ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

ครูเตียง..กับสมญานาม “ขุนพลภูพาน” : เพราะ...น้ำน้อย จึงพ่ายแพ้ไฟ

6
ธันวาคม
2568

ภายหลังรัฐประหารเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐ ครูเตียงสามารถหลบหนีการจับกุมกลับสู่เทือกเขาภูพานอันเคยเป็นฐานที่มั่นของเสรีไทย จนได้รับสมญานามจากสื่อมวลชนในเวลานั้นว่า “ขุนพลภูพาน” ก่อนที่จะยอมเข้ามอบตัวและต่อสู้คดีในข้อหา “กบฏแบ่งแยกดินแดน” พร้อมพวกอีก ๑๘ คน ที่ศาลจังหวัดสกลนคร ใน พ.ศ. ๒๔๙๒ และต่อมาคดีดังกล่าวนี้ได้มีการโอนไปพิจารณาที่ศาลอาญา กรุงเทพฯ คดีสิ้นสุดลงด้วยการมีคำพิพากษายกฟ้องในปี พ.ศ. ๒๔๙๔ (สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ๒๕๕๐ : ๑๗๒-๑๗๓)

ต่อมาเมื่อเพื่อนนักการเมืองคือ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์, นายถวิล อุดล และนายจำลอง ดาวเรือง รวมทั้งนายทองเปลว ชลภูมิถูกคณะรัฐประหารจับกุมจากเหตุการณ์ “ขบวนการประชาธิปไตย ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๒” หรือที่รู้จักกันในนาม “กบฏวังหลวง” บุคคลทั้งสี่ต้องจบชีวิตจากการถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐทำวิสามัญฆาตกรรม ซึ่งสร้างความสูญเสียและสร้างความหวาดกลัวให้เกิดแก่ทุกกลุ่มการเมือง

อะไรคือสาเหตุที่ครูเตียงยังไม่ถูกคณะรัฐประหารทำวิสามัญฆาตกรรมในคราวกบฏวังหลวงเหมือนดั่งเพื่อนนักการเมือง “๔ อดีตรัฐมนตรี” หลักฐานประเภทความทรงจำมีการอธิบายสืบต่อกันมาว่าเกิดจากนางนิวาสน์ ศิริขันธ์ (หรือนามสกุลเดิมคือ พิชิตรณการ) ภรรยาของครูเตียงมีความเกี่ยวพันเป็นเครือญาติกับตระกูลชุณหะวัณ นางอุดมลักษณ์ บุตรีจอมพลผิน ชุณหะวัณ (หัวหน้าคณะรัฐประหาร) และเป็นภรรยาของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์อธิบดีกรมตำรวจในเวลานั้นเป็นผู้ขอชีวิตไว้

แต่จากการให้สัมภาษณ์ของนายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโสที่ตอบคำถาม รศ.ดร.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๕ ก่อนที่ท่านจะอสัญกรรมในปีต่อมา ท่านกล่าวถึงครูเตียงไว้ตอนหนึ่งว่า “ส่วนขบวนการกุมภาพันธ์นั้น ความจริงคุณเตียงมิได้เกี่ยวข้อง ไม่ได้ซ่องสุมอะไร แต่เขาเห็นว่าคุณเตียงเป็นศิษย์ผม เขาก็จับไปฆ่า” (ปรีดี พนมยงค์ ๒๕๔๒ : ๘๐-๘๑)

ข้อมูลทั้งสองด้านอาจจะสนับสนุนกันและกัน ทำให้คณะรัฐประหารยอมตัดใจ “ละเว้น” การวิสามัญฯ ครูเตียงในเวลานั้นเป็นการชั่วคราวก่อน ก็อาจจะเป็นไปได้ ด้วยเหตุผลหลักคือ ครูเตียงไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์กบฏวังหลวงเช่นเดียวกับนักการเมืองอีกหลายคนที่ถูก “ละเว้น” เพราะถึงจับกุมตัวได้ แต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยเพราะไม่มีหลักฐานมากพอแต่สำหรับกรณีของ “๔ อดีตรัฐมนตรี” (นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์, นายถวิล อุดล, นายจำลอง ดาวเรือง และ ดร.ทองเปลว ชลภูมิ)

แม้ว่าบุคคลเหล่านั้นมิได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์กบฏ เป็นแค่บุคคลผู้ต้องสงสัยเช่นเดียวกับครูเตียงแต่ก็เป็นไปได้เช่นเดียวกันว่าการตัดสินใจวิสามัญฆาตกรรมอาจจะเกิดจากทัศนคติของแกนนำคณะรัฐประหารที่มองว่า ภายใต้กระบวนการยุติธรรม ไม่สามารถเอาผิดบุคคลสำคัญที่เป็นแกนนำฝ่ายนายปรีดีหลายๆ คนเหล่านี้ได้ จึงใช้วิธีถอนรากถอนโคนเสีย “เพราะบุคคลทั้ง ๔ นี้ถูกหมายหัวไว้ว่าเป็นพวกมันสมองหรือเป็นคนสำคัญของกลุ่ม” (ชิต เวชประสิทธิ์ สัมภาษณ์ใน สรศักดิ์ งามขจรกลกิจ ๒๕๓๗ : ๓๖๑ และ สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ๒๕๕๐ : ๑๙๑-๑๙๙)

อันเป็นวิธีการรูปแบบใหม่ที่คณะรัฐประหารในทศวรรษ ๒๔๙๐ นำมาใช้ในการ “จัดการ” บุคคลผู้เป็นคู่แข่งหรือคิดว่าเป็นศัตรูทางการเมืองที่มิได้คำนึงถึงกระบวนการยุติธรรม ตามหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยและหลักศีลธรรมทางพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด

อย่างไรก็ดีเมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๔๙๒ รัฐบาลต้องจัดการเลือกตั้งเพิ่มเติมตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๒ ครูเตียงยังพอมีโอกาสในการลงสมัครรับเลือกตั้งได้บ้างพร้อมกับสร้างสถิติให้แก่จังหวัดสกลนครในฐานะเป็นจังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิ์ออกเสียงมากที่สุดถึงร้อยละ ๘๕.๑๒ (อภิสิทธิ์ กิจเจริญสิน ๒๕๔๒ : ๒๐๘) แต่ครูก็ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในสภาฯ ได้มากนัก เนื่องจากสภาฯ เวลานั้นเป็นการแข่งขันอำนาจระหว่างคณะรัฐประหารที่สนับสนุน จอมพล ป. พิบูลสงคราม กับกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่สนับสนุนนายควง อภัยวงศ์

จอมพล ป.พิบูลสงคราม และคณะรัฐประหารจึงแก้ปัญหาด้วยการทำรัฐประหาร “ตนเอง” เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๔ เพื่อยุบสภาและยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๔๙๒ ที่ร่างโดยพลังของกลุ่มอนุรักษ์นิยม แล้วนำรัฐธรรมนูญเก่าที่คุ้นเคยกว่ามาปรับปรุงแก้ไข ประกาศเป็นรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๔๗๕ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๔๙๕ พร้อมกับจัดการเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง นับเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ ๘ และเป็นการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายของ ครูเตียง ก่อนที่ท่านจะถูกวิสามัญฆาตกรรมในช่วงวันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๕

อะไรคือมูลเหตุที่คณะรัฐประหาร “ตัดสินใจ” วิสามัญฆาตกรรมครูเตียงกับพวกในครั้งนี้ ตามความเห็นของนายปรีดี พนมยงค์ ท่านแสดงทัศนะต่อเรื่องนี้ว่ามีมูลเหตุมาจากความคิดเห็นที่แตกต่างกันระหว่างครูเตียงกับนักการเมืองรายใหม่ที่มาเข้าร่วมกับ “สหชีพ” ระหว่างครูเตียงผู้เป็น แกนนำสหชีพรุ่นเก่าที่ต้องการจะดำรงตนในฐานะเป็นกลุ่มการเมืองที่เป็นอิสระจากผู้มีอำนาจ กับนักการเมืองรายใหม่ที่ต้องการนำสหชีพไปอยู่ภายใต้ผู้มีอำนาจ (ปรีดี พนมยงค์ ๒๕๔๒ : ๕๕)

การที่ครูเตียงยังคงจงรักภักดีต่อนายปรีดี พนมยงค์ ยึดมั่นในจุดยืนทางการเมืองที่ต้องการรักษาความเป็นอิสระ ของพรรคหรือกลุ่มการเมือง ต้องการต่อสู้อย่างสันติด้วยกลไกของรัฐสภา ตามแนวทางของระบอบประชาธิปไตย วิถีการทำงานการเมืองในแบบฉบับของครูเตียง จึงไม่เป็นที่พึงพอใจของผู้มีอำนาจในเวลานั้นทั้ง ๆ ที่ครูเป็นเพียง “เสียงข้างน้อย” ที่มิได้มีศักยภาพมากเพียงพอที่จะทำอันตรายใด ๆ แก่รัฐบาลของคณะรัฐประหารได้เลย

จึงนำไปสู่เหตุการณ์ที่ครูเตียงและคณะ อันประกอบด้วย นายชาญ บุนนาค, นายเล็ก บุนนาค, นายผ่อง เขียววิจิตร และนายสง่า ประจักษ์วงศ์ ถูกทำให้ต้อง “หายสาบสูญ” ไปจากสังคม ขาดการติดต่อกับครอบครัว ญาติมิตร นับตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๔๙๕ กลายเป็นข่าวที่ลือกันไปต่าง ๆ นานา มาประจักษ์ชัดเจนเอาเมื่อภายหลังจอมพล ป. พิบูลสงคราม และ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ สิ้นสุดอำนาจจากการทำรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๐ (สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ๒๕๕๐ : ๓๐๐-๓๐๑)

ทุกคดีวิสามัญฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในทศวรรษ ๒๔๙๐ จึงถูกรื้อฟื้นเข้าสู่การพิจารณาคดี ทั้งเพื่อเอาตัวผู้เกี่ยวข้องมาลงโทษ และเพื่อเปิดโปงความเลวร้ายของ “ระบอบเผด็จการ: จอมพล ป. พิบูลสงคราม-จอมพลผิน ชุณหะวัณ และ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์” เนื่องจากยิ่งเปิดโปงความเลวร้าย ของ “ระบอบ ป.-ผิน-เผ่า” มากยิ่งทำให้ภาพลักษณ์แห่งการได้มาซึ่งอำนาจของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีความชอบธรรมเพิ่มมากขึ้น คำพิพากษาคดีของครูเตียงและคณะซึ่งถูกเรียกขานว่า “คดีย่างสด” จึงยุติลงด้วยคำพิพากษาตอนหนึ่งว่า “ถูกฆ่าตายครั้งนี้ด้วยเหตุผลทางการเมือง มิใช่เพราะมีสาเหตุเป็นส่วนตัวกับบุคคลใด” (วิสุทธิ์ บุษยกุล ๒๕๕๓ : ๑๖๕)

 

หมายเหตุ

  • คงอักขระตัวสะกดตามต้นฉบับ
  • คงเลขไทยตามต้นฉบับ
  • วรรคย่อหน้าตามความเหมาะสมโดยกองบรรณาธิการ