ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

การเคลื่อนไหวทางการเมืองหลังรัฐประหาร พ.ศ.2490

13
ธันวาคม
2568

ช่วงแรก (พ.ศ.2490-2492)

รัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 นำมาซึ่งความชะงักงันของระบอบประชาธิปไตย พลโทผิน ชุณหะวัณ (ยศขณะนั้น) ได้รัฐประหารรัฐบาลของ พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักการเมืองและรัฐมนตรีคนสำคัญในคณะนี้ถูกเรียกให้ไปรายงานตัว ส่วนมากไม่ปฏิบัติตามจึงถูกประกาศจับ โดยให้สินบนเป็นรายบุคคล โดยเฉพาะนายเตียง ศิริขันธ์ มีสินบนนำจับ 5,000 บาท และประกาศอายัดเงินในธนาคารทุกแห่ง

คณะรัฐประหารประกาศจับนายปรีดี พนมยงค์ และกวาดล้างจับกุมสมาชิกพรรคสหชีพรวมทั้งกลุ่มเสรีไทยที่สนับสนุนนายปรีดีด้วย นายเตียงได้แยกกับสองสหาย คือนายทองอินทร์และนายจำลอง ในคืนวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 หลบหนีการจับกุมโดย ร.ต.เสรี นวลมณี บอกเล่าว่านายเตียงมุ่งสู่อีสานโดยรถจิ๊ปเล็กพร้อมผู้ติดตาม 4 นาย

 

4 รัฐมนตรีอีสาน
ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม

 

คือ ร.ท.อุทิศ ฉายแสงจันทร์ นายทหารนอกราชการถูกปลดตอนเริ่มสงครามมหาเอเชียบูรพา มีความผิดฐานเมาสุราเตะทหารญี่ปุ่นถึงแก่พิการตลอดชีวิต (ต่อมาได้เข้าร่วมหน่วยเสรีไทยจังหวัดตาก) ร.ต.ประหยัด บำเพ็ญสิทธิ์ อดีตนายทหารเสรีไทยจากอินเดียและแคนดี นายสว่าง ตราชู พลพรรคเสรีไทยภูเขียว (ส.ส.ขอนแก่น) และ ร.ต.เสรี นวลมณี

นายเตียงได้มุ่งสู่เทือกเขาภูพาน ซึ่งเป็นฐานที่ตั้งเก่าของขบวนการเสรีไทยที่รักและศรัทธาในตัวเขา อีกทั้ง ณ เทือกเขาภูพานแห่งนี้มีภูมิประเทศเป็นป่าเขา มีซอกหลืบมากมายจึงทำให้เขารอดพ้นจากการจับกุมของกองกำลังตำรวจทหารจำนวนมากไปได้

รัฐบาลขณะนั้นมีคำสั่งให้ทหารกองพลนครราชสีมาและกำลังตำรวจอีก 8 จังหวัดในภาคอีสาน ออกล่านายเตียงเป็นการใหญ่ แต่ก็ประสบความล้มเหลวหลายต่อหลายครั้งที่นายเตียงตกอยู่ในวงล้อมของเจ้าหน้าที่ นายเตียงก็สามารถหลุดออกไปได้โดยปลอดภัย ดังเช่นที่เขาและคณะฝ่าวงล้อมของเจ้าหน้าที่ปราบปรามเข้าไปในเมืองเพื่อร่วมประกอบพิธีแต่งงานหลานชาย

ฝ่ายรัฐบาลเองเมื่อรู้ว่านายเตียงขึ้นไปอยู่บนเทือกเขาภูพานได้ส่ง พ.ต.อ.หลวงพิชิตธุระการ ไปเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี วางแผนตามล่านายเตียงโดยใช้กำลังทหาร 5 กองพันจาก 5 จังหวัดที่ใกล้เคียงร่วมกันออกตามล่าค้นหานายเตียงบนเทือกเขาภูพาน 2 เดือนเศษก็ไม่พบวี่แววใด ๆ ที่จะพบตัวนายเตียงได้ จึงหันไปใช้นโยบายป่าเถื่อนเบียดเบียนชาวบ้าน โดยการจุดไฟเผายุ้งข้าว บ้างก็ยิงสัตว์เลี้ยง เช่น หมู ไก่ เป็ด วัว ควาย ของชาวบ้านมาประกอบอาหารโดยพลการ จับกำนันผู้ใหญ่บ้านมาซ้อมทำร้ายร่างกาย ให้ยอมรับสารภาพบอกที่หลบซ่อนนายเตียง แต่ก็ไม่มีผู้ใดยอมบอก

จนกระทั่งนายเตียงทนต่อความทารุณโหดร้ายของเจ้าหน้าที่ที่มีต่อชาวบ้านไม่ไหว จึงได้ตัดสินใจข้ามแม่น้ำโขงไปสู่อินโดจีนด้วยความช่วยเหลือของนายชัย ธะนะ อดีตเสรีไทยหน่วยหนองคาย นายเตียงกับพรรคพวกได้เดินทางไปถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในเขตอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ห่างจากริมโขงเพียง 4 กิโลเมตร

ขณะเตรียมตัวจะลงเรือข้ามฟาก นายจำลอง นวลมณี ซึ่งเป็นญาติแจ้งให้ทราบว่า นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ และนายเจียม ศิริขันธ์ พี่ชายได้ตกลงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ พ.ต.ท.หลวงวีระเดชกำแหง ผู้อำนวยการจับกุม เพื่อมอบตัวนายเตียงสู้คดีโดยมีเงื่อนไขเป็นลายลักษณ์อักษร ว่าให้ตำรวจถอนกำลังกลับหมดและให้มีการประกันตัวระหว่างดำเนินคดี

การตามล่านายเตียง ศิริขันธ์ จึงยุติลงด้วยเหตุนี้ สื่อมวลชนจึงให้สมญานามว่า“ขุนพลภูพาน” มีชื่อเสียงดังไปทั่วประเทศและแถบอินโดจีน นายเตียงกับพรรคพวกอีก 18 คน ถูกคณะกรรมการสอบสวนที่สกลนครฟ้องในข้อหาแบ่งแยกดินแดนและกบฏภายในราชอาณาจักร และได้โอนคดีมาดำเนินต่อที่กรุงเทพฯ โดยพนักงานสอบสวนอ้างว่านายเตียงมีพรรคพวกและมีอิทธิพลมาก

คดีนี้สิ้นสุดเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ.2494 โดยศาลพิพากษายกฟ้องให้พ้นมลทิน และ 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2491 นายเตียง ศิริขันธ์ ถูกจับกุมในคดีกบฏแบ่งแยกอีสานร่วมกับนายทิม ภูริพัฒน์ อีกวาระหนึ่ง ถูกขังระหว่างสอบสวน 63 วันทางการจึงปล่อยตัวพ้นข้อหาไป

การกลับมามีบทบาทในสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 4 พ.ศ.2492 ของนายเตียง ศิริขันธ์ ยังคงรวมกลุ่มกับฝ่ายที่มีแนวคิดสนับสนุนนายปรีดี พนมยงค์ ทำการโค่นอำนาจเผด็จการ เนื่องจากการกลับเข้ามามีอำนาจทางการเมืองของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขัดแย้งกับแนวคิดทางการเมืองของกลุ่มนายเตียง ที่ต้องการความยุติธรรมดังเช่นที่ได้เคยต่อสู้มาแล้ว

การเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม นำไปสู่ “ขบวนการประชาธิปไตย 26 กุมภาพันธ์ 2492” หรือที่เรียกกันว่า “กบฏวังหลวง” นับเป็นความพยายามครั้งสำคัญของฝ่ายนายปรีดี พนมยงค์ ที่จะต่อต้านรัฐบาลซึ่งนายเตียงถือว่าเป็นปฏิกิริยาที่ทำลายระบอบประชาธิปไตย

ต่อมาได้ถูกฝ่ายรัฐบาลปราบปรามจับกลุ่มผู้ที่เอาใจฝักใฝ่ข้างนายปรีดี อย่างกอบราบคาบโคนให้หมด โดยจอมพล ป. พิบูลสงครามได้มอบอำนาจให้พลตำรวจโทเผ่า ศรียานนท์ เป็นผู้อำนวยการปราบปราม นายปรีดี พนมยงค์ ได้หลบหนีออกนอกประเทศจึงทำให้ถูกกำจัดออกจากการเมืองโดยสิ้นเชิง

ส่วน 4 อดีตรัฐมนตรีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของนายเตียง ศิริขันธ์ ได้แก่ ดร.ทองเปลว ชลภูมิ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายถวิล อุดล และนายจำลอง ดาวเรือง ถูกยิงตาย ในวันที่ 4 มีนาคม 2492 (เวลา 02.00 น) ณ กิโลเมตรที่ 14-15 ถนนพหลโยธิน ฝ่ายตำรวจว่าเป็นการแย่งชิงผู้ต้องหาบนรถตำรวจระหว่างทาง

นับได้ว่าผลการปราบปรามและดำเนินคดีต่อผู้ต้องหากบฏด้วยวิธีใช้ความรุนแรงครั้งนี้ก่อให้เกิดความสะเทือนขวัญต่อประชาชนอย่างยิ่ง นายเตียง ศิริขันธ์ ได้บรรยายความรู้สึกของตนในการสูญเสียเพื่อนร่วมอุดมการณ์ในครั้งนั้นว่า

 

การตายของพวกนายทำให้เราเศร้าใจและว้าเหว่มาก แต่เมื่อนึกถึงการตายในสภาพเดียวกันของนักการเมืองและบุคคลสำคัญของประวัติศาสตร์อีกหลายคน ก็พอจะทำให้เราคลายความขมขื่นลงไปบ้าง ส่วนประชาชนแล้วรู้สึกว่าจะเป็นเรื่องทำลายขวัญกันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะประชาชนชาวอีสาน การตายของพวกนายมิใช่เป็นการหลู่เกียรติกันอย่างเดียว แต่เป็นการท้าทายประชาชนชาวอีสานทั้งมวลอีกด้วย ถึงแม้พวกนายจากไปแล้วก็ตาม เรายังคงยึดมั่นอยู่ในอุดมการณ์สละชีพอยู่อย่างเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่ชีวิตและความเป็นอยู่ของเราขณะนี้ ทั้งในด้านส่วนตัวและการเมืองตกอยู่ในสภาวะที่เลวร้ายที่สุด มันเป็นอุปสรรคอันสำคัญยิ่งที่ทำให้เราไม่สามารถปฏิบัติงานใดใดได้ดังปรารถนา ถ้าหากว่าเรามีอิทธิพลทางการเมืองขึ้นเมื่อใดเมื่อนั้นเราจะดำเนินงานตามอุดมคติของเราทันที

 

ช่วงที่สอง (พ.ศ.2492-2495)

หลังจากเพื่อนร่วมอุดมการณ์ถูกฆ่าตายอย่างทารุณ นายเตียงได้ถูกนำไปฝากขังไว้ที่ลหุโทษและบางขวางตามลำดับ จากนั้นสองเดือนได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอประกันตัวไปสมัครรับเลือกตั้งที่สกลนคร โดยอ้างสิทธิตามรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2492 ซึ่งให้สิทธิในการสมัครรับเลือกตั้งแก่ผู้ต้องหา

พนักงานสอบสวนจึงขอร้องให้ศาลปล่อยตัวผู้ต้องหาในวันรุ่งขึ้น และต่อมานายเตียงก็ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกเช่นเคย แต่บทบาททางการเมืองของนายเตียงในระยะหลังนี้ เกือบจะกล่าวได้ว่าอยู่นอกความสนใจของประชาชน ความกดดันทางการเมืองบีบให้นายเตียงเข้าสู่พรรคสนับสนุนรัฐบาลหรือที่เรียกว่า “สหพรรค” หรือ “พรรคเสรีมนังคศิลา”

ในฐานะสมาชิกพรรคผู้อาวุโสทำให้นายเตียงเป็นบุคคลสำคัญในพรรค ได้รับมอบหมายเป็นเสนาธิการใหญ่หาเสียงเลือกตั้งให้แก่พรรครัฐบาลทางภาคอีสาน ซึ่งการหาเสียงของนายเตียงใช้วิธีโจมตีรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา จนถูกท้วงติงจากรัฐบาล แต่เขาตอบว่า “การหาเสียงเลือกตั้งจะเอาให้ได้ก็ต้องใช้วิธีนี้ วิธีอื่นไม่สำเร็จ” อีกทั้งนายเตียงเป็นผู้ใกล้ชิดกับ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ โดยเกี่ยวข้องเป็นเครือญาติทางภรรยานายเตียง จนกระทั่งได้รับเลือกให้ไปดูงานที่สหรัฐอเมริกา

ต่อมานายเตียง ศิริขันธ์ ได้ถูกขจัดออกจากวิถีทางการเมือง โดยรัฐบาลได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ. 2495 ที่ต้องการมิให้มีการกระทำอันเป็นภัยต่อประเทศชาติและประชาชน ซึ่งเกิดจากการกระทำของพวกคอมมิวนิสต์ และมิได้มีความประสงค์ที่จะปฏิบัติการต่อบุคคลใด ๆ อันเป็นการบั่นทอนเสรีภาพของพวกเขาเหล่านั้น

รัฐบาลจะปราบปรามเฉพาะบุคคลที่ปรากฎหลักฐานอันชัดแจ้ง ว่าได้กระทำผิดต่อกฎหมาย รัฐบาลภายใต้การดำเนินการโดย พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ได้จับกุมบุคคลที่เคยมีส่วนสนับสนุนทางการเมืองแก่นายปรีดี พนมยงค์ ตลอดทั้งผู้เคยเข้าร่วมขบวนการเสรีไทยสายอีสาน

โดยเฉพาะนายเตียง ศิริขันธ์ ถูกกล่าวหาว่ามั่วสุมกับพวกได้แก่ นายชาญ และนายเล็ก บุนนาค สองพี่น้องที่เคยมีประวัติขัดแย้งกับ พล.ต.อ.เผ่ามาก่อน และเป็นเพื่อนรักของนายเตียงสมัยทำงานเป็นเสรีไทย นอกจากนี้ก็มี นายผ่อง เขียววิจิตร และนายสง่า ประจักษ์วงศ์ ได้ถูกอำนาจเถื่อนสังหารโหด และนำไปเผาฝังที่ ต.แก่งเสี้ยน อ.เมือง จ.กาญจนบุรี (ดูคำพิพากษาคดีอย่างสดเตียง ศิริขันธ์ กับพวก คดีหมายเลขดำที่ 2628/2501 และคดีแดงที่ 1542/2502) อันถือว่าเป็นการยุติบทบาททางการเมืองของนายเตียง ศิริขันธ์ โดยสิ้นเชิงด้วยวัยเพียง 43 ปี

การจากไปของวีรบุรุษนักประชาธิปไตย ขุนพลภูพานเตียง ศิริขันธ์ ทำให้นึกถึงคำกล่าวของศาสตราจารย์วิสุทธิ์ บุษยกุลที่ว่า

 

นายเตียงทำทุกอย่างเพื่อชาติ แต่ก็ต้องตายเพราะคนเลวในชาติ แต่ชาติให้อะไรแก่นายเตียงบ้าง หรือสกลนครได้ให้อะไรแก่นายเตียงบ้างเราควรจะทำอะไรให้แก่คนผู้นี้บ้างไหม หรือจะคอยให้คนอื่นทำให้

 

นายเตียง ศิริขันธ์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีบทบาทสำคัญคนหนึ่งในการเมืองไทยช่วง พ.ศ. 2480-2495 ได้ดำเนินการตามวิถีทางการเมืองด้วยความตั้งใจอย่างแน่วแน่ ที่จะสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตย จึงสมควรอย่างยิ่งที่ทุกคนจะต้องตระหนักรำลึกถึงคุณูปการอันใหญ่หลวงที่นายเตียง ศิริขันธ์ มีต่อพี่น้องชาวสกลนครและที่มีต่อประเทศชาติ ผู้เขียนขอสดุดีเพื่อเป็นการรำลึกถึงเตียง ศิริขันธ์ “ขุนพลภูพาน” ดังนี้

 

เสียดายชายชาตรีที่องอาจ
เคยกู้ชาติจากภัยใหญ่มหันต์
เสียดายชายชาตรีที่ตายพลัน
ยังไม่ทันล้างตนจากมลทิน
เสียดายชายชาตรีที่แกล้วกล้า
ทรงศักดากระเดื่องชื่อบรรลือสิ้น
เสียดายชายชาตรีจบชีวิน
ยังได้ยินกระดูกร้องก้องกังวาล

 

หมายเหตุ :

  • คงอักขระตัวสะกดไว้ตามต้นฉบับ
  • ปรับวรรคย่อหน้าตามความเหมาะสม โดยกองบรรณาธิการ