
ที่มา : Anatta Theatre Troupe
ความเป็น ‘ เทศกาล ’ คืองานสร้างสรรค์ร่วมระหว่างผู้จัดกับชุมชน ประชาชน ในแต่ละพื้นที่ โดยมีทรัพยากรในแต่ละพื้นถิ่นเป็น ‘ โจทย์ตั้งต้น ’ บนมิติที่แตกต่างหลากหลายตามวัตถุประสงค์ “เทศกาลละครกรุงเทพ” ก็เช่นกัน เริ่มต้นจาก ประดิษฐ ประสาททอง ศิลปินศิลปาธร นำคนรักละครเวทีมารวมตัวกันครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2545 ที่ สวนสันติชัยปราการ ถนนพระอาทิตย์ กรุงเทพฯ ก่อนขยายฐานที่มั่นเข้าสู่ศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ โดยมี BACC หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เป็นบ้านหลักหนุนความรักความผูกพันระหว่างศิลปินผู้สร้างงานกับผู้ชมตามนโยบาย จนเติบโตอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา 23 ปีแล้ว นับเป็นหนึ่งในเทศกาลศิลปะการแสดงที่สำคัญของประเทศ เป็นหมุดหมายการสร้างงานของศิลปินทุกรุ่นได้มีพื้นที่เติบไต่ใกล้ชิดคนดู ผู้ชมได้มารับรู้ถึงการมีอยู่ของศิลปะการแสดงที่หลากหลายและสร้างสรรค์ แม้ในวันที่เศรษฐกิจย่ำแย่เกินเยียวยาอย่างนี้
‘ ความสด ’ คือเสน่ห์ของละครเวที ทุกปีจะมีศิลปินเข้าร่วมโครงการมากขึ้นจากสถิติเดิม ปีนี้ 2025 ก็เช่นกัน มีผลงานมากกว่า 70 การแสดง ชวนเลือกเสพศิลป์กินอาการใจให้อาหารสมอง จากศิลปินและกลุ่มละครทั่วประเทศ ครอบคลุมหลากหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็น ละครพูด (Drama), ละครหุ่น (Puppet Theatre), ละครใบ้ (Mime), ละครสำหรับเด็กและเยาวชน (Children & Youth Theatre), ละครมิวสิคัล (Musical Theatre), Dance and Physical Theatre, การอ่านบทละคร (Stage Reading)และยังมี ละครเวทีผสมสื่อต่างๆ , Stand-up comedy, ละครเพลงพื้นบ้าน, Baby theatre, Visual theatre และ อื่นๆ อีกมากมาย
นอกจากพื้นที่การแสดงหลัก หรือ Closed Stage ได้แก่
- หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) สตูดิโอ ชั้น 4 และ 401
- อุทยานการเรียนรู้ TK Park Central World ชั้น 8
- และพื้นที่โรงละครอิสระทั่วกรุงเทพฯ (Jim Thomson Art Space , ล้านนาอารีย์ ฯลฯ)
ปีนี้มีของขวัญพิเศษ เพราะเทศกาลฯ ได้รับการสนับสนุนจาก ศูนย์การค้า สามย่านมิตรทาวน์ เปิดพื้นที่โซน Sky Garden ชั้น 5 เป็น Open Space ให้ศิลปินได้มาเปิดหมวกโชว์ เชิญชวนผู้ชมมาร่วมสัมผัสศิลปะการแสดงดี ๆ บนดาดฟ้ากลางสวนแบบไม่มีค่าใช้จ่าย สมกับที่หลายคนเคยฝันไว้ อยากให้ที่นี่เป็น Art Space อีกแห่งของกรุงเทพฯ เพราะอยู่ในชั้นเดียวกันกับโรงภาพยนตร์ House Samyan ที่เป็น Art Theatre และมีพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมภายในอาคารอย่างสมบูรณ์แบบ ภายนอกถูกออกแบบเป็นที่นั่งยกพื้นไล่ระดับ ไว้สำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง แต่ยังไม่เคยมีการแสดงเกิดขึ้นจนวันนี้ เหมือนฝันเป็นจริงเกินโจทย์ แม้สนับสนุนเฉพาะส่วนกลางแจ้งทั้งสถานที่และทำเล ล้วนเกินฐานะของ ‘ น้องละคร ’ จะดูแลได้ด้วยตัวเอง จบจากงานเทศกาลละครกรุงเทพทางสามย่านฯ ดำริว่าจะจัดให้มีกิจกรรมการแสดงแบบนี้ต่อเนื่องไปในทุกวันเสาร์และอาทิตย์ “ ลานจันทร์สานฝันคนเมือง ” เกิดขึ้นจริงแล้ว (Farida Jiraphan เป็นผู้ตั้งชื่อนี้ไว้ในกิจกรรมที่สถาบันปรีดีฯ ปี 2541)

ที่มา : BACC : พระเจ้าช้างเผือก The King of the White Elephant
“ พระเจ้าช้างเผือก The King of the White Elephant ” เป็นละครเวทีผสมภาพยนตร์ที่ คณะละครอนัตตา สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อร่วมฉลองในโอกาสที่องค์การ UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนให้ภาพยนต์ “ พระเจ้าช้างเผือก ” (The King of the White Elephant) เป็น ‘ มรดกความทรงจำแห่งโลก ’ เมื่อ วันที่ 17 เมษายน 2568
“ พระเจ้าช้างเผือก ” เขียนบท และ อำนวยการสร้างโดยรัฐบุรุษ ปรีดี พนมยงค์ สร้างในปี พ.ศ. 2483 เป็นภาพยนตร์ 16 มม. เสียงในฟีล์มเรื่องแรกของไทย (ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งยังเหลืออยู่ในสภาพที่เกือบสมบูรณ์) เปิดตัวฉายครั้งแรกพร้อมกัน 3 เมือง เมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2484 กรุงเทพฯ นิวยอร์ก และสิงคโปร์ เพื่อสื่อสารกับโลกถึงจุดยืนของสยามในภาวะสงครามโลก ณ ขณะนั้น สอดแทรกประเด็นทางวัฒนธรรม และค่านิยม ที่สยามปรับตัวให้ทันกับกระแสโลกที่ถาโถม บทเพลงอันไพเราะจากภาพยนตร์ต้นฉบับบางส่วนถูกนำมาเรียงร้อย จัดวาง และมีบางเพลงที่ประพันธ์ขึ้นใหม่ ทาบทับกับบางส่วนบางตอนของภาพยนตร์ที่ยังคงรักษาเสน่ห์และพลังงานต้นฉบับไว้เฟรมต่อเฟรมตามเจตนารมณ์ของหอภาพยนตร์แห่งชาติ
จากเค้าโครงเรื่อง ว่าด้วยการจัดการความบาดหมางระหว่างสองอาณาจักรด้วยสันติวิธีเมื่อ พระเจ้าจักรา แห่งอโยธยาต้องจัดการความขัดแย้งกับ พระเจ้าหงสา ฝั่งพม่าที่ใช้ ‘ ช้างเผือก ’ เป็นชนวนเหตุ พระองค์จะใช้หลักสันติวิธีจัดการกับสงครามครั้งนี้อย่างไร คือสาระสำคัญของ “ พระเจ้าช้างเผือก ” และยังคงสื่อสารกับโลกได้อยู่หรือไม่… คือคำถามของยุคสมัยที่ยังคงทันสมัยอยู่เสมอ โดยเฉพาะปัจจุบัน ในวันที่ชาวโลกกำลังหวาดผวาว่า สงครามโลกครั้งที่ 3 อาจจะประทุขึ้นเพราะมหาอำนาจสองขั้วเป็นชนวน ล้วนสาเหตุเพราะแก่งแย่งทรัพยากรอย่างเกินพอดี ทั้งที่แบ่งปันกันได้หากยึดนโยบายสันติวิธี
ละครร้อง “ พระเจ้าช้างเผือก The King of the White Elephant ”
ศิลปิน : Anatta Theatre
ผู้กำกับ : ประดิษฐ ประสาททอง
ประเภท : ละครเวทีผสมภาพยนตร์
นักแสดงและทีมงาน :
นักแสดง
พระเจ้าจักรา - ธนารัฐ ชมพูวณิชกุล (เจ็ต)
สมุหมณเฑียร - เกรียงไกร ฟูเกษม (เกรียง)
เรณู - ธันยธร จันเสถียร (กีต้าร์)
พระเจ้าหงสา - ประดิษฐ ประสาททอง (ตั้ว)
เม็งยา - ดนย บุณทัศนกุล (ป๋อง)
นักดนตรี
โสภณัฐ ฤกษ์สมุทร (ฮอต)
ฝ่ายเสียง ลัดตะวัน มีมะโน ( แพตเนส )
ฝ่ายแสง นิสิตา ผดุงศักดิ์สิน (นุคึ)
Back stage พงศภัค พวงจันทร์ ( ฟิล์ม )
ประสานงาน
ดวงใจ หิรัญศรี (เพียว)
วันและเวลาทำการแสดง:
วันเสาร์ที่ 15 - วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน 2568
เวลา 16.00 - 17.00 น.
สถานที่: สตูดิโอ ชั้น 4 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC)

ที่มา : BACC : พระเจ้าช้างเผือก The King of the White Elephant
เมื่อ ‘ สันติวิธี ’ ถูกตั้งคำถาม… ถ้าสงครามเริ่มจากการตัดสินใจบนความทะยานอยากของผู้นำเพียงผู้เดียว แล้วใครควรรับผิดชอบต่อความสูญเสีย
ปฐมเหตุเกิดจากสภาพการณ์ความแตกแยกทางการเมืองภายในหมู่ผู้นำของ ‘ คณะราษฎร์ ’ ในประเทศไทยขณะนั้น และสถานการณ์ความขัดแย้งของมหาอำนาจระหว่างฝั่งตะวันออก (ญี่ปุ่น-เสือเอเซีย) กับตะวันตก (อังกฤษ) ที่กำลังส่อเค้าความรุนแรงก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง คือที่มาของการสร้าง “ พระเจ้าช้างเผือก ” ก่อนที่รัฐบาลไทยภายใต้การนำของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม จะประกาศทำสงครามกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2485
“ พระเจ้าช้างเผือก ” กำกับการแสดงโดย สันธ์ วสุธาร เพื่อประกาศอุดมการณ์ทางการเมือง ว่าด้วยสงครามและสันติภาพของท่านผู้สร้างในนามของ ‘ ประชาชาติไทย ’ นำโดยผู้มีวิสัยทัศน์ รัฐบุรุษ ปรีดี พนมยงค์ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง ‘ คณะราษฎร ’ ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เพื่อเป็นกระบอกเสียงแทนราษฎร วิงวอนต่อผู้มีอำนาจเหนือหัวให้เมตตาชาวประชา ด้วยกุศโลบายที่เป็นธรรมต่อมนุษย์ชาติเยี่ยง ‘ สุภาพบุรุษ ’ ที่ควรกระทำ เมื่อขณะดำเนินงานสร้างในปี 2483 ขณะที่ ปรีดี พนมยงค์ ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีอายุ 40 ปี ท่านเขียนถึงเหตุผลที่แต่งเรื่อง “ พระเจ้าช้างเผือก ” ไว้ในคำนำหนังสือซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ความว่า
“ นิยายเรื่อง “ พระเจ้าช้างเผือก ” มีพื้นเรื่องเดิมมาจากเสี้ยวหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทยอันเป็นที่รู้จักกันดีคือ การรุกรานของประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมักจะยกเรื่อง ‘ ช้างเผือก ’ จำนวนไม่กี่เชือกมาบังหน้า แต่แท้ที่จริงก็เพื่อขยายบารมีและอานุภาพส่วนตัว ความปราชัยของจ้าวผู้ครองนครที่เปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยาน กระหายอำนาจ ก้าวร้าวในการต่อสู้ตัวต่อตัวกับขุนศึกของไทยที่ยิ่งใหญ่และเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมอันสูงส่ง ชัยชนะอันเด็ดขาดของธรรมะเหนืออำนาจการปฏิบัติตามกรุณาธรรมและเมตตาธรรมอันปรากฏในคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งแม้กาลเวลาจะล่วงเลยมากว่าสองพันสี่ร้อยปี ก็ยังคงเป็นประดุจประทีปแห่งความกรุณา ที่ฉายแสงนำทางจิตใจของมนุษยชาติทั้งมวลให้หลุดพ้นจากความหายนะ นวนิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่สันติภาพ เพราะว่า ชัยชนะแห่งสันติภาพนี้ มิได้มีชื่อเสียงบรรลือนามน้อยไปกว่าชัยชนะแห่งสงครามแต่อย่างใด ” (ปัจจุบันเป็นกว่าสองพันห้าร้อยปีแล้ว)

ที่มา : BACC : พระเจ้าช้างเผือก The King of the White Elephant
ละครเวทีจับหัวใจหลักของเรื่องสองประเด็นชูเด่น เพราะเป็นเจตจำนงของการสร้างภาพยนตร์ “ พระเจ้าช้างเผือก ” เนื้อหาออกแบบให้เป็น ‘ เรื่องสั้นขนาดสั้น ’ รวมเวลา 45 นาที มีความกระชับ ปรับโฟกัสได้ชัดเจน เน้นส่งสารสำคัญ คือ
- ทั้งสองกษัตริย์ทรงปฏิบัติตามดำริของรัฐบุรุษเยี่ยงสุภาพบุรุษนักรบ ด้วยยุทธวิธีใหม่ “ ยุติความบาดหมางนี้ด้วยสันติวิธีเถิด อย่าให้ชีวิตใครต้องมาสูญเสียเพื่อสนองความทะยานส่วนตัวของเจ้าพี่ ที่ก่อสงครามนี้ขึ้นด้วยข้ออ้างเพียงช้างเชือกเดียว มันไม่ยุติธรรมที่จะเอาชีวิตราษฎรมาเสี่ยง ”
- เรณูกับพระเจ้าจักราคือคู่หมาย (ไม่ใช่เพิ่งถวายตัวเข้าเฝ้า) ก่อนจะมีพระราชดำริเรื่องธรรมเนียมอภิเษกของกษัตริย์ ทรงให้เกียรติสตรีตามประเพณีสากลของประเทศที่เจริญแล้วยึดถือปฏิบัติ “ ข้าพอจะเป็นสามีของเจ้าได้หรือยัง เราไปวางแผนงานอภิเษกด้วยกันเถิด… มันหมดสมัยที่จะมีใครเป็นเท้าหน้าหรือว่าเท้าหลังแล้วนะ เราสองคนรวมกันได้ 4 เท้า เท่ากับช้าง 4 เท้า ที่จะยืนเคียงข้างกันไป บนโลกที่มันเปลี่ยนไปในวันนี้ ไม่ใช่เหรอ…”
ละครออกแบบองค์ประกอบรวมพองามตามวิถี ‘ น้อยแต่มาก ’ ฉากใหญ่สำคัญในสนามรบถูกตัดจบบนจอ แต่พอฉากต่อสู้ตัดอยู่ยุทธหัตถีกันบนเวทีเพียง 2 องค์ เพื่อส่งประเด็น ‘ ตัวต่อตัว ’ ไม่ให้ไพร่พลต้องเดือดร้อนล้มตายหลายชีวิต การกล่าวถึงพระเจ้าหงสา ไม่ต้องมีฉากสมมุติเมืองพม่า เพียงสนทนากลางแสงเจาะเฉพาะส่วนข้างเวทีก็ดูดี พระราชวังไทยเพียงใช้โต๊ะกับก้าวอี้ตัวเล็กไม่ต้องอลังการ ก็สามารถสื่อสารความเป็นกษัตริย์ ด้วยเครื่องแต่งกายประณีตงามตามประเพณีดั้งเดิมได้

ที่มา : BACC : พระเจ้าช้างเผือก The King of the White Elephant
เพลงหลักในภาพยนตร์เรื่อง "พระเจ้าช้างเผือก" คือเพลง “ ศรีอยุธยา ” เรียบเรียงมาจากเพลงไทยโบราณ “ สายสมร ” กำกับเพลงและเรียบเรียงโดย ศาสตราจารย์พระเจนดุริยางค์ บทเพลงชุดนี้ประกอบด้วยทำนอง 3 เพลงคือ สายสมร , ขับไม้บัณเฑาะว์ และ อโยธยาคู่ฟ้า จากเดิมใช้ จะเข้ โดย ครูทองดี สุจริตกุล กับ ซออู้ โดย ครูฉลวย จิยะจันทน์ ในละครปรับให้ไพเราะร่วมสมัยด้วยเปียโนไฟฟ้าแบบสากล โดย ประดิษฐ ประสาททอง (ผู้กำกับ บทละคร) ประพันธ์เพิ่ม 2 เพลง คือ “ เพลงบุเหรง ” เสริมความสดใสให้บรรยากาศละครร้องเพลงรัก และ “ เพลงขับไม้บัณเฑาะว์ ” เพื่อให้เหมาะกับ “ พระเจ้าช้างเผือก ” ฉบับละครเวทีผสมภาพยนตร์ จึงเลือกแต่งเนื้อร้องใหม่ให้รับกับจังหวะ กลมกลืนกันไปในทุกส่วนที่สรรค์ใส่ให้ลงตัว
ยกเว้นแนวทางการแสดงของ สมุหมณเฑียร - เกรียงไกร ฟูเกษม (เกรียง) ที่ถูกออกแบบให้โดดเด้งออกมาจากภาพรวมซึ่งเกือบจะลงตัวคลาสสิคแล้วแต่สะดุด
เหมือนจิตรกรไทยสมัยเก่า ที่เฝ้าสลัดสีดอกไม้แสดสดใส่ทิวทัศน์ ท่ามกลางการลงสีที่ถูกคุมโทนไว้ดีมีเอกภาพแล้ว แต่เกรงจะจืดไปไม่เรียกความสนใจจึงต้องสร้าง ‘ จุดเด่น ’ จนกลายเป็น ‘ จุดด่าง ’ ไม่ต่างจากงานแนวละครนอก ละครพูด ของครูตั้ว ที่มีเอกลักษณ์ ‘ มุขตลกล้น ’ ซึ่งทุกคนยอมรับได้ แต่ “ พระเจ้าช้างเผือก ” ตัวละครตัวนี้ไม่มีความจำเป็นที่ต้องเล่นให้ตลกแบบ ‘ เกินจริง ’ ตามแนวเรื่องที่สืบเนื่องจากเนื้อหา ในภาพยนตร์ก็ไม่ได้ให้แสดงตลก แต่ผู้ชมรู้สึกขำเพราะเนื้อหาที่ท่าน สมุหมณเฑียร เพียรยัดเยียดพระมเหสีให้พระเจ้าจักรา 365 คน แต่กลับได้รับพระราชทานสิทธิ์นั้น เพราะพระองค์ไม่เห็นด้วยกับการที่ต้องสิ้นเปลืองเกินจำเป็น
บทละครยกประเพณีพระมหากษัตริย์สามารถมีพระมเหสีได้ 365 คน ขึ้นมาเป็นสาระสำคัญคู่กับงานบริหารจัดการบ้านเมือง ด้วยเข้าใจในเจตจำนงหลักของเรื่องที่ระบุไว้ชัดเจนเพราะ ‘ การบริหารตน ’ คือวินัยพื้นฐานสำคัญก่อนผันเป็นศักยภาพสูงสุด ประดุจบารมีจากภายใน พระมเหสีทุกพระองค์ต้องขึ้นตรงกับการบริหารทรัพสินส่วนพระมหากษัตริย์ และงบจะกระทบโดยตรงกับนโยบายการคลังของประเทศ (ปรีดี พนมยงค์ เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในปี พ.ศ. 2481-2484 และอีกครั้งในปี พ.ศ. 2489 ผลงานการคลังของท่านได้วางรากฐานการเงินและเศรษฐกิจของประเทศให้มีความเข้มแข็งหลายเรื่อง เช่น การจัดทำประมวลรัษฎากร, การจัดตั้งสำนักงานธนาคารชาติ, การจัดการทรัพย์สินของชาติในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง (การจัดซื้อทองคำเพื่อเป็นทุนสำรองของชาติ) ฯลฯ ซึ่งยังคงส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน

ที่มา : Anatta Theatre Troupe
“ การประกาศสงครามเมื่อวันที่ 25 มกราคม พุทธศักราช 2485 ต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา ตลอดทั้งการกระทำทั้งหลายซึ่งเป็นปรปักษ์ต่อสหประชาชาตินั้น เป็นการกระทำอันผิดจากเจตจำนงของประชาชนชาวไทย และฝ่าฝืนขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมายบ้านเมือง ”
ปรีดี พนมยงค์
ประกาศสันติภาพ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488

ที่มา : White Temple
“ White Temple ” (Experimental Theater)
การแสดงโดย ดุจดาว วัฒนปกรณ์ (ไทย) และ เฉินจุ่นยู (ไต้หวัน)
Artist : Dujdao Vadhanapakorn 泰國藝術家 & Chen Jun-Yu 臺灣藝術家 陳俊宇
Director : Dujdao Vadhanapakorn และ Chen Jun-Yu
Type : Experimental Theater
จัดแสดง 13 – 14 พฤศจิกายน 2025
เวลา 18:30 – 20:30 (ประตูเปิดเวลา 18:00)
ณ ห้องอีเวนท์ ชั้น 2 Jimthomson Art Center
“ White Temple ” เป็นส่วนหนึ่งในโปรแกรมการแสดงของ เทศกาลละครกรุงเทพ (Bangkok Theatre Festival 2025) ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและพื้นที่ทางกายภาพเพื่อสร้างโรงละครที่ผสมผสานพิธีกรรมทางศาสนาและเทคโนโลยี โดยมีศิลปินชาวไต้หวัน เฉิน จุนยู และศิลปินไทย ดุจดาว วัฒนปกรณ์ เป็นผู้แสดงเชิงทดลองผนวกกับปฏิสัมพันธ์กับผู้ชม แก่นแท้ของการแสดงคือ ‘ การสารภาพบาปแบบดิจิทัล ’ ผู้ชมจะถูกเชื้อเชิญให้ส่งข้อความเกี่ยวกับบาปและคำอธิษฐานของตนโดยไม่ระบุชื่อ ซึ่งจะถูกแปลงเป็นเสียงและสัญลักษณ์ให้เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรม ผู้เข้าร่วมจะกลายเป็นผู้ศรัทธา ผู้สารภาพบาป และพยานไปพร้อม ๆ กัน ผลงานนี้เชื่อมโยงสถานที่จัดแสดงจริง ๆ เข้ากับพื้นที่ออนไลน์ เชิญชวนผู้ชมให้ก้าวข้ามขีดจำกัดทางภูมิศาสตร์ ภาษา และวัฒนธรรม เพื่อเข้าร่วมพิธีกรรมของผู้อื่น (ผู้ไม่เปิดเผยตัวตน)
ระหว่างโลกดิจิทัลและโลกกายภาพ “ White Temple ” ได้สร้างวิหารแห่งการสารภาพบาปขึ้น ‘ วัดขาว ’ คือวัดดิจิทัลที่สร้างขึ้นระหว่าง Internet และสถานที่จริงในโรงละครทดลอง ผสานพิธีกรรมทางศาสนาเข้ากับการมีส่วนร่วมทางเทคโนโลยี ผู้ชมจะได้รับเชิญให้ส่ง ‘ บาป ’ ของตนเองโดยไม่ระบุชื่อ เพื่อมีส่วนร่วมในพิธีกรรมสารภาพบาป และการชดใช้บาปร่วมกันผ่านการส่งข้อความไปจากโทรศัพท์ ข้อความทั้งหมดจะปรากฎบนจอใหญ่ในผนัง ที่เป็นเสมือนแหล่งรวมพลังของผู้สารภาพ นี่คือการกระทำอันละเอียดอ่อนเพื่อโน้มน้าวใจตนเอง หรืออาจเป็นคำถามเกี่ยวกับ ‘ ความหมายของการพิพากษา ’ และการไถ่บาปร่วมกัน
“ White Temple ” เชิญชวนผู้ชมเข้าร่วมพิธีกรรมแห่งการสารภาพบาปร่วมกัน ที่ซึ่ง “ ความปรารถนา ศรัทธา และสายตา ” สอดประสานกัน ผ่านท่าทางที่มีร่างกายเป็นสื่อ เสียงกระซิบที่ใกล้ชิด และการปรากฏตัวทางกายภาพ การแสดงนี้สะท้อนความโหยหาของมนุษยชาติที่ต้องการไถ่บาปภายใต้ภาพฝันของความเป็นระเบียบ ในพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยความลับ เสียงนิรนามถูกอ่าน แปล และร้อยเรียงขึ้นใหม่ เสียงเหล่านั้นล่องลอยเข้าหาเราราวกับสัญญาณที่รอการตอบกลับ ชั่วขณะหนึ่งแห่งความเปราะบางและความเห็นอกเห็นใจ ทั้งที่อยู่ห่างไกลและใกล้ชิด ที่นี่ … เสียงและสัญลักษณ์ซึ่งหล่อหลอมจากเรื่องเล่าร่วมกัน จะค่อย ๆ ละลายกลืนกลายไปเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรม ที่ผู้ชมสามารถเข้าถึงได้ทั้งสี่ทิศอย่างเท่าเทียม

ที่มา : White Temple : Dujdao Vadhanapakorn
Iceberg Theory : Humanimal - SHHH - White Temple
การพัฒนางานการแสดงของ ดุจดาว วัฒนปกรณ์ (Dujdao Vadhanapakorn)และ เฉิน จุนยู (Chen Jun-Yu) แสดงให้เห็นกระบวนการเยียวยาด้วยศิลปะการแสดงที่ใช้แนวคิดจาก ‘ ทฤษฎีภูเขาน้ำแข็ง ’ (Iceberg Theory) ของ David McClleland (1974) เป็นฐานในการวิเคราะห์พฤติกรรมของมนุษย์ ที่แสดงออกและตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ ซึ่งแบ่งออกเป็นสองส่วน
- คือส่วนที่คนอื่นมองเห็นได้ภายนอก ซึ่งผ่านการขัดเกลา (ยอดภูเขาน้ำแข็ง ที่ประกอบด้วย ทักษะ (Skills) และ องค์รวมความรู้ (Knowledge)
- และส่วนที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำและเบื้องลึก (ฐานภูเขาน้ำแข็ง) ส่วนที่ซ่อนอยู่เบื้องล่างมีขนาดใหญ่ มีอิทธิพลต่อชีวิตมากกว่า และเป็นความจริงกว่า ซึ่งถูกยอดภูเขากดทับไว้ภายใต้บรรทัดฐานและระเบียบการของสังคม ที่ประกอบไปด้วย บทบาททางสังคม (Social Role) กับภาพลักษณ์ภายใน (Self Image) และ อุปนิสัย (Trait) และ แรงขับภายใน (Motive) เร้นลึก
ความหมายในรายละเอียดของการแสดงบอกเจตจำนงของ ‘ การปลดปล่อย ’ เพื่อ ‘ ความสงบภายใน ’ ของปัจเจก อันเป็นฐานรากสำคัญที่จะก่อให้เกิด ‘ สันติแท้จริง ’ ซึ่งจำเป็นต่อการอยู่ร่วมของมวลมนุษย์ที่มีธรรมชาติเป็น ‘ สัตว์สังคม ’ ทุกชาติพันธุ์
สวรรค์แห่งใหม่ ศาสนาหรือมิตรภาพ? … การสารภาพบาปก่อเกิดใน “ White Temple ” (2025) ดุจดาวรับบทบาทหลากหลายในฐานะนักบวช นักจิตบำบัด และนักแสดง เปลี่ยนแปลงและขยายขอบเขตความสัมพันธ์ที่เธอเคยสำรวจใน “ Humanimal ” (2019) ผ่านการกระซิบกระซาบอย่างใกล้ชิดกับผู้ชม “ White Temple ” สร้างพื้นที่สำหรับการรับฟังและปลดปล่อย เปลี่ยนการสำรวจทางจิตวิทยาให้กลายเป็นพิธีกรรมแห่งการสารภาพบาป สร้างอาณาจักรที่เป็นทั้งส่วนจริงลึกสุดภายในจุด ‘ ตัวตน ’ และส่วนบนที่ผ่านการขัดเกลา (ยอดภูเขาน้ำแข็ง)
“ Humanimal ” (2019) เป็นการแสดงในรูปแบบของการสัมภาษณ์ที่เผยให้เห็นสัญชาตญาณดั้งเดิม และกลไกการป้องกันตนเองของมนุษย์ ทำให้ผู้ชมได้เห็นว่าศีลธรรม จริยธรรม และบรรทัดฐานทางสังคมกดขี่ความปรารถนาและสัญชาติญาณที่ลึกที่สุดของพวกเขาอย่างไร เผยให้เห็นความตึงเครียดระหว่างตัวตนที่ถูกขัดเกลาคัดสรรมาอย่างดีซึ่งปรากฏต่อโลก กับตัวตนที่เปราะบาง และยังไม่ผ่านการขัดเกลาฐานเบื้องล่าง

ที่มา : White Temple : Dujdao Vadhanapakorn & Chen Jun-Yu
คุณมีบางอย่างที่ไม่กล้าพูดบ้างไหม? การสารภาพเริ่มต้นขึ้น …
เขียนคำสารภาพได้ที่ : White Temple www.whitetemple2025.com
“ White Temple ” (2025) นำเสนอท่าทางเชิงสัญลักษณ์บางส่วนจากผลงานก่อนหน้านี้ของ Chen Jun-Yu อย่าง “ SHHH ” (2024) ซึ่งอารมณ์ส่วนตัวถูกทำให้เป็นรูปธรรมผ่านการเขียนและการละทิ้งอย่างเรียบง่าย ในงานนี้ถือเป็นการขยายและนำเสนอบริบทใหม่ให้กับการสำรวจความเงียบ การระงับ และการปลดปล่อยของศิลปิน ใน “ SHHH ” (2024) มีปากกาลูกลื่น, กระดาษถ่ายเอกสารวีนัส, ถังขยะ (ขนาดแปรผัน) นำเสนอท่าทางที่เป็นส่วนตัวที่สุดของศิลปิน การเขียนความคิดที่ไม่อาจบรรยาย และความขัดแย้งภายในลงบนกระดาษธรรมดา จากนั้นขยำและทิ้งลงถังขยะ โน้ตแต่ละอันที่ถูกทิ้งกลายเป็นร่องรอยแห่งการสารภาพอย่างเงียบ ๆ เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ และการต่อสู้ที่ไม่อาจเอ่ยออกมาของศิลปิน
“ White Temple ” Intro ด้วย ‘ วัตรปฏิบัติ ’ ของ ดุจดาว สัญลักษณ์ของนักบวช เดินวนรอบเวทีด้วยลีลาปฏิบัติธรรมของผู้ทรงศีล สร้างบรรยากาศด้วยเสียงดนตรีที่ชวนให้สำรวม แสดงความเคารพต่อเขตพัทธสีมาบริสุทธิ์เรืองรอง วนรอบที่สามมีรับบริจาคกับผู้ชมรายรอบเวที ก่อนขึ้นไปนั่งรับบริจาคต่อบนเก้าอี้ โดยมี เฉิน จุนยู เป็นผู้สังเกตการณ์และ live ขึ้นบนจอเล็กที่อยู่ตรงข้ามกับจอใหญ่ เสมือนสายตาพระเจ้าที่จับจ้องการกระทำ เขาส่งรายงานสดตลอดเวลาตั้งแต่ต้นจนจบการแสดง และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ชม ชวนอ่านข้อความสารภาพบาปที่ถูกส่งลงมาจากคนในที่สูง ชวนผู้ชมแสดงความคิดเห็นผ่านโทรศัพท์ขึ้นบนจอใหญ่ ก่อนข้อความถูกเปลี่ยนเป็นเสียง noise ในภายหลัง มันคือ voice ที่ร่วมกันเปล่งเพื่อปลดปล่อยจากภายใน แม้อาจกลายเป็นเพียงเสียงรบกวน แต่กระบวนการเยียวยาได้เกิดขึ้นแล้ว
หลังได้รับบริจาคเธอขึ้นนั่งบนเก้าอี้สูงใต้ร่มใหญ่ (ถูกออกแบบเหมือนที่นั่งกรรมการข้างสนามกีฬา) สัญลักษณ์บอกสถานะที่สถาปนาสมมุติให้ ‘ เหนือกว่า ’ เสมือน ‘ ผู้กำหนดชะตากรรม ’ โดยมี ‘ กรรม ’ (วัตรปฏิบัติ) เป็น ‘ ผู้กำหนดโชคชะตา ’ อย่างแท้จริง คือสิ่งนำมาซึ่ง ‘ คำสารภาพบาป ’ ทั้งปวง (ข้อความที่เขียนในกระดาษเกลื่อนกลาดพื้นด้านล่าง) การแสดงเต็มด้วยสัญลักษณ์เชิงลึกที่ชัดเจนต่อการสื่อสาร แม้ผู้ทรงศีลกับปัจจัยที่รับมาจากการบริจาค ก็เป็นเพียงกิเลสกองโตโชว์ภายนอกบอกแค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง ที่ดูแกร่ง ภายใต้ท่วงท่าสง่า สงบ …

ที่มา : White Temple : Dujdao Vadhanapakorn & Chen Jun-Yu
ศาสนาหรือความสัมพันธ์?
สถานศักดิ์สิทธิ์แห่งใหม่เริ่มต้นขึ้นแล้ว
พิธีสารภาพ…ได้เริ่มขึ้น
ใน “ White Temple ” (2025) ดุจดาวสวมบทบาทหลายมิติ ทั้งนักบวช นักจิตบำบัด และศิลปินการแสดง บทบาทเหล่านี้ได้ขยายและเปลี่ยนรูปแบบความสัมพันธ์ที่เธอเคยสำรวจไว้ใน “Humanimal” (2019) ผ่านเสียงกระซิบที่แผ่วเบาและใกล้ชิดกับผู้ชม “ White Temple ” สร้างพื้นที่แห่งการรับฟังและการปลดปล่อย เปลี่ยนการสำรวจทางจิตวิทยาให้กลายเป็นพิธีกรรมของการสารภาพ และก่อรูปเป็นอาณาบริเวณที่ทั้งเป็นส่วนตัว และที่ถูกสื่อสารผ่านศิลปะการแสดง
“ Humanimal ” (2019) เป็นการแสดงในรูปแบบ “ บทสัมภาษณ์ ” ที่เผยให้เป็นสัญชาตญาณดิบและกลไกการป้องกันตัวของมนุษย์ เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้เห็นว่าศีลธรรม จริยธรรม และบรรทัดฐานสังคมกดทับความปรารถนาและสัญชาตญาณลึก ๆ อย่างไร พร้อมทั้งเผยความตึงเครียดระหว่าง “ตัวตนที่ถูกตกแต่งเพื่อให้โลกมองเห็น” กับ “ ตัวตนดิบ เปราะบาง และไม่ได้ขัดเกลา ” ที่ซ่อนอยู่ข้างใน
“ White Temple” (2025) ได้ย้อนกลับไปใช้ภาษาสัญลักษณ์จากผลงานก่อนหน้านี้ของ เฉิน จุนยู (Chen Jun-Yu) อย่างใน “ SHHH ” (2024) ที่อารมณ์ส่วนตัวถูกทำให้อยู่ในรูปของวัตถุผ่าน ‘ การเขียนและทิ้งกระดาษ ’ ซึ่งผลงานนี้ทำหน้าที่เป็นการขยายและตีความใหม่ในการสำรวจ ‘ ความเงียบ การกดทับ และการปลดปล่อย ’ ของศิลปิน “ SHHH ” (2024) แสดงท่าทางส่วนตัวที่สุดของศิลปิน ผ่านการเขียนความคิดที่ไม่อาจพูดได้ และความขัดแย้งภายในลงบนกระดาษ ก่อนจะขยำและทิ้งลงถังขยะ กระดาษแต่ละแผ่นคือร่องรอยของ ‘ คำสารภาพที่ไร้เสียง ’ เปิดพื้นที่ให้ผู้ชมได้เห็นอารมณ์ที่ถูกซ่อนไว้ และการต่อสู้ภายในที่ไม่เคยถูกเปล่งออกมา

ที่มา : White Temple : Dujdao Vadhanapakorn & Chen Jun-Yu
คุณเอง…มีบางอย่างที่ไม่กล้าพูดออกมาหรือไม่?
เฉิน จุนยู live และสนทนากับผู้ชมวันแรกใช้ภาษาจีนทั้งหมด ซึ่งส่งผลต่อการรับรู้ที่อาจจะไม่ค่อยดีนัก ในวันที่สองมีการปรับรูปแบบการแสดงโดยเปลี่ยนมาใช้ภาษาอังกฤษแทน ผู้ชมตอบรับมีส่วนร่วมมากขึ้น เฉิน จุนยู เสมือนผู้แปลสารสัญลักษณ์และขยายทุกรายละเอียดให้ชัดเจนขึ้น การปฏิสัมพันธ์ของเขากับผู้ชมจึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจตอบคำสารภาพความจริงเหล่านั้นเป็นสำคัญ เขาจัดการอย่างไร?
เฉิน จุนยู : โดยพื้นฐานแล้วตอนที่ผมตอบกลับ ผมรู้สึกว่าผมมักจะสวมบทเป็น “ผู้ไลฟ์สด” มากกว่า คือจะตอบในมุมมองส่วนตัวของตัวเองเป็นหลัก เดิมทีเราคิดว่าอยากให้การออกแบบการแสดงมีมุมมองและความคิดเห็นที่หลากหลายขึ้น เช่น Dujdao จะใช้วิธีที่อ่อนโยนในการตั้งคำถาม แต่สำหรับผมอาจจะตอบแบบเย็นชา หรือบางครั้งก็พูดเล่นล้อไปเลย ดังนั้นผมคิดว่าวิธีที่ผมตอบกลับ และวิธีที่ Dujdao รับหรือแปรความหมาย มันค่อนข้างเหมือนเป็น ‘ สองระบบที่ต่างกัน’ ในการตอบสนองต่อเรื่องการสารภาพบาปครั้งนี้
วัตถุประสงค์ของการให้ผู้ชมมาสารภาพคืออะไร? คุณต้องการให้พวกเขาเชื่ออะไรบางอย่างหรือมีเจตนาอย่างไร?
Chris : จริง ๆ แล้ว เราตั้งใจทำ ‘ วัด ’ ขึ้นมาอย่างจริงจังมาก และผู้ชมก็เข้ามาในพื้นที่นั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ตรงกับภาพในจินตนาการของผม ผมคาดหวังว่าจะได้เห็น ‘ วัดจริง ๆ ’ มากกว่า แต่ตอนนี้พวกคุณก็ได้ให้คำสารภาพกับเราแล้วใช่ไหม? ในแบบฟอร์ม คุณเขียนคำสารภาพของคุณลงไป—แล้วคุณคิดว่ามันคุ้มค่าหรือไม่? มันคือการชำระล้างจริง ๆ หรือเปล่า? ดังนั้นเราจึงพยายามตั้งคำถามบางอย่างในลักษณะนี้ว่า คำสารภาพของคุณ ‘ จริง ’ แค่ไหน? มันเป็นการท้าทายความคิดภายในของแต่ละคนพอสมควรเลยครับ
คำถามจากผู้ชมเกี่ยวกับเสียงในตอนท้ายการแสดง คำพูดพวกนั้นมาจากไหน? เพราะรู้สึกว่ามันมีความหมายมาก เต็มไปด้วยความรู้สึก และถึงแม้มันจะ กระจัดกระจาย แต่ก็ยังรวมกันเป็นหนึ่งเดียว somehow และทำให้มีผลต่อความคิดว่า เหมือนเป็นการสรุปปิดท้ายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องนี้อย่างสมบูรณ์
Chris : ใช่ครับ และผมได้พูดไปแล้วว่าเราใช้ AI เยอะมากในโปรแกรมนี้ เราใช้ AI แปลสิ่งที่ Jun-Yu พูด แล้วฉายขึ้นบนผนัง และเรายังเก็บทุกข้อความถ้อยคำเหล่านั้นจากผู้ชม แล้วนำไปสร้างเป็นเพลงด้วย AI เพื่อสรุปภาพรวมทั้งหมด เพราะผมคิดว่า… เอาจริง ๆ แล้ว ทุกวันนี้ทุกคนก็อยู่ร่วมกับ AI อยู่แล้ว เราเลยอยากเชื่อมประเด็นนี้เข้าไปด้วย ถามว่า เรามอง AI ยังไง? เราเชื่อมันไหม? ผมคิดว่าทุกคนคงมีคำตอบของตัวเอง สำหรับผม… ผมคิดว่า AI ทำลายทุกอย่าง (หัวเราะเบา ๆ)
เฉิน จุนยู : สำหรับผม เพลงที่มาจากบทสนทนาทั้งหมดที่ถูกบันทึกไว้ระหว่างไลฟ์ ซึ่งเรานำมารวมกันในช่วงท้าย ที่สุดมันเหมือนกับการนำถ้อยคำทั้งหมดที่ผู้คนสารภาพร่วมกันในวันนี้มาฉีกออกเป็นชิ้น ๆ แล้วจัดเรียงใหม่อีกครั้ง คล้ายกับตอนที่ฉีกกระดาษในตอนท้าย เสียงที่ได้จึงเหมือน ‘ เศษชิ้นส่วนของภาษา ’ ที่ถูกสลายออก แล้วนำมาประกอบร่างใหม่เป็นผลงานชิ้นหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเป็นเหมือนสัญญาณรบกวนหรือเสียงรบกวน(noise) ที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่จากเศษส่วนเหล่านั้น
เสียงที่เปิดอยู่ แนวคิดเบื้องหลังคืออะไร?
Jun Yu : บางครั้งมันเหมือนเสียงกดโทรศัพท์ บางครั้งก็เหมือนเสียง noise
สิ่งที่หวังให้ผู้ชมได้ติดตัวกลับไปหลังจบการแสดง
Dudjao : จงซื่อสัตย์กับตัวเอง และเดินตามความปรารถนาของตัวเองค่ะ
Jun Yu : สำหรับผม… ก็แค่กลับบ้าน ไม่ต้องรีบ ให้เวลากับตัวเองด้วยครับ

ที่มา : White Temple : Chen Jun-Yu

การผจญภัยของ “ ไฉไล ” ในรอบ 25 ปี
บันทึกของกั๊ก - Kuck’s Journey
ประสบการณ์การเล่นละครคนเดียว
เรื่อง “ ไฉไลไปรบ ” Chailai goes to war : Solo performance
(ฉบับปี พ.ศ. 2543 / ค.ศ. 2000)
โดย วรรณศักดิ์ ศิริหล้า Wannasak Sirilar
เป็นการกลับมาร่วมงานกับมิตรเก่า หอศิลป์ตาดู ซึ่งเคยมอบโอกาสให้กั๊กกำกับละครเรื่องแรกของ หอศิลป์ตาดู ในละครเพลง เรื่อง “ เมืองของหนู ” ( พ.ศ. 2541 / ค.ศ. 1998 ) จากการแนะนำของพี่ พร อึ๊ง ให้กั๊กได้พบกับพี่นา คุณลักขณา คุนาวิ ชยานนท์ ผู้อำนวยการหอศิลป์ตาดูในครั้งนั้น การแสดงเดี่ยวของกั๊ก ปี 2544 สนับสนุนโดย หอศิลป์ตาดู ร่วมกับ ‘ ดอกไม้การบันเทิง ’ จัดแสดง ณ หอศิลป์ตาดู รอยัลซิตี้ อเวนิว เมื่อ วันที่ 9-11,16-18 , 23-25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 ( ค.ศ 2001 )
ที่มาของบทการแสดงเดี่ยวเรื่อง “ ไฉไลไปรบ ”
เพราะความที่กั๊กอยากทำละครประวัติศาสตร์ อยากมีข้อมูลจริง
กั๊กวางโครงเรื่องคร่าว ๆ ไว้ แล้วหาคนมาช่วยเหลือ มาทำข้อมูล
พี่เอ๋ อดินันท์ พรหมพันธ์ใจ อาสามาทำในส่วนนี้ และอาสาจะรับทำบทในร่างแรกให้ กั๊กยินดีปรีดา เพราะเป็นโอกาสดีที่จะได้ลองเล่นละครคนเดียว จากบทที่คนอื่นเป็นผู้เขียน … หลังจากอ่านและจินตนาการภาพจากบท ความหวาดกลัวว่าจะยุ่งยากในการเล่นก่อเค้าในความคิด…
… แม้จะเกิดเยี่ยงชาย ก็ขอตายเยี่ยงหญิง ...
ในช่วงสงครามก่อนกรุงศรีอยุธยาจะเสียแก่พม่า ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2309 ดอกรัก เด็กหนุ่มกำพร้าหนีตายจากสงคราม ถูกจับและถูกกล่าวหาว่าเป็นไส้ศึกให้พม่า ดอกรักต้องพิสูจน์ตนเองด้วยการลอบเข้าไปนำข่าวการเดินทัพของพม่า มาจากค่ายของข้าศึก … ในค่ายพม่า ดอกรัก ใช้จริตมารยาในคราบของ ‘ ไฉไล ’ นางเชลยผู้เลอโฉมล่อลวงเอาความลับกลับมาแจ้งแก่กรุงศรีอยุธยา เป็นวีรกรรมอันหาญกล้า ที่แม้แต่ประวัติศาสตร์ก็ไม่กล้าจะบันทึก
การเล่าประวัติศาสตร์ด้วยคนคนเดียว มันเครียด และข้อมูลจะผิดพลาดไม่ได้ ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงก็เป็นสิ่งที่กั๊กร้องขอจากพี่เอ๋ กั๊กกับพี่เอ๋แก้ไขบทกันอีกหลายรอบ พี่โจ ชนานนท์ ฉิมมาวัลย์ และพี่แจง สาวิตรี วงษ์เกตุใจ เข้ามาสมทบ ทั้งหมดดูจะต้องอดทนกับกั๊กอย่างสูง เพราะกั๊กต้องคอยตรวจตราตลอดเวลาว่า เขียนอย่างนี้กั๊กเล่นได้มั้ย? … อย่างนี้ล่ะ? อยากลองเล่นมั้ย? … ความหวาดกลัวของกั๊กทำให้เกิดความอลม่านกับเพื่อน ๆ ที่เข้ามาช่วยเขียนบท ทั้งที่กั๊กบอกกับทุกคนว่า “ กั๊กอยากเล่นละครคนเดียวจากการเขียนบทละครโดยคนอื่น ” เราถกเถียง พูดคุยกันไม่หยุดเมื่อมีโอกาส ไม่ว่าจะร้านเหล้า ร้านอาหาร หน้าโรงหนัง หรือในร้าน 13 เหรียญ ที่เปิดตลอดทั้งวันทั้งคืนในตอนนั้น ในบทละครที่คิดว่าร่างสุดท้ายแล้ว กั๊กนำบทมาซ้อม ลองหาทิศทางการนำเสนอ และหาวิธีเล่นให้สนุก แล้วกั๊กก็งงอยู่กับมันเกือบสองอาทิตย์

(อะไร … ทำไมกั๊กต้องมาอดทนกับเรื่องพวกนี้ …)
ตัวละครทั้งหลายไม่สามารถจะตัดออกได้ แม้จะอ้อนวอนพี่เอ๋อยู่หลายสิบครั้ง เหตุเพราะต้องเล่าภูมิหลังตัวละครว่าเป็นใครมาจากไหน และความสำคัญในการปรากฏตัวของตัวละครในสถานการณ์ต่าง ๆ มีผลทำให้เรื่องดำเนินต่อไป อีกทั้งตัวกั๊กเองยังวางเงื่อนไขว่าตัวละครที่กั๊กจะเล่นทั้งหลาย ขอให้มีลักษณะที่แตกต่างกัน (แล้วก็สมใจนึก)
ตัวละครที่กั๊กต้องสวมบทบาทแสดงเดี่ยว
- แม่ท้องแก่
- ยายเคี้ยวหมาก
- ดอกรัก หนุ่มน้อยกำยำ ร่างกายสมชายชาตรี
- นางไฉไล สุดสวย
ตัวละครที่กั๊กต้องกล่าวถึง
- ท่านเจ้าคุณ
- พี่มังอิดอ
- เชลยไทย
- ทหารคนอื่น ๆ
และแล้ว … ในระหว่างการซ้อมบทสนทนาถูกแก้ไขโยกย้ายไปมา และจัดวางให้เกิดช่องว่าง เพื่อให้กั๊กได้มีโอกาสด้นสด เพราะทีมงานทั้งหลายคิดว่านั่นเป็นเสน่ห์ในละครที่กั๊กแสดง เพราะมันสนุก ซึ่งความจริงก็คือ..... แทบจะสติแตก.....
การด้นสด สำหรับกั๊ก ถือว่าไม่ใช่จู่ ๆ ก็ทำได้ เป็นเรื่องของการ ใช้ทักษะ การสังเกต การเลือกจังหวะเล่น ความไว้วางใจระหว่างผู้ชมกับตัวละคร และมารยาท ซึ่งทุกครั้งที่ผ่านมาก็ใช่ว่าจะสำเร็จดังวัตถุประสงค์เสมอ มีทั้งผู้ชมหลงรัก และหวาดกลัวกั๊ก (ซึ่งน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า ฮ่าๆๆๆ แต่เราต้องทำ ทำ ทำ ทำ ทำ เพื่อที่จะมั่นใจได้ว่า เราสามารถปรับเปลี่ยน เรียบเรียง เพื่อที่จะควบคุมมันไปในทิศทางที่เราต้องการ ซึ่งในชีวิตจริงก็คงเป็นเช่นนั้น )
เมื่อเรานำเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์มารวมกับเรื่องที่เราโมเมขึ้น เราหาเหตุและผลมารองรับเพราะต้องการสร้างตัวละครที่เป็นวีระบุรุษ และเป็นไปตามความคิดรวบยอดที่เราอยากนำเสนอ ดังสโลแกนที่ว่า ...แม้จะเกิดเยี่ยงชาย ก็ขอตายเยี่ยงหญิง... อีกทั้ง ...ในสนามรบยังมีเสียงหัวเราะ... เพราะกั๊กจะได้ไม่รู้สึกเหงาเมื่อยืนอยู่บนเวทีคนเดียว ผลก็คือ บทถูกปรับเปลี่ยนไปอีกไม่รู้กี่ครั้งจนถึงวันแสดง ( และคงถูกปรับเปลี่ยนอีกหลาย ๆ ครั้งเมื่อย้ายวิกแสดง )

การแสดงละครเล่นคนเดียว เรื่อง “ ไฉไลไปรบ ” แตกต่างจากการเล่นคนเดียวใน เรื่อง “ คืนที่คีอานูรีฟจูบฉัน ” ซึ่งมีวิธีการนำเสนอด้วยรูปแบบที่มีตัวละครมาเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้ฟังและแสดงให้ดูด้วย แต่สำหรับการเล่นละครคนเดียวเรื่อง “ ไฉไลไปรบ ” กั๊กอยากให้ผู้ชมติดตามดูเหตุการณ์ สนุกอยู่กับเรื่องราว เหมือนว่าร่วมผจญภัยไปกับตัวละคร มันใช้สติและพลังมาก สติมาจากการซ้อม ซ้อม ซ้อม ซ้อมกับทุก ๆ อย่าง ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม อุปกรณ์ ฉาก เพลง แสง และเทคนิคอื่นๆจนมั่นใจ ‘ พลัง ’ ก็มาจากการซ้อม ซ้อม ซ้อม ออกกำลังกาย ทั้งวิ่ง ทั้งปีนป่าย ตีลังกา คงไม่พอ กั๊กยังบ้าพลังและเด็ดเดี่ยวไปกว่านั้น ดันทำเก๋ด้วยการวางเงื่อนไขต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอีก เช่น
- อยากจะเปลี่ยนเป็นตัวละครอื่น ๆ แบบไม่ยุ่งยาก ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมฉากและอุปกรณ์การแสดง
- อยากมีของกิ๊บเก๋ไม่เข้าพวกผิดที่ผิดทาง แต่เมื่อเกิดขึ้นต้องเป็นที่จดจำของผู้ชมและเป็นเรื่องควรอย่างยิ่งที่จะนำมาใช้ แล้วสกู๊ตเตอร์ก็ถูกนำมาใช้ ในฉากนำทัพออกรบของไฉไล ซึ่งเราพบระหว่างการซ้อม และเป็นสิ่งที่อยู่ที่หอศิลป์อยู่ แล้ว (หากกั๊กจำไม่ผิดนะครับทุกคน หรือว่ากั๊กซื้อที่ซุปเปอร์มาเก็ตแถวนั้น? )
- กั๊กจะสร้างความเชื่อและให้ผู้ชมคล้อยตามในฉากดรามาต่าง ๆ ซึ่งเป็นดรามาบนตลกร้าย นั่นหมายความว่ากั๊กต้องสมาธิเป็นเลิศ
- กั๊กอยากมีฉากละครที่ดูเหมือนเป็นนิทรรศการงานศิลปะ นำมาใช้ในการแสดงได้จริง ต้องลดทอนความยุ่งยาก (และเราก็ได้รับเกียรติจากคุณครูพี่ป็อบ อาจารย์สุธี คุณาวิชยานนท์ มาออกแบบฉากสุดเก๋ให้ ด้วยความรักและเอ็นดูที่คุณครูพี่ป็อบมีต่อเรา ซึ่งครูป็อบเป็นหวานใจของพี่นา แล้วพี่นาก็เป็นผู้อำนวยการหอศิลป์ตาดูในครั้งนั้น และยังเป็นผู้อำนวยการสร้างละครเรื่องนี้ เป็นความโชคดีที่สุดของกั๊ก) ไม้ยูคาที่ใช้ค้ำยันก่อสร้าง จึงถูกใช้งานอย่างสวยงามคุ้มประโยชน์ และปรับเปลี่ยนเป็นนู่นนี่นั่นตามเรื่อง เช่น จากแพ กลายเป็นเจ็ทสกี ฮ่าๆๆ
- กั๊กอยากให้เห็นว่า “ ไฉไลไปรบ ” ถูกสร้างและออกแบบให้มาแสดง ณ หอศิลป์แห่งนี้ จึงเป็นธรรมดาที่ต้องปีนป่ายขื่อคาแบบไม่เลิกรา
- เมื่อกั๊กไปเปิดการแสดงที่อื่น แน่นอน การปรับใช้วิธีการแสดงให้เข้ากับสถานที่จึงเป็นเรื่องสำคัญกว่าการหาที่ปีน
เพื่อนร่วมงานผู้เป็นกัลยาณมิตรของกั๊กเสมอมา
คุมทัพ / อำนวยการผลิต โดย ลักขณา คุณาวิชชานนท์ และ พร อึ๊ง
จัดกระบวนทัพ / ดูแลการผลิต โดย ชนนนท์ ฉิมมาวัลย์ และ อัศรินทร์ นนทิหทัย
ผังทัพและวางแผน / บท โดย อดินันท์ พรหมพันธ์ใจ , ชนนนท์ ฉิมมาวัลย์ ,สาวิตรี วงษ์เกตุใจ และ วรรณศักดิ์ ศิริหล้า
ในกองกล้ากลางสมร / กำกับเวที โดย สาวิตรี วงษ์เกตุใจ , อุษาวดี สุนทรเกตุ ,ช่อบุญ ชื่นประโยชน์ , แวอานัส หะยีสะมะแอ ,ไพบูลย์ โสภณสุวภาพ
ค่ายคู ประตูหอรบ / กำกับศิลป์และฉาก โดย ศิลปินรับเชิญ อาจารย์ สุธี คุณาวิชยานนท์ , ยอดชาย สุกัณศีล , ต่อศักดิ์ นพเลิศ , แวอานัส หะยีสะมะแอ , สีหะกัมปานาท
พัสตราภรณ์ / เครื่องแต่งกาย โดย อดินันท์ พรหมพันธ์ใจ
ประพันธ์ดนตรี / โดย บุญรัตน์ ศิริรัตนพันธ์
ไฟรบ คบไต้ / แสง โดย ทวีวัฒน์ กำเนิดเพชร
บันทึกประวัติศาสตร์ / ถ่ายภาพ โดย สมเกียรติ วรรณธนวิจารณ์
นายกองจ้วงทะลวงฟัน / แสดงโดย วรรณศักดิ์ ศิริหล้า

การเล่นละครคนเดียว เรื่อง “ ไฉไลไปรบ ” ได้รับความสนใจเป็นอย่างดี เป็นการขยายกลุ่มผู้ชมที่มีความหลากหลายวัย และหลากหลายอาชีพ จนต้องเพิ่มรอบการแสดงขึ้นอีกหลายรอบ ในตอนนั้นเองกั๊กก็เล็งเห็นแล้วว่า การแสดงเดี่ยว เล่นละครคนเดียวก็เปรี้ยวเก๋ได้ในบ้านเมืองเรา เช่นเดียวกับการแสดงรูปแบบอื่น “ ไฉไลไปรบ ” ได้รับการเชื้อเชิญให้ไปจัดแสดงอีกหลายแห่ง
- ณ ร้าน รวยรินกลิ่นชีวา ถนนพระอาทิตย์ และ ศูนย์ท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร
- ใน เทศกาลละครกรุงเทพ Bangkok Theatre Festival สวนสันติชัยปราการ
- หอศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น
- วิกหัวหิน โรงเรียนภัทราวดี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นฉบับสุดท้าย เมื่อปี 2553
ขอขอบคุณ ผู้ใหญ่ใจดีในครั้งนั้น
กลุ่มบริษัท ยนตรกิจกรุ๊ป จำกัด
บริษัท พาวิเลียน วาย จำกัด
คุณดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์ ที่ให้แรงบันดาลใจ
คุณสุธี คุณาวิชยานนท์
คุณศุภชัย เกศการุณกุล
คุณกรกช พัลลภรักษา
พระจันทร์เสี้ยวการละคร

บทบันทึกในสูจิบัตรการแสดงเดี่ยว “ เรื่อง ไฉไลไปรบ ”
ขัดเกลาและเขียนบันทึกเมื่อ วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2021
แม้ว่าข้าพเจ้า จะอายุ 32 อยู่กับละครมา 12 ปี (เมื่อปี พ.ศ.2544) ข้าพเจ้ายังคงเด็ก และมือใหม่นักกับมัน คงเป็นเพราะว่ามากกว่าครึ่งชีวิตที่ผ่านมา กลบเกลื่อน และแสดงออกในท่าทีอื่น ๆ ซึ่งก็หาเหตุผลมารองรับได้เสมอ
ข้าพเจ้าพบมิตรจากงาน และศัทธาในชีวิตของพวกเขา จนบางครั้งลืมให้ค่า และศัทธาในชีวิตตน
ข้าพเจ้าเรียนรู้การเป็นผู้รับ จนละเลยเรื่องของการให้ รวมทั้งการอภัยที่ทุกคนมอบให้เช่นกัน
ความรักเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เพ่งมองให้เห็น จนข้ามจุดเล็ก ๆ ที่ก่อให้เกิดความรักนั้น
ความเพียรพยายามที่เห็นอยู่ใน “ ไฉไลไปรบ ” นี้ ก็มากกว่าครึ่งอีกนั่นแหละที่ต้องขอบคุณมิตรของข้าพเจ้า
ขอบคุณมากครับผม
วรรณศักดิ์ กั๊ก ศิริหล้า
27 มกราคม 2544 (2001)

ไฉไลไปรบ (ฉับตุ๊กตาหุ่นฝรั่ง)
เรื่อง : ไฉไลไปรบ (ฉบับหุ่นตุ๊กตาฝรั่ง) 2025
ศิลปิน : วรรณศักดิ์ ศิริหล้า Wannasak Sirilar
ผู้กำกับ : วรรณศักดิ์ ศิริหล้า
ประเภท : การแสดงด้วยหุ่นตุ๊กตาฝรั่ง
เค้าโครงเรื่อง : ไฉไลไปรบ ฉบับหุ่นตุ๊กตาฝรั่ง
เมื่อ 260 ปีก่อน บรรพบุรุษตระกูลไฉไล เคยสร้างวีรกรรมโลดโผนจนเป็นเรื่องเล่าขานตำนานคู่ตระกูล ทวดเทียดเดิมชื่อ “ ดอกรัก ” แต่ปลอมแปลงแต่งกายแสร้งเป็นหญิงไปสืบข่าวการศึกเมื่อครั้งก่อนเสียกรุงศรีฯ ปี 2310 (1767) โดยใช้นามว่า “ ไฉไล ” (ที่นำมาตั้งเป็นนามสกุลภายหลัง) หลังจากที่ไฉไลบาดเจ็บในสมรภูมิป้อมบางกอก เมื่อทุเลาก็เร่งรีบเดินทางกลับยังกรุงศรีอยุธยาโดยไม่รั้งรอ ออกญาจักรี ออกประกาศตามจับนาง ด้วยมีความผิดฐานส่งข่าวศึกมาเป็นกลลวงให้บ้านเมืองโกลาหล แม้จะมีข่าวลือว่านางไฉไลตายแล้ว ก็ต้องนำศพมาให้เห็นเป็นที่ประจักษ์
...ไฉไล ต้องหนีไปกบดานที่เชียงคาน โดยแสร้งทำเป็นตายด้วยโรคระบาด แล้วแต่งกลพรางว่าร่างอืดบวมให้ อ้ายคำพัน พาออกไปทางประตูผี จากนั้นทั้งสองก็ปลอมตัวเป็นสองผัวเมียทำการค้า ลงเรือจากอยุธยาล่องขึ้นไปลพบุรี เพื่อจะข้ามดงพญาไฟไปให้ถึงลำน้ำมูล เทียดไฉไลไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลยว่าการหนีครานี้ ทำให้พบความจริงบางอย่างที่ถูกปิดบังมานาน ทั้งเรื่องราวของพ่อแม่เธอและผืนแผ่นดินที่เธอรัก…
นักแสดงและทีมงาน :
เชิดหุ่นตุ๊กตาฝรั่ง โดย กั๊ก วรรณศักดิ์ ศิริหล้า
บท โดย เอ๋ อดินันท์ พรหมพันธ์ใจ
สร้างสรรค์ดนตรี โดย เฟียน ภัทรกร ภัทรนาวิก & แมน สุทธิพจน์ บุญเลิศ
ทีมงานสร้างสรรค์ จากห้องเรียนนวัตกรรมชุมชน ชั้นปีที่ 3
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คณะมนุษยศาสตร์ สาขาศิลปะและธุรกิจการแสดง
กวาง รวงข้าว มาลาทอง
พีพอย อัญชลี เสนาบุตร
ไอวี่ พัชราภรณ์ หอมพะวงษ์
แป้ง อริสา บุญลา
รินริน วนัสนันท์ อับดุลลอมาน
สมา ณัฐมน โต๊ะอิ๊
เจมมี่ นารีรัตน์ อึ้งธัญญวัฒนกุล
เหยาเหยา พรพรรณ แซ่ฮุ่ย
ท็อฟฟี่ วิลาสินี แก้วมีนา
บอล ภูมินทร์ นาสมภักดิ์
วันและเวลา : เสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2568
สถานที่ : หอศิลปกรุงเทพฯ (BACC) Studio ชั้น 4
หมายเหตุ : เหมาะสำหรับผู้ชมที่อายุ 15 ปีขึ้นไป

ที่มา : Anant Narkkong : “ ไฉไลไปรบ ฉบับหุ่นตุ๊กตาฝรั่ง 2025 ” Chailai goes to war
“ ครูหน่องกล่าวยกย่องเกินคาดหมาย ขยายความไปไกลได้มากกว่าเจตนาผู้สร้าง ” … จากคำวิจารณ์ซ้อนวิจารณ์นี้ทำให้เห็นถึงความสำคัญที่จะนำ ‘ คำครู ’มาบันทึกไว้ให้เป็นกรณีศึกษาวิชา ‘ การตีความ ’ โดย ครูหน่อง อานันท์ นาคคง
ซึ่งเป็นการเขียนแทนใจใครหลายคนบนการขยายความที่ให้หมายชัดเจนมากขึ้น

ที่มา : BACC : อานันท์ นาคคง Anant Narkkong
“ อิ่มอกอิ่มใจกับละคร “ ไฉไลไปรบ ฉบับหุ่นตุ๊กตาฝรั่ง 2025 ” Chailai goes to war ของพี่กั๊ก วรรณศักดิ์ ศิริหล้า ศิลปินศิลปาธร ในงาน เทศกาลละครกรุงเทพ 2025 เสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2568 ณ หอศิลปกรุงเทพฯ (BACC) เรื่องราวสร้างสรรค์โดย พี่กั๊ก บทโดยหมอเอ๋ อดินันท์ พรหมพันธ์ใจ ย้อนอดีตไปถึงยุคปลายกรุงศรีอยุธยา ก่อนเวลาเสียกรุง ‘ สปายดอกรัก ’ ปลอมแปลงแต่งกายแสร้งเป็นหญิงนามว่า ‘ ไฉไล ’ ไปสืบข่าวการศึก และต้องเผชิญสภาวะสงครามจนต้องหนีไปยังแผ่นดินอีสาน และการหนีในครั้งนี้ ไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลยว่า มีความจริงบางอย่างที่ถูกปิดบังมานาน
อันที่จริง ไฉไลไปรบเคยถูกนำมาแสดงก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว ในนาม “ ดอกไม้การบันเทิง ” แต่ฉบับ 2025 เป็นการตีความใหม่ โดยมีรายละเอียดที่เปลี่ยนไปจากเดิม มีการเปลี่ยนแปลงของสื่อและเทคนิค โดยใช้ ‘ หุ่นตุ๊กตาฝรั่ง ’ [หมายเหตุ คือตุ๊กตารีบอร์น (Reborn Doll) ตุ๊กตาที่สร้างขึ้นในรูปแบบงานศิลปะซึ่งมีลักษณะคล้ายกับทารกมนุษย์อย่างสมจริงที่สุดเท่าที่จะทำได้ วัสดุคุณภาพสูง มีความนิ่ม เด้ง ยืดหยุ่น ดูเป็นธรรมชาติ ทำเป็นเด็กทารกแบบไม่มีผม ดูอ่อนโยน บริสุทธิ์] องค์ประกอบอื่น ๆ คือมีดนตรีสด มีการออกแบบฉากที่เรียบง่าย ไฟส่องอย่างมินิมอล และมีการแสดงเสริมจากลูกศิษย์พี่กั๊กในห้องเรียนนวัตกรรมชุมชน มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

ที่มา : เก้า เริงระทวย : “ ไฉไลไปรบ ฉบับหุ่นตุ๊กตาฝรั่ง 2025 ” Chailai goes to war
แก่นหลักของการแสดงตั้งอยู่บนการใช้ตุ๊กตาจำนวนสามตัวเป็นตัวละครหลัก รูปร่างตุ๊กตาทุกตัวดูเป็นเด็กทารกบริสุทธิ์ แต่กลับได้สวมบทบาทที่เข้มข้นและย้อนแย้งมาก ซึ่งเป็นการตัดสินใจเชิงศิลปะที่มีความกล้าหาญมากของพี่กั๊ก ที่จะต้องทำหน้าที่คนเชิดตุ๊กตาไปด้วยและกลายเป็นตุ๊กตาไปด้วยในขณะเดียวกัน เหมือนร่างทรง เสร็จแล้วก็เดินออกมาเล่นเป็นพี่กั๊กเอง แล้วก็กลับเข้าไปสิงร่างตุ๊กตาและโดนตุ๊กตาสิงร่างใหม่ เซอร์เรียลขนาดไหนก็คิดดู ตุ๊กตาตัวแรกซึ่งเป็นตัวแทนของวีรสตรี/วีรบุรุษผู้ปลอมแปลงเพศ ‘ ไฉไล/ดอกรัก ’ นั้น สะท้อนถึงอัตลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างจงใจเพื่อความอยู่รอดและภารกิจสืบราชการลับ การที่ตัวละครต้องแบกรับความขัดแย้งทางเพศและความรักชาติ ทำให้การเชิดหุ่นกลายเป็นการสำรวจร่างกายที่เป็นกลาง ที่ถูกควบคุมและกดทับด้วยสถานการณ์การเมือง ส่วนตุ๊กตาตัวที่สอง ‘ อ้ายคำพัน ’ นั้นเป็นตัวแทนของความสัมพันธ์ที่พลิกผันจากมิตร-สามี เป็นศัตรู นัยยะของการสร้างความสัมพันธ์ทางเพศ การทรยศ การหักหลังทางอารมณ์ และการฆาตกรรมจึงยิ่งทรงพลัง ขณะที่ตุ๊กตาตัวที่สาม ‘ แม่ของไฉไล ’ นั้นถูกใช้เพื่อล้อเลียนชีวิต อำนาจ ความหวัง ความกล้า ความตาย เป็นตุ๊กตาที่ถูกกระทำจากผู้เชิดทั้งการดึงง้าง การทุบกระชาก ขยำม้วน ฯลฯ โดยไร้ความเจ็บปวด รื้อถอนสัญญะจากแม่ที่เป็นมนุษย์จนมาเป็นก้อนหินยับเยินให้ลูกไฉไลนั่งทับซึ่งเป็นการจงใจตั้งคำถามถึงบาดแผลทางใจที่ถูกซ่อนไว้ในประวัติศาสตร์ครอบครัว

ที่มา : BACC : “ ไฉไลไปรบ ฉบับหุ่นตุ๊กตาฝรั่ง 2025 ” Chailai goes to war
นอกจากมิติทางวัตถุแล้ว องค์ประกอบทาง แสง เงา ยังทำหน้าที่เป็นผู้ร่วมสร้างสรรค์หลัก การออกแบบแสงและเงาด้วยดวงไฟขนาดพกพา ทำให้ศิลปินสามารถกำหนดทิศทางของแสงที่ตกกระทบตุ๊กตาได้ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการเปิดเผยและซ่อนเร้นมิติของตัวตนที่สับสนของไฉไล การใช้แสงเงาที่เปลี่ยนแปลงอย่างพลวัตนี้ทำให้ตุ๊กตาตัวเล็ก ๆ มีสเกลที่ยิ่งใหญ่และสื่อถึงอารมณ์ที่ซับซ้อนมาก
อันที่จริงมีตุ๊กตาอีกตัวที่ไม่ใช่ตุ๊กตาคน แต่เป็นตุ๊กตาปลายักษ์ ทำหน้าที่เป็นภาพลวง (คำ illusion ถูกค่อนขอดโดยผู้เชิดหุ่นอย่างจงใจ) ระหว่างการเดินทางของไฉไลในแม่น้ำ ถือเป็นการเปิดเผยถึงสภาวะทางจิตวิทยาของไฉไลอย่างลึกซึ้ง ความใหญ่โตและนามธรรมของปลาที่ตัดกับหุ่นเด็กขนาดเล็ก สะท้อนถึงแรงกดดันทางจิตใจที่ท่วมท้นและความพร่าเลือนระหว่างความจริงกับภาพหลอนซึ่งเป็นผลมาจากความเหนื่อยล้าและความตื่นตระหนกจากการถูกไล่ล่า แต่อย่างไรก็ตามในความเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้า ถ้าหากไม่มีตุ๊กตาปลายักษ์ เรื่องก็ยังดำเนินไปได้ด้วยการแสดงที่เยี่ยมยอดของพี่กั๊กวรรณศักดิ์ได้อยู่แล้ว

ที่มา : BACC : “ ไฉไลไปรบ ฉบับหุ่นตุ๊กตาฝรั่ง 2025 ” Chailai goes to war
ดนตรีสดถ่ายทอดการเปลี่ยนผ่านของอารมณ์อย่างละเมียด โดย เฟียน ภัทรกร ภัทรนาวิก (กลอง, ซินธีไซเซอร์, อูคูเลเล่, ฉิ่ง, ร้อง) และ แมน สุทธิพจน์ บุญเลิศ (กีตาร์, ร้อง) ทำหน้าที่เป็นหัวใจที่เต้นอยู่ในความนิ่งของหุ่น โทนดนตรีเด่นด้วยการใช้เสียงสังเคราะห์และการอิมโพรไวเซชั่นบนโปรแกรมที่วางไว้เป็นโครงดนตรีประกอบฉากละคร มีเพลงกล่อมเด็กที่คุ้นเคย “ แมงมุมลายตัวนั้น ” มาบรรยายถึงชีวิตที่ถูกฝนจนซมซาน แต่ก็ยังกล้าไต่ขึ้นฟ้าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะและมีอีกเพลงหนึ่งที่ใช้ท่อนฮุกสะท้อนปรัชญา “ มิตรและศัตรู รู้และคิด ” ความไม่ไว้ใจ “ ระแวงกันอยู่ ” ไปจนถึงจุดสูงสุดของการท้าทายโชคชะตาในท่อน “ ยิ้มเย้ยฟ้าท้าดิน ” อาจทำหน้าที่เป็นการปลดปล่อยทางอารมณ์ที่อยู่เหนือคำพูดใด ๆ ของตัวละคร
การทดลองทางเสียงที่น่ากล่าวถึงนอกจากงานดนตรีที่เฟียนออกแบบอย่างขยันขันแข็งและเป๊ะลงตัวมาก ก็คือการใช้ช้อนส้อมมาเป็นเสียงอาวุธในฉากสงคราม เป็นนวัตกรรมทางเสียงที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นการนำวัตถุในชีวิตประจำวัน มาลดทอนความศักดิ์สิทธิ์ของสงคราม ให้กลายเป็นความขัดแย้งที่ใกล้ตัวและเย้ยหยัน การใช้เสียงที่เบาแหลมนี้อาจไม่ได้แทนที่เสียงดาบ แต่แทนที่เสียงของการทรยศหรือการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่กัดกินจิตใจของไฉไลตลอดการเดินทาง การผสมผสานเสียงวัตถุนี้เข้ากับการเชิดหุ่นและดนตรีสด ทำให้การแสดงชิ้นนี้เป็นงานศิลปะที่สำเร็จในการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์สงครามเข้ากับความจริงอันเปราะบางทางอารมณ์ของมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้งและมีชั้นเชิ'

ที่มา : เก้า เริงระทวย : “ ไฉไลไปรบ ฉบับหุ่นตุ๊กตาฝรั่ง 2025 ” Chailai goes to war
เหนืออื่นใด ความยอดเยี่ยมของการแสดงอยู่ที่ความสามารถพลิ้วไหวไหลลื่นของพี่กั๊ก วรรณศักดิ์ ศิริหล้า ในฐานะนักเชิดหุ่นและนักแสดงเดี่ยว ตุ๊กตากลายเป็นตัวละครที่เป็นมนุษย์บนเวทีอย่างยิ่ง ผู้ต้องใช้ทักษะในการทำให้การเคลื่อนไหวของการเชิดหุ่นสื่อสารอารมณ์ที่ขัดแย้งของบทละคร การผสมผสานศิลปะหุ่นเชิด-การขับร้อง-การพากย์ (ประเพณี) กับการกระทำที่ดูเหมือนเล่นตุ๊กตา (วัตถุทางอารมณ์ตะวันตก) นำไปสู่การตั้งคำถามถึงอัตลักษณ์ของผู้แสดง บทละครอันทรงพลังเกี่ยวกับความเปราะบางของตัวตน ความไม่แน่นอนของความสัมพันธ์ และเจตจำนงที่กล้าหาญที่จะ "จับดาบ สองมือกำแน่น" ต่อสู้กับความจริงที่ถูกปิดบัง ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกนำเสนออย่างลงตัวผ่านศิลปะการแสดงที่ขับเคลื่อนด้วยความสามารถชั้นเทพของพี่กั๊ก
นับว่ามีความสุขมากที่ได้มาเยี่ยมเวทีแห่งนี้ ได้เห็นการฟื้นคืนชีพของตำนานไฉไลที่ถูกนำมาตีความใหม่ด้วยเทคโนโลยี และสุนทรียศาสตร์ร่วมสมัยผสมผสานประวัติศาสตร์บาดแผลของชาติเข้ากับสัญญะทางวัฒนธรรมสมัยใหม่ได้อย่างคมคาย เป็นกรณีศึกษาที่ยอดเยี่ยมของการใช้ วัตถุที่ดูง่ายๆอย่างตุ๊กตาเด็กสามตัว ที่นอนยัดนุ่น ตะกร้า ไอแพด ร่ม ไฟฉาย ช้อนส้อม และมิติมหัศจรรย์ทางเสียงดนตรี เพื่อสำรวจความซับซ้อนของอัตลักษณ์และการต่อสู้ดิ้นรนของตัวละครในเรื่อง

ที่มา : เก้า เริงระทวย : “ ไฉไลไปรบ ฉบับหุ่นตุ๊กตาฝรั่ง 2025 ” Chailai goes to war
ในโฆษณาละคร มีคำแถลงการณ์ Motto “ แม้นจะเกิดเยี่ยงชาย แต่ขอตายเยี่ยงหญิง ” เป็นหัวใจสำคัญที่รวบรวมแก่นเรื่องและมิติเชิงอัตลักษณ์ทางเพศ (gender identity) ที่ซับซ้อนของตัวละครไว้ได้อย่างคมคาย Motto นี้ไม่ได้เป็นเพียงคำกล่าวที่สละสลวย แต่เป็นบทสรุปเชิงปรัชญาที่สะท้อนถึงการต่อสู้ดิ้นรนของ ดอกรัก/ไฉไล ทั้งในการต่อสู้กับเพศสภาพและอัตลักษณ์ที่ถูกกำหนด “ แม้นจะเกิดเยี่ยงชาย (ดอกรัก) ” หมายถึง อัตลักษณ์แรกเริ่ม และเพศกำเนิดของตัวละครซึ่งเป็นชาย แต่เขาไม่สามารถบรรลุภารกิจหรือแม้แต่ความรู้สึกของตนเองได้ภายใต้กรอบของความเป็นชายในยุคสมัยนั้น หรือไม่สามารถเป็น ‘ วีรบุรุษ ’ ในแบบที่สังคมต้องการ “ แต่ขอตายเยี่ยงหญิง (ไฉไล) ” หมายถึงอัตลักษณ์ที่ถูกเลือก/ถูกสร้างขึ้น (constructed identity) เพื่อความอยู่รอดและทำภารกิจให้สำเร็จ ‘ไฉไล ’ คือตัวตนที่เกิดจากการปลอมแปลง แต่เป็นตัวตนที่นำพาเขาไปสู่การเผชิญหน้าความจริงและสามารถ “ จับดาบ สองมือกำแน่น เป็นไงเป็นกัน ” ได้อย่างกล้าหาญ
การที่ Motto นี้ วางอยู่บนงานศิลปะที่ใช้ตุ๊กตาเด็ก (ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการสร้างชีวิตใหม่) ยิ่งทำให้ปรัชญานี้ทรงพลัง เพราะมันตอกย้ำว่าอัตลักษณ์ของไฉไลนั้นคือตัวตนที่ถูกประกอบสร้างขึ้นมาอย่างจงใจ และมันคือตัวตนที่ทำให้เขาสามารถ “ จับดาบ สองมือกำแน่น ” เพื่อเผชิญหน้ากับความจริงและโชคชะตาได้อย่างไม่หวั่นเกรง ความกล้าหาญที่แท้จริงหาได้ขึ้นอยู่กับเพศกำเนิดไม่ หากแต่อยู่ที่การยอมรับและยืนหยัดต่อสู้จนถึงที่สุดในอัตลักษณ์ที่ตนเองเลือกแล้วต่างหาก
จุดที่น่าสนใจอีกด้านของละครครั้งนี้คือปฏิกิริยาทางเสียงของผู้ชมที่สะท้อนกลับมายังพื้นที่การแสดง เสียงหัวเราะที่คนดูส่งมาเป็นระยะไม่ได้เป็นเพียงความขบขันในสถานการณ์ตลก แต่มีหลายช่วงที่ผู้ชมร่วมหัวเราะไปกับความผิดพลาด ความขมขื่นและความล้มเหลว ความพ่ายแพ้ของตัวละคร ปฏิกิริยานี้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการแสดงในการสร้างการปลดปล่อยร่วม โดยผู้ชมเลือกที่จะตอบรับความล้มเหลวของชีวิตด้วยเสียงหัวเราะที่ท้าทาย การหัวเราะต่อความขมขื่นจึงเป็นกลไกทางสังคมที่ทำให้ผู้ชมยอมรับความเปราะบางของตนเองและของไฉไลไปพร้อมกัน

ที่มา : BACC : “ ไฉไลไปรบ ฉบับหุ่นตุ๊กตาฝรั่ง 2025 ” Chailai goes to war
อย่างไรก็ตามยังงง ๆ กับการเลือกใช้คำว่า “ ตุ๊กตาฝรั่ง ” ในการโฆษณาละคร เข้าใจว่าเป็นกลวิธีทางศิลปะที่อาจจะสร้างความตึงเครียดทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ที่ถูกประกอบสร้างในการแสดง คำว่าตุ๊กตาฝรั่งในที่นี้อาจจะทำหน้าที่เน้นย้ำถึงเปลือกนอกที่ถูกหยิบยืมมาสะท้อนอัตลักษณ์ของไฉไลที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ ในขณะเดียวกัน ความสำเร็จทางอารมณ์ของละครกลับอยู่ที่กลไกที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง นั่นคือการใช้การเล่นตุ๊กตาของเด็กในร่างผู้ใหญ่ ซึ่งเปิดพื้นที่ให้ผู้ชมได้เข้าสู่จินตนาการร่วมด้วยกันอย่างหมดจด การแสดงหุ่นเชิดโดยพี่กั๊กที่สำแดงความสามารถของศิลปินที่ควบคุมตุ๊กตาอย่างสมจริง เปรียบเสมือนการนำผู้ชมกลับไปสู่จินตนาการในวัยเด็ก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กฎเกณฑ์ของความเป็นจริงและความรุนแรงทางอารมณ์สามารถถูกจัดการและทดลองได้ผ่านการเล่น ทำให้ความล้มเหลวและความขมขื่นของตัวละครกลายเป็นเรื่องที่เข้าใจและยอมรับได้ การกระทำที่ดูเหมือนจะแปลกประหลาด (ผู้ใหญ่ที่ผูกพันกับตุ๊กตาเด็กแรกเกิด) ถูกทำให้เป็นเรื่องปกติผ่านพลังของการแสดง ทำให้ผู้ชมลดกำแพงลงและยินยอมที่จะ "เชื่อ" ว่าตุ๊กตาที่ไร้ชีวิตนั้นมีชะตากรรม การที่ผู้ชมร่วมหัวเราะกับความขมขื่นและความล้มเหลวของตัวละคร เป็นผลมาจากการร่วมจินตนาการนี้เอง เพราะเมื่อเราเห็นผู้ใหญ่กำลังเล่นกับตุ๊กตาในสถานการณ์ที่ตึงเครียดไปจนถึงฉากร่วมเพศที่คนดูรับรู้ได้แม้จะเอาอะไรมาปิดบังความอุจาดไว้ จินตนาการร่วมนั้นทำให้ความประหลาดกลายเป็นเรื่องที่เป็นมนุษย์และยอมรับได้ ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญายิ้มเย้ยฟ้าท้าดินที่เปลี่ยนความขัดแย้งให้เป็นพลังขับเคลื่อนผ่านการเล่นและจินตนาการร่วมกัน
แม้ในที่สุดแล้วคำตอบของ “ ไฉไลไปรบ ” อาจไม่ได้อยู่ที่ผลลัพธ์ของสงครามครั้งนี้ว่าชัยชนะหรือความพ่ายแพ้จะตกเป็นของใคร หรือจะมีครั้งต่อ ๆ ไป อีกหรือไม่ เพราะการแสดงไม่ได้มุ่งเน้นที่การสรุปเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์แบบเส้นตรง แต่เป็นการสำรวจสภาวะของการรบที่ดำเนินต่อไปภายในจิตใจของตัวละคร ตราบใดที่ตุ๊กตาเด็กยังคงเป็นสัญลักษณ์ของอัตลักษณ์ที่ถูกประกอบสร้าง ถูกเอามาเล่นสนุก ถูกดัดแปลงและถูกทอดทิ้ง ตราบใดที่เพลง “ แมงมุมลายตัวนั้น ” ยังคงเป็นบทเพลงแห่งการล้มลุกคลุกคลาน การต่อสู้หลังฝนตก กล้าไต่ขึ้นฟ้าเมื่อพระอาทิตย์ส่องแสง ตราบใดที่ความขัดแย้งของมิตรและศัตรูยังคงวนเวียนอยู่ในชีวิต การรบของไฉไลก็ยังถือเป็นสภาวะที่เป็นอยู่ซึ่งจะไม่มีวันสิ้นสุด ตราบใดที่การดำเนินเรื่องราวสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และการทำให้หุ่นตุ๊กตาที่ไร้ชีวิตแต่เต็มไปด้วยบาดแผลสามารถโลดแล่นอยู่ในใจคนดู ล้วนตอกย้ำว่าพี่กั๊ก วรรณศักดิ์ ศิริหล้า ได้รังสรรค์งานที่ไม่ใช่เพียงแค่การเล่าขานอดีตสงครามอันไกลโพ้น หากแต่เป็นการนำเสนอวงจรของการดิ้นรนและการยืนหยัดอย่างกล้าหาญ ที่จะยังคงสถิตอยู่ในความทรงจำ และเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของเราต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งทำให้ไฉไลไปรบเป็นละครเซอร์เรียลที่ทั้งงดงามและกินใจอย่างแท้จริง ”
Anant Narkkong
15/11/2025

ที่มา : The Plants เผ่าพืช : Tawit Keitprapai
“ The Plants เผ่าพืช ” Butoh Eco Performance by Sineenadh Keitprapai
"The Plants เผ่าพืช" โดย พระจันทร์เสี้ยว
การแสดง butoh หรือ ระบำแห่งความมืด dance of darkness ที่ใช้ร่างกายเป็นตัวกลางในแบบ non-human เชื่อมโยงธรรมชาติกับสิ่งที่มองไม่เห็น เมื่อร่างกายกลายเป็นพืชที่อยากจะเคลื่อนไหว แต่ติดอยู่ตรงกลางระหว่างการรับรู้อณูเล็ก ๆ ของชีวิตที่เชื่องช้ากับชั่วขณะของการปล่อยว่าง แล้วเผ่าพืชจึงเต้นรำ
กำกับ : สินีนาฏ เกษประไพ Sineenadh Keitprapai
ดนตรี : ปรีดี ตัณสุวรรณ และ มณีรัตน์ สิงหนาท
ออกแบบและสร้างสรรค์หน้ากาก : เบญจ์ บุษราคัมวงศ์
นักแสดง :
สินีนาฏ เกษประไพ
ลัดดา คงเดช
มณีรัตน์ สิงหนาท
ฐาณารัตน์ สุธนากุลวิทย์
ณพิม ชลเมธาร
Kelvin Shine Ko
วิจิตรา เตรตระกูล
ภคพล ที่พัก
ปัน วสิษฐ์พล ตั้งสถาพรพันธ์
ไตเติ้ล อาจสาลี
อารยา ยังคำ
The Plants เผ่าพืช : Tawit Keitprapai
กรินทร์ ใบไพศาล
ชนาง อัมภารักษ์
ทวิทธิ์ เกษประไพ

ที่มา : The Plants เผ่าพืช : Tawit Keitprapai
Note about The Plants
... The Plants เผ่าพืช กับการแทรกผ่าน timing หรือ จังหวะของเมืองด้วยพืชสรรพชีวิตธรรมชาติ ...
เราอยากหยุดเวลาของความเร่งรีบที่ใจกลางเมืองด้วยการแสดง butoh ที่มีความช้าและการ being the moment ที่ละเอียด ซึ่งจะเป็นตัวกลางเชื่อมโยงกับผู้ชม และอยากให้ผู้ชมได้รับรู้ได้เห็นพืชพรรณธรรมชาติจากการแสดงนี้ และหวังว่ามันจะเชื่อมโยงบางอย่างกับใจของผู้ชมได้บ้างแม้จะเล็ก ๆ ก็ตาม
ในความคิดเรา เราและนักแสดงทีมงานทุกคนทำออกมาได้ดี (อันนี้เราประเมินด้วยตัวเอง ทำได้ดีมาก เราว่าประสบความสำเร็จดี) ทั้ง 4 รอบการแสดง กับอีก 2 รอบซ้อมใหญ่เหมือนจริง
โปรเจกต์นี้เป็นโปรเจกต์ในฝัน มีความสุขที่ได้ทำตั้งแต่การสร้างกระบวนการ จนถึงการแสดงเสร็จสิ้นลง และกระบวนการนี้จะยังไม่ได้สิ้นสุดลง เราจะเดินทางต่อไปเรื่อย ๆ ถ้ายิ่งจะมีที่ทางให้เราได้เดินต่อก็จะยิ่งดี หากไม่มีก็ไปต่อไปแบบเล็ก ๆ นี่แหละ อาศัยอึดถึกทนทำต่อเรื่อย ๆ เป็นวิถีชีวิตของเรา
อยากกล่าวคำขอบคุณมากมาย
ขอบคุณธรรมชาติที่ให้ชีวิตกับเรา โอบอุ้มเยียวยาและเป็นครูของเรา
ขอบคุณนักแสดงทุกคนอีกครั้ง ที่ตอบรับและร่วมเดินทางครั้งนี้กับเรา
การมีเพื่อนร่วมเดินทางมันดีต่อใจและวิญญาณจริงๆ
สินีนาฏ เกษประไพ

ที่มา : The Plants เผ่าพืช : Tawit Keitprapai
บูโตะ Butoh คือนาฏศิลป์เชิง avant-garde ของญี่ปุ่น ที่เน้นการแสดงออกทางอารมณ์ภายในผ่านการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างช้าๆ และทรงพลัง ศิลปะประเภทนี้เรียกว่า “ ระบำแห่งความมืด ” (dance of darkness) โดยมีลักษณะเด่นคือการนำเสนอความงามในความน่าเกลียด หรือความขัดแย้งภายในจิตใจมนุษย์ เช่น ความฝันร้าย ความเจ็บปวด และความปรารถนาทางกามารมณ์ ผู้บุกเบิกคนสำคัญคือ ทัตสึมิ ฮิจิคาตะ และ คะซึโอะ โอโนะ ในช่วงทศวรรษ 1950 บูโตะผสม ผสานองค์ประกอบหลากหลายที่มาจากนาฏศิลป์ญี่ปุ่น , Ausdrucktanz (German Expressionist Dance) และ ละครใบ้ มันจึงทำลายกฎเกณฑ์ของขนบการเต้นทั้งหลายอย่างสิ้นเชิง ในขณะเดียวกันก็เปิดพื้นที่ให้กับการ improvisation
ลักษณะเด่นของ Butoh
- การเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าและแปลกประหลาด : การเคลื่อนไหวอาจดูไม่ปกติ หรือบิดเบี้ยว เพื่อแสดงออกถึงสภาวะทางจิตใจที่ลึกซึ้ง
- การแต่งกายและหน้าตา : นักแสดงอาจทาสีหน้าขาวโพลน หรือบิดเบี้ยว เพื่อสื่อถึงอารมณ์ภายใน โดยไม่ยึดติดกับความงามตามแบบแผนทั่วไป
- การใช้สัญลักษณ์ สีขาว แทนความดับสูญ ความตาย หรือ ความบริสุทธิ์
- เน้นการ ‘ เป็น ’ มากกว่า ‘ แทน ’ : การเคลื่อนไหวไม่ได้เป็นการ ‘ แสดงแทน ’ ตัวละคร แต่คือการ ‘ กลายเป็น ’ อารมณ์ หรือสิ่งนั้น ๆ จริงๆ
- เป็นงานผสมผสานด้วยองค์ประกอบจาก นาฏศิลป์ญี่ปุ่น , การเต้นแบบ Expressionist ของเยอรมัน และละครใบ้
- การนำเสนอ ‘ ความจริงภายใน ’ : ศิลปะประเภทนี้เผยให้เห็นถึงความทุกข์ ความกลัว และสภาวะภายในที่ซ่อนเร้นของมนุษย์ ซึ่งอาจตีความได้ว่าเป็น ‘ ระบำวิปัสสนา ’

ที่มา : The Plants เผ่าพืช : Tawit Keitprapai
“ The Plants เผ่าพืช ” Butoh : Eco Performance by Sineenadh Keitprapai
ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ครูนาฏ เติบโต โฟกัส และชัดเจนมากในงานการแสดงที่บอกถึง ' ภาวะภายใน ' ซึ่งเข้าถึงธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง สิ่งนี้จึงปรากฏในงานหลายส่วนทั้งกำกับและการแสดง ล่าสุดว่าด้วยมนุษย์กับธรรมชาติ ในแนวทางที่คิดสร้างอย่างมี ‘ เอกลักษณ์สีขาว ’ ทุกก้าวมากความหมาย ง่าย-งาม บนความตระหนักรู้และหยัดอยู่อย่างผู้ที่เคารพในธรรมชาติ ' อำนาจเหนือมนุษย์ ' … ผ่านศิลปะการแสดง BUTOH โก้ทั้งลีลาและเนื้อหาที่ต่างออกไปจากต้นแบบอย่างแยบยลในกลวิธีคิด ซึ่งไม่จำเป็นต้องติดกับขนบเดิม แต่ที่เพิ่มมาคือ ‘ ลีลาเฉพาะตัว ’ ของแต่ละคน
บนพื้นที่กลางสวนบนดาดฟ้าศูนย์การค้าในวิว panorama ยามเย็น บรรยากาศแดดร่มลมแรง การแสดง “ เผ่าพืช ” โดยเผ่าพันธุ์หนึ่งของมนุษย์ที่กำลังกลืนกลาย เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยคลายให้แดดโรย ลมรื่น ด้วยลีลาหน้าตาแบบ Butoh ซึ่งเชื่องช้าทว่าทรงพลังจากภายใน ท่ามกลางดนตรีที่แผ่วพลิ้ว เหมือนทุกคนปลิวมากับลมหลังพายุผ่าน บางคนเหมือนดอกไม้บาน บางคนเหมือนกิ่งก้านที่กำลังเติบโต บางคนคล้ายลูกยางที่ลอยลิ่วมากับลม แล้วกองทับถมรวมกันบนเวที บางช่วงแยกกระจายตามจังหวะดนตรีและลีลาเคลื่อนไหวที่ถูกออกแแบบไว้ ในแนวคิดของร่างกายที่กลายเป็นเผ่าพืชหลายพันธุ์ เห็นการตีความที่ต่างกัน สร้างสรรค์ movement ของแต่ละคน ดลจินตนาการผ่านงานแสดง ลืมโลกร้ายแรงไปช่วยขณะ …
ชมการแสดงได้ที่ช่อง : Kawinporn Charoensri
https://youtu.be/5o_lraGJakw?si=M20HymjyyihfBuxX

HEALING PERFORMING ART
การแสดงเชิงทดลอง : “ In Conversation ” ที่เปลี่ยนบทสนทนาระหว่างเราให้เป็นดนตรี เสียงร้อง และการเคลื่อนไหว ช่วยให้คุณเก็บภาพช่วงเวลาดี ๆ นี้ไว้ได้
เป็นการแสดงที่เชิญชวนผู้ชมเข้าร่วมสนทนาถามไถ่ห่วงใยทุกข์สุข แล้วเขียนความคิดความรู้สึกหลังการสนทนาออกมาบนแผ่นกระดาษ (คุยกับตัวเอง) ก่อนนำสารนั้นมาเปลี่ยนให้เป็นการแสดง (movement) “ ช่วงนี้คุณเป็นยังไงบ้าง? มาแชร์เรื่องราวของคุณกับเราได้นะคะ เราพร้อมที่จะแปลงและถ่ายทอดบทสนทนาของเราให้เป็นดนตรี เสียงร้อง และการเคลื่อนไหวแบบ realtime เพื่อให้คุณสามารถจดจำช่วงเวลาพิเศษนี้ ผ่านประสบการณ์การแสดงสดร่วมกับพวกเราทุกคนค่ะ”
ชมการแสดงได้ที่ช่อง : Kawinporn Charoensri
https://youtu.be/IkdN7k_cD4M?si=3qXcF1hbWOFz_y40
นักแสดงและทีมงาน
ผิงปาณยา ฉมาพร (ปิง ปณยา ชัมพร)
จอย รัชย์จิรา จันทรวิวัฒน์ (จอย ราชจิรา จันทรอว์)
เอวา ซี
พลอย ชลธิชา ยศพล (พลอย ชลธิชา ยศโพลิวัฒน์)
จัดแสดง วันที่ 16 , 23 พฤศจิกายน 2568

คำบรรยายภาพ(ถ้ามี)
เพลงพื้นบ้านลานปูน : เพลงเกี่ยวข้าว และ เพลงอีแซว
ศิลปินคณะ สัพเพเหระ
ผู้อำนวยการ ธนาวัฒน์ สมบัติ
นักแสดงและทีมงาน
ธนาวัฒน์สมบัติ
เหมวิทย์ เขียนอัจฉริยะ
จักรพงศ์ เพ็งบก็
พสิษฐ์ บัวทิพย์ทอง
เปิดหมวก 8 , 9 , 15 , 16 , 22 , 23 พฤศจิกายน 2568
ชื่นชมยินดีที่การแสดงพื้นบ้านโดยเยาวชนคนรุ่นใหม่ นำเสนอได้สนุกในพื้นที่อันเป็นเวทีเปิดแห่งนี้
ชมการแสดงได้ที่ช่อง : Kawinporn Charoensri
https://youtu.be/zrxKzppECew?si=jUpw-9dJFAiVROzL
“ CABINET ” - The Characters Act

ที่มา : VICH Production : “ CABINET ” - The Characters Act
อีกหนึ่งนักแสดงมายากลรุ่นใหม่ที่คนไทยภูมิใจในฐานะตัวแทนของประเทศ VK.Vich หรือ วิชยุตม์ คนึงโชติ (ซัน) นักมายากลชาวไทยเจ้าของรางวัลระดับนานาชาติมากก ว่า 19 รางวัล ปีนี้เขาเปิดการแสดง 4 ครั้งในประเทศไทย ที่เพิ่งผ่านมาเป็นการแสดงมายากลยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี 2568 ใน theme ‘ เมื่อเมืองมายากลายเป็นความจริง ’ : “ The Magicians Thailand ” 𝗪𝗼𝗿𝗹𝗱 𝗠𝗮𝗴𝗶𝗰 𝗦𝗵𝗼𝘄 𝗟𝗶𝘃𝗲 𝗶𝗻 𝗕𝗮𝗻𝗴𝗸𝗼𝗸 𝟮𝟬𝟮𝟱 พร้อมโชว์ใหม่ ' Magic City ' ที่ได้เปลี่ยนโรงละครให้กลายเป็นเมืองมายากลคนรุ่นใหม่ไปแล้ว เมื่อวันที่ 20 – 21 กันยายน 2025 ณ โรงละคร M Theatre ร่วมกับ 5 นักแสดง ‘ New Generation’ ระดับโลก แห่งวงการมายากล แพ็คทีมด้วย
Mario Lopez (สเปน) นักมายากลสายฮาผู้เคยพิชิต Penn & Teller มาแล้ว
Jordan K (เกาหลีใต้) ผู้ผสานเสน่ห์ของ K-Pop เข้ากับมายากล
Han Manho (เกาหลีใต้) แชมป์โลก FISM ที่เปลี่ยนเวทีเป็นรันเวย์แฟชั่น
Zhu Mingzhu (จีน) ศิลปินผู้สร้างบทกวีผ่านเครื่องบินกระดาษ
Tempei (ญี่ปุ่น) นักแสดง Juggling ระดับโลก ที่ท้าทายกฎแรงโน้มถ่วง โดยการโยนสิ่งของกลางอากาศมากมาย และควบคุมมันได้ราวกับเป็น Magician คนหนึ่ง แม้แต่วงการนักมายากลยังต้องยอมรับ และถูกรับเชิญให้เป็น Guest Performer บนเวที FISM หรือเวที “ โอลิมปิกแห่งวงการมายากล ” รวมถึงงานมายากลนานาชาติอีกมากมาย , Tempei ได้ร่วมแข่งขันในงาน International Juggling Association และคว้ารางวัลอับดับที่ 1 ในประเภท Prop Competition ปัจจุบัน Tempei เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท ' Jugglers Vision ' ที่มีนักแสดงระดับโลกในสังกัด ทำงานกับเครือข่ายศิลปะการแสดง ทั้งเวที อีเว้นท์ และเทศกาลมากมายทั่วโลก
นักมายากลรุ่นใหม่จากประเทศสเปน เกาหลี จีน และญี่ปุ่น ได้มาร่วมกันสร้างประสบการณ์สุดมหัศจรรย์ครั้งแรกในประเทศไทย โดยมี Host ของงานคือ VK.Vich (VICH Production ผู้บุกเบิกงานแสดงมายากลรูปแบบ Theatre Show ในประเทศไทย) เป็นผู้สร้างสรรค์การแสดงที่ไม่ใช่แค่โชว์ แต่คือโลกอีกใบที่ผู้ชมชาวไทยได้มีโอกาสร่วมขยายขอบเขตของคำว่า “ มายากล ” ให้ไกลกว่าที่เคย นับเป็นนักแสดงรุ่นใหม่ที่โดดเด่นได้รับการจับตา ในฐานะนักมายากลและนักธุรกิจอนาคตไกล ที่ประสบความสำเร็จเป็น ‘ ตัวแทนของประเทศไทย ’ (สายบันเทิง)

ที่มา : VICH Production : “ CABINET ” - The Characters Act
ผลงานล่าสุดของ VK.Vich ใน เทศกาลละครกรุงเทพ 2568 Bangkok Theatre Festival (BTF2025) มาใน theme “ CABINET ” - The Characters Act การแสดงมายากลร่วมสมัยผสมละครใบ้ได้พาผู้ชมเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการของ VK.Vich เจ้าของรางวัล BMC World Performing Arts จากเวทีศิลปะการแสดงระดับโลก ประเทศฝรั่งเศส ผลงานของเขาได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นหนึ่งในการแสดงที่มีเอกลักษณ์มากที่สุดในเวทีระดับสากล ถ่ายทอดเรื่องราวของตัวละครต่าง ๆ ผ่านศิลปะมายากล กายกรรม และละครใบ้ พาย้อนไปสัมผัสเสน่ห์ของยุคคลาสสิก และก้าวข้ามสู่อนาคต ผ่านโลกของ Cabinet ด้วยการแสดงสดของ VK.Vich ที่พาผู้ชมก้าวไปสู่โลกมหัศจรรย์ของเวทมนต์ร่วมกันกับนักแสดงรับเชิญที่คนไทยรู้จักกันดี 𝗞𝗔𝗭𝗨𝗞𝗜 𝗬𝗔𝗡𝗢 ( 矢野かず ) ด้วยประสบการณ์การใช้ชีวิตในประเทศไทยมายาวนาน ยาโน่มักผสมผสานอารมณ์ขันเสียดสีลงในผลงานอย่างลงตัว บางเรื่องยังมีกลิ่นอายญี่ปุ่น บางเรื่องลึกซึ้งจนคาดไม่ถึงแม้คุ้นเคย และบางเรื่องเกิดจากมุมมองสากลที่ใคร ๆ ก็ตกหลุมรัก

ที่มา : VICH Production : “ CABINET ” - The Characters Act
Cabinet โรงละครมายากลร่วมสมัยโดย VK.Vich ชวนผู้ชมเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการอันบริสุทธิ์ พร้อมด้วยนักแสดงรับเชิญพิเศษ คาซึกิ ยาโนะ (𝗞𝗔𝗭𝗨𝗞𝗜 𝗬𝗔𝗡𝗢 ( 矢野かず) ชวนบริหารจินตนาการไปในสวนเล็ก ๆ ของชายคนหนึ่ง หรือกับข้าวของธรรมดา ห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ ประดับด้วยโคมไฟ โต๊ะข้างเตียง แจกัน และตู้เสื้อผ้า ในห้องนี้ ทุกมุมถูกสะกดให้มีชีวิตชีวา แม้แต่ตู้เสื้อผ้าก็สามารถเปลี่ยนคนให้กลายเป็นตัวละครที่หลากบทบาท วาดลวดลายหลายลีลาทำทีท่าเหลือเชื่อได้ แม้คุ้นตาคุ้นใจในเทคนิค แต่วิธีการนำเสนอที่เป็น ‘เสน่ห์เฉพาะตัว’ ของสองนักแสดงคือความร่วมสมัยที่ทำให้การแสดงยังคง ‘ ใหม่ได้เสมอ ’ เพราะซ่อนเรื่องราวที่ไม่ธรรมดาไว้ภายใน เป็นความประทับใจที่ต่างออกไปจากการชมงานแสดงอื่น ๆ เพราะรู้สึกเหมือนไม่ได้ชมการแสดง แต่กำลังดูชีวิตที่เคลื่อนไหวไปในเวทมนต์
นักแสดงและทีมงาน
Show Production : VICH Production
กำกับการแสดงโดย VK.Vich
นักแสดงรับเชิญ : Kazuki Yano x Tong Gluea
ผู้ประสานงานโครงการ : Piyawan Ning Sapsamroum
ผู้ออกแบบแสงและผู้ควบคุม: Chaiwut Phanomchon
ทีมงาน : IMAGICA TH
ทีมงาน Production : Pantomime in Bangkok, Bangkok Street Show
เทศกาลละครกรุงเทพ Bangkok Theatre Festival 2025
สถานที่ ณ Bacc หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
จัดแสดง : 8 - 9 พฤศจิกายน 2025 | เวลา 17.30 น.

ที่มา : VICH Production : “ CABINET ” - The Characters Act

เทศกาลละครกรุงเทพ Bangkok Theatre Festival
ติดตามความเคลื่อนไหวและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Facebook / Instagram : Bangkok Theatre Festival
โทร: 086-899-5669
Email: [email protected]