ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

ขบวนการเสรีไทยสายอีสาน : เครือข่าย การจัดตั้ง และพลวัตทางการเมืองในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง

26
พฤศจิกายน
2568

ในโอกาสที่โครงการสนับสนุนการศึกษาและเสวนาสัญจร "PRIDI Sanjorn ครั้งที่ 2" จังหวัดสกลนคร ได้ดำเนินรายการในวันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งสถาบันปรีดี พนมยงค์ ร่วมกับคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครจัดงานนี้ขึ้น ในบทความนี้จึงจะนำเสนอภาพรวมขบวนการเสรีไทยด้านภาคอีสาน สมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา พ.ศ. 2484 - 2488 (ค.ศ. 1941 - 1945) ทั้งเครือข่ายขบวนการ การตั้งค่ายฝึกเสรีไทย และแผนการสู้ญี่ปุ่นด้านภาคอีสาน

ภูมิหลังสงครามมหาเอเชียบูรพาและขบวนการต่อต้านญี่ปุ่น

จากสถานการณ์สงครามมหาเอเชียบูรพา พ.ศ. 2484 - 2488 (ค.ศ. 1941 - 1945) เมื่อญี่ปุ่นชาติมหาอำนาจฝ่ายอักษะได้ส่งกองทัพบุกเข้าประเทศไทย ในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941) ได้เกิดการต่อต้านอย่างกล้าหาญเข้มแข็งจากทหาร ตำรวจ พลเรือน และประชาชน จนได้รับคำสั่งหยุดยิงจากรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ยินยอมให้กองทัพญี่ปุ่นผ่านดินแดนไทยไปรุกพม่าและมลายา เพื่อไม่ให้ประเทศไทยถูกทำลายเพราะสรรพกำลังไทยไม่อาจสู้ญี่ปุ่นได้ โดยในชั้นแรกไทยจะไม่ผูกมัดพันธะกับญี่ปุ่นและชาติมหาอำนาจฝ่ายอักษะ รวมทั้งไม่ประกาศเป็นศัตรูกับฝ่ายสัมพันธมิตร

หลังจากนั้นรัฐบาลไทยให้ทำกติกาสัญญาพันธไมตรีทางการเมือง ทหาร และเศรษฐกิจกับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นได้ทั้งการกดดันจากญี่ปุ่น และผลประโยชน์ฝ่ายไทยที่จะได้ชิงดินแดนเพิ่มเติม จนรัฐบาลไทยถึงกับต้องส่งกองทัพสนาม คือกองทัพพายัพ รุกเข้ารัฐฉานของอังกฤษ ช่วยป้องกันปีกขวาให้กองทัพญี่ปุ่นที่กำลังรุกพม่าตามข้อเรียกร้องของฝ่ายญี่ปุ่นโดยยินยอมให้ญี่ปุ่นกู้เงิน ได้สิทธิใช้สาธารณูปโภคและทรัพยากรไทย

ที่สำคัญคือ รัฐบาลไทยประกาศสงครามต่ออังกฤษและสหรัฐอเมริกาแม้ญี่ปุ่นไม่ได้ร้องขอไทยอย่างเป็นเอกภาพจึงนับว่ารัฐบาลไทยได้นำประเทศผูกมิตรใกล้ชิดญี่ปุ่น และประกาศตนเป็นข้าศึกของฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างชัดเจน ซึ่งขัดแย้งต่อเจตจำนงคนไทยที่ต้องการต่อสู้ญี่ปุ่นผู้รุกราน และเสี่ยงต่อการสูญเสียเอกราชและอธิปไตยของไทย หากญี่ปุ่นแพ้สงคราม

บริบทภายในประเทศ นายปรีดี พนมยงค์ อดีตหัวหน้าคณะราษฎรสายพลเรือน ซึ่งต่อมาไม่นานจะได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8 ได้ก่อตั้งขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นหรือเสรีไทยในประเทศขึ้น นับแต่วันแรกที่กองทัพญี่ปุ่นบุกประเทศไทย ร่วมกับเพื่อนคณะราษฎรบางส่วน ข้าราชการสำคัญ นักการเมืองและปัญญาชน เช่น นายทวี บุณยเกตุ นายดิเรก ชัยนาม นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายเตียง ศิริขันธ์ หลวงบรรณกรโกวิท นายจำกัด พลางกูร เป็นต้น โดยรวบรวมพลพรรค สืบข่าว และแสวงหาทางติดต่อชาติสัมพันธมิตร มีภารกิจสำคัญได้แก่

นายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร้จราชการแทนพระองค์ และหัวหน้าใหญ่ขบวนการเสรีไทย พร้อมด้วยผู้นำเสรีไทย รับการเคารพจากแถวสวนสนามเสรีไทย 25 กันยายน พ.ศ. 2488 (ภาพจากช่อง YouTube หอภาพยนตร์แห่งชาติ)

  1. เพื่อต่อสู้ญี่ปุ่นผู้รุกราน
  2. เพื่อให้สัมพันธมิตรรับรองว่าเจตนารมณ์อันแท้จริงของคนไทยไม่เป็นศัตรูต่อสัมพันธมิตร
  3. เพื่อให้สัมพันธมิตรรับรองว่าประเทศไทยไม่ตกเป็นฝ่ายแพ้สงคราม และมีการผ่อนหนักเป็นเบา รวมถึงการให้ประเทศไทยมีสถานะเช่นเมื่อก่อนสงคราม

นอกจากเสรีไทยในประเทศแล้วยังมีกลุ่มคนไทยที่ต่อต้านญี่ปุ่นขณะนั้น ได้แก่ประชาชน “ไทยอิสระ” หลากกลุ่ม (ประชาชนทั่วไป ไทยถีบ นักธุรกิจ ข้าราชการนอกเวลา ฯลฯ) ทั้งการขโมยยุทธภัณฑ์ทหารญี่ปุ่น การช่วยชีวิตซ่อนเชลยศึกสัมพันธมิตร รวมทั้งจีนโพ้นทะเล (ก๊กมินตั๋งและคอมมิวนิสต์) ที่ได้วางระบบการข่าว การเฉื่อยงานในโรงงานที่สนับสนุนญี่ปุ่น การออกเอกสารใต้ดิน และการจัดเตรียมพลพรรค ฯลฯ

ในขณะที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่แม้เป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ในช่วงต้นสงคราม ได้มอบภารกิจกลุ่มข้าราชการตำรวจ พลเรือน ทหารหน่วยสำคัญบางส่วน ได้ช่วงชิงจับกุมเชลยศึกสัมพันธมิตรในไทยให้พ้นจากความทารุณของญี่ปุ่น ต่อรองผลประโยชน์และความปลอดภัยของชาติและประชาชนไทย ไม่ให้ญี่ปุ่นเบียดบังเกินสมควร และสืบข่าวทหารญี่ปุ่น ไม่ให้ละเมิดเอกราชและอธิปไตยรัฐไทย

ภายนอกประเทศได้เกิดเสรีไทยในสหรัฐอเมริกาจากกลุ่มนักเรียนไทยในสหรัฐฯ ซึ่งต่อมานำโดย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อัครราชทูตไทยประจำสหรัฐฯ  พ.ท. ม.ล.ขาบ กุญชร ทูตทหาร และเสรีไทยในอังกฤษนำโดย พ.ต. ม.จ.ศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์ นายป๋วย อึ๊งภากรณ์ และนายเสนาะ ตันบุญยืน มีทั้งพระราชวงศ์ลี้ภัย ข้าราชการ นักเรียนนอก และประชาชน โดยดำเนินงานทางการทูต อาสาสมัครงานวิทยุกระจายเสียง งานข่าว งานใบปลิว และอาสาเป็นนายทหารปฏิบัติพิเศษ ที่รับการฝึกจากอังกฤษและสหรัฐอเมริกา เตรียมการแทรกซึมร่วมมือกับขบวนการต่อต้านในประเทศไทย

นอกจากนี้ยังมีคนไทยอาสาต่อต้านญี่ปุ่นนอกประเทศที่จีน กลุ่มจีนโพ้นทะเลจากไทยอาสาทำการรบญี่ปุ่น และเตรียมหน่วยการข่าวประสานกับในประเทศไทย และที่ออสเตรเลีย

ทั้งนี้ในช่วงต้นสงคราม ขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นฝ่ายต่าง ๆ ในและนอกประเทศยังไม่รับรู้ และไม่ได้ประสานงานร่วมมือ

เมื่อเข้าสู่ปี พ.ศ. 2486 (ค.ศ. 1943) นายปรีดี พนมยงค์ หัวหน้าเสรีไทยในประเทศได้มอบหมายให้คณะนายจำกัด พลางกูร และต่อมาคณะนายสงวน ตุลารักษ์ เดินทางไปประเทศจีน เพื่อประสานงานกับชาติมหาอำนาจสัมพันธมิตรทั้งจีน อังกฤษ และสหรัฐฯ รวมทั้งเสรีไทยสายต่างประเทศ เพื่อแสวงหาทางจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นแต่ล้มเหลว หากได้สร้างการรับรู้และเชื่อถือจากชาติสัมพันธมิตรต่อขบวนการเสรีไทยในประเทศ นำไปสู่การส่งเสรีไทยต่างประเทศลักลอบเสี่ยงภัย แทรกซึมเข้าดินแดนไทยในเวลาต่อมา

ฝ่ายรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ดำเนินนโยบายใต้ดินต่อต้านญี่ปุ่น เมื่อสถานการณ์สงครามเปลี่ยนแปลง ด้วยการส่งนายทหารกองทัพพายัพติดต่อกองทหารจีนด้านชายแดนหยุดยิงและเตรียมแผนสู้ญี่ปุ่น รวมทั้งได้ตั้งฐานทัพเพชรบูรณ์เตรียมกองทัพเขตภายในแดนไทย ทว่าไม่ได้ร่วมมือกับเสรีไทย อีกทั้งจอมพล ป. พิบูลสงครามไม่อาจสร้างความไว้วางใจจากสัมพันธมิตร ด้วยท่าทีรัฐบาลในช่วงก่อนและช่วงต้นของสงคราม

กระทั่งถึงปี พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944)  มีจุดเปลี่ยนสำคัญคือการตั้งรัฐบาลใหม่ภายใต้นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี แทนที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อเดือนกรกฎาคม ซึ่งผู้นำเสรีไทยได้สนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และได้ดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลได้แก่ น.อ. หลวงศุภชลาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายทวี บุณยเกตุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พล.ต.อ. อดุล อดุลเดชจรัส อธิบดีกรมตำรวจ พล.ท. ชิต มั่นศิลป์ สินาดโยธารักษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและรองแม่ทัพใหญ่ ผู้ทำการแทนแม่ทัพใหญ่และแม่ทัพบก พล.ร.ต. หลวงสังวรยุทธกิจ (สังวร สุวรรณชีพ) สารวัตรใหญ่ทหาร หลวงบรรณกรโกวิท (เปา จักกะพาก) อธิบดีกรมศุลกากร นายปฐม คชเสนี อธิบดีกรมทางฯ เป็นต้น

ดังนั้น ขบวนการเสรีไทยในประเทศจึงสามารถขยายความร่วมมือไปยังหลากหลายกลุ่มต่อต้านในประเทศ ทั้งรัฐมนตรี ผู้แทนราษฎร ส่วนราชการตำรวจ กองทัพ พลเรือน จังหวัด อำเภอ ครู นิสิตนักศึกษา และประชาชนอย่างกว้างขวาง

ในขณะที่เสรีไทยจากต่างประเทศทั้งอังกฤษ สหรัฐอเมริกา และจีนสามารถลักลอบเข้ามาประสานกับเสรีไทยในประเทศได้สำเร็จจึงเกิดการขยายพื้นที่ปฏิบัติงานใต้ดินต่อต้านญี่ปุ่น กองกำลังต่อต้านญี่ปุ่นทั้งทหารและพลพรรคได้ขยายวงทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดต่าง ๆ ทุกภูมิภาค โดยพลพรรคจะต้องซ่อนพรางงานต่อต้าน และกรมกองทหารตำรวจเตรียมเผชิญหน้ากองทัพญี่ปุ่น รวมทั้งมีการประสานวางแผนยุทธศาสตร์การต่อสู้ญี่ปุ่นร่วมกัน ระหว่างฝ่ายไทยและสัมพันธมิตร ควบคู่กับการเจรจาทางการทูตใต้ดินกับชาติมหาอำนาจสัมพันธมิตร เพื่อให้ชาติสัมพันธมิตรรับรองเอกราชและอธิปไตยชาติไทยหลังสิ้นสงคราม

เมื่อสงครามยุติ ก่อนที่ขบวนการเสรีไทยได้เปิดฉากสู้รบญี่ปุ่น นายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จึงได้ประกาศพระบรมราชโองการสันติภาพ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) ด้วยความเห็นชอบจากรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎร ประกาศว่าการประกาศสงครามต่ออังกฤษและสหรัฐ รวมทั้งพันธกรณีสัญญากับญี่ปุ่นว่าเป็นโมฆะ เพราะขัดรัฐธรรมนูญและเจตจำนงปวงชนชาวไทย อีกทั้งประกาศนี้ได้แสดงเจตนารมณ์ปวงชนชาวไทยทั้งในและนอกประเทศ ในการที่จะร่วมมือฝ่ายสัมพันธมิตรต่อสู้ผู้รุกราน เพื่อธำรงรักษาเอกราชอธิปไตย และสันติภาพยามสงบ นอกจากนี้ไทยได้คืนดินแดนด้านรัฐฉานและมลายาแก่ญี่ปุ่นโดยทันที

จากประกาศสันติภาพนี้ ชาติสัมพันธมิตรทั้งสหรัฐและจีนได้รับรองเอกราชของไทย ในขณะที่อังกฤษได้มอบให้ไทยร่วมมือในการปลดอาวุธกองทัพญี่ปุ่นในไทย และอังกฤษได้เจรจาทำความตกลงสมบูรณ์แบบ ยกเลิกสถานะสงครามกับไทยในฐานะชาติเอกราช ซึ่งไทยต้องส่งมอบข้าวสาร 1.5 ล้านตัน และชดใช้ความเสียหายต่อทรัพย์สินชาติสัมพันธมิตร และงดการขุดคอคอดกระชั่วคราว ในขณะที่ชาติสัมพันธมิตรได้สนับสนุนไทยเข้าร่วมองค์การสหประชาชาติ

เสรีไทยเครือข่าย ส.ส.อีสาน

แกนนำหลักที่เริ่มต้นขบวนการต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นด้านภาคอีสาน คือเครือข่ายผู้แทนราษฎรอีสาน ทั้งนายเตียง ศิริขันธ์ ส.ส.สกลนคร นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ส.ส.อุบลราชธานี นายจำลอง ดาวเรือง ส.ส.มหาสารคาม และนายถวิล อุดล ส.ส.ร้อยเอ็ด โดยกลุ่มผู้แทนราษฎรอีสานเหล่านี้ยึดถืออุดมการณ์เสรีประชาธิปไตย สังคมนิยม และท้องถิ่นนิยมอย่างแข็งแรง ทำหน้าที่ฝ่ายค้านรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามอย่างต่อเนื่อง โดยผู้แทนราษฎรเหล่านี้มีเครือข่ายมวลชนในท้องถิ่นอย่างกว้างขวาง ทั้งข้าราชการ กำนันผู้ใหญ่บ้าน โรงเรียน ครู (ทั้งราชการและประชาบาล) ประชาชน พ่อค้า ฯลฯ ในช่วงต้นสงคราม พ.ศ. 2484 - 2487 (ค.ศ. 1941 - 1944) บรรดาเสรีไทยเหล่านี้ได้ดำเนินการรวบรวมขยายสมาชิก ให้ความรู้สถานการณ์สงครามแก่มวลชน และสำรวจสถานที่เส้นทาง เพื่อเตรียมการสร้างค่ายพลพรรคและสนามบินลับ

จนถึงช่วงปลายสงคราม พ.ศ. 2487 - 2488 (ค.ศ. 1944 - 1945) เสรีไทยสายอังกฤษและเสรีไทยสายอเมริกาสามารถแทรกซึมเข้าดินแดนไทย จนประสานกับผู้นำเสรีไทยส่วนกลาง ซึ่งเพิ่งมีอำนาจในรัฐบาลไทย ดังนั้นบรรดาผู้แทนราษฎรและมวลชนจึงได้จัดตั้งค่ายพลพรรคเสรีไทยภาคอีสานอย่างกว้างขวาง ในจังหวัดสกลนคร มหาสารคาม อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด นครพนม และอุดรธานี ด้วยความร่วมมือสนับสนุนจากข้าราชการสำคัญระดับข้าหลวงประจำจังหวัด ปลัดจังหวัด นายอำเภอ ผู้กำกับการตำรวจ และศึกษาธิการจังหวัด รวมทั้งการสนับสนุนการฝึกและอาวุธยุทธภัณฑ์จากสัมพันธมิตรและเสรีไทยสายอังกฤษและอเมริกา ที่ลักลอบแทรกซึมประจำค่ายพลพรรคที่ต่าง ๆ บางจังหวัดถึงกับสร้างสนามบินลับ เช่นที่สกลนครและมหาสารคาม

เตียงตั้งคณะกู้ชาติ

เมื่อกองทัพญี่ปุ่นบุกประเทศไทยในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 นับเป็นภาวะโกลาหลครั้งใหญ่ ที่ประชาชนชาวไทยต่างตกใจ เสียใจ และเศร้าสลดใจ ในสถานะของประเทศชาติ เตียง ศิริขันธ์ ได้รีบเดินทางด้วยเครื่องบินโดยสารเข้าพระนคร เพื่อพบปะเพื่อนผู้แทนราษฎรหลายคน ซึ่งปรารภความเป็นไปของประเทศชาติอย่างเศร้าสลดใจ ในช่วงเวลานั้นเองที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ยินยอมให้กองทัพญี่ปุ่นเดินทัพผ่านดินแดนไทย ทำสัญญาไมตรีไทย - ญี่ปุ่น

ที่สำคัญจำกัดและเตียงได้พบกัน เมื่อปรึกษาแล้วเห็นตรงกันว่า จะต้องตั้งคณะกู้ชาติเพื่อต่อสู้กับญี่ปุ่น ในชั้นแรกมีความตั้งใจพากันหลบหนีไปพม่าเพื่อเข้าร่วมอังกฤษต่อสู้ญี่ปุ่นได้อย่างเปิดเผย ทว่าทุนทรัพย์ของทั้งจำกัดและเตียงไม่มีเพียงพอ แล้วปรากฏว่ากองทัพญี่ปุ่นสามารถยึดชายแดนไทย - พม่าได้อย่างรวดเร็ว โอกาสที่จะหลบหนีไปพม่าจึงหมดสิ้นไป จากนั้นทั้งสองเริ่มคิดอ่านในการต่อต้านญี่ปุ่นจากภายในประเทศ ด้วยการตั้งกองโจรและเป็นไส้ศึกสืบข่าวฝ่ายสัมพันธมิตร หาสมัครพรรคพวกร่วมพลพรรคต่อต้านญี่ปุ่น รวมทั้งเชื้อเชิญผู้ใหญ่บ้านเมืองร่วมนำขบวนการ และหาหนทางล้มรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่จะเป็นอุปสรรคใหญ่ในการกำจัดขบวนการต่อต้านฝ่ายต่าง ๆ

 

นายจำกัด พลางกูร ผู้ร่วมก่อตั้งคณะกู้ชาติ กับนายเตียง ศิริขันธ์

ทั้งจำกัด พลางกูร และเตียง ศิริขันธ์ได้ตั้งวัตถุประสงค์สำคัญแก่งานของคณะกู้ชาติ ดังนี้

  1. ทำลายล้างลัทธิเผด็จการ โดยเฉพาะในประเทศไทย
  2. ฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์
  3. กอบกู้ประเทศชาติ จากการยึดครองของญี่ปุ่น และการครอบงำของจอมพล ป. พิบูลสงคราม

หาสมัครพรรคพวก สำรวจลู่ทาง

อย่างไรก็ตาม ลำพังเพียงนายจำกัด พลางกูร และนายเตียง ศิริขันธ์ ย่อมไม่อาจสร้างคณะต่อต้านภายในประเทศได้ จึงพยายามแสวงหาพรรคพวกเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ที่จะเป็นทั้งผู้วางแผนและขุมกำลังประชาชน โดยวางแผนว่า จำกัดจะเข้าหาผู้ใหญ่ เพื่อนครูอาจารย์ และเพื่อนนักเรียนนอก ส่วนนายเตียงจะหาสมัครพรรคพวกผู้แทนราษฎร มวลชนครู และชาวบ้านภาคชนบท ผ่านการสังสรรค์ที่บ้านจำกัด การเยี่ยมเยียนพบปะมิตรสหาย การตระเวนชนบท เป็นต้น

จากกิจกรรมเหล่านี้ จำกัดและเตียงจึงได้สมัครพรรคพวกกำลังสำคัญของคณะกู้ชาติขึ้นมา เช่น เรือโท นายแพทย์ โกเมศ เครือตราชู แห่งกรมแพทย์ทหารเรือ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ สส. อุบลราชธานี นายถวิล อุดล สส. ร้อยเอ็ด นายจำลอง ดาวเรือง สส. มหาสารคาม นายสวัสดิ์ ตราชู คหบดีชาวเมืองอุดรธานี นายละเอียด อภิวาทนะศิริ กำนันตำบลโนนหอม นายสหัส กาญจนพังคะ ศึกษาธิการจังหวัดสกลนคร และนายแพทย์อ้วน นาครทรรพ อดีต สส.อุดรธานี เป็นต้น

นอกจากสมัครพรรคพวกจากเพื่อนฝูงแล้ว ในเวลาต่อมาเตียงและจำกัดสามารถเข้าถึงผู้นำรับใช้ชาติรายใหม่ ผู้นำประชาชนผู้ทรงบารมี นั่นคือนายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และหัวหน้าขบวนการเสรีไทย คณะกู้ชาติโดยนายเตียง ศิริขันธ์ และนายจำกัด พลางกูรจึงได้รวมตัวกับเสรีไทย ตั้งแต่ช่วงต้นปี พ.ศ. 2485 (ค.ศ. 1942) ขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นจึงขยายวงกว้างขวางยิ่งขึ้น

หลังจากนั้นในระยะที่ขบวนการใต้ดินในไทยยังติดต่อต่างประเทศไม่สำเร็จ เสรีไทยในประเทศได้ปฏิบัติงานรับใช้ชาติด้านต่าง ๆ กลุ่มสายอีสานได้เข้าหามวลชนเพิ่มเติม สำรวจสถานที่ตั้งค่ายเสรีไทย เส้นทางลำเลียง ให้สามารถซ่อนพรางปฏิบัติการลับได้ โดยอาศัยการค้าขายอำพรางการสำรวจต่าง ๆ ที่สำคัญคือการสำรวจเส้นทางเข้าอินโดจีนและเข้าประเทศจีน สำหรับนายจำกัด พลางกูร ได้ให้ออกเดินทางไปเจรจากับผู้นำจีนและผู้แทนสัมพันธมิตรในดินแดนจีน

ค่ายเสรีไทยอีสาน สายมวลชน

หลังจากที่เสรีไทยในประเทศ เสรีไทยนอกประเทศ และฝ่ายสัมพันธมิตร สามารถประสานปฏิบัติการได้สำเร็จแล้ว ตั้งแต่ช่วงกลางปี พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944) พอดีกับการเปลี่ยนรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามมาเป็นรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ ซึ่งมีเสรีไทยสำคัญหลายท่านร่วมรัฐบาลนี้ ปฏิบัติการเสรีไทยในภูมิภาคต่าง ๆ ทั้งการแทรกซึมของเสรีไทยนอกประเทศและเจ้าหน้าที่สัมพันธมิตร ร่วมกับเสรีไทยส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ จนสามารถตั้งค่ายลับเสรีไทย และประสานการส่งอาวุธทางอากาศแก่ค่ายเสรีไทยในท้องถิ่นป่าดง จนเกิดค่ายพลพรรคเสรีไทยและสนามบินลับกระจายทั่วประเทศไทย ประมาณ 24 จังหวัด เฉพาะภาคอีสาน 10 จังหวัด

ค่ายเสรีไทยสกลนคร

เสรีไทยสกลนคร ค่ายแรกภาคอีสาน

เนื่องจากนายเตียง ศิริขันธ์ ผู้แทนราษฎรสกลนคร เป็นผู้ที่ร่วมริเริ่ม “คณะกู้ชาติ” แม้จะมีกำลังน้อย ก่อนเข้าร่วมขบวนการเสรีไทย ดังนั้นเมื่อเสรีไทยสายอังกฤษชุดปฏิบัติการ… (ร.ต. กฤษณ์ โตษยานนท์ และ ร.ต. ประเสริฐ ทุมมานนท์ แห่งกองกำลัง Force 136) ได้ร้องขออาวุธครั้งแรก เดือนตุลาคม พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944) เตียงและพลพรรคสกลนคร จึงรับความไว้วางใจจาก “รู้ธ” หรือนายปรีดี พนมยงค์ หัวหน้าใหญ่ขบวนการเสรีไทย ให้เป็นหนึ่งใน 3 กองกำลังเสรีไทยแรกเริ่ม ที่รับอาวุธสัมพันธมิตรใช้งาน พร้อมกับพลพรรคสายสารวัตรทหาร (พล ร.ต. สังวร สุวรรณชีพ) และพลพรรคสายหัวหิน - ปราณบุรี (นายชาญ บุนนาค) หลังจากนั้นเสรีไทยสกลนครจึงได้ขยายค่ายฝึกอาวุธ จนเป็นหน่วยเสรีไทยอีสานที่มีพลพรรคและค่ายฝึกมากที่สุด อีกทั้งค่ายพลพรรคสกลนครจะได้เป็นต้นแบบให้แก่เสรีไทยสายอีสานจังหวัดอื่น ๆ อีกหลายแห่ง

แกนนำเสรีไทยสกลนคร

  1. นายเตียง ศิริขันธ์ รหัสลับ “พลูโต” เป็นผู้นำกองทัพพลเรือน (ท.พ.ร.)
  2. นายสนิท ประสิทธิพันธ์ รองแม่ทัพพลเรือน
  3. นายสวาสดิ์ และนายสวัสดิ์ ตราชู สองพี่น้องคหบดีชาวเมืองอุดรธานี
  4. นายครอง จันดาวงศ์ เพื่อนสนิทนายเตียง ผู้จัดการโรงเรียนศิริขันธ์ 2 ที่อำเภอสว่างแดนดิน
  5. นายสหัส กาญจนะพังคะ ศึกษาธิการจังหวัดสกลนคร (เพื่อนนายเตียงสมัยเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
  6. นายพินัย แสงพันธ์ นายช่างแขวงการทางสกลนคร
  7. นายสุพรรณ ศิริขันธ์ ปลัดอำเภอเมืองสกลนคร
  8. นายสำเริง สิงหะวาระ ศึกษาธิการอำเภอเมืองสกลนคร
  9. นายละเอียด (เอี่ยม) อภิวาทนะศิริ กำนันตำบลโนนหอม อำเภอเมืองสกลนคร
  10. นายเขียน งันลาโสม กำนันตำบลเต่างอย อำเภอเมือง สกลนคร (ปัจจุบันคืออำเภอเต่างอย)
  11. นายทนง (หมา) เกษรมาลา กำนันตำบลหนองหลวง อำเภอสว่างแดนดิน
  12. นายอาคม พรหมสาขา ณ สกลนคร
  13. เรืออากาศโท พีระ ศิริขันธ์ น้องชายนายเตียง ศิริขันธ์

ฯลฯ

นายเตียง ศิริขันธ์ ผู้แทนราษฎรและหัวหน้าเสรีไทยสกลนคร ถ่ายกับ พ.ท. เดวิด สไมเลย์ และนายทหารอังกฤษ Force 136
(ภาพจาก Imperial War Museum สืบค้นโดยเพจ Thai Burma railway ทางรถไฟสายมรณะ)

กำลังพลพรรคส่วนมากมาจากครูในจังหวัด ครูประชาบาล กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน

ที่สำคัญเสรีไทยสกลนครได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายบ้านเมือง ภายใต้ข้าหลวงประจำจังหวัดสกลนคร คือนายเติม ศิลปี จึงสามารถซ่อนพรางการปฏิบัติจากสายตาฝ่ายญี่ปุ่นเป็นเวลาหลายเดือน รักษาความปลอดภัยในตัวเมือง ด้วยกำลังข้าราชการพลเรือนและตำรวจ และมีการจัดหาเสบียงสิ่งอุปกรณ์สนับสนุนค่ายฝึกในพื้นที่ป่าเขา

นอกจากนี้ยังมีเสรีไทยจากต่างประเทศ และนายทหารสัมพันธมิตร ได้เข้าร่วมจัดตั้งค่าย ทำการฝึกอาวุธ และประสานการปฏิบัติกับกองกำลังรบพิเศษสัมพันธมิตร ดังนี้

  1. ร.ต. กฤษณ์ (อัมพร หร่อคง) โตษยานนท์ เสรีไทยสายอังกฤษ (Force 136, SOE.)
  2. ร.ต. อำนวย (กัลป์) พูลพิพัฒน์ เสรีไทยสายอเมริกา (Detachment 404, OSS.)
  3. ร.ต. กระจ่าง ตุลารักษ์ เสรีไทยสายจีน
  4. พันตรี บาทหลวง ฟรานซิส ฮอลิเดย์ นายทหารอเมริกัน (Detachment 404, OSS.)
  5. พันตรี กรีน  
  6. พันตรี เดวิด สไมเลย์ นายทหารอังกฤษ (Force 136, SOE.)

ฯลฯ

ค่ายฝึกอาวุธ

หลังจากที่รวมอาสาสมัคร และได้มีเสรีไทยจากต่างประเทศพร้อมกับเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายสัมพันธมิตร แทรกซึมมาประจำแล้ว จึงได้เกิดค่ายเสรีไทย ซึ่งส่วนมากอยู่ตามแนวชายป่าเทือกเขาภูพาน และพื้นที่ชนบทห่างไกล ที่สำคัญ ในจังหวัดสกลนครมีค่ายพลพรรคมากที่สุดถึง 10 ค่าย มีกำลังพลพรรคถึง 3,000 นาย

  1. บ้านโนนหอม (อ.เมือง)
  2. บ้านเต่างอย (ดานนกยูง อ.เมือง ปัจจุบันคือ อ.เต่างอย)
  3. ดงพระเจ้า (อ.สว่างแดนดิน)
  4. บ้านตาดภู (อ.วาริชภููมิ)
  5. โพนก้างปลา (โพนนาก้างปลา อ.เมือง)
  6. บ้านอากาศ (อ.อากาศอำนวย)
  7. บ้านนาอวน (อ.วานรนิวาส)
  8. บ้านภูสะคาม (อ.วานรนิวาส)
  9. บ้านหนองผือ (อ.พรรณานิคม)
  10. ห้วยหวด เชิงภูพาน (อ.เมือง)

เสรีไทยมหาสารคาม : อีกฟากฝั่งของภูพาน

ทำไมตั้งค่ายเสรีไทยที่นี่

หากข้ามเทือกเขาภูพานจากจังหวัดสกลนครในยุคสงครามมหาเอเชียบูรพา จะเข้าสู่เขตจังหวัดมหาสารคาม (สมัยที่ยังไม่แยกเขตจังหวัดกาฬสินธุ์) หากน้อยคนที่จะทราบว่าในพื้นที่จังหวัดนี้ได้มีการตั้งหน่วยเสรีไทย ภายใต้นายจำลอง ดาวเรือง ผู้แทนราษฎรจังหวัดมหาสารคาม เป็นผู้นำเสรีไทยจังหวัดนี้ นายจำลองได้ส่งแกนนำ คือ นายดิลก บุญเสริม  นายดิลก มะลิมาศ  นายมาบ ภูมาศ เดินทางไปรับการฝึกอาวุธที่ค่ายบ้านโนนหอม จังหวัดสกลนคร

ต่อมาได้จัดตั้งค่ายเสรีไทยที่ป่าเชิงเขาภูพานใกล้บ้านนาคู อำเภอกุฉินารายณ์ บริเวณนั้นมีสนามบินเก่าอยู่ด้วย ซึ่งได้รับการปรับปรุงจนใช้การได้เป็นอย่างดีในเวลาต่อมา ใช้ถ้ำที่ภูอ่างออม บ้านซาด ตำบลนาคู เป็นที่ตั้งคลังอาวุธเสรีไทย ค่ายบ้านนาคูแห่งนี้จึงมีความใกล้ชิดกับหน่วยเสรีไทยในจังหวัดสกลนครเป็นอย่างมาก และนายเตียงก็เดินทางไปมาระหว่างบ้านนาคู จังหวัดมหาสารคาม กับค่ายเต่างอยและค่ายโนนหอม จังหวัดสกลนคร บ่อยครั้ง

สนามบินเสรีไทยนาคู มหาสารคาม (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดกาฬสินธุ์)
(ภาพถ่ายของผู้เขียน)

ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนสงครามสงบ กองทัพญี่ปุ่นพบการดำเนินงานใต้ดินบ้านนาคู จึงส่งกองทหารบุกบ้านนาคูเพื่อค้นหาสนามบินลับแต่ไม่พบ จึงจับกุมนายลึบ พลนาคู กำนันตำบลนาคูเป็นตัวประกันให้เสรีไทยค่ายนาคูแสดงตัว แต่ไม่สำเร็จ ไม่นานทหารญี่ปุ่นต้องถอยกลับไป

ผู้นำเสรีไทยด้านมหาสารคาม

  1. นายจำลอง ดาวเรือง ผู้แทนราษฎรจังหวัดมหาสารคาม
  2. ขุนไมตรีประชารักษ์ (ไมตรี ไมตรีประชารักษ์) ข้าหลวงประจำจังหวัด
  3. นายกว้าง ทองทวี ศึกษาธิการจังหวัด
  4. นายไสว ถีนานนท์ แขวงการทางจังหวัด
  5. นายลึบ พลนาคู กำนันตำบลนาคู
  6. นายบา ลมพัด ผู้ใหญ่บ้านหนองอีกอม
  7. นายนารถ เงินทาบ ครูใหญ่โรงเรียนฝึกหัดครูมหาสารคาม
  8. นายมาก ภูมาศ ครูโรงเรียนประจำจังหวัด
  9. นายดิลก บุญเสริม ครูโรงเรียนฝึกหัดครูมหาสารคาม
  10. นายดิลก มะลิมาศ

นายจำลอง ดาวเรือง ผู้แทนราษฎรและหัวหน้าเสรีไทยมหาสารคาม
(ภาพจากเพจ สำนักงานสุรชัยและเพื่อนทนายความ - ทนายความ มหาสารคาม)

นายดิลก บุญเสริม ครูโรงเรียนฝึกหัดครูมหาสารคาม แกนนำเสรีไทยมหาสารคามผู้หนึ่ง
(ภาพจาก หนังสือขบวนการเสรีไทยที่ค่ายนาคู)

เสรีไทยนครพนม

ที่มาที่ไป เสรีไทยนครพนม

จังหวัดนครพนม เป็นจังหวัดภาคอีสานที่ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำโขง ตรงข้ามกับเมืองท่าแขก และเมืองสะหวันนะเขตของลาว มีชุมทางลูกรัง ทางเกวียน แม่น้ำสายใหญ่และสายย่อย จนเป็นศูนย์กลางราชการและการค้า และเป็นแนวรบญี่ปุ่นสำคัญอีกแห่งหนึ่ง มีทหารญี่ปุ่นตั้งทหาร 1 กองพันในจังหวัดนี้ จากแผนยุทธการต่อต้านญี่ปุ่น นครพนมจึงเป็นจังหวัดแนวหน้าอีกแห่งหนึ่ง นับจากอุบลราชธานีและหนองคาย

จึงมอบให้ส่วนราชการจังหวัดตั้งเสรีไทยในจังหวัดนี้ ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) ภายใต้นายถวิล สุนทรศารทูล ข้าหลวงประจำจังหวัด และนายสัมฤทธิ์ ขุนเมือง ศึกษาธิการจังหวัด ช่วงแรกตั้งค่ายที่บ้านกุดเผือกยางคำ ต่อมาย้ายไปที่บ้านปลาปาก อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม ครูฝึกเสรีไทยต่างได้รับการฝึกอาวุธจากค่ายโนนหอม จังหวัดสกลนคร ซึ่งครูฝึกชุดแรกเป็นครูจากโรงเรียนปิยมหาราชาลัย เพื่อนนายเตียง ศิริขันธ์และนายถวิล อุดล ก่อนที่ครูฝึกเหล่านี้จะฝึกอาวุธให้แก่พลพรรคนครพนมรุ่นต่อไป จนสิ้นสงครามมีพลพรรคครู ยุวชน และข้าราชการ ประมาณ 900 นาย ไม่นับตำรวจภูธรและข้าราชการที่รักษาเมืองประมาณ 300 นาย

มีแผนการจู่โจมค่ายทหารญี่ปุ่นด้วยกำลังในเมือง สมทบด้วยพลพรรคในป่า มีแผนการอพยพประชาชนไปชุมชนชนบททางแม่น้ำสงคราม และหากกำลังพลพรรคเพลี่ยงพล้ำ ให้ถอยไปสมทบทหารและพลพรรคที่อุดรธานี

แกนนำสำคัญ เสรีไทยนครพนม

  1. นายถวิล สุนทรศารทูล ข้าหลวงประจำจังหวัด
  2. นายเฉลิม โกไศยกานนท์ อัยการจังหวัด
  3. นายเสวียนจิต ศักดา สรรพสามิตจังหวัด
  4. นายสัมฤทธิ์ ขุนเมือง ศึกษาธิการจังหวัด เพื่อนนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์
  5. นายเปรื่อง พรหมประกาย ผู้ช่วยศึกษาธิการจังหวัด เพื่อนนายเตียง ศิริขันธ์
  6. นายเพชร จันทราช ครูโรงเรียนปิยมหาราชาลัย
  7. นายขวัญ จันทร์ปุ่น ครูโรงเรียนปิยมหาราชาลัย เพื่อนนายถวิล อุดล
  8. พ.ต.ต.ขุนศรศาสตร์ปรีชา (ชด ศรศาสตร์ปรีชา) ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัด
  9. พันตรี บาทหลวง ฟรานซิส ฮอลิเดย์ นายทหารอเมริกัน (Detachment 404, OSS.) ย้ายจากสกลนคร

เสรีไทยอุดรธานี

ด่านศึกญี่ปุ่น

จังหวัดอุดรธานีตั้งอยู่ในที่ราบใหญ่อีสานตอนบน มีหนองบึงและลำน้ำสำคัญ เช่น น้ำโมง น้ำลำปาว เป็นปลายทางรถไฟสายอีสานตอนบน (ยุคสงครามมหาเอเชียบูรพา ทางรถไฟยังสร้างไม่ถึงจังหวัดหนองคาย) มีทางเกวียน ถนนดินเชื่อมถึงตัวเมืองอุดรธานี (บ้านเดื่อหมากแข้งเดิม) อันเป็นกึ่งกลางเชื่อมเมืองหนองคาย สกลนคร กุมภวาปี และเลย จนอุดรธานีเป็นศูนย์กลางอีสานตอนบน ทั้งการปกครอง ส่วนราชการ การค้า และการทหาร

นอกจากนี้ยังมีกองทหารญี่ปุ่นหน่วยใหญ่มาตั้งอยู่ประมาณ 1 กรมทหารราบ เผชิญหน้ากับกรมทหารราบที่ 108 ของไทย จึงเหมาะสมแก่การตั้งหน่วยพลพรรคเสรีไทย เพื่อเตรียมการซุ่มโจมตีกองทหารญี่ปุ่น ตามแนวเส้นทางถนนดินอุดรธานี - หนองคาย ประสานกับเสรีไทยที่หนองคาย ในขณะที่กรมทหารของไทยจะทำการรบประจันหน้ากับกองทหารญี่ปุ่นในเมือง

ฝึกอาวุธจากสกลนคร ตั้งค่ายที่อุดรธานี

ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) นายเตียง ศิริขันธ์ มอบหมายนายแพทย์อ้วน นาครทรรพ อดีตผู้แทนราษฎร และคณะได้แก่ นายเพ่ง โพธิจินดา ศึกษาธิการจังหวัดอุดรธานี นายมี ศรีทองสุก และนายจันทร วชิระภักดิ์ จัดตั้ง เสรีไทยเขตอุดรธานี ได้ส่งครูประชาบาลไปรับการฝึกอบรมจากค่ายเสรีไทยในจังหวัดสกลนคร เช่น ค่ายบ้านโนนหอม ค่ายบ้านเต่างอย ค่ายดงพระเจ้า หลังจากนั้นนายเพ่ง โพธิจินดา ศึกษาธิการจังหวัดจะมีหน้าที่หลักในการอำนวยการฝึกเสรีไทยอุดรธานี

ต่อมาในช่วงเดือนเมษายน - พฤษภาคม ได้จัดตั้งค่ายเสรีไทยขึ้นที่บ้านสามพร้าว อำเภอเมือง และบ้านไชยวาร อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี และค่ายชั่วคราวหนองผือ หนองบัวลำภู (เมื่อกองทหารญี่ปุ่นมีท่าทีจะตรวจพบค่ายเสรีไทย) ด้วยการสนับสนุนจากกรมการจังหวัด โดยขุนจรรยาวิเศษ ข้าหลวงประจำจังหวัด นายอำเภอ นายไปรษณีย์ แขวงการทาง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ การเกณฑ์พลพรรค การสร้างค่ายฝึก การจัดหาเสบียงอาหาร ยานพาหนะ และการติดต่อสื่อสาร เมื่อสิ้นสงครามฝึกพลพรรคได้ประมาณ 1,100 นาย มาจากครู ข้าราชการพลเรือน ยุวชน ประชาชน

เสรีไทยอุดรธานีคนสำคัญ

  1. นายแพทย์อ้วน นาครทรรพ อดีตผู้แทนราษฎร
  2. นายเพ่ง โพธิจินดา ศึกษาธิการจังหวัดอุดรธานี
  3. นายมี ศรีทองสุก
  4. นายจันทร วชิระภักดิ์
  5. ขุนจรรยาวิเศษ (บุญเที่ยง บุณยนิตย์) ข้าหลวงประจำจังหวัด
  6. นายเอื้อน จารุรัตน์ นายอำเภอเมือง
  7. นายสันทัด บุญประคอง ปลัดอำเภอเมือง
  8. ขุนแววประศาสน์ (แวว วงษ์ไทย) นายอำเภอหนองหาร
  9. ร.ต. ฉลอง ปึงตระกูล (ชาลี) เสรีไทยสายอเมริกา (Detachment 404, OSS.)

เสรีไทยหนองคาย

เสรีไทยด้านจังหวัดหนองคายนี้ นับเป็นส่วนขยายของเสรีไทยอุดรธานี เพื่อเตรียมการสู้รบด้านริมแม่น้ำโขง กระจายกำลังรบแม่น้ำโขง เตรียมการป้องกันกองทหารญี่ปุ่นด้านเวียงจันท์ที่อาจข้ามฝั่งยึดดินแดนไทย ตั้งค่ายอยู่ที่บ้านเก่าน้อยดอนหมู อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ในชั้นแรกส่งชุดครูรับการฝึกอาวุธจากค่ายอุดรธานี แล้วครูชุดแรกเหล่านี้จึงได้ฝึกอาวุธให้แก่พลพรรครุ่นต่อไป มีทั้งข้าราชการพลเรือน ครู ยุวชน

มีแกนนำสำคัญได้แก่

  1. นายปกรณ์ อังศุสิงห์ ข้าหลวงประจำจังหวัด
  2. นายฉุย อนุสรณ์ราชกิจ ปลัดจังหวัด
  3. นายวงศ์ พลนิกร

เสรีไทยอุบลราชธานี : ด่านศึกสุดอันตราย

ทำไมตั้งเสรีไทยอุบลราชธานี

จังหวัดอุบลราชธานี นับเป็นเมืองชุมทางคมนาคม (แม่น้ำมูล – ชี ทางรถไฟ) เมืองการค้า ศูนย์การศึกษา ศูนย์ราชการ และอู่ข้าวอู่น้ำสำคัญของอีสาน อีกทั้งเป็นเมืองสุดท้ายของอีสานใต้ ก่อนข้ามไปชายแดนไปดินแดนลาวและกัมพูชา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอินโดจีนฝรั่งเศสยุคนั้น

ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว อุบลราชธานีจึงได้เป็นที่ตั้งค่ายทหารญี่ปุ่นฐานสุดท้าย เป็นฐานที่มั่นสุดท้ายของญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในไทย เพื่อเตรียมการถอยและป้องกันการรุกของสัมพันธมิตร มีกำลังทหารญี่ปุ่นมาที่สุดในอีสานถึง 9,200 นาย  พร้อมกับได้ตั้งค่ายเชลยศึกสัมพันธมิตร เพื่อสร้างสนามบิน ฝ่ายเสรีไทยจังหวัดอุบลราชธานีตั้งขึ้นภายใต้ผู้แทนราษฎร นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ พร้อมกำลังจากเครือข่ายครูและปัญญาชน ได้ตั้งค่ายเสรีไทยในที่ชายป่า ขณะที่ในตัวเมืองได้เกิดพลพรรคข้าราชการพลเรือนภายใต้ข้าหลวงประจำจังหวัด พร้อมกรมกองทหารและตำรวจ ทุกฝ่ายมีภารกิจโจมตีกองทหารญี่ปุ่นตามเส้นทางถนน ทางลูกรัง ทางเกวียน และทางรถไฟในจังหวัด

อย่างไรก็ตาม นับว่าขบวนการต่อต้านด้านจังหวัดอุบลราชธานีมีความเสี่ยง มากกว่าค่ายเสรีไทยอีสานอีกหลายแห่ง เพราะเป็นหน่วยต่อต้านญี่ปุ่น ที่ตั้งไม่ห่างจากกองทหารญี่ปุ่น ในขณะที่กรมกองทหารตำรวจ ต้องประจันหน้าค่ายทหารญี่ปุ่น พลพรรคในป่าเขาจะต้องคอยหลบหนีทหารญี่ปุ่นที่มาสืบข่าว

เครือข่ายเสรีไทยอุบลราชธานี

เสรีไทยอุบลราชธานี มีแกนนำสำคัญได้แก่

  1. นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ผู้แทนราษฎร หัวหน้าเสรีไทยอุบลราชธานี
  2. เจ้าสิริบังอร ภูริพัฒน์ ภรรยานายทองอินทร์ ผู้ประสานกรมการจังหวัด และควบคุมสถานีวิทยุลับในบ้านนายทองอินทร์
  3. หลวงนรัตถรักษา (ชื่น วิจิตรเนตร) ข้าหลวงประจำจังหวัด
  4. ขุนศึกษากรรมพิเศษ ศึกษาธิการจังหวัด
  5. นายเข็บ พฤกษพิทักษ์ ครูใหญ่โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช
  6. นายทองอิน วีสเพ็ญ ครูโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช
  7. นายเทอด บุณยรัตพันธุ์ ครูโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช
  8. ร.อ. การุณ เก่งระดมยิง เสรีไทยสายอเมริกา (Detachment 404 OSS.)
  9. พ.ต.ต. บุณณะ ตาละลักษมณ์ ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัด
  10. พ.อ. พร้อม ทองพรต ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 9

ฯลฯ

นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ผู้แทนราษฎรและหัวหน้าเสรีไทยอุบลราชธานี
(ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ อุบลราชธานี)

นายเข็บ พฤกษพิทักษ์ ครูใหญ่โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช แกนนำเสรีไทย มีหน้าที่พิเศษด้านการรับส่งวิทยุ แปลรหัสภาษาต่างประเทศ
(ภาพถ่ายจากอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายเข็บ พฤกษพิทักษ์)

นายทองอิน วีสเพ็ญ ครูโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช แกนนำเสรีไทย ระดับ "รองผู้บังคับกองพัน" ค่ายพลพรรค
(ภาพถ่ายจากทายาท)

ค่ายเสรีไทยอุบลราชธานี

ภายใต้การนำของผู้แทนทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ร่วมกับเสรีไทยสายอเมริกา จึงสามารถตั้งค่ายฝึกพลพรรคที่ต่าง ๆ ดังนี้

  1. ค่ายฝึกบ้านสวนงัว (อ.ม่วงสามสิบ) แต่ภายหลังทหารญี่ปุ่นตรวจพบ จึงอพยพย้ายค่าย
  2. ค่ายฝึกพนา (อ.อำนาจเจริญ ปัจจุบันคือ อ.พนา จ.อำนาจเจริญ) ต่อมาในค่ายนี้เกิดอุบัติเหตุปืนลั่น มีพลพรรคเสียชีวิต เรื่องอาจปิดไม่ได้ จึงต้องย้ายค่ายอีกครั้ง
  3. ค่ายฝึกบ้านขาม (อ.เมือง) ค่ายฝึกแห่งแรก และเป็นค่ายฝึกสุดท้าย ที่ย้ายมาจากบ้านพนา

ครูเทอด บุณยรัตพันธุ์ อดีตพลาธิการค่ายพลพรรค ได้ประมาณจำนวนพลพรรคไว้ที่ 300 นาย มีที่มาจากครูโรงเรียนจังหวัด ครูประชาบาล กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประชาชนบางส่วน ยุวชน

เสรีไทยในตัวเมืองอุบลราชธานี

ในตัวเมืองอุบลราชธานี ได้จัดกำลังทั้งทหาร พลเรือน ตำรวจรักษาความมั่นคงปลอดภัย และต่อต้านกองทหารญี่ปุ่น

  1. พลพรรคข้าราชการและตำรวจภูธร ประมาณ 500 นาย ภายใต้ข้าหลวงประจำจังหวัด และผู้กำกับการตำรวจภูธร รับอาวุธอเมริกัน ตั้งคลังอาวุธโรงเรียนนารีนุกูล (เดิม) เผชิญหน้าทหารญี่ปุ่นหน่วยย่อยในเมือง
  2. กรมทหารราบที่ 9 กองพลที่ 37 กองทัพบกไทย ประมาณ 2,500 นาย ตั้งหน่วยสนามรักษาพื้นที่รอบเมืองด้านเหนือ และต่อเนื่องถึงในเมือง เผชิญหน้าค่ายใหญ่ทหารญี่ปุ่น

หลวงนรัตถรักษา (ชื่น วิจิตรเนตร - แถวนั่งคนกลาง) ข้าหลวงประจำจังหวัดและแกนนำเสรีไทยอุบลราชธานี กับนายทหารสัมพันธมิตร
(ภาพจาก Imperial War Museum สืบค้นโดยเพจ Thai Burma railway ทางรถไฟสายมรณะ)

เสรีไทยอีสาน เครือข่ายราชการ (รัฐบาล มหาดไทย ตำรวจ ทหารบก ทหารอากาศ)

หลังจากรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามพ้นจากอำนาจทางการเมืองและการทหาร โดยมีรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์มาแทนที่ในช่วงปลายสงคราม พ.ศ. 2487 - 2488 (ค.ศ. 1944 - 1945)

ปรากฏว่าผู้นำเสรีไทยหลายท่านเป็นรัฐมนตรีและข้าราชการผู้ใหญ่ในรัฐบาลนี้ เช่น นายทวี บุณยเกตุ รัฐมนตรีสั่งราชการแทนนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นาวาเอก หลวงศุภชลาศัย (บุง ศุภชลาศัย) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พระยาอรรถการีนิพนธ์ (สิทธิ จุณณานนท์) ปลัดกระทรวงมหาดไทย พล.ต.อ. อดุล อดุลเดชจรัส อธิบดีกรมตำรวจ และผู้บัญชาการตำรวจสนาม พล.ท. ชิต มั่นศิลป์ สินาดโยธารักษ์ รองแม่ทัพใหญ่ เป็นต้น

ปฏิบัติการเสรีไทยจึงขยายวงไปอีกหลายจังหวัด โดยอาศัยกลไกอำนาจรัฐ ทั้งฝ่ายจังหวัด (มหาดไทย) ตำรวจ ศึกษาธิการ และฝ่ายทหารในจังหวัดที่ตั้งกรมกองทหาร ในจังหวัดนครราชสีมา ร้อยเอ็ด อุดรธานี อุบลราชธานี ขอนแก่น ชัยภูมิ เลย และศรีสะเกษ พร้อมการสนับสนุนจากเสรีไทยสายต่างประเทศและชาติสัมพันธมิตร

โดยที่จังหวัดเหล่านี้ผู้แทนราษฎรไม่ได้ร่วมขบวนการเสรีไทย ฝ่ายรัฐราชการจึงเป็นกำลังหลักในการจัดตั้งขบวนการใต้ดินในจังหวัดเหล่านี้ ต่างจากเสรีไทยในจังหวัดสกลนคร มหาสารคาม อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด นครพนม และอุดรธานี ซึ่งผู้แทนราษฎรและเครือข่ายมวลชนเป็นกำลังหลัก ข้าราชการเป็นส่วนสนับสนุนหรือเป็นแนวร่วม

เสรีไทยขอนแก่น : ศูนย์กลางเสรีไทยขอบอีสาน

ข้าหลวงรวมพรรคพวก ข้าราชการ พลร่มอังกฤษ

นายอุดม บุญประกอบ ข้าหลวงประจำจังหวัดขอนแก่น ได้รับมอบหมายจากเสรีไทยส่วนกลาง ให้จัดตั้งเสรีไทยด้านจังหวัดขอนแก่น จังหวัดเลย เริ่มปฏิบัติงานช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944) โดยด้านจังหวัดขอนแก่นได้มีผู้นำสำคัญที่นายอุดมชักชวน ร่วมกับเสรีไทยสายอังกฤษดังนี้

  1. นายอุดม บุญประกอบ ข้าหลวงประจำจังหวัดขอนแก่น
  2. นายสุวรรณ รื่นยศ ปลัดจังหวัด
  3. นายสมาส อมาตยกุล ปลัดจังหวัด
  4. นายคเชนทร์ เดชกุญชร ศึกษาธิการจังหวัด
  5. พ.ต.ต. สมาน ธูปะคุปต์ ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัด
  6. ร.อ. สนิท เขมานันท์ ผู้บังคับฝูงบิน 32 สนามบินลับโนนหัน (กองทัพอากาศไทย)
  7. ร.ต. เสนาะ นิลกำแหง (รหัส จิ๋ว, เกริก) เสรีไทยสายอังกฤษ (Force 136)
  8. ร.ต. ประโพธ เปาโรหิตย์ (รหัส สมพร) เสรีไทยสายอังกฤษ (Force 136)

ฯลฯ

ข้าหลวงอุดม บุญประกอบ หัวหน้าเสรีไทยขอนแก่น (ซ้ายสุด) พ.ต. เสนาะ นิลกำแหง (เสรีไทยสายอังกฤษ) ร.อ. พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช (เสรีไทยสายอังกฤษ) และนักบินอังกฤษ ที่สนามบินโนนหัน ขอนแก่น
(ภาพจากพิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชเพลิงศพ นายอุดม บุญประกอบ)

จุดรับร่ม สู่สนามบินลับขอนแก่น

ในการประสานและรับอาวุธจากฝ่ายสัมพันธมิตร (อังกฤษ) ในชั้นแรกได้เลือกใช้พื้นที่ภูกระดึง จังหวัดเลย เป็นจุดทิ้งร่มส่งอาวุธและยุทธภัณฑ์ ส่งให้แก่ทั้งพลพรรคเสรีไทยจังหวัดเลย และจังหวัดขอนแก่น และเตรียมที่จะดัดแปลงภูมิประเทศเป็นสนามบินลับชั่วคราว หากแต่พื้นที่ภูกระดึงเป็นพื้นที่ชื้น มีน้ำขัง เต็มไปด้วยไม้ป่าและพืชคลุมดิน ไม่เหมาะแก่การสร้างสนามบิน

ทางด้านจังหวัดขอนแก่นจึงได้ใช้สนามบินดั้งเดิม คือสนามบินโนนหันของกองทัพอากาศไทย เป็นสนามบินลับสำหรับส่งอาวุธยุทธภัณฑ์ และรับส่งเจ้าหน้าที่ไทย - อังกฤษ สำหรับเสรีไทยขอนแก่น และเป็นสนามบินลับหลักสำหรับงานใต้ดินร่วมกับฝ่ายอังกฤษ โดยฝูงบิน 32 กองทัพอากาศไทยรับผิดชอบและร่วมงานเสรีไทย

ค่ายฝึก

เสรีไทยจังหวัดขอนแก่นมีค่ายฝึกที่ต่าง ๆ รวมกำลังพลพรรคทั้งข้าราชการพลเรือน ตำรวจ และครู ประมาณ 1,000 นาย ด้วยการสนับสนุนจากเสรีไทยสายอังกฤษดังนี้

  1. ค่ายฝึกภูเวียง ซึ่งเป็นกองบังคับการลับเสรีไทยขอนแก่นไปด้วย
  2. ค่ายฝึกมัญจาคีรี
  3. ค่ายฝึกน้ำพอง
  4. ค่ายฝึกโรงเรียนประชาบาลทุ่งสร้าง (อำเภอเมือง)
  5. ค่ายฝึกบ้านไผ่

เสรีไทยเลย : งานเสรีไทยใกล้ภูกระดึง

ทำไมตั้งเสรีไทยที่เลย

จังหวัดเลย มีที่ตั้งท่ามกลางหุบเขากลางป่าดง ระหว่างเทือกเขาเพชรบูรณ์กับเทือกเขาพังเหย การคมนาคมมีเพียงเส้นทางเกวียน ทางลูกรัง และสนามบินขนาดเล็ก ห่างไกลสังคมเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ นครราชสีมา อุดรธานี  จึงไกลจากความรับรู้ของผู้คน รวมทั้งห่างไกลจากกองทัพญี่ปุ่นด้วย พื้นที่จังหวัดเลยจึงเหมาะแก่การซ่องสุมกำลังพลพรรค เพื่อเตรียมการสงครามกองโจร

ในระยะปลายสงครามมหาเอเชียบูรพา พ.ศ. 2487 - 2488 (ค.ศ. 1944 - 1945) นายสุวรรณ รื่นยศ ปลัดจังหวัดเลย รักษาราชการแทนข้าหลวงประจำจังหวัด ได้รับมอบหมายจากนายอุดม บุญประกอบ ข้าหลวงประจำจังหวัดขอนแก่น ให้ดำเนินงานเสรีไทยด้านจังหวัดเลย โดยร่วมมือกับเสรีไทยสายอังกฤษ ซึ่งเสรีไทยส่วนกลางได้ส่งตัวมาประจำที่เลย

ส่วนหนึ่งของพลพรรคเสรีไทยจังหวัดเลย 
(ภาพจาก งานเสรีไทยในภาคอีสาน โดย พล.อ.จ. ดร.สวัสดิ์ ศรีศุข)

การรวมข้าราชการ จังหวัด อำเภอ ศึกษา ทหารอากาศ

ในปฏิบัติการเสรีไทยจังหวัดเลย นายสุวรรณ รื่นยศ ได้รวบรวมข้าราชการมหาดไทย (หลายคนเป็นศิษย์ของสุวรรณ ที่โรงเรียนปกครอง กระทรวงมหาดไทย) ศึกษาธิการ ตำรวจ ทหาร มีเสรีไทยเลยสำคัญดังนี้

  1. นายสุวรรณ รื่นยศ ปลัดจังหวัดเลย รักษาราชการแทนข้าหลวงประจำจังหวัด
  2. นายอรรถ เทิงวิเศษ อักษรเลข จังหวัดเลย (ทำหน้าที่เลขานุการ)
  3. นายสุเทพ รัตนเสวี นายอำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
  4. นายอรุณ นาถเดชะ ปลัดอำเภอเมือง
  5. นายเฉลิม จามิกร ปลัดอำเภอท่าลี่
  6. นายปัญญา เดชพล ปลัดอำเภอวังสะพุง
  7. ร.ต.อ. มังกร สุวรรณชฎ รองผู้กำกับการตำรวจภูธร จังหวัดเลย รักษาราชการผู้กำกับการ
  8. น.ต. อุสาห์ ชัยนาม ผู้บังคับฝูงบิน 33
  9. ร.ต. เทพ เสมถิติ เสรีไทยสายอังกฤษ (Force 136, SOE.)
  10. พ.ต. คริสโตเฟอร์ ฮัดสัน นายทหารอังกฤษ (Force 136, SOE.)
  11. พ.ต. พอล แอชเวล (Force 136, SOE)

ฯลฯ

กำลังพลพรรคเสรีไทยจังหวัดเลย มีทั้งข้าราชการมหาดไทย ตำรวจ ทหารอากาศ และครู

สนามบินลับจังหวัดเลย (ภาพจากหนังสือ ตำนานเสรีไทย)

สนามรับร่ม สนามบินลับ ค่ายพลพรรค

คณะเสรีไทยเลยและขอนแก่น ได้สำรวจพื้นที่ตั้งค่าย และสนามรับร่มอาวุธยุทธภัณฑ์ ในชั้นแรกเลือกบริเวณ “ภูกระดึง”  (บ้านศรีฐาน) เป็นสนามรับร่ม และเป็นค่ายฝึกพลพรรค แต่แล้วปรากฏว่าบนภูกระดึงเป็นพื้นที่ป่าเขา มีต้นไม้ใหญ่จำนวนมาก ทำให้หีบห่ออาวุธยุทธภัณฑ์ได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ด้วยสภาพพื้นที่ชื้นแฉะ ปกคลุมด้วยหญ้าและมอส จึงไม่อาจพัฒนาเป็นสนามบินลับได้ หากยังคงใช้ภูกระดึงเป็นสนามทิ้งร่ม และเป็นค่ายฝึกพลพรรค จนสิ้นสงคราม

จึงได้เลือกใช้สนามบินเก่าในบริเวณชายป่านอกเมืองเลย คือสนามบิน “นาอาน” เป็นสนามบินลับ ซึ่งมีฝูงบินที่ 33 กองทัพอากาศไทยตั้งอยู่ และได้ร่วมมือกับเสรีไทยจังหวัดเลย สนามบินแห่งนี้ไม่ได้ใช้งานเฉพาะเสรีไทยจังหวัดเลยเท่านั้น หากยังเป็นที่ใช้งานสำหรับเสรีไทยส่วนกลาง และเสรีไทยจังหวัดอื่นในสายอังกฤษ ที่สำคัญได้สร้างค่ายพลพรรคในบริเวณสนามบินลับแห่งนี้

เสรีไทยชัยภูมิ : ค่ายและสนามบินภูเขียว

แรกตั้งสนามบิน

สนามบินลับภูเขียว เป็นหน่วยขยายจากจังหวัดขอนแก่น เพื่อเป็นสนามบินหลักสำหรับปฏิบัติการเสรีไทยสายอเมริกา โดยใช้สนามบินกองทัพอากาศไทยที่อำเภอภูเขียว ที่สนามบินแห่งนี้มีฝูงบิน 61 ของกองทัพอากาศไทยประจำการอยู่ ภายใต้ น.ต. เติม ตุงคะนาค ผู้บังคับฝูงบิน กำลังนายทหารและนายจ่ารวม 200 นาย ประจำการเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบมาร์ติน (Martin B-10) ซึ่งจะได้ใช้งานลำเลียงของเสรีไทยด้วย

โดยมีเสรีไทยสายอเมริกาคือ ร.อ. เจริญ เจริญรัชต์ภาคย์ แห่งปฏิบัติการบัคเก็ต (Operation Bucket) มาประจำที่สนามบินแห่งนี้ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) เพื่อกำกับดูแลเที่ยวบินปฏิบัติงานเสรีไทยสายอเมริกา ซึ่งได้นำเจ้าหน้าที่ไทยและสหรัฐโดยสารเข้า - ออกประเทศไทย รวมทั้งส่งอาวุธยุทธภัณฑ์และเวชภัณฑ์ต่าง ๆ จนถึงกับได้สร้างคลังอาวุธขึ้นที่นี่ โดยฝูงบิน 61 ได้รักษาความปลอดภัยภาคพื้นดิน ให้สัญญาณเครื่องบินอเมริกัน ฝึกใช้อาวุธอเมริกันเตรียมทำสงครามกองโจร และร่วมนำเครื่องบินในฝูงบินลำเลียงอาวุธยุทธภัณฑ์แจกจ่ายค่ายเสรีไทยสายอเมริกาที่ต่าง ๆ

ต่อมาเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) หน่วย Detachment 404, OSS. ที่อินเดีย ได้ส่งเสรีไทยสายอเมริกา และนายทหารสหรัฐชุดปฏิบัติการไดอะแกรม (Diagram) ได้แก่ พ.ต. อเล็กซ์ กริสโวลด์ และ ร.อ. ม.จ.ยุธิษเฐียร สวัสดิวัตน์ เสรีไทยสายอเมริกา (รหัส จอห์น) มาประจำที่ภูเขียวด้วย เพื่อฝึกหัดการใช้อาวุธอเมริกัน และยุทธวิธีสงครามกองโจร แก่พลพรรคทหารอากาศ และพลพรรคพลเรือนชัยภูมิ (ข้าราชการ ครู ตำรวจ ประชาชน ยุวชน) ภายใต้นายสุทิน วิวัฒนะ ข้าหลวงประจำจังหวัด

ปลายเดือนกรกฎาคมปีนี้เอง ที่ฝ่ายญี่ปุ่นเริ่มเกิดความสงสัยในปฏิบัติการลับที่สนามบินภูเขียว จึงได้เชิญเจ้าหน้าที่ไทยกรมประสานงานพันธมิตรให้มาร่วมตรวจสอบสนามบินลับแห่งนี้ แต่ทางฝ่ายไทยได้แจ้งให้สนามบินและค่ายพลพรรคทราบล่วงหน้า จึงสามารถซุกซ่อนอาวุธยุทธภัณฑ์และเจ้าหน้าที่สหรัฐได้ทันท่วงที

ผู้นำสำคัญค่ายฝึกและสนามบินลับภูเขียว

  1. นายสุทิน วิวัฒนะ ข้าหลวงประจำจังหวัด
  2. น.ต. เติม ตุงคะนาค ผู้บังคับฝูงบิน 61 (กองทัพอากาศไทย)
  3. ร.อ. เจริญ เจริญรัชต์ภาคย์ เสรีไทยสายอเมริกา (Detachment 404, OSS.)
  4. พ.ต. อเล็กซ์ กริสโวลด์ นายทหารสหรัฐ (Detachment 404, OSS.)
  5. ร.อ. ม.จ.ยุธิษเฐียร สวัสดิวัตน์ เสรีไทยสายอเมริกา (Detachment 404, OSS.)

เสรีไทยคลองไผ่ - นครราชสีมา : เมื่อตำรวจ ข้าราชการ ผู้คุม นักโทษ เป็นเสรีไทยร่วมกัน

ทำไมตั้งค่ายที่เรือนจำคลองไผ่สีคิ้ว

จากยุทธศาสตร์ทางทหารในการต่อต้านญี่ปุ่น ขบวนการต่อต้านด้านนครราชสีมา จะต้องตัดขาดกองทหารญี่ปุ่นภาคกลางและภาคอีสาน โดยที่นครราชสีมาหรือโคราชซึ่งเป็นชุมทางรถไฟอีสาน และทางเกวียนหลายเส้น อีกทั้งเป็นทางออกช่องเขาเชื่อมภาคกลางกับภาคอีสาน

พล.ต.อ. อดุล อดุลเดชจรัส อธิบดีกรมตำรวจและรองหัวหน้าขบวนการเสรีไทย และพล.ต.ต. ขุนศรีศรากร ผู้บังคับตำรวจสันติบาล เห็นพ้องว่าจะต้องสร้างสนามบินและค่ายพลพรรคขึ้นที่โคราช เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการของสัมพันธมิตร เพื่อเตรียมการตัดเส้นทางเชื่อมภาคกลาง – ภาคอีสาน

คำพลพรรคเสรีไทยเรือนจำคลองไผ่ นครราชสีมา (ตำรวจ พลเรือน นักโทษ) ถ่ายกับนายทหารสัมพันธมิตร
(ภาพจาก ตำนานเสรีไทย)

จึงมอบให้ขุนพิสิฐนนทเดช (บุญมี มกรเสน) ผู้บัญชาการเรือนจำคลองไผ่ อำเภอสีคิ้ว ร่วมกับ ร.อ. พระสาครบุรีรักษ์ ร.น. (ปริก สุวรรณานนท์) ข้าหลวงตรวจการมหาดไทย ภาค 3 (อีสาน) และหลวงวิวิธสุรการ (ถวิล เจียรมานพ) ข้าหลวงประจำจังหวัด จัดสร้างสนามบินลับและค่ายพลพรรคที่ป่าทับเจ็ด บริเวณเรือนจำ ด้วยกำลังพลพัศดีเรือนจำ นักโทษ

เพื่อฝึกพลพรรคเสรีไทยด้านจังหวัดนี้ ทั้งตำรวจสันติบาล ตำรวจภูธรท้องที่ พัศดีเรือนจำ นักโทษ ข้าราชการ และประชาชนในจังหวัด ขณะที่ด้านตัวเมือง ทหารไทยกองพลที่ 37 ภายใต้ พล.ต. หลวงหาญสงคราม ได้เตรียมการสู้รบกองทหารญี่ปุ่นในเมือง

เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) ร.อ. Van I. Mumma พ.จ.ต. Warren A. Gilbertson นายทหารอเมริกัน และ ร.ต. ดำริ บุญญประสิทธิ์ (นายดอน) เสรีไทยในประเทศ ซึ่งรับการฝึกจากฝ่ายอเมริกา ได้กระโดดร่มลงมาที่สนามบินลับทับเจ็ด โดยขุนพิสิฐนนทเดช ร.อ. สละ ทศานนท์ และ ร.อ. สวัสดิ์ เชี่ยวสกุล เสรีไทยสายอเมริกา Detachment 404, OSS. ร่วมรอรับ ซึ่งมีภารกิจในการฝึกอาวุธให้กับพลพรรคเสรีไทยโคราช เตรียมพร้อมในการต่อสู้กับญี่ปุ่น

ผู้นำสำคัญค่ายพลพรรค

  1. ขุนพิสิฐนนทเดช (บุญมี มกรเสน) ผู้บัญชาการเรือนจำคลองไผ่
  2. พระสาครบุรีรักษ์ (ปริก สุวรรณานนท์) ข้าหลวงตรวจการมหาดไทยภาค 3
  3. หลวงวิวิธสุรการ (ถวิล เจียรมานพ) ข้าหลวงประจำจังหวัด
  4. ด.ต. ชม ไฉยากุล พัสดีเรือนจำคลองไผ่
  5. พ.ต.ต. นิพันธ์ สรณารักษ์ ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัด
  6. ร.ต.ท. ขุนทอง มังกรวงศ์ ตำรวจสันติบาล
  7. ร.อ. สละ ทศานนท์ เสรีไทยสายอเมริกา (Detachment 404, OSS.)
  8. ร.อ. สวัสดิ์ เชี่ยวสกุล เสรีไทยสายอเมริกา (Detachment 404, OSS.)

เสรีไทยศรีสะเกษ

มีข้อมูลเพียงเล็กน้อย เกี่ยวกับปฏิบัติงานเสรีไทยในจังหวัดนี้ จังหวัดแห่งนี้ได้จัดกำลังชายฉกรรจ์เข้ารับการฝึกอาวุธเป็นพลพรรคเสรีไทย และได้สร้างสนามบินลับขึ้นที่บริเวณศูนย์การศึกษาจังหวัดศรีสะเกษ (ปัจจุบัน) และที่บ้านสนามสามัคคี ตำบลโสน อำเภอขุขันธ์ คาดว่าอยู่ภายใต้นายชอบ ชัยประภา ข้าหลวงประจำจังหวัด

กองพลที่ 37 และมณฑลทหารบกที่ 3

กองพลที่ 37 ตั้งขึ้นในช่วงต้นปี พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) สังกัดกองทัพบกสนาม (ภายใต้พล.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา แม่ทัพบก และพล.ท. ชิต มั่นศิลป์ สินาดโยธารักษ์ รองแม่ทัพบกและหัวหน้าเสรีไทยฝ่ายทหาร ซึ่งครองตำแหน่งทางทหารแทนจอมพล ป. พิบูลสงคราม) โดยพล.ต. หลวงหาญสงคราม (พิชัย หาญสงคราม) เป็นผู้บัญชาการกองพล มีภารกิจสำคัญคือการนำกำลังทหารร่วมกับหน่วยพลพรรคเสรีไทยภาคอีสาน เพื่อป้องกันและขับไล่กองทัพญี่ปุ่นในภาคอีสานและอินโดจีนฝรั่งเศส รวมทั้งการดูแลความปลอดภัยเชลยศึกสัมพันธมิตรที่จังหวัดอุบลราชธานี

พล.ต. หลวงหาญสงคราม ผบ.กองพลที่ 37 นครราชสีมา (ที่สองจากซ้าย) ถ่ายกับนายทหารไทยและนายทหารสัมพันธมิตร เมื่อสิ้นสุดสงคราม
(ภาพจากอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเอก หลวงหาญสงคราม)

เมื่อแรกเข้ารับตำแหน่งตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) พล.ต. หลวงหาญสงครามได้เริ่มจัดวางกำลังทหาร พร้อมทั้งปรับปรุงวินัยและอนามัยในหน่วยทหารให้อยู่ในสภาพที่พร้อมรบ รวมทั้งดูแลการเคลื่อนย้ายกำลังทหารไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ตามแผนยุทธการ ได้แก่ 

  1. กองบัญชาการกองพล (นครราชสีมา) พล.ต. หลวงหาญสงคราม ผู้บัญชาการกองพล พ.อ. เตี้ยม วิศิษฐ์ยุทธศาสตร์ เสนาธิการกองพล
  2. กรมทหารราบที่ 107 (นครราชสีมา - บุรีรัมย์) พ.อ. นิ่ม ชโยดม (ขุนนิมมานกลยุทธ) ผู้บังคับการกรม
  3. กรมทหารราบที่ 108 (อุดรธานี - หนองคาย) พ.ท. เล็ก ชาตรีกำแหง (หลวงชาตรีกำแหง) ผู้บังคับการกรม
  4. กรมทหารราบที่ 9 (อุบลราชธานี) พ.อ. พร้อม ทองพด ผู้บังคับการกรม
  5. กรมทหารม้าที่ 35 (ร้อยเอ็ด - ยโสธร) พ.อ. เจริญ สุวรรณวิสูตร (ขุนเจริญสุรไกร) ผู้บังคับการกรม
  6. กองพันทหารราบที่ 27 (สุรินทร์) พ.ต. สุกรี ธนูแผลง ผู้บังคับกองพัน

ในช่วงปลายของสงคราม กรมกองทหารภายใต้กองพลที่ 37 ได้ตั้งป้อมสนามตามตัวเมืองที่ตั้งหน่วยเหล่านี้ ทั้งนครราชสีมา อุบลราชธานี อุดรธานี ร้อยเอ็ด ซึ่งส่วนมากมีกรมกองทหารญี่ปุ่นตั้งอยู่ด้วยเช่นกัน จึงได้เกิดการตั้งป้อมสนามประจันหน้าทหารไทย - ทหารญี่ปุ่นหลายแห่ง ต่างฝ่ายเตรียมการสู้รบได้ทุกเวลา โดยเฉพาะช่วงเดือนสุดท้ายของสงคราม

ที่สำคัญได้มีการประสานงานระหว่างกองพลที่ 37 กับหน่วยพลพรรคบางแห่ง และหลายหน่วยได้มีนายทหารและนายสิบจากกองพลไปร่วมฝึกพลพรรค โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น ชัยภูมิ และเลย ที่บ้านพักนายทหารสื่อสารหลังหนึ่งในกองบัญชาการกองพล ได้ใช้เป็นที่ตั้งสถานีวิทยุใต้ดิน มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายสัมพันธมิตรประจำอยู่ด้วย ดำเนินการติดต่อสื่อสารให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสัมพันธมิตรไปประจำพื้นที่รับผิดชอบของกองพล คือที่นครราชสีมา ขอนแก่น ชัยภูมิ เป็นต้น

นอกจากนี้ที่บ้านพักผู้บัญชาการกองพลที่ 37 ได้ซุ่มซ่อนเชลยศึกชาวอินโดนีเซีย 3 นาย ซึ่งหนีมาจากค่ายเชลยศึกของญี่ปุ่นในอุบลราชธานี จนกระทั่งสงครามสงบลง

ประตูหลังบ้านฝั่งโขง : แผนยุทธศาสตร์การต่อสู้ญี่ปุ่นด้านภาคอีสาน

ตามแผนทางยุทธศาสตร์การต่อสู้ญี่ปุ่น ได้กำหนดให้พื้นที่ภาคอีสานของประเทศไทยเป็นพื้นที่ประตูหลังในการรบต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งมีจุดหมายหลักในภาคกลางของไทย โดยกองทหารไทย (กองพลที่ 37) และพลพรรคเสรีไทย (นครราชสีมา หนองคาย นครพนม อุบลราชธานี) จะต้องปฏิบัติการรบ ในการตัดการคมนาคมของกองทัพญี่ปุ่นในภาคอีสานไม่ให้เข้าช่วยเหลือกองทัพญี่ปุ่นในภาคกลางและภาคเหนือ ประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งจะต้องป้องกันกองทัพญี่ปุ่นที่อาจจะรุกมาประเทศไทยจากอินโดจีนฝรั่งเศส (ปัจจุบันดินแดนนี้เป็นประเทศเวียดนาม กัมพูชา และลาว) โดยอาจข้ามแม่น้ำโขงหรือเทือกเขาพนมดงรักเข้ามา

ในขณะที่พลพรรคเสรีไทยที่สกลนคร มหาสารคาม ขอนแก่น ชัยภูมิ เลย จะทำหน้าที่เป็นกองหนุนขนาดใหญ่ตอนในของภาคอีสาน

ดังนั้นในแผนทางยุทธวิธีจึงกำหนดให้กองกำลังฝ่ายไทย ได้แก่พลพรรคเสรีไทยสายอีสาน และกองพลที่ 37 ทั้งที่นครราชสีมา ชัยภูมิ ขอนแก่น เลย หนองคาย สกลนคร นครพนม มหาสารคาม ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี ในรูปหน่วยกำลังกองโจร โดยตั้งฐานปฏิบัติการพิเศษตามพื้นที่ต่าง ๆ ได้แก่

ก) ฐานบัญชาการที่จังหวัดนครราชสีมา เนื่องจากเป็นพื้นที่ชุมทางคมนาคมทั้งปวงของภาคอีสาน สามารถติดต่อสื่อสารกับพื้นที่อื่น ๆ ในภาคอีสานได้เกือบทั้งหมด รวมทั้งยังสามารถติดต่อกับภาคกลางของประเทศไทยได้อย่างสะดวก

ข) ฐานย่อยที่จังหวัดชัยภูมิ บุรีรัมย์ ขอนแก่น และสกลนคร (รวมมหาสารคามและร้อยเอ็ด) ทำหน้าที่ตัดเส้นทางการคมนาคมของกองทหารญี่ปุ่นในภาคอีสาน กับทั้งเป็นด่านรอง กำลังหนุน และฐานส่งกำลังบำรุง ในการต้านทานกองทัพญี่ปุ่นที่อาจมาจากอินโดจีน รวมทั้งเป็นกองหนุน

ค) ฐานปฏิบัติการอยู่ที่จังหวัดหนองคาย อุดรธานี นครพนม และอุบลราชธานี ทำหน้าที่เป็นกองหน้าในการต้านทานการรุกของกองทัพญี่ปุ่นจากอินโดจีนฝรั่งเศส โดยเฉพาะด้านอุบลราชธานี ซึ่งมีกองทหารญี่ปุ่นตั้งมากที่สุด

ในด้านกำลังทางอากาศ มีกองบินใหญ่ที่ 4 สนับสนุนการใช้สนามบินลับ และเตรียมการโจมตีทางอากาศสนับสนุน

เสรีไทยสกลนคร ในขบวนสวนสนามเสรีไทย ถนนราขดำเนิน กรุงเทพฯ 25 กันยายน พ.ศ. 2488

อ้างอิง

- ขุนพิสิฐนนทเดช (บุญมี มกรเสน). บันทึกการเสรีไทย ทำสนามบินลับและฝึกอาวุธ สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่คลองไผ่ จังหวัดนครราชสีมา. ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ ขุนพิสิฐนนทเดช ณ เมรุวัดโสมนัสวรวิหาร 15 พฤษภาคม 2521

- คเชนทร์ เดชกุญชร. ขบวนการเสรีไทยในจังหวัดขอนแก่น. พิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ นายคเชนทร์ เดชกุญชร วันอังคารที่ 30 ธันวาคม 2529 ณ เมรุวัดธาตุทอง เขตพระโขนง จังหวัดกรุงเทพมหานคร.

- ชีวประวัติของ พลเอก หลวงหาญสงคราม (พิชัย หาญสงคราม) ม.ป.ช., ม.ว.ม., ท.จ. อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเอก หลวงหาญสงคราม ณ เมรุหน้าพลับพลาอิสริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันพุทธ ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2512

- ชีวิตและงานสังคมสงเคราะห์ของสุวรรณ รื่นยศ. ม.ป.พ., ม.ป.ป.

- เตียง ศิริขันธ์. บันทึกของนายเตียง ศิริขันธ์ ฉบับพิมพ์ตามต้นฉบับ. จากแฟ้มเอกสารลับที่สุด : เผย”ข้อมูลใหม่”ทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ของหอจดหมายเหตุแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา (NARA) โดย พันเอก ดร.สรศักดิ์ งามขจรกุลกิจ. กรุงเทพฯ: สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ, 2564.

- ถวิล นาคินทร์. ขบวนการเสรีไทยที่ค่ายนาคู. สภาวัฒนธรรมกิ่งอำเภอนาคู, 2550.

- ทองอินทรานุสรณ์. หนังสืออนุสรณ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ และฌาปนกิจ นางสาวอรทัย ภูริพัฒน์ (ธิดา) ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม 9 พฤษภาคม 2505

- เทอด บุณยรัตพันธุ์. เล่าเรื่อง “เสรีไทยในอุบลฯ”. ประวัติศาสตร์และโบราณคดีอุบลราชธานี : เอกสารการสัมมนาประวัติศาสตร์และโบราณคดีอุบลราชธานี 26 - 28 กันยายน 2531 ณ หอประชุมอาคารหอสมุด วิทยาลัยครูอุบลราชธานี.

- นายหนหวย (นามปากกา). คำให้การนายหนหวย 72 ปีท่ามกลางมนุษย์นานาพันธุ์. พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายศิลปชัย ชาญเฉลิม (นายหนหวย) ณ ฌาปนสถาน วัดโสมนัสวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร วันพุธที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543.

- ปรีชา ธรรมวินทร. 77 ปี วันสันติภาพไทย : เตียง ศิริขันธ์ ขบวนการเสรีไทยสกลนคร. - พิมพ์ครั้งที่ 3. - กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2565.

- พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ เรือเอก พระสาครบุรานุรักษ์ ป.ม. ท.ช. ณ เมรุวัดประยูรวงศาวาส วันที่ 7 ธันวาคม 2504.

- พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชเพลิงศพ นายอุดม บุญประกอบ ณ เมรุวัดธาตุทอง จ.พระนคร วันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม 2512

- สวัสดิ์ ตราชู. ลับสุดยอด เมื่อข้าพเจ้าเป็นเสรีไทยกับขุนพลภูพาน เตียง ศิริขันธ์ โดย สวัสดิ์ ตราชู (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ม.ป.พ.),

- ดร.สวัสดิ์ ศรีสุข. งานเสรีไทยในภาคอีสาน และเรื่องของพันโท เดวิด สไมเล่ย์. อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พลอากาศจัตวา ดร. สวัสดิ์ ศรีศุข ม.ว.ม., ป.ช., ท.จ. ณ เมรุวัดธาตุทอง เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2542 เวลา 14.00 น.

- อดิเรก บุญคง. บทบาทของขบวนการเสรีไทยสายอีสานและบทบาท ทางการเมืองของสมาชิกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2484 - 2495. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม, 2536.

- อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ หลวงนรัตถรักษา ต.ช. ต.ช. ณ วัดสระแก้วปทุมทอง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก วันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2521

- อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายอรรถ เทิงวิเศษ ท.ม. ต.ช. ณ เมรุวัดธาตุทอง เขตพระโขนง กทม. วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม 2528

- อ้วน นาครทรรพ. หลังฉากเสรีไทยในจังหวัดอุดรธานี. จุลสารโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ : ปีที่ 3 ฉบับที่ 3 เมษายน - มิถุนายน 2519.