ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

จะรักษาธรรม ต้องเข้มแข็งในความดี

15
พฤศจิกายน
2568

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

 

วันนี้ ได้ยกคุณธรรมสำคัญขึ้นมาเป็นตัวอย่างข้อหนึ่ง คือ “ความเข้มแข็ง” ซึ่งหมายถึงความเข้มแข็งในความดี หรือพูดให้เต็มว่า ความเข้มแข็งในการดำรงรักษาความดี หรือความเข้มแข็งในการรักษาธรรม

เมื่อดำรงรักษาธรรม ก็เข้ากับพุทธภาษิตบทหนึ่งคือ ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจาริํ ซึ่งแปลว่า “ธรรมนั้นแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม”

ปรากฏตามประวัติว่า ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ยึดถือพุทธภาษิตข้อนี้ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าท่านผู้หญิงยกพุทธภาษิตข้อนี้ขึ้นมาอ้างบ่อย คือพุทธภาษิตที่ว่า ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

ตามหลักนี้ บุคคลรักษาธรรมก่อน เมื่อคนรักษาธรรมคนที่รักษาธรรมนั่นเอง

ที่ว่าคนรักษาธรรม ก็รักษาด้วยการประพฤติธรรมนั่นเอง เมื่อเรารักษาธรรมนั่นเอง

เหมือนกับว่า เมื่อทหารรักษาป้อมไว้ได้ ฐานที่มั่นก็รักษากองทักไว้ด้วยธรรมก็เช่นเดียวกัน และธรรมนั้นยิ่งใหญ่กว่าเรื่องกองทัพ ธรรมนั้นไม่ใช่แค่กองทหาร ไม่ใช่แค่กองทัพเท่านั้น แต่ธรรมเป็นของจริงในธรรมชาติ เป็นของแท้ที่ยั่งยืน เมื่อเรารักษาธรรม ธรรมก็รักษาเรา อันนี้เป็นหลักการใหญ่ตามคติแห่งธรรมดา

ฉะนั้น เราจึงมายึดเป็นหลักกันไว้ว่า จะต้องพากันรักษาธรรมถ้าบุคคลรักษาธรรม ธรรมก็รักษาบุคคลนั้น ถ้าสังคมรักษาธรรม ธรรมก็รักษาสังคมนั้นไว้

ธรรมข้อสำคัญที่จะทำให้เรารักษาธรรมได้ ก็คือความเข้มแข็งที่จะตั้งตัวมั่นอยู่ในธรรม

ความเข้มแข็งในการรักษาธรรมนี้ เป็นเรื่องใหญ่ยิ่ง ตามปกติความเข้มแข็งเป็นสิ่งที่เราต้องการ อย่างที่เวลานี้เราบอกว่าต้องการให้สังคมเข้มแข็ง แล้วเราจะให้ครอบครัวเข้มแข็ง ให้ชุมชนเข้มแข็ง ให้สังคมเข้มแข็งได้อย่างไร

ถ้าพูดให้สั้นที่สุด ก็บอกว่า ต้องให้ครอบครัว ให้ชุมชน ให้สังคมนั้น เข้มแข็งในธรรมนั่นเอง

หมายความว่า ต้องให้คนตั้งมั่นยืนหยัดอยู่ในธรรม ตั้งมั่นอยู่ในความดี ทำหน้าที่ของตน ๆ ให้ถูกต้อง ตั้งแต่ขยันหมั่นเพียรในการเล่าเรียนศึกษา ประกอบอาชีพการงาน ทำการทั้งปวงโดยสุจริต ดูแลรับผิดชอบต่อกัน เกื้อกูลกัน ถ้าเราตั้งมั่นอยู่ในธรรมได้ นั่นก็คือเรารักษาธรรม ซึ่งจะเป็นเหตุให้ธรรมรักษาเรา และรักษาสังคมของเรา

ความเข้มแข็งนี้ เป็นเรื่องที่จะต้องเน้นย้ำให้มาก เพราะมองไปแล้วสังคมไทยเวลานี้ออกอาการว่าอ่อนแอมาก

อ่อนแออย่างไร? ก็อ่อนแอไหลเรื่อยไตามกระแสต่าง ๆ มีกระแสอะไรมา ก็ไหลไป ๆ ผู้คนหล่นกระแสกันไปง่าย ๆ ไม่ว่าจะมีกระแสอะไรมา ก็ร่วงหล่นลงไป แล้วก็ถูกกระแสนั้นฉุดลากกระชากไป พัดพาเลื่อนลอยเคว้งคว้างไป ไร้จุดหมาย ไม่มีทิศทางของตัวเอง

สังคมที่ไม่มีความเข้มแข็งอย่างนี้ แม้เพียงจะตั้งตัวอยู่ ก็ไม่ไหว การที่ตะก้าวหน้าไปทำอะไรที่สร้างสรรค์ เป็นอันไม่ต้องพูดถึง เพราะฉะนั้นจึงต้องสร้างความเข้มแข็งขึ้นมาให้ได้

เวลานี้ จะต้องมาพูดกันในเรื่องที่จะทำให้คนในสังคมของเรามีความเข้มแข็ง

เพื่อให้สังคัมเข้มแข็ง ต้องเตือนกันว่า “ทุกคนต้องช่วยสังคมนี้ จะช่วยอย่างไร ทุกคนช่วยได้”

เริ่มต้น  อย่าคิดแต่จะได้จะเอา ต้องคิดให้บ้าง

เวลานี้คนมีความโน้นเอียงไปในทางที่คิดแต่จะได้จะเอา เวลามองอะไรก็นึกถึงแต่ตัวเองก่อนว่าจะได้อย่างไร ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนทิศทางความคิดบ้าง คือหันไปเน้นความคิดที่จะ “ให้”

การให้นั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องให้วัตถุ ถึงคนที่ไม่มีเงินไม่มีวัตถุจะให้ ก็ให้ได้ ให้อะไรได้? ให้กำลังก็ได้ ให้ความมีส่วนร่วมก็ได้ ให้ส่วนร่วมในการทำความดี ให้กำลังร่วมในการสร้างสรรค์

ให้กำลังนี้แหละสำคัญนัก บางครั้งมันสำคัญยิ่งกว่าการให้เงินทองสิ่งของวัตถุด้วยซ้ำ และทุกคนก็สร้างให้กำลังนั้นได้ ให้กำลังก็คือให้ความเข้มแข็งของเรา

เพียงแต่เรามีความเข้มแข็ง ไม่ยอมแก่ความเกียจคร้านความเฉื่อยชา ความเพลิดเพลินลุ่มหลงมัวเมา ความเอาแต่ใจตัว ไม่ยอมปล่อยตัวตล้อยไปตามแรงจูงในทางที่ผิด ไม่ยอมหล่นไหลไปตามกระแสตูมตาม เราก็ให้กำลังและให้ส่วนร่วมแก่สังคมนี้แล้ว เราก็ร่วมสร้างสรรค์สังคมนี้แล้ว

เพราะฉะนั้น “อย่ายอมแก่ความอ่อแอ” อะไรก็ตามที่จะทำให้อ่อนแอ เราไม่ยอม ตั้งใจไว้อย่างนี้ ไม่ว่ากระแสอะไรมา เราไม่ยอมไปตามความตื่นเต้น แต่ต้องใช้ปัญญาตรวจสอบก่อน เราจะไม่ยอมเป็นเหยื่อให้ใครมาปั่นกระแสได้ นี่คือตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

ที่ว่าไม่ประมาท ก็คือไม่ยอมปล่อยตัว ไม่ยอมแม้แต่จะเผลอไผลพลัดหล่นลงไปในกระแส กระแสอะไร?

กระแสที่ ๑ รวยลัด ลาภลอย นอนคอยโชค อันนี้เป็นกระแสใหญ่ไหลแรงที่ท่วมท้นขึ้นมาข้างในสังคมไทยปัจจุบัน ถ้ายอมปล่อยตัวให้ไหลไปในกระแสนี้แล้ว ก็น่าเป็นห่วงมาก เพราะนี่คือความอ่อนแออย่างยิ่ง

เนื้อแท้ของมันก็คือ ความหวังพึ่งพา ความอยากได้โดยไม่ต้องทำการไม่มีความเพียรพยายามที่จะทำอะไรให้สำเร็จด้วยตนเอง ลัทธิรอผลดลบันดาล นี้น่ากลัวมาก มันกำลังครอบงำนำพาสังคมไทย

สังคมที่เข้มแข็ง ก็มาจากแต่ละคนที่เข้มแข็ง เมื่อแต่ละคนมีความเพียรพยายามที่จะทำการให้สำเร็จด้วยความเพียรของตนเองก็แน่นอนว่าความเข้มแข็งจะเกิดขึ้นมา เมื่อตัวเองเข้มแข็งแล้ว เมื่อแต่ละคนเข้มแข็งแล้ว สังคมก็เข้มแข็ง

กระแสที่ ๑ นี้ เราต้องรู้ทัน และต้องไม่ยอมมัน อะไรก็ตามที่จะทำให้เราอ่อนแอ เราไม่ยอม ต้องตั้งใจเด็ดเดี่ยวว่า “ฉันจะไม่ยอมแก่ความอ่อนแอ”

แทรกนิดหนึ่ง ในกระแสที่ ๑ นั้น มีอีกกระแสหนึ่งซ่อนมาด้วยมันมาด้วยกัน ควบกันมาเลย ก็คือกระแสตื่นตูม ลือกันไป โจษจันกันแซ่ เดี๋ยวเกจิขลังองค์นั้น เดี๋ยวเกจิขลังองค์นี้ เดี๋ยวเทพนั่น เดี๋ยวเทพนี่ แม้กระทั่งต้นไม้ประหลาด สัตว์อวัยวะวิปริตนำโชค ข่าวตื่นตูมขึ้นมาก็ตื่นกันไป ล้วนแต่เรื่องของการหวังลาภลอยนอนคอยโชค เป็นกระแสความตื่นตูมที่พ่วมมากับกระแสลัทธิรอผลดลบันดาล

การตื่นตูมไปตามกระแสง่าย ๆ อันนี้น่ากลัวมาก แสดงว่าเป็นคนไม่หนักแน่น ไม่ใช้ปัญญา ไม่รู้จักพิจารณาเหตุผล

ต่อไป  กระแสที่ ๒ คือ บริโภคนิยม หรือกระแส ลัทธิเสพบริโภค ก็เป็นกระแสใหญ่ไหลแรงมากเช่นกัน แต่ไหลจากข้างนอกเข้ามาท่วมสังคมไทย

กระแสนี้มีอาการแสดงออกคือ ความเห็นแก่การเสพบริโภคเห็นแก่การบำรุงบำเรอปรนเปรอ ชอบโก้เก๋ฟุ้งเฟ้อ เอาแต่บันเทิง สนุกสนานเพลิดเพลินจนลุ่มหลงมัวเมาเนื้อแท้ของกระแสนี้ก็คือ ความเอาง่ายเข้าว่า หรือมักง่าย อยากจะได้ฝ่ายเดียว

ด้านหนึ่ง ก็เป็นที่มาของนิสัยเกียจคร้าน เอาแต่เสพ ไม่อยากทำ ไม่คิดจะสร้างสรรค์

อีกด้านหนึ่ง ก็เป็นที่มาของลัทธิเอาแต่ได้ เพราะเมื่อคนติดในบริโภคนิยม เอาแต่เสพบริโภค คอยหาทางบำรุงบำเรอตัวเอง เขาก็คิดเอาแต่ได้อย่างเดียว ไม่คิดจะให้ ถ้าแรงขึ้น ก็คิดจะแย่งชิงเบีดเบียน

ถ้าเราไม่ฝึกนิสัยที่คิดจะทำ และคิดจะให้ ก็จะมาช่วยแก้ไขไม่ให้ตกกระแสนี้ง่าย ๆ และจำทำให้เป็นคนเข้มแข็งขึ้นมา

กระแสที่ ๒ อย่างนี้เป็นปัญหาสำคัญมากสำหรับสังคมไทยในขณะนี้ เราจะต้องมาช่วยกันแก้ปัญหาเหล่านี้ ด้วยการสร้างความเข้มแข็งขึ้นมาการสร้างความเข้มแข็งขึ้นมานี้ ก็คือการที่จะตั้งมั่นยืนหยัดอยู่ได้ใรธรรมนั่นเอง หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า คือความเข้มแข็งที่จะรักษาธรรมไว้

ถ้าเราไม่เข้มแข็งที่จะรักษาธรรมแล้ว ธรรมก็รักษาเราเราได้อย่างไร เมื่อเรามีความเข้มแข็งที่จะรักษาธรรม ธรรมก็รักษาเราและรักษาสังคมของเรา สังคมก็จะเจริญจะปึกแผ่นมั่นคงต่อไป

วิธีฝึกความเข้มแข็งอย่างง่ายที่สุด ก็คือ ในเมื่อเราอยู่ในสังคมไทยที่เต็มไปด้วยกระแสจำพวกนี้ เราอยู่ท่ามกลางมัน เราก็เอากระแลเหล่านั้นแหละเป็น แบบฝึกหัดในการสร้างความเข้มแข็ง เสียเลย

พอกระแสพวกนี้ฮือมา เราก็ตั้งใจ และตั้งปัญญารับมันเลย

ด้านจิตใจ ก็ตั้งใจว่าเราไม่ยอมแก่ความอ่อนแอ เราจะไม่ยอมปล่อยตัวให้ถูกกระแสใด ๆ พัดพาไหลไป

ส่วนด้านปัญญา ก็ศึกษามันเลย ทั้งหาความรู้เรื่องราสของมันวิเคราะห์วิจัยให้รู้คุณโทษและทางแก้ไข เป็นต้น

ถ้าอย่างนี้ นอกจากมันจะทำอะไรเราไม่ได้ เราไม่ถูกมันกระทำไม่ตกเป็นเหยื่อแล้ว เราจะกลับเป็นผู้กระทำต่อมัน เราจะได้ประโยชน์จะพัฒนามากขึ้น ไม่เพียงเข้มแข็งเท่านั้น แต่จะเจริญสติเจริญปัญญาเป็นต้น ขึ้นมาได้มาก ๆ ด้วย

 

หมายเหตุ :

  • อักขรวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ

บรรณานุกรม :

  • “จะรักษาธรรม ต้องเข้มแข็งในความดี” ใน ธรรมาลัย ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ (กรุงเทพฯ: ปาปิรุส พับลิเคชั่น, 2550) หน้า 35-41.