ แต่งกายนอกเครื่องแบบเดินเข้าไปในที่ประชุม ต่อมาราว 10-20 นาที ก็กลับออกมาคนเดียว ขับรถกลับออกจากบ้านมนังคศิลา มีรถยนต์ขับตามออกไป 3-4 คัน คันหนึ่งจำได้ว่าคล้าย ๆ นายเตียงนั่งไปในรถ ตามติดรถ พ.ต.ต.ประชา ไปแล้วไม่กลับมาอีก
หลังจากเลิกประชุมเวลา 18.00 น. นายฉันท์ได้ให้นายโมราติดตามข่าวนายเตียง ด้วยว่าจะเป็นอย่างไรกัน แต่นายโมราก็ไม่ได้ไปตามดู รุ่งเช้า นายโมราโทรศัพท์ไปถามที่บ้านนายเตียงจึงทราบว่า นายเตียงยังไม่ได้กลับบ้าน ได้ไปตามหลายแห่งแต่ไม่พบ พอสักสิบนาฬิกาไปที่สภาผู้แทนราษฎร สอบถามพวกเดียวกันก็ไม่มีใครได้ข่าวนายเตียง เลยปรึกษากันว่าจะถามเรื่องนายเตียงกับ พล.ต.อ. เผ่า ดีหรือไม่ ผลที่สุดลงความเห็นว่าอย่าเพิ่งไปถามเพราะ พล.ต.อ. เผ่าอาจใช้นายเตียงไปทำอะไรก็ได้เป็นการภายใน ต่อมาวันที่ 14 หรือ 15 เดือนเดียวกันเวลาบ่าย 2 โมง ขณะที่นายโมรา และนายพันธ์นั่งรับประทานอาหารอยู่ที่สโมสรสภาฯ พล.ต.อ. เผ่า เดินเข้ามาแล้วชี้มือถามนายพันธ์ นายโมราว่า "พวกลื้อเอาเตียงไปไว้ที่ไหน" นายพันธ์ได้เชิญให้ พล.ต.อ. เผ่า นั่งแล้วเล่าเรื่องราวตามที่นายเตียงไปและสั่งไว้ให้ฟัง แล้วถาม พล.ต.อ. เผ่า ว่า "ท่านเอานายเตียงไปเก็บแล้วใช่ไหม" "เก็บ" หมายความว่าเอาไปฆ่า พล.ต.อ. เผ่า ปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง ยังได้บอกว่าได้ช่วยเหลือนายเตียงไว้มาก ภรรยาของนายเตียงก็เป็นญาติกัน ต่อจากนั้นก็เข้าสู่ที่ประชุมสภาฯ
วันที่ 16 ธันวาคม 2495 ตอนบ่ายมีการประชุมกรรมการนิติบัญญัติที่บ้านมนังคศิลา พล.ต.อ. เผ่า ได้แถลงในที่ประชุม มีใจความว่านายเตียงทรยศต่ออุดมคติ ทรยศต่อพรรคพวกที่ได้ให้ไว้ต่อกัน นายเตียง เป็นคอมมิวนิสต์ได้หลบหนีออกนอกประเทศทางเมืองกาญจนบุรี ไปอยู่ที่วิกตอเรียปอยต์ ประเทศพม่า กิริยาอาการที่แถลงรู้สึกว่าเป็นการจริงจัง ประสงค์ที่จะให้สมาชิกเชื่อเช่นนั้น และว่าตำรวจได้รถมาจากเมืองกาญจน์ฯ 3 คน เป็นรถของนายเตียง นายเล็ก นายอุทิศ หนังสือพิมพ์ลงข่าวการหนีของนายเตียงกับพวก และต่อมาก็ลงข่าวว่าหนีไปเป็นคอมมิวนิสต์อยู่ที่ประเทศญวนบ้าง ประเทศลาวบ้าง พร้อมกับลงรูปถ่ายพร้อมกับโฮจิมินต์ด้วย แต่ผู้ที่รู้จักนายเตียงดี เห็นรูปแล้วบอกว่าไม่ใช่นายเตียง ทางครอบครัวของนายเตียง นายชาญ นายเล็ก ต่างคอยฟังข่าวคราวทั้งสอบถามผู้ที่ไปในจีนแผ่นดินใหญ่ และประเทศพม่ากลับมา กับส่งคนออกติดตามสืบหาก็ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดได้พบปะบุคคลเหล่านั้นเลย พร้อม ทั้งไม่มีวี่แววว่าบุคคลเหล่านั้นไปอยู่ที่ไหน
จนกระทั่ง ในปี พ.ศ. 2500 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำการปฏิวัติยึดอำนาจรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม พล.ต.อ. เผ่า ออกไปอยู่นอกประเทศ รัฐบาลแถลงว่า จะรื้อฟื้นสะสางคดีการเมืองต่าง ๆ ที่ประชาชนเรียกร้อง ภริยาผู้ที่หายสาบสูญไปจึงได้ยื่นคำร้องทุกข์ต่ออธิบดีกรมตำรวจคนใหม่ ขอให้สอบสวนข้อเท็จจริงคดีนี้
พล.ต.อ.ไสว ไสวแสนยากร อธิบดีกรมตำรวจ จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นคณะหนึ่งมี พล.ต.ต.ประเสริฐ รุจิรวงศ์ รองอธิบดีกรมตำรวจเป็นประธานกรรมการ พล.ต.ท.แผ้ว แผ้วพาลชน พล.ต.ต. บรรลือ เรืองตระกูล พล.ต.จ.อัศนี ยิ่งกมล พล.ต.จ. ฉัตร หนุนภักดี พ.ต.อ.จำรัส โรจน์จันทร์ และ พ.ต.อ. ชุลี แสงอร่าม เป็นกรรมการ โดยแบ่งแยกตั้งพนักงานสอบสวนออกเป็นหลายสาย เฉพาะคดีนี้ตั้งให้ พล.ต.จ.ฉัตร หนุนภักดี ผู้บังคับกองตรวจ ตำรวจภูธรเป็นกรรมการ ผู้ควบคุมการสอบสวน พ.ต.ต.อุดม เศาระบุตร์ พ.ต.ต.เจริญ พินิจามย์ พ.ต.ต.ชาญ ศรีสุข พ.ต.ต.จำเนียร เรืองวุฒิ ร.ต.อ.พงษชาญ ทัศนาทร ร.ต.อ.ชาติ สุนทรสิงห์ ร.ต.ท.อภินันท์ ณ นคร ร.ต.ท.ชโลม จิรางกูร ร.ต.ท.ลิ่ม สุขเกตุ และ ร.ต.ท.ไชยา นิยมค้า เป็นพนักงานสอบสวน
ตามหลักฐานสำนวนการสอบสวนคดีกบฏ 10 ก.ย. นายเตียง นายชาญ
กับพวกที่หายไป ไม่มีใครตกเป็นผู้ต้องหาในคดีนั้น
พยานที่พนักงานสอบสวนเรียกมาทำการสอบสวนคดี คงได้ความว่า ตั้งแต่นายเตียง นายสง่า นายชาญ นายเล็ก นายผ่อง หายไปแล้ว ภริยาและผู้ที่ชอบพอใกล้ชิดไม่เคยได้รับข่าวคราวว่าบุคคลเหล่านี้ไปอยู่ที่ไหนเลย และตามรายงานของทางราชการที่ส่งข่าวว่าพบนายเตียงอยู่ที่นั่นที่นี่นั้น ก็ไม่เป็นความจริง
ผู้แทนราษฎรได้เคยตั้งกระทู้ถามในสภาผู้แทนราษฎรถึงการหายไปของนายเตียง รัฐบาลในสมัยนั้นแถลงตอบว่า นายเตียงยังมีชีวิตอยู่ แต่ได้หลบหนีออกนอกประเทศ พนักงานสอบสวนได้เรียกนายลิ้วละล่อง นายสุวิชย์ ซึ่งเคยเดินทางไปจีนแดงมา และพันโท พะโยม จุฬานนท์ ซึ่งเคยหลบหนีภัยการเมืองไปอยู่ในพม่า มาสอบสวน บุคคลดังกล่าวให้การว่าไม่เคยได้ข่าวหรือพบนายเตียงเลย
ในระหว่างทำการสอบสวนอยู่นั้น พล.ต.จ.อัศนีย์ ยิ่งกมล กรรมการสอบสวนคดียิงนายอารีย์ นักหนังสือพิมพ์ ได้มาแจ้งกับ พล.ต.จ.ฉัตร์ หนุนภักดี ว่ามีพยานทางเมืองกาญจนฯ รู้เห็นเกี่ยวกับคดีเรื่องนายเตียงบ้างหรือไม่ พยานจึงบอกว่ารู้เห็น พล.ต.จ.ฉัตร์ ได้เรียกพยานนั้นมาสอบถามทีละคน คือ ส.ต.ต.สุวรรณ บ่อผล พลตำรวจ จำเนียร จิตรเที่ยง และ พลตำรวจ บุญช่วย บุญปลูก พยานเล่าให้ฟังว่า ในตอนกลางวันได้ขุดหลุมไว้ก่อนแล้วจึงนำห่อศพ 5 ห่อไปเผาในเวลากลางคืน เผาแล้วเอาดินกลบไว้ในหลุม ตอนกลางวันที่ไปขุดหลุมมี พ.ต.ท.ศิริชัย กระจ่างวงศ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้กำกับการตำรวจภูธร จังหวัดกาญจนบุรีและ พ.ต.ต.ประดับ กับตำรวจเมืองกาญจนฯ ไปขุดหลุมเตรียมไว้ พ.ต.ต.ประชาไม่ได้ไปด้วย เมื่อได้ความจากพยานทั้งสามนี้แล้ว พ.ต.อ.อุดม เศาระบุตร ได้เรียก พ.ต.ต.ประดับมาสอบสวน ซึ่งทำให้ได้ทราบว่ามี ส.ต.ต.สมพงษ์ กรพาณิชย์ รู้เรื่องอีกคนหนึ่ง ระหว่างนั้น ส.ต.สมพงษ์ กรพาณิชย์ ต้องโทษอยู่ในเรือนจำบางขวางในความผิดฐานฆ่านายสุวิช พุ่มชูศรี ส.ต.ต.สมพงษ์ได้ให้จ่านายสิบเอกสวน สว่างภพ พี่เขยมาติดต่อกับ ร.ต.ท.บุญช่วย ภู่ยินดี ซึ่งเป็นพี่เขยอีกคนหนึ่ง ให้เรียนอธิบดีกรมตำรวจว่าเขาจะเปิดเผยคดีเรื่องนายเตียง ศิริขันธ์ และนายพร มลิทอง ถูกฆ่าตาย ขณะนั้น ร.ต.ท.บุญช่วย ภู่ยินดี สังกัดกองพลาธิการกรมตำรวจ และพักอยู่ที่บ้านอธิบดีกรมตำรวจ พล.ต.อ.ไสว ไสวแสนยากร โดย ส.ต.ต.สมพงษ์ เป็นคนขับรถของ พ.ต.อ.อรรณพ พุกประยูร และได้เห็นเหตุการณ์วันรุ่งขึ้น ร.ต.ท.บุญช่วย จึงได้ไปหา ส.ต.ต.สมพงษ์ ที่เรือนจำ ส.ต.ต.สมพงษ์ ได้เล่าเรื่องให้ฟัง ส.ต.ต.สมพงษ์ ได้รู้ข่าวว่าพนักงานสอบสวนกำลังสอบสวนคดีเรื่องนายเตียงอยู่ และกลัวจะมีความผิดร่วมด้วย ร.ต.ท.บุญช่วย ได้นำความมา ชี้แจงต่ออธิบดีกรมตำรวจ ๆ สั่งให้ไปแจ้งแก่ พล.ต.จ.ฉัตร์ หนุนภักดี และ พ.ต.อ.อุดม เศาระบุตร ก็ได้ไปทำการสอบสวน ส.ต.ต.สมพงษ์ ที่เรือนจำบางขวาง
ข้อเท็จจริงโจทก์ก็นำสืบพยานผู้รู้เห็นเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ พยานให้การมีใจความว่า ส.ต.ต.สมพงษ์ กรพาณิชย์ มีหน้าที่ขับรถยนต์ประจำตัว พ.ต.อ.อรรณพ พุกประยูร ยศขณะนั้นเป็น พ.ต.ต. ในปลายปี พ.ศ. 2495 เป็นผู้กำกับการตำรวจสันติบาล ส.ต.ต.สมพงษ์ พักอยู่ที่บ้าน พ.ต.อ. อรรณพ ๆ ทำงานอยู่ที่สันติบาลบ้าง ไปทำงานที่กรมประมวลราชการแผ่นดินบ้าง พ.ต.อ.อรรณพ เป็นกรรมการสอบสวนคดีกบฏ 10 พ.ย. 2495 ด้วย ขณะเดียวกันนั้น พ.ต.ต.ประดับ ธีระเกาศัลย์ ยังเป็นนายร้อยตำรวจโทประจำอยู่กองตรวจ ตำรวจนครบาล มีที่ทำงานอยู่ที่กองปราบสามยอด มี พล.ต.ต.เยื้อน ประภาวัตร เป็นหัวหน้า พ.ต.อ.พันศักดิ์ วิเศษภักดี พ.ต.อ.อรรณพ พุกประยูร เป็นรอง พ.ต.ต.ประดับ เป็นผู้ช่วยกรรมการ สอบสวนคดีกบฏ 10 พ.ย. 2495
วันใดพยานจำไม่ได้ ในระหว่างที่มีงานฉลองรัฐธรรมนูญเดือนธันวาคม พ.ศ. 2495 ส.ต.ต.สมพงษ์ ขับรถยนต์มากับ พ.ต.อ.อรรณพ ไปที่บ้าน พล.ต.จ.รัตน์ วัฒนมหาตม์ จำเลยที่หนึ่งซึ่งอยู่ในกองตำรวจสันติบาล เป็นเรือนไม้สองชั้น พ.ต.อ.อรรณพ ลงจากรถเข้าไปในห้องรับแขก ขณะนั้นมีรถยนต์จอดอยู่ก่อน 2 คัน เป็นรถเก๋งยี่ห้อเอ็มยีสี่ประตู คันหนึ่ง สีอะไรพยานจำไม่ได้ ในห้องรับแขก มีนายชาญ บุนนาค กับชายอีก 2-3 คน ส.ต.ต.สมพงษ์ ไม่รู้จักอยู่ด้วย ส.ต.ต.สมพงษ์ ได้ยินเสียง พ.ต.อ.อรรณพ โต้เถียงกับนายชาญ โดย พ.ต.อ.อรรณพ ว่านายชาญเป็นคอมมูนิสต์ แต่นายชาญเถียงว่าไม่ได้เป็น เถียงกันประมาณ 15 นาที พ.ต.อ.อรรณพ ก็ออกมาขึ้นรถ บอกให้ ส.ต.ต.สมพงษ์ ขับรถไป โดยบอกให้ขับผ่านบ้านมนังคศิลาแล้วให้เลี้ยวกลับไปวังปารุสสกวัน ถึงวังปารุสก์ พ.ต.อ.อรรณพ ขึ้นไปบนตึกนานประมาณ 10 นาที ก็กลับลงมาส่งกระดาษมีข้อความถึงผู้กำกับการตำรวจจังหวัดกาญจนบุรี มีใจความว่า "ศาสตร์เตรียมพร้อมไว้" ให้ ส.ต.ต.สมพงษ์ เอาไปส่งโทรเลขที่แผนกสื่อสารอยู่ในวังปารุสก์นั้นเอง ส่งโทรเลขแล้วก็ขับรถพา พ.ต.อ.อรรณพ ไปตามถนนสายปากน้ำตามที่ พ.ต.อ.อรรณพ สั่ง พอเลยสถานีตำรวจพระโขนงไป 3 ระยะเสาไฟฟ้า พ.ต.อ.อรรณพ ให้เลี้ยวรถเข้าไปที่บ้านหลังหนึ่งทางขวามือ ขณะนั้นไม่มีบ้านของใครอยู่เลย บ้านหลังนี้เป็นเรือนไม้สองชั้น เวลานั้นเป็นเวลาประมาณบ่ายสองโมง มี พ.ต.อ.พุฒ บูรณะสมภพ พ.ต.อ.พันธ์ศักดิ์ วิเศษภักดี พ.ต.อ.วิชิต รัตนะภาณุ พ.ต.ต.กมล ชโนวรรณ และยังมีตำรวจแต่งตัวนอกเครื่องแบบอีก 3-4 คน ยืนอยู่ในบริเวณบ้านนั้น อยู่ทางหน้าบ้านบ้าง ข้าง ๆ บ้านบ้าง ไปถึงประมาณ 30 นาที ก็เห็นสารวัตรประสงค์ ยศไม่เกิน ร.ต.อ. กับ ร.ต.ท.พิชิต นามสกุลพยานจำไม่ได้ นำนายชาญ บุนนาค เดินเข้ามาในบ้าน แล้วพาไปเข้าประตูห้องรับแขก ซึ่ง ส.ต.ท.ดำรงค์ ส.ต.ท.จรัญ หรือโย่ง ร.ต.อ.อิทธิพล เครือใย จำเลยอยู่ในนั้น พอนายชาญ เข้าไป บุคคลดังกล่าวกับผู้ที่นำเข้าไปได้ทำการปล้ำนายชาญ มีเสียงคนล้มตึงตัง แล้วก็หามนายชาญเข้าไปไว้อีกห้องหนึ่ง แล้วสารวัตรประสงค์ ร.ต.ท.พิชิต ก็ออกไปที่ พ.ต.อ.อรรณพ ซึ่งขณะทำการกอดปล้ำยืนอยู่กับ พ.ต.อ.พันศักดิ์ พ.ต.อ.พุฒ และ พ.ต.อ.วิชิต ต่อจากนั้นอีกราว 20 นาที สารวัตรประสงค์ ร.ต.ท.พิชิต ก็นำชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งพยานเห็นยืนอยู่กับนายชาญ ที่บ้าน พล.ต.จ.รัตน์ จำเลยเข้าไปในห้องรับแขกและมีการปลุกปล้ำอย่างเดียวกัน โดยบุคคลชุดเดิม แล้ว ร.ต.ท.พิชิต สารวัตรประสงค์ ก็ออกมายืนข้างนอก อีก 20 นาทีต่อมาก็นำชายอีกคนหนึ่ง เข้าใจว่าเป็นคนที่เห็นอยู่กับนายชาญ ที่บ้าน พล.ต.จ.รัตน์ เหมือนกันเข้าไป แล้วเสียงปล้ำกันดังตึงตังในห้องรับแขกอีกเรียบร้อยแล้ว ร.ต.ท.พิชิต สารวัตรประสงค์ ก็ออกมายืนข้างนอก พ.ต.อ.อรรณพ จึงเรียก ส.ต.ต.สมพงษ์ เอารถไปรับและให้ขับไปที่สันติบาลที่บ้าน พล.ต.จ.รัตน์ไปถึงเมื่อบ่าย 4 โมง ตอนนั้น พ.ต.ต.ประดับ อยู่ที่สโมสรนายตำรวจ พ.ต.ต.ประชา พูลวิวัฒน์ ได้มาเชิญไปบ้าน พล.ต.จ.รัตน์ เพื่อพบกับ พ.ต.อ.อรรณพ ทั้งสองคนเดินเข้ามาทางหลังบ้าน ไปนั่งอยู่ที่ระเบียงเรือนคนใช้ อยู่ทิศตะวันออกของเรือนใหญ่ มองเห็น พ.ต.อ.อรรณพ นั่งอยู่กับนายเตียง ศิริขันธ์ ใน ห้องรับแขก เสียง พ.ต.อ.อรรณพ หาว่านายเตียง ดำเนินการเป็นคอมมิวนิสต์ นายเตียงปฏิเสธว่าไม่ได้เป็น พูดกันอยู่ประมาณ 10 นาที พ.ต.อ.อรรณพ ก็ออกมาที่หลังบ้าน ตรงบันได ให้คนใช้ไปเรียก พล.ต.จ.รัตน์ ให้มาคุย ประเดี๋ยวเดียว พ.ต.อ.อรรณพ ก็เดินมาทางที่ พ.ต.ต.ประชา กับ พ.ต.ต.ประดับ นั่งอยู่แล้วกวักมือเรียก พ.ต.ต.ประชาให้ไปหา สั่งให้นำนายเตียงไป พ.ต.อ.อรรณพ ก็ขึ้นรถซึ่งมี ส.ต.ต.สมพงษ์ขับ ก่อนรถเคลื่อนที่ พ.ต.อ.อรรณพ สั่ง พ.ต.ต.ประดับ ว่าประเดี๋ยวให้เอาคนขับรถของนายเตียงไป ให้ไปพร้อมกับคุณกระแสร์ คือ พ.ต.ต.กระแสร์ อุณหสุวรรรณ จำเลย ขณะนั้น พ.ต.ต.กระแสร์ นั่งอยู่ที่ม้าหินหน้าบ้าน พ.ต.ต.ประชาได้เดินไปบอกคนขับรถของนายเตียงที่รถว่า ให้คอยอยู่ก่อน ประเดี๋ยวจะนำไป ขณะนั้นนายสง่านั่งอยู่ในรถยี่ห้อออสตินสีช็อคโกแล็ต พ.ต.อ.อรรณพ ไปแล้ว 2-3 นาที พ.ต.ต.ประชา ก็เข้ามาเชิญนายเตียงในห้องรับแขกให้ไปขึ้นรถยนต์ที่หน้าบ้านซึ่งมีจอดอยู่ในบ้าน 2-3 คัน
พ.ต.อ.อรรณพ สั่งให้ ส.ต.ต.สมพงษ์ ขับรถไปที่บ้านพระโขนงอีก ไปถึงบ้านนั้นประมาณ 5 โมงเย็น คนที่ยังเห็นอยู่ที่นั่นก็ยังเห็นอยู่ตามเดิม พ.ต.อ.อรรณพ ลงจากรถ ถึงหน้าบ้านประมาณ 15 นาที ก็มีรถยนต์มาอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน ข้างนอกถนน พ.ต.ต.ประชา คนเดียวนำนายเตียง เข้ามาแล้วไปห้องรับแขก สารวัตรประสงค์ ร.ต.ท.พิชิต เดินตามเข้าไปด้วย ขณะนั้น ร.ต.อ.อิทธิพล ส.ต.ท.ดำรงค์ ส.ต.ต.จรัญ อยู่ในนั้น พอนายเตียง เข้าไปก็มีเสียงตึงตังสัก 5 นาทีเศษ เสียงก็เงียบ พยานเห็น พ.ต.ต.ประชา ส.ต.ท.ดำรงค์ ส.ต.ท.จรัญ ชุลมุนปลุกปล้ำอยู่ด้วย เสียงเงียบไปแล้ว พ.ต.ต.ประชา สารวัตรประสงค์ และ ร.ต.ท.พิชิต ก็ออกมาข้างนอก พ.ต.อ.อรรณพ ก็เรียกให้ ส.ต.ต.สมพงษ์ เอารถไปรับมี พ.ต.อ.พันศักดิ์ พ.ต.อ.พุฒ พ.ต.อ.พิชิต ไปรถคันเดียวกับ พ.ต.อ.อรรณพด้วย ไปที่สโมสรสันติบาล ไปถึงก็พากันลงจากรถทั้งหมด
ทางบ้าน พล.ต.จ.รัตน์ เมื่อ พ.ต.ต.ประชา พานายเตียง ไปแล้ว พ.ต.ต.ประดับ ก็นั่งคุยกับ พ.ต.ต.กระแสร์ เวลาประมาณ 5 โมงเย็นก็พากันไปขึ้นรถของนายเตียง พ.ต.ต.กระแสร์ นั่งหน้าคู่กับคนขับ พ.ต.ต.ประดับ นั่งข้างหลัง พ.ต.ต.กระแสร์ บอกให้ขับไปทางพระโขนงเลยสถานีตำรวจพระโขนงไปแล้วรถเลี้ยวเข้าบ้านข้างขวามือ รถเข้าไปจอดห่างตัวเรือน 5-6 วา มีคนอยู่ในบ้าน 3-4 คน คนหนึ่งได้บอกให้เชิญคนขับรถขึ้นไปบนเรือน พ.ต.ต.ประดับ ก็พาคนขับเดินไปที่ห้องรับแขก ภายในห้องรับแขกมีคนอยู่ 3-4 คน ๆ หนึ่งในจำนวนนั้นค่อนข้างสูง เมื่อนายสง่าเดินเข้าไปในห้องรับแขก คน 3-4 คน ในห้องนั้นก็เข้ามากอดปล้ำนายสง่า นานประมาณ 2-3 นาทีก็ได้ยินเสียงล้ม พ.ต.ต.ประดับ เดินออกมาที่กลางสนาม พบกับ พ.ต.ต.ประชา ยืนคุยกันราว 10 นาที พ.ต.ต.ประดับ ก็ขึ้นรถ พ.ต.ต.ประชา ไปที่กรมตำรวจ พ.ต.ต.ประดับ เอารถส่วนตัวกลับบ้านในคืนวันนั้นไม่ได้ไปไหน
เวลา 18.00 นาฬิกาเศษ พ.ต.อ.อรรณพ ออกจากสโมสรมาขึ้นรถให้ขับไปที่บ้านนางแป๊ะอยู่ที่ถนนวิสุทธิกษัตริย์ พ.ต.อ.อรรณพ ขึ้นไปบนตึก ส.ต.ต.สมพงษ์ไปกินข้าวข้างนอก เวล่า 1 ทุ่มเศษ มีคนบอกให้ไปเปลี่ยนรถเอารถยี่ห้อด้อดจ์ของนางแป๊ะออกไป เวลาประมาณ 21.00 น. พ.ต.อ.อรรณพ ขึ้นไปบนสโมสรเวลา 2 ยามเศษ ก็กลับมาบ้านที่ถนนดินแดง พ.ต.อ.อรรณพ สั่งให้ ส.ต.ต.สมพงษ์ ไปกับ พ.ต.ต.ประชา เวลา 5.00 นาฬิกา และให้ไปหา พ.ต.ต.ประดับ ที่กองตรวจบางขุนพรหม ขณะนั้น พ.ต.ต.ประชา ก็อยู่และค้างที่นั่นด้วย
เวลา 05.00 นาฬิกา พ.ต.ต.ประชา ให้ ส.ต.ต.สมพงษ์ ขับรถของนางแป๊ะไปบ้าน พ.ต.ต.ประดับ ไปถึง พ.ต.ต.ประชา ขึ้นไปบนบ้านแล้วกลับลงมาพร้อมกับ พ.ต.ต.ประดับ ให้รถกลับไปที่บ้านของ พ.ต.อ.อรรณพ ทั้งสองคน ขึ้นไปหา พ.ต.อ.อรรณพ ๆ ได้สั่ง พ.ต.ต.ประชา พ.ต.ต.ประดับ ไปเมืองกาญจน์ฯ ให้ไปติดต่อกับ พ.ต.ท.ศิริชัย ผู้กำกับการตำรวจเมืองกาญจนฯ ว่างานที่สั่งไว้เรียบร้อยหรือยัง และยังได้บอกว่านายเตียงเป็นคอมมูนิสต์ ถ้าปล่อยไว้อาจจะเป็นภัยต่อบ้านเมืองได้เก็บเสียแล้ว พ.ต.ต.ประชา พ.ต.ต.ประดับ ก็เดินทางไปเมืองกาญจนฯ โดยรถโฟล๊ค ไปถึงเวลาประมาณ 3 โมงเช้า พบผู้กำกับ ศิริชัย จำเลยที่บ้านพัก ใกล้สถานีตำรวจ พ.ต.ต.ประชา ถามว่างานที่ พ.ต.อ.อรรณพ สั่งไว้เรียบร้อยหรือยัง ผู้กำกับศิริชัย บอกว่าไปกับเด็กก็แล้วกัน แล้วตำรวจที่บ้านผู้กำกับได้ไปตามพลตำรวจศาสตร์มา พลฯ ศาสตร์ คือ ส.ต.ต.ศาสตร์ ภาษิตานนท์ จำเลย เป็นคนขับรถจิ๊ปสหประชาชาติขนาดกลางพา พ.ต.ต.ประดับ ไปกับ ส.ต.อ.ณรงค์ ชีวปรีชา ส.ต.ต.เฉลย สุขสวัสดิ์ ส.ต.ต.เจริญ ไทรสาเกตุ จำเลย และ ส.ต.ต.สุวรรณ บ่อผล พลตำรวจบุญช่วย บุญปลูก พยานโจทก์ภายในรถมีอาหาร จอบ เสียม มีด เตรียมเอาไปด้วย รถแล่นไปตามถนนทางทิศเหนือของจังหวัดกาญจนฯ ไปทางลาดหญ้า พอถึงหลักกิโลเมตรที่ 9 ก็แยกทางขวามือเข้าป่าเป็นทางเกวียน และทางรถยนต์คดเคี้ยวไปในป่าประมาณ 2 กิโลเมตรรถจึงหยุด เป็นที่ราบ พลฯ ศาสตร์ พา พ.ต.ต.ประดับ ไปดูหลุมถ่านเก่าๆ หลุมหนึ่ง พ.ต.ต.ประดับ บอกว่า เอาตรงนี้แหละ พลฯ ศาสตร์ จึงบอกตำรวจเมืองกาญจนฯ ที่ไปด้วยให้ช่วยกันขุดหลุมนั้นกว้างยาวประมาณด้านละหนึ่งวา ลึกหนึ่งศอกเศษ เมื่อขุดแล้วก็หยุดกินอาหารที่เตรียมเอามา หลังจากนั้น พ.ต.ต.ประดับ สั่งให้ช่วยกันหาฟืนมาใส่ในหลุมนั้นจนฟืนพ้นปากหลุมประมาณหนึ่งศอก เสร็จแล้วก็พากันกลับมาตามทางที่เข้าไปถึงบ้านผู้กำกับศิริชัย พ.ต.ต.ประดับ พ.ต.ต.ประชาก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ ไปที่บ้าน พ.ต.อ.อรรณพ เวลาประมาณ 18.00 น. รายงานว่าเรียบร้อยแล้วรับประทานอาหารเย็นที่บ้าน พ.ต.อ.อรรณพ แล้วออกจากบ้าน โดย ส.ต.ต.สมพงษ์ เป็นคนขับ พ.ต.อ.อรรณพ พ.ต.ต.ประชา พ.ต.ต.ประดับ ส.ต.อ.แนบ นิ่มรัตน์ จำเลยไปด้วย ไปที่บ้านพระโขนงหลังเก่านั้น เป็นเวลาพลบค่ำ เลี้ยวกลับรถที่หน้าประตูบ้าน หันกลับมากรุงเทพฯ ภายในบริเวณบ้านนั้นมีรถจิ๊ปสหประชาชาติ ขนาดกลางคันหนึ่งจอดอยู่ห่างประตูบ้านเข้าไป 5-6 วา ขณะเลี้ยวกลับรถนั้น ส.ต.ต.สมพงษ์ เห็นคนนั่งอยู่ในรถจิ๊ปตอนหน้า 2 คน ตอนหลัง 2-3 คน กับคนอื่น ๆ ยืนข้างรถคนหนึ่งเข้าใจว่า คือ ส.ต.อ.ระวี เธียรนันท์ จำเลย พอกลับรถแล้ว พ.ต.อ.อรรณพ สั่งให้ ส.ต.ต.สมพงษ์ ขับช้า ๆ รอรถคันหลัง แล้วเห็นรถจิ๊ปคันที่อยู่ในบ้านตามมา รถข้ามสะพานพุทธยอดฟ้า เลี้ยววงเวียนใหญ่ ถึงทางแยกข้างตลาดพลู พ.ต.อ.อรรณพ สั่งให้ไปเมืองกาญจนฯ ส.ต.ต.สมพงษ์ ขับรถตรงไปเร็วขึ้นกว่าเก่า ถึงบ้านโป่งประมาณ 2 ทุ่ม พ.ต.อ.อรรณพบอกให้รอรถคันหลัง จอดรอที่วงเวียน ที่จะเลี้ยวขวาไปจังหวัดกาญจนฯ นานราว 20 นาที รถจิ๊ปตามมาทัน จึงออกรถต่อไป ออกจากบ้านโป่งประมาณ 30 นาที พบคนฉายไฟดักอยู่ข้างหน้า พ.ต.อ.อรรณพ สั่งให้รถหยุด คนที่ฉายไฟเป็นนายตำรวจคนหนึ่ง พลตำรวจ 2 คน คือ ร.ต.อ.ดำริห์ พวงพุฒ ผู้บังคับกองตำรวจอำเภอท่ามะกา ในขณะนั้นกลับจากไปราชการก็เดินตรวจการจราจรตามถนน พ.ต.ต.ประดับลงจากรถ บอกนายตำรวจนั้นว่า พ.ต.อ.อรรณพ มาอยู่ในรถ ร.ต.อ.ดำริห์ได้เข้าไปหาทำความเคารพแล้วรายงานตัว พ.ต.ต.ประดับก็ขึ้นรถเดินทางต่อไปอีกประเดี๋ยวหนึ่ง ร.ต.อ.ดำริห์กับพวกยังได้เห็นรถจิ๊ปขนาดกลางอีกคันหนึ่งวิ่งตามไป ตำรวจให้สัญญาณไฟให้หยุดรถคันนั้นไม่ยอมหยุด
พ.ต.อ.อรรณพ ไปถึงเมืองกาญจนฯ เวลาประมาณ 3 ทุ่ม รถเข้าไปจอดที่บ้านผู้กำกับศิริชัย พ.ต.อ.อรรณพ พ.ต.ต.ประดับ ขึ้นไปบนบ้าน ส.ต.ต.สมพงษ์ ส.ต.อ.แนบ อยู่ข้างล่าง แล้ว พ.ต.อ.อรรณพ จึงบอกให้ ส.ต.ต.สมพงษ์ เดินไปรอรถจิ๊ปที่หน้าสถานีตำรวจ ส.ต.ต.สมพงษ์ รออยู่ไม่ถึง 30 นาที รถจิ๊ปนั้นก็มาถึง ส.ต.ต.สมพงษ์ เดินเข้าไปหารถจิ๊ปนั้นหยุด ส.ต.ต.สมพงษ์ เห็นคนกระโดดลงจากทางท้ายรถ 3 คน ร.ต.ท.ผัน ศาตร์ปรุง ขณะนั้นเป็นจ่าตำรวจ กับ ร.ต.ต.มรกต มัลลิกมาลย์ ส.ต.ต.ชุมพล ปรีแย้ม จำเลย ส.ต.ต.สมพงษ์ บอกว่ารถจิ๊ปมาแล้ว พ.ต.อ.อรรณพ ลงจากเรือนผู้กำกับศิริชัย บอก ส.ต.ต.สมพงษ์ ให้เอาปืนออกจากท้ายรถให้ พ.ต.ต.ประชา ส.ต.ต.สมพงษ์เอาปืนทอมสันกับปืนแมทเสนให้ พ.ต.ต.ประชา ออกจากบ้านผู้กำกับ มี พ.ต.อ.อรรณพ พ.ต.ต.ประชา พ.ต.ต.ประดับ ผู้กำกับ ศิริชัย ส.ต.อ.แนบ พลฯ ศาสตร์ กับตำรวจเมืองกาญจนฯ ชุดที่ไปเมื่อตอนกลางวัน ไปโดยรถจิ๊ป คันของตำรวจเมืองกาญจนฯ พลฯ ศาสตร์เป็นคนขับ วิ่งไปทางลาดหญ้า ระหว่างทางได้พบรถจิ๊ปคันที่ตามไปจากกรุงเทพฯ หยุดอยู่ข้างทาง รถจิ๊ปของตำรวจเมืองกาญจนฯ ก็หยุด มี พล.ต.จ.รัตน์ จำเลย มาขึ้นรถจิ๊บนี้ด้วย รถก็แล่นต่อไป รถจิ๊ปจากกรุงเทพฯ ตามมา ไปได้ครึ่งทางระหว่างตัวจังหวัดกับทางที่จะเลี้ยวเข้าป่า รถคันหลังหยุดแล้วเปิดไฟปิด ๆ เปิด ๆ รถคันหน้าจึงหยุดถอยหลังมาดู ปรากฏว่ารถเสียแก้ไม่ได้ จึงได้ขนถ่ายคน 4-5 คน กับห่อเสื่อกกมัดด้วยเชือกยาวประมาณ 1 วาเป็นมัดกลม ๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 1 ศอก มี 5 ห่อ เอาขึ้นรถคันหน้า แล้วรถก็แล่นต่อไป ถึงทางเลี้ยวเข้าป่า มีคนบอกให้ลงดูต้นทาง พลฯ บุญช่วย กับตำรวจที่มาจากกรุงเทพฯ อีก 2 คนลงจากรถอยู่ที่ตรงนั้น รถวิ่งไปตามทางที่คดเคี้ยว เหมือนทางที่มาตอนไปกลางวัน เมื่อถึงตำรวจก็ขนห่อเสื่อกกทั้ง 5 ห่อวางไว้บนหลุมที่มีฟืนกองที่มาทำไว้แล้วเอาน้ำมันในปี๊บที่เตรียมเผามาราดจุดไฟเผา ขณะนั้นเวลาประมาณ 4 ทุ่ม รออยู่จนไฟมอดประมาณตี 3 เศษ ๆ จึงเอาดินกลบ เสร็จแล้วขึ้นรถกลับ ถึงทางเลี้ยวหยุดรับ พลฯ บุญช่วย กับตำรวจที่ลงดูต้นทาง มาพบรถจิ๊ปคันที่เสียจอดอยู่ข้างทางก่อนถึงสถานีตำรวจจึงหยุด พล.ต.จ.รัตน์ กับคนอื่น ๆ ที่ถ่ายมาขึ้นรถคันนั้น รถตำรวจเมืองกาญจนฯ ก็กลับไปบ้านผู้กำกับ ศิริชัย ได้มีการเลี้ยงข้าวต้มกัน ตอนนี้พบ พ.ต.ต.ประดับ พ.ต.ต.กระแสร์ จำเลยอยู่ที่บ้านผู้กำกับศิริชัย ขากลับ พ.ต.ต.ประดับ กลับรถซิมคาร์ ของ พ.ต.ต.ประดับ ซึ่ง พ.ต.ต.กระแสร์ พ.ต.อ.อรรณพ กลับพร้อม พ.ต.ต.ประชา และ ส.ต.อ.แนบ ถึงกรุงเทพฯ เวลาประมาณ 7 นาฬิกา
ปลายปี พ.ศ. 2497 มีการนัดแจกรางวัลที่บ้าน พ.ต.อ.พันศักดิ์ ที่ศาลาแดง นายตำรวจที่ไปมี พล.ต.จ.รัตน์ พ.ต.อ.วิชิต พ.ต.ต.สุนนท์ เอกะโรหิต พ.ต.ต.กมล ชโนวรรณ ผู้กำกับศิริชัย จำเลย พร้อมด้วย พ.ต.อ.พันศักดิ์ พ.ต.อ.พุฒ ร.ต.ท.พิชิต พ.ต.ต.ประชา พ.ต.ต.ประดับ พ.ต.ท.จรัญญา ร.ต.ท.ปรีดา สารวัตรสวัสดิ์ นอกจากนี้ยังมีคนอื่นอีก นายสิบตำรวจอีกประมาณ 30 คน มี ส.ต.อ สุจินต์ พลฯ สนั่น ใจเผื่อแผ่ ส.ต.ต.สมพงษ์ ส.ต.อ.ดำรงค์ ส.ต.ต.จรัญ กับ ส.ต.อ.แนบ ส.ต.อ.ระวี ส.ต.ต.ชุมพล จ.ส.ต.ผัน ส.ต.ต.มรกต จำเลย กับ พลฯ บุญช่วย ส.ต.ต.สุวรรณ พยาน
นายตำรวจเลี้ยงสุราอาหารกันอยู่ในห้อง เวลา 1 ทุ่มเศษ พล.ต.อ.เผ่า มาถึงและแจกซองสีน้ำตาล ผูกริบบิ้นมีชื่อผู้รับที่ซองแก่นายสิบ พลตำรวจทุกคน ภายในซองนั้นเป็นธนบัตรใบละ 100 จำนวนสามหมื่นบาท เมื่อแจกแล้ว พ.ต.อ.พันศักดิ์ พล.ต.จ.รัตน์ พ.ต.อ.วิชิต ได้ผลัดกันพูดชี้แจงแก่ผู้รับแจกเป็นทำนองว่า เงินจำนวนนี้ให้เอาไปปลูกบ้านอยู่ ใครทำอะไรมาแล้วอย่าพูดไป
กรรมการสอบสวน ได้ความจากพยานแล้ว พล.ต.จ.ฉัตร์ จึงได้ให้ พ.ต.ต.จิตร์ เจียรนัย พา ส.ต.ต.สุวรรณ บ่อผล พลฯ บุญช่วย บุญปลูก ไปชี้หลุมฝังศพที่ป่าเมืองกาญจนฯ เมื่อชี้แล้วก็ทำเครื่องหมายไว้ในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2500 แล้วกลับมารายงาน พล.ต.จ.ฉัตร์ วันรุ่งขึ้น พล.ต.จ.ฉัตร์ พ.ต.อ.อุดม นายแพทย์ พ.ต.ต.ถวัลย์ อาศนเสน พ.ต.ต.จิตร ร.ต.ท.ดำรงค์ ช่างภาพประจำกองวิทยาการ กรมตำรวจ พร้อมด้วย ส.ต.ต.สุวรรณ พลฯ บุญช่วย และเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกหลายคนได้ไปขุดหลุมที่พยานชี้ว่าเป็นที่เผาและฝังศพของนายเตียงกับพวก ปรากฏว่าพบกระดูกกระโหลกศีรษะ 5 แห่ง กระดูกส่วนต่าง ๆ ของร่างกายปนกันอยู่ พบหัวเข็มขัด 4 หัว พวงกุญแจ สันรองเท้า วัตถุเป็นก้อน 4-5 ก้อน กรอบแว่นตา และกระจกแว่นตา หูปี๊บน้ำมัน เศษเสื่อที่ไหม้ไฟ เศษฟืนที่ยังไหม้ไม่หมด กุญแจมือเหล็ก 2 อัน สันนิษฐานว่าเป็นเหล็กดามขา ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้จดบันทึกรายละเอียดและถ่ายรูปไว้ สิ่งของที่ขุดได้นี้ กรรมการสอบสวนได้เรียกภริยาของนายเตียง ศิริขันธ์ นายชาญ บุนนาค นายเล็ก บุนนาค และนายผ่อง เขียววิจิตร์ มาดู เจ้าทุกข์ต่างชี้แจงว่า ของบางชิ้นคล้ายคลึงกับที่สามีใช้ในวันที่หายไปนั้น
บ้านพักของ พล.ต.จ.รัตน์ ในกรมตำรวจและบ้านเกิดเหตุที่พระโขนงได้รื้อไปก่อนคณะกรรมการได้สอบสวนแล้ว แต่ยังมีร่องรอยพื้นฐานและหลุมเสาอยู่ คณะกรรมการสอบสวนได้มอบให้ ร.ต.อ.สำนอง พิรานนท์ สถาปัตยกรรมศาสตร์บัณฑิตย์ประจำกรมตำรวจ ทำแบบแปลนบ้าน ทำแผนที่บ้านกับแบบจำลอง โดยมีนายสงวน ไตรทรัพย์ ผู้เคยอยู่ในบ้านพระโขนงที่เกิดเหตุ เป็นผู้นำชี้ ส่วนบ้าน พล.ต.จ.รัตน์ ในกรมตำรวจ ได้แบบแปลนจากกองพลาธิการกรมตำรวจ ซึ่งเป็นผู้ดูแลควบคุมบ้านพักของข้าราชการกรมตำรวจ
บ้านเกิดเหตุที่ พระโขนง ตามทางสอบสวนได้ความว่า เป็นของนายเจริญ ไตรโชค ซึ่ง พ.ต.อ.อรรณพ ขอเช่าไว้ มีกำหนด 6 เดือน ค่าเช่าเดือนละ 400 บาท ชำระค่าเช่าทันทีที่ตกลงเช่าเป็นเงิน 2,400 บาท เริ่มเช่าเมื่อเดือนกันยายน หรือ ตุลาคม 2495
เมื่อได้พยานหลักฐานว่าจำเลยทั้ง 15 คน นี้กับพวกผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีได้สมคบกันฆ่านายเตียง กับพวกในคดีนี้ คณะกรรมการผู้มีหน้าที่สืบสวนสอบสวน จึงทำความเห็นเสนอคณะกรรมการ ซึ่งมี พล.ต.ท.ประเสริฐ รุจิระวงศ์ รองอธิบดีกรมตำรวจ เป็นประธานคณะกรรมการ ได้มีมติให้จับจำเลยทุกคนและได้ออกหมายจับผู้ที่หลบหนี พล.ต.ต.ฉัตร์ หัวหน้าพนักงานสอบสวนได้ทำรายงานการสอบสวนเสนอขออนุมัติดำเนินคดี โดยสำนวนการสอบสวนได้เสนอ พล.ต.ท.ประเสริฐ รองอธิบดีกรมตำรวจ ๆ ก็เห็นด้วยกับความเห็นของพนักงานสอบสวน
จำเลยทั้ง 15 คน นี้ได้ตัวมาโดยพนักงานสอบสวนเรียกตัวมาแล้วแจ้งข้อหาให้ทราบแล้วทำการควบคุมตัวไว้ บางคนให้ผู้บังคับบัญชาส่งตัวมา แล้วจึงนำสำนวนมาดำเนินคดีฟ้องยังศาลตามลำดับ
จำเลยนำสืบต่อสู้คดีมีใจความว่า ในการสอบสวนคดีกบฏ 10 พ.ย. 2495 พล.ต.อ.พระพินิจชนคดี ประธานกรรมการ สั่งให้ทำการสอบสวนทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่มีวันหยุดราชการ พล.ต.จ.รัตน์ จำเลยที่ 1 มีหน้าที่สอบสวนพยานหลักฐานร่วมกับ พล.ต.อ.พระพินิจชนคดี ร.ต.ท.ผัน จำเลยที่ 8 ร.ต.ต.มรกต จำเลยที่ 9 ส.ต.อ.ระวี จำเลยที่ 11 ส.ต.ท.ชุมพล จำเลยที่ 12 มีหน้าที่ประจำที่ทำงานกองอำนวยการสอบสวน ซึ่งอยู่ชั้นบนและมีหน้าที่เฝ้าเอกสารของกลาง ร่วมกับเจ้าหน้าที่อื่นอีก 4 คน ชั้นล่างเป็นที่สอบสวน
วันที่ 12 ธันวาคม 2495 พล.ต.จ.รัตน์ จำเลยได้นำนายเจริญ สืบแสง ผู้ต้องหาคนหนึ่งเข้าพบ พล.ต.อ.พระพินิจชนคดี สอบสวนเรื่องคำร้องของนายเจริญ สืบแสง ครั้นเวลา 16.00 น. เศษ ร.ต.ต.นาท โรหิตเสถียร ได้นำคำสั่งของ พล.ต.ต.จำรัส มัณฑุกานนท์ สั่งให้จัดที่จอดรถหน้าตึกอำนวยการ จำเลยที่ 1 ได้จัดที่จอดรถอยู่จนเวลาประมาณ 17.00 น.เศษ จึงกลับขึ้นทำงานตามเดิมจนถึงเวลา 21.00 น.เศษ จึงได้กลับที่พักที่ทุ่งมหาเมฆ วันรุ่งขึ้นจำเลยที่ 1 ได้ไปทำงานเวลา 8.00 น. วันนั้นเวลา 20.00 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ทำการสอบสวนนายคำเท้า รักไทย พยานผู้รู้เรื่องพวกกบฏตามคำสั่งของ พล.ต.อ.พระพินิจชนคดี คืนวันที่ 13 ธันวาคม 2495 นั้น จำเลยที่ 1 ทำงานอยู่จนถึงเวลา 24 นาฬิกา
จำเลยที่ 1 มีบ้านพักอยู่ในกรมตำรวจตั้งแต่ พ.ศ. 2494 แต่พอเริ่มสอบสวนเรื่องคดีกบฏ 10 พฤศจิกายน จำเลยที่ 1 ก็ได้ส่งครอบครัวไปอยู่บ้านทุ่งมหาเมฆ ส่วนบ้านหลวงเปิดให้เป็นที่ทำการสอบสวนของสายต่าง ๆ และเอาไว้เป็นที่พักของพยาน
จำเลยที่ 1 เพิ่งรู้จักกับ พ.ต.ต.ประดับ ธีระเกาศัลย์ พยานโจทก์เมื่อปลายปี พ.ศ. 2496 โดย พ.ต.ต.ประดับ ย้ายมาอยู่กองตำรวจสันติบาลปี พ.ศ. 2497 อธิบดีกรมตำรวจตั้งหน่วยแลกเปลี่ยนข่าวไทย-จีน ขึ้นและส่ง พ.ต.ต.ประดับ ไปอยู่ที่ไทเป ส่วนในกรุงเทพฯ มีสำนักงานหน่วยข่าวตั้งอยู่บ้านเลขที่ 68 ถนนซอยทรัพย์ มีนายประกอบ วัชรสิน หรือนายก้วยไทย เป็นหัวหน้าหน่วย ทั้งสองแห่งนี้ส่งข่าววิทยุแลกเปลี่ยนกันเพื่อประโยชน์ในการปราบปรามคอมมิวนิสต์ พ.ต.ต.ประดับ ไปอยู่ไทเปได้เงินค่าใช้จ่ายพิเศษนอกจากเงินเดือน เดือนละ 1,000 ดอลล่าร์ ประมาณ 20,000 บาท นายประกอบได้ค่าใช้จ่ายจากรัฐบาลเดือนละประมาณ 80,000 บาท ในปี พ.ศ. 2499 หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า อัศวินแหวนเพ็ชร ตั้งวิทยุเถื่อนที่ถนนซอยทรัพย์ อธิบดีกรมตำรวจสั่งให้จำเลยที่ 1 สืบสวนปราบปราม จำเลยที่ 1 จึงสั่งให้ พ.ต.ต.ชูลิต ปราณีประชาชน และ พ.ต.ต.กระแสร์ อุณหสุวรรณ จำเลยที่ 6 ไปสืบสวนจับกุม ผลปรากฏว่าได้นายสุเทพ พร้อมเครื่องส่งวิทยุ และส่งตัวฟ้องศาลอาญาลงโทษปรับ ปรากฏตามสำนวนคดีแดงที่ 2186/2497 ต่อมาหนังสือพิมพ์ลงข่าววิทยุที่ถูกจับนั้น ได้เปิดทำการใหม่ต่อไปอีกแล้ว มีรายงานของ พ.ต.อ.ต่อศักดิ์ ยมนาค ซึ่งขณะนั้นอยู่ประจำกรมประมวล ตัดข่าวหนังสือพิมพ์เสนออธิบดีเผ่า ผ่านมายังจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงบันทึกเสนออธิบดีว่า วิทยุรายที่หนังสือลงนี้เป็นวิทยุของหน่วยข่าวไทย-จีน ที่อธิบดีตั้งขึ้นเอง อธิบดีได้มีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรในบันทึกที่เสนอขึ้นไปนั้นว่า ให้ยุบเลิกหน่วยแลกเปลี่ยนข่าวทั้ง 2 หน่วยนี้ จำเลยที่ 1 จึงทำ วิทยุเรียก พ.ต.ต.ประดับ กลับจากไทเป และแจ้งนายประกอบให้เลิกหน่วยแลกเปลี่ยนข่าวทั้ง 2 หน่วยนี้ พ.ต.ต.ประดับ กลับจากไทเปมาต่อว่าจำเลยที่ 1 ว่าไม่ควรจะทำรุนแรงจนอธิบดีต้องสั่งเลิก พ.ต.ต.ประดับ ยังได้ต่อว่า พ.ต.ต.กระแสร์ จำเลยที่ 6 หาว่าไปจับวิทยุทำลายพวกเขา เพราะนอกจากการส่งข่าวทางการเมืองแล้ว ยังใช้วิทยุติดต่อให้พวกจีนในทางการค้ามีรายได้พิเศษอีกด้วย
พ.ต.อ.วิชิต รัตนภานุ จำเลยที่ 2 นำสืบว่าได้รับคำสั่งให้เป็นกรรมการฝ่ายสืบสวนและอารักขาพยานในคดีกบฏ 10 พฤศจิกายน 2495 จำเลยที่ 2 ได้อารักขานางสาวศิริพร วรชาติ นางสาววิบูลย์วรรณ มัณฑจิตร และนางอุบลวดี มหาสาลีพันท์ โดยทางการจัดให้พยานทั้ง 3 คนนี้พักอยู่ชั้นบนของสโมสรกรมตำรวจ จำเลยที่ 2 มีหน้าที่พาพยานไปให้การตามหน่วยต่าง ๆ วันที่ 12 ธันวาคม 2495 จำเลยที่ 2 ได้นำนางสาวศิริพร ไปทำการสอบสวน เวลา 17.00 นาฬิกา จำเลย ที่ 2 ได้บอกพยานทั้ง 3 คนว่า จะไปกินเลี้ยงฉลองนักเรียนที่สำเร็จรุ่นเดียวกันที่สโมสรทหารกองพลที่ 1 ซึ่งจัดให้มีขึ้นในวันที่ 12 ธันวาคม ตั้งแต่ พ.ศ. 2490 หรือ 2491 ถึง พ.ศ. 2501 จึงได้เลิก
พ.ต.ต.กมล ชโนวรรณ จำเลยที่ 4 มีหน้าที่เป็นกรรมการสอบสวนคดีกบฏ 10 พฤศจิกายน ในสายของ พล.ต.จ.อัศนีย์ ยิ่งกมล การสอบสวนส่วนมากจำเลยที่ 4 เป็นผู้จด พล.ต.จ.อัศนีย์ เป็นผู้นั่งและสอบสวน จำเลยที่ 4 ไม่เคยขออนุญาตออกไปธุระนอกสถานที่เลย วันที่ 12 ธันวาคม 2495 จำเลยที่ 4 ทำการสอบสวนนายกระจ่าง ธรรมโชติ ตามเอกสารหมายเลข จ.13 เริ่มสอบเวลา 13.00 นาฬิกา เสร็จราว 17.00 นาฬิกา
พ.ต.ต.สุนนท์ เอกะโรหิต จำเลยที่ 5 ไปทำงานที่กองตำรวจนครบาลตามปกติเวลาราชการ
พ.ต.ต.กระแสร์ อุณหสุวรรณ จำเลยที่ 6 ไปทำงานที่กองบังคับการกองปราบปรามตามปกติ ในวันที่ 12 ธันวาคม 2495 วันนั้นเวลา 15.00 นาฬิกา ร.ต.ท.ประธาน บุญวิบูลย์ ได้มาหาให้พาไปหาบิดาของจำเลยที่ 6 เป็นคนขับรถยนต์พาบิดาและ ร.ต.ท.ประธาน ไปทำธุระดังกล่าว และเวลา 19.00 นาฬิกา วันเดียวกันนั้น มีการเลี้ยงส่งนายเกษมน้องชายของจำเลยที่ 6 ซึ่งจะเดินทางไปต่างประเทศด้วยจนถึง 01.00 น. จึงเลิก จำเลยที่ 6 มีสาเหตุกับ พ.ต.ต.ประดับ เรื่องจับวิทยุเถื่อนดังคำให้การของ พล.ต.จ.รัตน์ จำเลยที่ 1
ร.ต.อ.อิทธิพล จำเลยที่ 7 ให้การว่าตามวันเวลาที่โจทก์กล่าวหาในฟ้องจำเลยอยู่นอกราชการ โดยถูกออกจากราชการในวันที่ 1 กรกฎาคม 2495 จำเลย ที่ 7 รู้สึกว่าถูกออกโดยไม่เป็นธรรม จึงได้ยื่นเรื่องราวร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการเรื่องราวร้องทุกข์ไว้ แต่เห็นว่าชักช้าจึงได้ยื่นเรื่องราวต่อกรมตำรวจขอกลับเข้ารับราชการตามเดิม เพื่อนฝูงแนะนำให้ไปหา พ.ต.อ.พันธ์ศักดิ์ จำเลยที่ 7 จึงได้ไปหา พ.ต.อ.พันธ์ศักดิ์ ที่กองปราบปรามสามยอด ในต้นเดือนธันวาคม 2495 ไปหา 2-3 ครั้ง พบบ้างไม่พบบ้าง ระหว่างงานฉลองรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2495 จำเลยที่ 7 ได้ไปหา พ.ต.อ.พันธ์ศักดิ์ ที่สโมสรนายตำรวจ พ.ต.อ.พันศักดิ์ บอกว่าเรื่องที่ขอนั้นได้เห็นแล้ว แต่ให้รอไปก่อน เพราะคณะกรรมการกำลังติดสอบสวนคดีกบฏอยู่ จำเลยที่ 7 ได้ขอร้องให้ช่วยเร็ว ๆ หน่อย เพราะไม่มีงานทำ วันนั้นได้เล่นบิลเลียดอยู่จน 16.00 นาฬิกา ได้พบ พ.ต.ต.ประดับ หลังจากยื่นเรื่องราว 6-7 เดือน จำเลยที่ 7 จึงได้กลับเข้ารับราชการอีก
ร.ต.ท.ผัน สาตรปรุง จำเลยที่ 8 ร.ต.ต.มรกต มัลลิกมาลย์ จำเลยที่ 9 ส.ต.อ.ระวี เธียรนันท์ จำเลยที่ 11 ส.ต.ท.ชุมพล ปรีแย้ม จำเลยที่ 12 ให้การว่าเป็นเวรรักษาการประจำตึกคอมมูนิสต์ เฝ้าเอกสารและของกลางอยู่ที่ตึกชั้นบน มีอาหารซึ่งทางราชการจัดเลี้ยง และนอนอยู่บนตึกนั้น พล.ต.อ.พระพินิจชนคดี พล.ต.จ.รัตน์ พล.ต.จ.จำรัส ทำงานอยู่บนตึกชั้นบนด้วย และให้การประกอบ พล.ต.จ.รัตน์ จำเลยที่ 1 ว่าเป็นผู้สอบสวนนายคำเท้า รักไทย ในระหว่างงานฉลองรัฐธรรมนูญจนถึงเวลา 20.00 น.
ส.ต.อ. แนบ นิ่มรัตน์ จำเลยที่ 10 ประจำกองปราบสามยอด สารวัตรสั่งให้ไปเฝ้ายามบ้าน พ.ต.อ.อรรณพ ที่ถนนดินแดน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2495 เป็นเวลา 4 เดือน ถึงเดือนมกราคม 2496 ก็กลับ เพราะไม่ค่อยสบาย จำเลยที่ 10 ไม่เคยไปเมืองกาญจนฯ ไม่เคยไปบ้านที่โจทก์ฟ้องที่ว่าเป็นที่เกิดเหตุที่พระโขนง
พ.ต.ท.ศิริชัย กระจ่างวงศ์ จำเลยที่ 3 ส.ต.ต.ศาสตร์ ภาษิตานนท์ จำเลยที่ 13 ส.ต.ต.เฉลย สุขสวัสดิ์ จำเลยที่ 14 ส.ต.ต.เจริญ ไทรสาเกตุ จำเลยที่ 15 นำสืบต่อสู้ว่า วันที่ 9-10-11 ธันวาคม 2495 ที่เมืองกาญจนฯ มีงานฉลองรัฐธรรมนูญ เวลากลางวันมีการแข่งขันกรีฑา กลางคืนมีมหรสพ แผนกตำรวจได้ส่งตำรวจเข้าแข่งขันกรีฑาประเภทประชาชน วันที่ 12 ธันวาคม ตำรวจทำการรื้ออัฒจรรย์ วันที่ 13 มีการเลี้ยงนักกีฬาและกองเชียร์ที่บ้านผู้กำกับ ตั้งแต่เวลา 18.00 นาฬิกา จนถึงเวลา 23.00 นาฬิกา ไม่มีตำรวจไปขุดหลุมในป่า
ศาลได้ตรวจพิจารณาคำพยานหลักฐานในสำนวนและคำแถลงการณ์ของโจทก์จำเลยโดยตลอดแล้ว ในข้อที่ว่า นายเตียง ศิริขันธ์ นายชาญ บุนนาค นายเล็ก บุนนาค นายผ่อง เขียววิจิตร์ และนายสง่า ประจักษ์วงศ์ ได้หลบหนีออกไปนอกประเทศจริงหรือไม่ มีหลักฐานและเหตุผลให้วินิจฉัยได้หลายประการ คือ บุคคลทั้ง 5 คน นั้นไม่ปรากฏว่ามีคดีต้องถูกกล่าวหาแต่อย่างใด โดยเฉพาะนายผ่อง เขียววิจิตร์ และนายสง่า ประจักษ์วงศ์ ไม่เคยเกี่ยวข้องกับการเมือง เมื่อออกจากบ้านทุกคนไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าหรือสัมภาระในการเดินทางเลย นอกจากชุดที่แต่งติดตัวไป ในระหว่างนั้น นายเตียงมีสุขภาพไม่ค่อยดี ต้องกินยาทุกชั่วโมง ขณะประชุมก็นั่งหลับ และภรรยาก็กำลังป่วยอยู่ ถ้านายเตียงกับพวกจะหนีก็ไม่น่าจะหนีออกทางป่าเมืองกาญจนฯ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไปพบรถยนต์ทิ้งอยู่ในป่า เพราะนายเตียง ไม่ชำนาญภูมิประเทศแถบนั้น แต่นายเตียงชำนาญภูมิประเทศภาคอีสาน ซึ่งเป็นบ้านเกิดมากกว่า ตั้งแต่หายไปแล้วทางบ้านทุก ๆ คน ตลอดจนเพื่อนสนิทไม่ได้รับข่าวคราวว่าอยู่ที่ไหน ตามที่ข่าวว่านายเตียงกับพวกไปอยู่ที่นี่บ้างที่นั่นบ้าง ภริยาและญาติของบุคคลเหล่านั้นก็ได้ส่งคนออกติดตาม และสืบถามก็ไม่ปรากฏความจริงตามข่าวนั้น แม้ทางราชการของกรมตำรวจในสมัยนั้นจะได้รับรายงานเสนอเข้ามาว่าพบนายเตียงอยู่นอกประเทศไทย แต่เจ้าพนักงานสอบสวนก็ได้เรียกบุคคลที่รายงานเรื่องนี้มาสอบบุคคลผู้รายงานได้ให้การว่าตนมิได้พบปะนายเตียงด้วยตนเอง เป็นแต่ได้ทราบตามทางสืบสวนเท่านั้น ซึ่งย่อมถือเป็นเรื่องจริงหาได้ไม่ อนึ่งภายหลังจากที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำการปฏิวัติ จอมพล ป. พิบูลสงคราม และพล.ต.อ.เผ่า ต้องออกไปจากประเทศไทยแล้ว ถ้าบุคคลที่หายไปได้หลบภัยการเมืองหนีไปในครั้งนั้นและยังมีชีวิตอยู่ ก็น่าจะกลับเข้ามาปรากฏตัวให้เห็นได้แล้ว เพราะไม่มีอะไรจะต้องกลัวเกรงอีกต่อไป แต่ก็ไม่ปรากฏว่าได้มาหรือแม้แต่ส่งข่าว เพราะฉะนั้นจึงเชื่อได้ว่านายเตียง กับพวกที่หายไปไม่ได้หลบหนีไปเอง ยิ่งกว่านั้นยังน่าเชื่อว่าบุคคลเหล่านั้นได้ตายไปเสียแล้วด้วย
โจทก์มีพยานสืบหลายคน เช่น พ.ต.อ.นิลนาท วิสุทธิกุล พ.ต.ท.ชิต รัตนพล กับนายสิบพลตำรวจ พยานโจทก์พูดกันในหมู่เพื่อนตำรวจด้วยกันว่า นายเตียง นายชาญ นายเล็ก กับพวกได้ถูกฆ่าต่ายและศพได้นำไปเผาในป่าเมืองกาญจนฯ ห่อเสื่อทั้ง 5 ห่อที่ขนไปเผาเป็นห่อศพ พยานจับถูกรองเท้าที่โผล่ออกมานอกเสื่อที่มัดนั้นด้วย ในขณะที่เผาพวกที่ไปช่วยกันเผานั่งรอจนกว่าไฟจะโทรม ก็พูดกันว่า เผาศพนายเตียง กับพวกซึ่งเป็นคอมมูนิสต์
หลุมที่พยานโจทก็พาพนักงานสอบสวนไปซี้ให้ขุดอยู่ป่าในไม้รวกใกล้เชิงเขาโล้น ทางที่ไปแยกจากถนนลาดหญ้าที่กิโลเมตรที่ 9 เป็นทางคดเคี้ยวไปตามป่าประมาณ 2 กิโลเมตร ลักษณะของหลุมก่อนขุดดินเป็นแอ่งลึก ซึ่งเป็นลักษณะของดินที่ขุดแล้วกลบมานาน วิธีขุดให้นายสิบ พลตำรวจที่ไปด้วยค่อย ๆ เลาะหน้าดินออก ดินข้างหน้าเป็นดินปนทรายสีแดงคล้ายๆ ดินลูกรัง ขุดไปจนกระทั่งเห็นมีดินลักษณะเป็นขี้เถ้าปนถ่าน พ.ต.ท.ถวัลย์ อาสนแสน นายแพทย์ฝ่ายนิติเวชวิทยา กรมตำรวจ กรรมการสอบสวนฝ่ายแพทย์ ซึ่งควบคุมการขุดด้วยคนหนึ่งจึงบอกให้หยุด พ.ต.ท.ถวัลย์ กับนายแพทย์ ร.ต.อ.สุพักตร์ บัณฑุรัตน์ ได้ช่วยกันขุดต่อ ไม่มีคนอื่นช่วยเว้นแต่จะสั่ง เพราะต้องการทำให้ปราณีต ถ้าหลายคนขุดอาจจะคุ้ยเขี่ยทำให้ไม่ได้พบของในสภาพที่เหมือนกับที่ฝังอยู่ เมื่อเริ่มคุ้ยต่อไปก็พบกระดูกแตกเป็นชิ้นเล็กๆ ไหม้ไฟ ตรวจดูปรากฏแน่ชัดว่าเป็นกระดูกมนุษย์ วิธีขุด นายแพทย์ค่อย ๆ ลอกดินออกทีละน้อยจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง ก็ได้พบเศษกระดูกกระโหลก ศีรษะอีกแห่งหนึ่งอยู่ค่อนไปทางปลายเท้าระหว่างคนที่ 3 และ 4 จึงได้ห่อกระดูกกระโหลกศีรษะตำแหน่งและห่อรวมเป็น 5 ห่อด้วยกัน ส่วนกระดูกอื่น ๆ ได้เก็บรวมกันมาตรงที่พบกระโหลกศีรษะ ได้เอากระดาษวางเป็นที่หมายให้ ร.ต.ท.ดำรงค์ บูรณธนิต ถ่ายรูปไว้ กระดูกอื่น ๆ ได้เก็บใส่ตะแกรงถ่ายภาพไว้ด้วย นอกจากกระดูกยังได้พบสิ่งของอีกหลายอย่าง เจ้าหน้าที่ได้บันทึกตามเอกสารหมายเลข จ. 32
เจ้าหน้าที่นิติเวชวิทยา ได้เอากระดูกที่ขุดได้ไปตรวจพิสูจน์และทำรายงานผลการตรวจพิสูจน์ไว้ เป็นที่เชื่อว่าในหลุมนั้นมี 5 ศพ เพราะตำแหน่งที่พบกระโหลกศีรษะมี 5 ตำแหน่ง กระดูกบางชิ้นทำให้เชื่อได้ว่าเป็นผู้ชาย และมีบางชิ้นที่แพทย์พิสูจน์ตามหลักวิชาเอาไว้ว่า เจ้าของกระดูกมีอายุเกินกว่า 1 ปี มีชิ้นหนึ่งเป็นเศษของกระดูกกระโหลกศีรษะ แสดงให้เห็นว่า เจ้าของมีอายุระหว่าง 35 ถึง 45 ปี เป็นกระดูกที่เผาและฝังไว้นานแรมปี เพราะมีรากของต้นไม้ไชชอนเข้าไปอยู่เป็นส่วนมาก
สิ่งของที่ขุดได้ในหลุม พนักงานสอบสวนได้นำไปให้ภรรยาของผู้ตายดู นางนิวาศน์ ศิริขันธ์ ได้ดูหัวเข็มขัด 1 หัว ฟันทอง 2 ซี่ เศษแว่นตา ส้นรองเท้า และพวงกุญแจ จำได้ว่าเป็นของนายเตียงใช้อยู่ เจ้าหน้าที่ได้ขอรองเท้าที่นายเตียงเคยใช้ไป 1 คู่ เมื่อได้เทียบเคียงดูกับส้นรองเท้าที่ขุดได้จากหลุมก็เป็นขนาดเดียวกัน นางปิ่มปลื้ม บุนนาค นางสนิท เขียววิจิตร ได้ดูหัวเข็มขัดของกลาง แจ้งว่าคล้ายหัวเข็มขัดที่นายชาญ และนายผ่องใช้คนละ 1 หัว นางสุวรรณี บุนนาค เห็นพวงกุญแจมีลูก 3 ดอก เป็นกุญแจรถยนต์ ตรงกับพวกกุญแจรถยนต์ของนายเล็กที่มีลูกกุญแจ 3 ดอก
ตามหลักฐานพยานและเหตุผลแวดล้อมดังกล่าวมา ซึ่งแสดงว่านายเตียงกับพวกไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ประกอบกับพยานโจทก็ให้การว่ารู้เห็นการฆ่านายเตียงกับพวกที่กรุงเทพฯ แล้วนำศพไปเผาในป่าเมืองกาญจนฯ พยานได้พาเจ้าหน้าที่ไปชี้หลุมที่เผาและฝังศพ ผลจากการขุดก็พบกระดูกมนุษย์จำนวน 5 ศพ ซึ่งถูกไฟเผาแล้วฝังไว้เป็นปี ๆ ตามกาลเวลาที่เกิดเหตุ จนกระทั่งมีการสอบสวนดำเนินคดีและได้พบสิ่งของเครื่องใช้คล้ายคลึงกับของบุคคลที่หายสาบสูญไปในคดีนี้ เป็นการเพียงพอที่ศาลจะเชื่อได้ว่า นายเตียง นายชาญ นายเล็ก นายผ่อง และนายสง่า ได้ถูกฆ่าตายจริง และศพได้นำมาเผาและฝังไว้ ณ หลุมที่เจ้าพนักงานสอบสวนได้ขุดขึ้นมานั้นเอง แม้จะไม่ได้มีการขันสูตรพลิกศพ เพราะศพได้ถูกทำลายจนไม่มีรูปร่างจะทำการพิสูจน์ได้ ก็ฟังตามพยานหลักฐานได้ว่า กระดูกที่ขุดได้นั้นเป็นกระดูกของบุคคลดังกล่าวโดยถูกฆ่าตายได้
เนื่องจากพยานบุคคลของโจทก์ เบิกความติดต่อสอดคล้องกันเป็นอันดี และได้หลักฐานวัตถุพยานประกอบ จึงทำให้คำพยานโจทก็มีน้ำหนักน่าเชื่อถือว่าประจักษ์พยานของโจทก์ได้รู้เห็นเหตุการณ์ฆ่ารายนี้ตามที่โจทก์นำสืบ ไม่มีทางให้ระแวงสงสัยว่าพยานจะเสกสรรค์ปั้นเรื่องขึ้น ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับจำเลยแต่ละคนนั้น ศาลจะได้วินิจฉัยต่อไป
สาเหตุแห่งการฆ่า ผู้ตายทุกคนไม่ปรากฏว่าเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันกับจำเลยคนใด โดยเฉพาะนายเตียง ศิริขันธ์ เป็นนักการเมืองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับเลือกตั้งติดต่อกันมาทุกสมัย เป็นเวลาช้านาน สังกัดพรรคสหชีพ ซึ่งมีแนวนโยบายการสหกรณ์เป็นสำคัญ และมีบุคคลภายนอกวงการของพรรคอาจคิดว่า เป็นพวกที่นิยมคอมมูนิสต์ได้ สมาชิกพรรคสหชีพนิยมนับถือนายปรีดี พนมยงค์ ดุจอาจารย์ แม้จะออกไปอยู่นอกประเทศก็มีการติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีทำสัญญาร่วมพันธมิตรกับฝ่ายอักษะ (ญี่ปุ่น) จึงเกิดมีคณะกู้ชาติเรียกว่า ขบวนการเสรีไทยขึ้น โดยมีนายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้าภายในประเทศ นายเตียง ศิริขันธ์ เป็นหัวหน้าสายทางจังหวัดสกลนคร นายชาญ บุนนาค นายเล็ก บุนนาค กับพวกก็ร่วมอยู่ในขบวนการเสรีไทยที่หัวหิน มีการสะสมอาวุธยุทธภัณฑ์ด้วย หลังจากเลิกสงครามโลก พรรคสหชีพได้เป็นรัฐบาล นายเตียงกับเพื่อนผู้แทนราษฎรที่เป็นหัวหน้าหน่วยเสรีไทยได้เป็นรัฐมนตรี นายชาญ บุนนาค ได้เป็นสมาชิกวุฒิสภา และได้สัมปทานป่าไม้ ภายหลังเกิดรัฐประหาร จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีก พล.ต.อ.เผ่า เป็นอธิบดีกรมตำรวจ ต่อมาเกิดการปฏิวัติหลายครั้ง รัฐบาลปราบปราม นายทองอินทร์ นายถวิล นายจำลอง นายทองเปลว อดีตรัฐมนตรีในคณะของนายเตียงถูกจับและถูกยิงตาย นักการเมืองหายไปนับว่าถูกฆ่าตายหลายคน ทั้งนี้เห็นได้ว่ากลุ่มนักการเมืองของจอมพล ป. พิบูลสงคราม พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ กับกลุ่มของนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งมีพรรคพวกคือ นายเตียง ศิริขันธ์ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายถวิล อุดล นายจำลอง ดาวเรือง นายทองเปลว ชลภูมิ เป็นต้น ช่วงชิงอำนาจบริหารประเทศซึ่งกันและกัน จำเลยในคดีนี้ล้วนเป็นตำรวจอยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของ พล.ต.อ.เผ่า อธิบดีกรมตำรวจทั้งสิ้น จึงเป็นเหตุผลให้น่าเชื่อว่า นายเตียง นายชาญ กับพวกถูกฆ่าตายครั้งนี้ด้วยเหตุผลในทางการเมือง มิใช่มีสาเหตุเป็นส่วนตัวกับบุคคลใด
เหตุการณ์ฆ่าคนทั้ง 5 ในคดีนี้กระทำที่กรุงเทพฯ เริ่มด้วยนำตัวไปพบ กับ พ.ต.อ.อรรณพ ที่บ้านพักของ พล.ต.จ.รัตน์ จำเลยที่ 1 ในกรมตำรวจ ทำนองเอาตัวไปสอบสวนก่อนแล้วจึงคุมไปฆ่าตายทีละคนที่บ้านเลยสะพานพระโขนง ซึ่ง พ.ต.อรรณพ ได้เช่าไว้ พยานโจทก์ที่รู้เห็นเหตุการณ์ตอนนี้มี 2 คน คือ พ.ต.ต.ประดับ ธีระเกาศัลย์ กับ ส.ต.ต.สมพงษ์ กรพาณิชย์ และเหตุการณ์เกิดขึ้นถึงเวลาทำการสอบสวนพยานเป็นเวลาล่วงเลยมาร่วม 5 ปี การสอบสวนปากคำพยานแต่ละคนได้กระทำหลายครั้ง ทั้งนี้เพื่อให้พยานได้นึกทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้วเป็นเวลาช้านานนั้น
อนึ่ง เนื่องจากเวลาระหว่างเกิดเหตุจนกระทั่งมีการสอบสวนดำเนินคดี พยานและบุคคลที่กล่าวถึงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในคดีนี้ได้มียศตำแหน่งหน้าที่ราชการเปลี่ยนแปลงสูงขึ้น พยานจึงเบิกความถึงบุคคลเหล่านั้นสับสนกันในสำนวน เช่นบางคนเรียกตามยศ เรียกตามตำแหน่งในขณะเกิดเหตุ บางคนก็ระบุถึงเมื่อทำการสอบสวน หรือในระหว่างพิจารณาคดี เป็นต้น แต่ในคำพิพากษานี้ จะกล่าวอ้างแต่บุคคลตามยศและตำแหน่งขณะที่เจ้าหน้าที่ทำการสอบสวนดำเนินคดีเป็นสำคัญ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้ง 15 คน นี้กับพวกที่หลบหนียังจับไม่ได้อีกหลายคน ได้สมคบร่วมกันกระทำความผิดด้วยกัน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 บัญญัติว่า ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็น "ตัวการ" คำว่า "ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน" คือ ร่วมมือร่วมใจในการกระทำความผิด หรือนัยหนึ่งได้มีการสมคบกันมาก่อนเพื่อกระทำความผิดนั้น และกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 มาตรา 63 ที่ใช้อยู่ในขณะความผิดนี้เกิดก็มีนัยทำนองเดียวกัน
ข้อที่โจทก์นำสืบว่าได้มีการแจกเงินกันที่บ้าน พ.ต.อ.พันศักดิ์ ในปี พ.ศ.
2497 นั้น ศาลเห็นว่า เป็นเวลาภายหลังเกิดเหตุหนึ่งปีเศษ จะฟังว่าผู้ที่ไปร่วมหรือได้รับแจกเงินรางวัลได้กระทำความผิดด้วยหาได้ไม่ เว้นแต่ทางพิจารณาจะได้ความว่าจำเลยกระทำการอย่างใด คดีนี้ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้สมรู้ร่วมคิดกระทำความผิดมาก่อน เมื่อใด ที่ไหน แต่ศาลอาจวินิจฉัยรู้ได้จากพฤติการณ์แห่งคดี จึงต้องพิจารณาการกระทำของจำเลยแต่ละคนไป และเป็นการแน่ชัดว่ามีบุคคลเกี่ยวข้องกับการกระทำครั้งนี้มากคนด้วยกัน และเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งแต่ชั้นนายตำรวจจนถึงพลตำรวจได้ลงมือกระทำการต่าง ๆ กัน ทั้งนี้โดย พ.ต.อ.อรรณพ พุกประยูร เป็นผู้กำหนดแผนการตามธรรมดาตำรวจย่อมมีระเบียบ วินัย เคารพเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา ฉะนั้นผู้น้อยกว่าจึงอาจจะทำการตามที่ผู้บังคับบัญชาสั่งให้ทำ หรืออ้างว่าเป็นคำสั่งของผู้บังคับบัญชา โดยผู้ปฏิบัติมิได้ล่วงรู้ถึงแผนการที่ตนกระทำนั้นได้
สำหรับ พล.ต.จ.รัตน์ จำเลยที่ 1 บ้านพักอยู่ในกรมตำรวจ หลังที่โจทก์นำแบบจำลองอ้างส่งศาลพร้อมด้วยครอบครัว แต่ขณะเกิดเหตุน่าเชื่อตามจำเลยนำสืบว่าได้ส่งครอบครัวกลับไปอยู่ที่ทุ่งมหาเมฆจริง เพราะขณะนั้นกำลังมีการสอบสวนคดีกบฏ จึงใช้บ้านพักของ พล.ต.จ.รัตน์ เป็นที่พักของพยานและ พ.ต.อ.อรรณพ ได้นัดให้นายเตียง นายชาญ กับพวกไปพบที่นั่น ในตอนนั้น พล.ต.จ.รัตน์ จำเลยไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวข้องร่วมกับ พ.ต.อ.อรรณพ แต่ว่าฟังพยานโจทก์ มีแต่เห็น พล.ต.จ.รัตน์ จำเลยไปกับรถบรรทุกคนไปเผาในป่าเมืองกาญจนฯ
ศาลพิจารณาแล้ว พล.ต.จ.รัตน์ จำเลยนำสืบพยานบุคคลหลายปาก พร้อมกับมีเอกสารทางราชการสนับสนุนว่า ในวันที่ 12-13 ธันวาคม 2495 จำเลยอยู่ประจำที่ทำงาน นำพยานคดีกบฏเข้าพบ พล.ต.อ.พระพินิจชนคดี และทำการสอบสวนพยาน โดยที่ พล.ต.อ.พระพินิจชนคดี เป็นประธานกรรมการสอบสวน พล.ต.จ.รัตน์ ทำงานใกล้ชิดกับ พล.ต.อ.พระพินิจชนคดี อยู่ตลอดเวลา มีกิจธุระที่จะเรียกหาเสมอ พล.ต.อ.พระพินิจชนคดี ผู้นี้โจทก์และจำเลยอ้างเป็นพยานร่วมกัน พยานให้การว่า พล.ต.จ.รัตน์ จำเลยอยู่ปฏิบัติราชการที่กรมตำรวจไม่ได้ไปไหนเพราะถ้าออกไปนอกบริเวณก็จะต้องขออนุญาต คำเบิกความของพระพินิจชนคดีเป็นพยานที่มีน้ำหนักควรเชื่อฟัง ในการนำศพไปเผาที่เมืองกาญจนฯ นั้นก็ไปทำกันในเวลากลางคืน และนานปีมาแล้ว ศาลไม่เชื่อว่าจำเลยที่ 1 ได้ไปเผาศพกับพวกที่ในป่าเมืองกาญจนฯ
พ.ต.อ.วิชิต รัตนภานุ จำเลยที่ 2 พยานโจทก์เห็นยืนยันอยู่กับ พ.ต.อ.พันศักดิ์ พ.ต.อ.พุฒ บูรณะสมภพ บริเวณหน้าบ้านพระโขนง ระหว่างนำนายชาญ นายเล็ก นายผ่อง นายเตียง มาส่งเข้าห้องรับแขกทีละคน ตอนหลังได้ขึ้นรถยนต์กลับไปพร้อมกับ พ.ต.อ.อรรณพ พุกประยูร ในวันที่ 12 ธันวาคม 2495 ตั้งแต่เวลาบ่ายโมง จนราวบ่าย 4 โมงเศษ เพียงเท่านี้ จำเลยที่ 2 นำสืบว่าในวันที่โจทก์กล่าวหานั้น จำเลยมีหน้าที่คุ้มคร้อง ดูแลให้ความสะดวกแก่พยานคดีกบฏที่เป็นหญิง จำเลยที่ 2 นำนางสาวศิริพร วรชาติ พยานคดีกบฏคนหนึ่งมาเบิกความเป็นพยานว่า ในระหว่างให้ความอารักขาพยาน จำเลย ที่ 2 มาเวลา 8.00 นาฬิกา บางครั้งก็นอนอยู่ที่สโมสรนายตำรวจ แต่ส่วนมากกลับเมื่อเวลาหลัง 24.00 น. แล้ว ตลอดเวลา 3 เดือน มีระยะเวลาที่จำเลยที่ 2 ไม่ได้อยู่อารักขาเพียงครั้งเดียว คือระหว่างฉลองรัฐธรรมนูญ วันนั้นจำเลยที่ 2 บอกว่าจะไปกินเลี้ยง บอกเมื่อเวลา 16.00 น. และได้จัดให้ พ.ต.ท.ปาน เป็นผู้ดูแลอารักขาแทน พยานได้เห็นจำเลยที่ 2 กลับมาเมื่อเวลา 22.00 นาฬิกา โดยจำเลยที่ 2 บอกกับพยานว่าเสร็จจากกินเลี้ยงมาแล้ว วันนั้นพยานถูก พล.ต.จ.อัศนีย์ สอบสวนทั้งเช้าและเย็นเสร็จเมื่อประมาณ 15.00 นาฬิกา กลับมาเห็นจำเลยที่ 2 อยู่ที่สโมสรนายตำรวจ พล.ต.อ.พระพินิจชนคดี เบิกความรับรองว่า ได้แต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ดูแลพยานในคดีกบฏจริง ว่าถึงหน้าที่ให้ความอารักขาพยานในคดีสำคัญเช่นนั้น ก็เป็นการยากที่จะคิดว่าจำเลยที่ 2 จะปลีกตัวออกไปนอกบริเวณที่มีราชการจะต้องรับผิดชอบได้ อย่างไรก็ตามแม้จะฟังว่าจำเลยที่ 2 ได้ไปที่นั่นจริงก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ไปด้วยกิจธุระอันใด หรือมีหน้าที่อะไรอันเป็นส่วนช่วยเหลือสนับสนุนการฆ่าคนทั้ง 5 นั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 2 สมคบในการกระทำผิดด้วย
พ.ต.ต.กมล ชโนวรรณ จำเลยที่ 4 พยานโจทก์เห็นยืนอยู่ในบริเวณหน้าบ้านพระโขนง ในระหว่างเวลาทำการฆ่า ข้อวินิจฉัยของศาลสำหรับจำเลยที่ 4 นี้ทำนองเดียวกับจำเลยที่ 2 ก็คือยังฟังไม่ได้ว่าได้สมคบกันมากระทำความผิด
พ.ต.ต.สุนนท์ เอกะโรหิต จำเลยที่ 5 พยานโจทก์เบิกความว่าเห็นไปที่บ้าน พ.ต.อ. พันธ์ศักดิ์ ในวันที่มีการแจกเงินแก่นายสิบพลตำรวจ ศาลไม่ถือว่าจำเลยมีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิดตามโจทก์ฟ้องเลย
พ.ต.ต.กระแสร์ อุณหสุวรรณ จำเลยที่ 6 จำเลยนี้ พ.ต.ต.ประดับ พยานโจทก็ให้การว่า เมื่อ พ.ต.อ.อรรณพ เรียกพยานมาสั่งว่า ประเดี๋ยวให้พาคนขับรถของนายเตียงไปนั้น ไม่ได้บอกว่าพาไปที่ไหน แต่บอกให้ไปกับคุณกระแสร์ภายหลังที่ พ.ต.อ.อรรณพ ไปแล้ว พยานเห็นคนขับรถของนายเตียงนั่งอยู่ในรถอ๊อสตินสีช็อคโกแล็ต และ พ.ต.ต.ประชา พานายเตียงไปแล้ว พยานจึงไปนั่ง คุยกับ พ.ต.ต.กระแสร์ จำเลย เกี่ยวกับการงานที่เป็นผู้ช่วยกรรมการสอบสวนคดีกบฏ และว่าเมื่อพานายสง่า คนขับรถของนายเตียงไปนั้น พ.ต.ต.กระแสร์ นั่งข้างหน้ากับคนขับ พยานนั่งตอนหลัง พ.ต.ต.กระแสร์ บอกกับคนขับให้ไปทางพระโขนง เป็นทำนองว่าพยานไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน แต่ พ.ต.ต.กระแสร์ รู้
พ.ต.ต.กระแสร์ จำเลยที่ 6 อยู่หน้าบ้านพักจำเลยที่ 1 ในกรมตำรวจในวันนั้นจริงหรือไม่ ส.ต.ต.สมพงษ์ พยานคู่อีกคนหนึ่งเบิกความว่า ไม่เห็น พ.ต.ต.กระแสร์ จำเลยที่บ้านผู้บังคับการรัตน์ ถ้าจำเลยที่ 6 อยู่ที่นั่นจริง ส.ต.ต.สมพงษ์ น่าจะเห็น เพราะ ส.ต.ต.สมพงษ์ นำรถยนต์มาจอดและอยู่หน้าบ้านนั้นตลอดเวลา พ.ต.ต.ประดับ พยานโจทก์คนนี้ ตกอยู่ในฐานะผู้ต้องหาคนหนึ่งในคดีนี้ เพราะพยานเป็นคนคุมตัวนายสง่าส่งเข้าไปในห้องรับแขก แล้วเดินทางไปเลือกสถานที่ขุดหลุมเผาศพพวกที่ตาย แล้วไปกับ พ.ต.อ.อรรณพนำศพไปเผา จะว่าไม่รู้แห่งที่จะพานายสง่าไปกระไรได้ พยานโจทก์เบิกความขัดแย้งกัน ไม่น่าเชื่อว่า พ.ต.ต.กระแสร์ จำเลยจะพานายสง่าไปบ้านพระโขนงจริงดังที่ พ.ต.ต.ประดับ พยานโจทก์เบิกความ นอกจากนั้นยังได้ความว่า พ.ต.ต.กระแสร์ จำเลย กับ พ.ต.ต.ประดับ มีสาเหตุไม่ถูกกัน เรื่องจับวิทยุเถื่อน อันเป็นทางตัดผลประโยชน์ของ พ.ต.ต.ประดับ พยาน และศาลไม่เชื่อว่า พ.ต.ต.กระแสร์ จำเลยได้นำรถไปรับ พ.ต.ต.ประดับ ที่เมืองกาญจนฯ ด้วย
จำเลยมีพยานนำสืบว่า วันที่ 12 ธันวาคม 2495 เวลาบ่าย 3 โมงเศษ จำเลยที่ 6 ได้พาบิดากับ ร.ต.ท.ปธาน ไปพูดสู่ขอผู้หญิงให้แก่ ร.ต.ท.ปธาน และค่ำวันที่ 13 ได้มีการเลี้ยงส่งนายเกษม น้องชายไปต่างประเทศ เป็นหลักฐานหลายปากน่าเชื่อว่าเป็นความจริงได้ จำเลยไม่ได้กระทำความผิด
ร.ต.ท.ผัน ศาตร์ปรุง จำเลยที่ 8 ร.ต.ต.มรกต มัลลิกามาลย์ จำเลยที่ 9 ส.ต.อ.แนบ นิ่มรัตน์ จำเลยที่ 10 ส.ต.อ.ระวี เธียรนันท์ จำเลยที่ 11 ส.ต.ท.ชุมพล ปรีแย้ม จำเลยที่ 12 จำเลยทั้งหมด 5 คนนี้ พยานโจทก์เห็นคล้าย ส.ต.อ.ระวี เธียรนันท์ ยืนอยู่ข้างรถจิ๊ปคันที่บรรทุกศพที่หน้าบ้านพระโขนง ก่อนเดินทางไปเมืองกาญจนฯ ส่วนจำเลยอีก 4 คน พยานเห็นเดินทางไปกับรถบรรทุกศพและนำศพไปเผาในป่า แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ภายหลังการฆ่าคนแล้ว ก่อนและระหว่างทำการฆ่า จำเลยทั้ง 5 คนนี้ไม่ปรากฏว่ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย พฤติการณ์เช่นนี้ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยดังกล่าวได้สมคบร่วมมือร่วมใจในการกระทำผิด จำเลยจึงไม่มีความผิดตามโจทก์ฟ้อง
พ.ต.ท.ศิริชัย กระจ่างวงศ์ จำเลยที่ 3 ส.ต.ต.ศาสตร์ ภาษิตานนท์ จำเลยที่ 13 ส.ต.ต.เจริญ ไทรสาเกตุ จำเลยที่ 15 พ.ต.ท.ศิริชัย เป็นผู้กำกับการตำรวจ จำเลยอื่นเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจังหวัดกาญจนบุรี ในขณะนั้นพยานโจทก์มี ส.ต.ต.สมพงษ์ กรพานิช เบิกความว่า พ.ต.อ.อรรณพ ไปที่วังปารุสกวัน ขึ้นไปบนตึกแล้วลงมาส่งกระดาษ มีข้อความให้พยานโทรเลขถึงผู้กำกับการตำรวจจังหวัดกาญจนบุรี ใจความตามโทรเลขว่า "ศาสตร์ เตรียมพร้อมไว้" แต่ตามหลักฐานเอกสารหมายเลข จ. 30 ของทางราชการตำรวจโทรเลขที่ พ.ต.อ.อรรณพส่งไปนั้นมีข้อความว่า "สั่งพลฯ ศาสตร์เตรียมงานพร้อมวันนี้ ถ้าผู้กำกับการไม่อยู่ให้สั่งภริยา" แม้จะแตกต่างกันก็พอเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า พ.ต.อ.อรรณพ ได้โทรเลขไปจริง และมีข้อความตามเอกสารหมายเลข จ. 30 นั้นถูกต้อง เป็นโทรเลขให้เตรียมเรื่องหลุมศพ ซึ่งต่อมาเมื่อ พ.ต.ต.ประดับ พ.ต.ต.ประชา เดินทางไปจังหวัดกาญจนฯ ก็ตรงไปหา พ.ต.ท.ศิริชัย จำเลยถามว่างานที่ พ.ต.อ.อรรณพ สั่งไว้เรียบร้อยหรือยัง พ.ต.ท.ศิริชัย บอกว่าไปกับเด็กก็แล้วกัน แล้วจึงไปตาม ส.ต.ต.ศาสตร์ จำเลยมาขึ้นรถพา พ.ต.ต.ประดับ กับตำรวจเมืองกาญจนฯ ไปหาที่ขุดหลุม และขุดหลุมหาฟืนใส่ไว้ในหลุมนั้นทางพิจารณาได้ความว่าดังนี้ น่าเชื่อว่า พ.ต.ท.ศิริชัย จำเลยได้รับคำสั่งจาก พ.ต.อ.อรรณพ ล่วงหน้ามาให้เตรียมการขุดหลุมได้แล้ว แต่ พ.ต.ท.ศิริชัย ไม่ไปด้วย ใช้ให้ตำรวจในบังคับบัญชาไปกับ พ.ต.ต.ประดับ ข้อที่ว่าได้รับคำสั่งจาก พ.ต.อ.อรรณพ นั้น พ.ต.อ.อรรณพ จะได้สั่ง พ.ต.ท.ศิริชัย ว่าอย่างไรบ้าง โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นมาหรืออาจจะเป็นเพียงสั่งให้เตรียมขุดหลุมไว้ในป่า จะเอาอะไรไปเผา โดยไม่ได้บอกเรื่องราวว่าจะฆ่านายเตียงกับพวกแล้วจะเอาศพไปเผาที่นั่นก็ได้ เพราะงานที่จะทำต่อไปนั้นเป็นเรื่องสำคัญและเป็นความลับ ไหนเลยจะบอกให้ พ.ต.ท.ศิริชัย รู้ละเอียดล่วงหน้าเป็นระยะเวลานานวัน แม้เวลาที่จะใช้ก็คงไม่ได้กำหนดไว้ จึงต้องโทรเลขไปบอกอีก เมื่อมีทางจะเป็นไปได้ว่า พ.ต.ท.ศิริชัย จำเลยมิได้ล่วงรู้แผนการฆ่านายเตียงกับพวกมาก่อน การที่ได้สั่งให้จำเลยที่ 13-14-15 ไปกับ พ.ต.ต.ประดับ และจำเลยได้ไปร่วมเผาศพผู้ที่ถูกฆ่าตายด้วยนั้น ไม่เรียกว่าเป็นการสบคบกันกระทำความผิด หรือสนับสนุนการกระทำความผิดแต่อย่างใด และสำหรับจำเลยที่ 13-14-15 น่าจะรู้ความจริงเมื่อขณะทำการเผาหรือหลังจากนั้น จึงไม่ใช่ผู้ทำความผิดร่วมด้วยดังโจทก์ฟ้อง
ร.ต.อ.อิทธิพล เครือใย จำเลยที่ 6 นั้น ส.ต.ต.สมพงษ์ กรพาณิช พยานโจทก์ ให้การว่าเห็นอยู่ในห้องรับแขกที่บ้านพระโขนงกับ ส.ต.ท.ดำรงค์ ส.ต.ต.จรัญ หรือโย่ง (สองคนหลังนี้พนักงานสอบสวนระบุว่า คือ ส.ต.อ.ดำรงค์ วงษ์สุนทร และ ส.ต.ต.จรัญ หรือโย่ง เสงี่ยมพงษ์) ทั้ง 3 ได้เข้ากลุ้มรุมทำร้ายปลุกปล้ำนายชาญ นายเล็ก นายผ่อง นายเตียง และนายสง่า ตามลำดับ ชั้นศาลไต่สวน ส.ต.ต.สมพงษ์ ให้การว่า ร.ต.อ.อิทธิพล จำเลยเป็นคนที่เข้ารัดคอคนที่ถูกส่งเข้าห้องรับแขกนั้น แต่ชั้นศาลอาญาพยานว่าไม่ได้สังเกต พ.ต.ต.ประดับ เบิกความว่าเห็นคนในห้อง 3-4 คนนั้น เข้ากอดปล้ำนายสง่า 2-3 นาที ก็ได้ยินเสียงดังคล้ายคนล้ม นอกจาก ร.ต.อ.อิทธิพล จำเลยกับพวก 2 คน ดังกล่าวนามมาแล้ว ยังมี ร.ต.ท.พิชิต (ยศต่อมาคือ ร.ต.อ.พิชิต วิชัญธนะพัฒน์) สารวัตรประสงค์ (พ.ต.ต.ประสงค์ มัชฌิมานนท์) พ.ต.ต.ประชา ซึ่งเป็นคนนำตัวนายชาญ นายเล็ก นายผ่อง นายเตียง ไปส่งที่ห้องรับแขก ก็ได้ช่วยเข้าปล้ำด้วย ตามที่พยานโจทก์ให้การดังกล่าวมา แม้จะผิดเพี้ยนไปจากที่เคยให้การมาแต่ครั้งก่อนบ้าง แต่ก็ยังมีน้ำหนักพอให้เชื่อฟังได้ว่า ร.ต.อ.อิทธิพล จำเลยเป็นคนหนึ่งที่ได้ลงมือฆ่านายเตียงกับพวกดังโจทก์ฟ้องกล่าวหาจริง โดยสมคบกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องอีกหลายคน แม้โจทก์จะไม่มีพยานเห็นคนเหล่านั้นถูกฆ่าถึงตายกับตาของพยานเอง อาศัยเหตุผลแวดล้อมที่ผู้ถูกส่งตัวเข้าไปในห้องรับแขกนั้นถูกฆ่าตายในบ้านนั้นแน่นอน เพราะต่อมาได้มีการขนศพจากที่นั้นไปเผา
กรรมการผู้สะสางคดีและพนักงานสอบสวน ล้วนเป็นตำรวจด้วยกันกับจำเลย ผู้ที่รวบรวมพยานหลักฐานไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย จึงไม่มีทางให้ระแวงสงสัยว่ากลั่นแกล้งปรักปรำจำเลยด้วยเหตุใด
ขณะทำความผิด ร.ต.อ.อิทธิพล จำเลยอยู่นอกราชการ กำลังยื่นคำร้องต่อกรมตำรวจและติดต่อขอกลับเข้ารับราชการตามเดิม พยานหลักฐานที่เห็นจำเลยที่ 7 อยู่ที่สโมสรนายตำรวจไม่มีน้ำหนักสามารถฟังมาหักล้างพยานโจทก์ได้
ผู้ตายทั้ง 5 คนไม่มีคดีเกี่ยวข้องเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด แต่ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตัวไปสอบสวนในฐานะพยานแล้วคุมตัวเอาไปฆ่าเสีย ส่วนนายผ่อง นายสง่า ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง เป็นแต่ร่วมไปด้วยก็ถูกฆ่าเสียเพื่อปิดปากมากกว่าอื่น การที่จะฆ่าคนทั้ง 5 คนนี้ได้จำต้องมีแผนการตระเตรียมสถานที่และกำลังคนร่วมทำงานกันหลายคน จึงเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามกฎหมายอาญามาตรา 289 (4) แต่ตามประมวลกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 มาตรา 250 (3) ต้องเป็นการฆ่าโดยความพยายามด้วยความพยาบาทมาดหมายแก่ผู้ตายมาก่อน จึงต้องใช้บทกฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลยว่าไม่เข้าเหตุฉกรรจ์ข้อนี้ แต่การที่จำเลยที่ 7 กับพวกใช้กำลังกายฆ่าคนถึง 5 คนติดต่อกันทีละคนโดยผู้ถูกฆ่าไม่มีโอกาสต่อสู้ขัดขืนได้ จึงเป็นการฆ่าที่แสดงความดุร้าย ทำแก่ผู้ตายให้ได้รับความลำบากอย่างสาหัสอันนี้มีโทษขั้นสูงสุดตามบทกฎหมายไม่มีทางปราณีได้
อาศัยเหตุผลดังวินิจฉัยมา จึงพร้อมกันพิพากษาว่า ร.ต.อ.อิทธิพล เครือใย จำเลย มีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 มาตรา 63-64 มาตรา 250 (5) และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83-84 และมาตรา 289 (5) ซึ่งมีอัตราโทษเท่ากัน โดยให้ลงโทษประหารชีวิต ร.ต.อ.อิทธิพล เครือใย จำเลยให้ตายตกไปตามกัน ส่วนจำเลยคนอื่นรวม 14 คน ทางพิจารณายังฟังไม่ได้ว่าได้ร่วมกระทำความผิดดังโจทก์ฟ้อง จึงให้ยกฟ้องโจทก์ปล่อยตัวพ้นข้อหาไปเฉพาะคดีนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185
นายประสาท สุคนธมาน
นายสวัสดิ์ นราภิรมย์ขวัญ
นายบรรจบ เสาวรรณ
นายสว่าง เวทยวุฒิกรรมวงษ์ศิริ
ผู้พิพากษา
หมายเหตุ :
- อักขรวิธีสะกดคงไว้ตามเอกสารต้นฉบับ
- เปลี่ยนชื่อบทความใหม่โดยกองบรรณาธิการ
บรรณานุกรม :
- สวัสดิ์ ตราชู, คำพิพากษาคดีนายเตียง ศิริขันธ์, ใน, ลับสุดยอด เมื่อข้าพเจ้าเป็นเสรีไทยกับขุนพลภูพาน เตียง ศิริขันธ์ (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ม.ป.พ.), 78-112.