
photo : From Headlines to Sexual Consent Culture :
Faculty of Communication Arts, Chulalongkorn University
ในยุคที่การสื่อสารคือเครื่องมือสำคัญต่อการพัฒนาในทุก ๆ ด้าน ‘ สื่อ ’ จึงเป็นพื้นที่ของการผลิตความหมายภายใต้บทบาทหน้าที่ และมี ‘ อิทธิพลชี้นำ-กำหนด ’ จึงเป็นที่มาของ ‘ โครงการฝึกอบรมสื่อมวลชนเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมการสื่อสารด้วยความยินยอมทางเพศ ’ [1] เป็น 1 ใน 21 โครงการจากทั่วโลกซึ่งได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจาก IPDC UNESCO (International Programme for the Development of Communication - โครงการนานาชาติเพื่อการพัฒนาการสื่อสาร ซึ่งเป็นโครงการของ องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ UNESCO) จากข้อเสนอ 90 โครงการทั่วโลก ในปี 2025 ที่เข้ารับการพิจารณา มีนักวิจัยในโครงการ ประกอบด้วย ดร.ชเนตตี ทินนาม หัวหน้าโครงการวิจัย คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ดร.โกสุม โอมพรนุวัฒน์ วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, อ.พิมพ์พจี เย็นอุรา คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับการสนับสนุนเป็นเครือข่ายคณะทำงานร่วมกับ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
คุณ Joe Hironaka หัวหน้าแผนกสื่อสารและสารสนเทศ องค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้กล่าวสุนทรพจน์เปิดงานให้ข้อคิดว่า “ โครงการนี้มีศักยภาพที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับองค์กรสื่อทั่วโลก เพราะมุ่งเน้นอย่างชัดเจนในการส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ ‘ ในองค์กรสื่อ ’ และ ‘ ผ่านสื่อ ’ โครงการนี้ไม่ได้เป็นเพียงการฝึกอบรมเท่านั้น แต่เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า เพราะนักข่าวเป็นคนทำงานเพื่อเสียงของผู้คนที่เปราะบาง ความเสมอภาคทางเพศเป็นหัวใจสำคัญของจริยธรรมสื่อมวลชน เมื่อเกิดการคุกคามทางเพศในที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม ผมรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่บั่นทอนขวัญกำลังใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อมันเกิดขึ้นในห้องข่าว เพราะสื่อควรเป็นผู้ที่ช่วยกำหนดทิศทางของทัศนคติสังคมต่อเรื่อง ‘ ความยินยอมทางเพศ ’ และถ้ามีการละเมิดหรือมีสองมาตรฐานภายในองค์กรสื่อเอง นั่นคือสิ่งที่กัดกร่อนความน่าเชื่อถือ ดังที่โครงการนี้ได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจน ‘ ความยินยอมทางเพศ ’ คือการสื่อสารระหว่างเพศชายและหญิงในความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เท่าเทียมกัน และเราทุกคนสมควรจะได้อยู่ในสังคมไทยที่เป็นเช่นนั้นครับ ”

photo : From Headlines to Sexual Consent Culture :
Faculty of Communication Arts, Chulalongkorn University
‘ วัฒนธรรมการสื่อสารความยินยอม ’
ไม่ใช่เพียงเครื่องมือป้องกันการล่วงละเมิด
แต่คือกรอบคิดใหม่ของการทำงานสื่อ
และสร้างสังคมที่ยอมรับว่าทุกเสียงมีคุณค่าเท่ากัน
การฟังกันด้วยความเคารพ
คือพื้นฐานของการอยู่ร่วมอย่างมีศักดิ์ศรี
และมีความรับผิดชอบต่อกันในสังคมร่วมสมัย
สืบเนื่องจาก … “ สื่อไทยไม่เคยมีส่วนร่วมอย่างชัดเจนในการทำความเข้าใจเรื่องการยินยอมทางเพศในกระแสหลัก การรายงานข่าวส่วนใหญ่ใช้การกล่าวโทษเหยื่อที่เป็นผู้เสียหาย การตั้งข้อสันนิษฐานในรายงานข่าวส่วนใหญ่ว่าเหยื่อเป็นผู้หญิงที่สมยอม การที่ผู้เสียหายบางคนเคยมีความสัมพันธ์ฉันท์คนรักกับผู้ชายมาก่อนทำให้การนำเสนอข่าวมีน้ำหนักไปที่การกล่าวโทษเหยื่อ การละเลยที่จะรับรู้ว่าการยินยอมหรือไม่ยินยอมในเรื่องเพศเป็นกระบวนการสื่อสารที่เปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การยุติหรือการรักษาความสัมพันธ์ทางเพศไว้ได้ตลอดเวลา ”
จึงนำมาสู่กระบวนการฝึกอบรมวิธีคิดด้วยจิตสำนึกจากภายใน เพื่อสร้างวัฒนธรรมใหม่ในการทำงาน และการสื่อสารอย่างมีหัวใจ ให้เกียรติผู้เสียหาย ด้วย ‘ โครงการฝึกอบรมเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมการสื่อสารด้วยความยินยอมทางเพศ ’ ปี 2568
“ โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมการสื่อสารความยินยอมทางเพศ ถือเป็นความท้าทายที่จะเปลี่ยนมุมมองของสื่อมวลชนที่มีต่อเรื่องเพศ ในบริบทของการสื่อสาร ‘ จากหัวใจสู่หัวใจ ’ หมายถึงการใส่ใจและคำนึงถึงความต้องการของผู้อื่น โดยอาศัยหลักการของความเท่าเทียมกันของอำนาจระหว่างผู้ชายและผู้หญิง เพื่อสนับสนุนให้สื่อมวลชนสามารถสร้างการยินยอมทางเพศให้เป็นค่านิยมใหม่ของสังคมในประเทศไทย ” ดร.ชเนตตี ทินนาม อาจารย์ภาควิชาการสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หัวหน้าโครงการอบรม และนักวิจัยด้านความเท่าเทียมทางเพศ กล่าว

photo : From Headlines to Sexual Consent Culture :
Faculty of Communication Arts, Chulalongkorn University
เพศวิถีในคำพิพากษา
ความหมายของการคุกคามทางเพศ (Sexual Harassment) ในแง่กฎหมายตามร่างมาตรการในการป้องกันและแก้ปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในการทำงาน จากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2558 นิยามไว้ว่า ‘ คุกคาม ’ คือ
“ พฤติกรรมการกระทำทางเพศใด ๆ ที่เป็นการบีบบังคับด้วยการใช้อำนาจที่ไม่พึงปรารถนา ด้วยวาจา ข้อความ ท่าทาง การมองด้วยสายตา การแสดงด้วยเสียง รูปภาพ เอกสาร ข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือสิ่งของลามกอนาจารเกี่ยวกับเพศ หรือการกระทำอย่างอื่นในทำนองเดียวกัน โดยทำให้ผู้ถูกกระทำรู้สึกอึดอัดใจ รำคาญ ได้รับความอับอายเสื่อมเสียเกียรติ หรือรู้สึกว่าถูกเหยียดหยาม และหมายรวมถึงการติดตามรังควาน หรือการกระทำใดที่ก่อให้เกิดบรรยากาศไม่ปลอดภัยทางเพศ ”
1. นิยามทางกฎหมายของความยินยอม
- การข่มขืนตามกฎหมายอาญาเกิดขึ้นเมื่อมีเพศสัมพันธ์ “ โดยการบังคับ ” หรือ “ โดยที่หญิงไม่ยินยอม ”
- หากศาลเห็นว่ามีความสมัครใจหรือความยินยอมของหญิง การกระทำนั้นไม่ถือเป็นการข่มขืน
- การวินิจฉัย “ ยินยอมหรือไม่ ” จึงเป็นจุดชี้ขาดสำคัญในคดีล่วงละเมิดทางเพศ
2. เกณฑ์การตีความแบบดั้งเดิมของศาล
- ศาลมักใช้ “ การขัดขืนทางร่างกาย ” เป็นเกณฑ์หลักในการพิจารณาความยินยอม
- หากหญิงไม่แสดงการต่อสู้ ดิ้นรน หรือร้องขอความช่วยเหลือ ศาลมักตีความว่า “ หญิงยินยอม ”
- การไม่แสดงอาการขัดขืน = ความยินยอม กลายเป็นหลักปฏิบัติที่ทำให้ผู้หญิงต้องรับภาระพิสูจน์ว่าตนไม่ยินยอม
- ศาลละเลยเงื่อนไขทางสังคมและจิตใจ เช่น ความกลัว ความตกใจ หรืออำนาจไม่เท่าเทียมที่ทำให้ผู้หญิงไม่สามารถขัดขืนได้จริง
3. ผลของการตีความ
- ทำให้การตีความกฎหมายเอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายชายมากกว่า
- ความเงียบหรือความจำนนของหญิงถูกมองว่าเป็น “ การสมยอม ”
- กฎหมายและคำพิพากษาจึงกลายเป็นกลไกผลิตซ้ำอำนาจแบบชายเป็นใหญ่ และไม่สามารถปกป้องสิทธิของผู้หญิงได้อย่างแท้จริง
4. คำพิพากษาตัวอย่าง
- มีการยกฟ้องจำเลยเพราะศาลเห็นว่าผู้เสียหาย “ ไม่ได้ดิ้นรนต่อสู้ ” หรือ “ ไม่ได้บอกใครทันที ”
- บางกรณี ศาลอ้างความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างคู่กรณี เช่น เป็นคนรักหรือสนิทสนม ว่าเป็นเหตุให้เชื่อว่ามีความยินยอม
- แต่ในบางคดี ศาลยอมรับว่าความกลัวหรือการถูกขู่เข็ญก็เพียงพอที่จะถือว่า “ ไม่มีความยินยอม ”
5. การวิพากษ์จากมุมมองสตรีนิยม
- ศาสตราจารย์สมชายชี้ว่า เกณฑ์การตัดสินของศาลตั้งอยู่บน “ มาตรฐานของชาย ” ที่มองการมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องปกติของความต้องการทางชีววิทยา
- การนิยาม “ การขัดขืน ” ถูกผูกโยงกับพฤติกรรมที่ผู้ชายคาดหวังจาก “ หญิงที่ดี ” (เช่น ต้องดิ้น ต้องร้อง ต้องหนี)
- แนวทางเช่นนี้ทำให้ศาลไม่รับรู้ความซับซ้อนของประสบการณ์ผู้หญิง และลดทอนสิทธิความเป็นเจ้าของร่างกายของพวกเธอ
6. ข้อเสนอเชิงหลักการ
- ควรเลิกยึดหลัก “ การไม่ขัดขืน = ยินยอม ”
- การพิจารณาควรย้ายจากการมองพฤติกรรมของหญิง มาให้ความสำคัญกับ “ การกระทำของชาย ” ว่าใช้กำลัง บังคับ ข่มขู่ หรือทำให้หญิงไม่สามารถปฏิเสธได้หรือไม่
- เสนอให้มีกฎหมายที่ใช้หลัก “ การใช้กำลังในระดับที่ยอมรับได้ ” แทนแนวคิดเดิม เพื่อให้การคุ้มครองผู้หญิงมีประสิทธิภาพและเท่าเทียม

photo : From Headlines to Sexual Consent Culture :
Faculty of Communication Arts, Chulalongkorn University
เครื่องมือ คือ ‘ อำนาจภายใน ’ และ ‘ อำนาจร่วม ’
กระบวนการถ่ายทอดพลังเพื่องานสร้าง ‘ วัฒนธรรมการยินยอมทางเพศ ’ (Sexual Consent) มีมากมาย หนึ่งในหลายบทเรียนที่ถูกเลือกสรรมาสอน คือ ‘ เครื่องมือ ’ (หรือ อาวุธป้องกันตัว) อันทรงพลังต่อการต่อกรกับการคุกคาม ความรุนแรง ความไม่ยุติธรรม ฯลฯ ที่เรียกว่า ‘ อำนาจภายใน ’ (Power Within) และ ‘ อำนาจร่วม ’ (Power Sharing) ที่ทุกคนมีและสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง
อำนาจภายใน คือ ศักยภาพหรือพลังที่มาจากภายในตัวบุคคล ซึ่งเป็นแหล่งของความสามารถในการจัดการกับสถานการณ์ต่าง ๆ โดยไม่ต้องพึ่งพาอำนาจภายนอก ประกอบด้วยคุณสมบัติภายใน เช่น ความเชื่อมั่นในตนเอง ความเคารพตนเอง การรู้จักตนเอง ความสงบทางจิตใจ สติปัญญา ความอดทน และความมุ่งมั่น อำนาจภายในช่วยให้บุคคลสามารถเผชิญหน้ากับความท้าทาย ความไม่เป็นธรรม หรือความกลัว และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับบุคคลและระดับสังคม
ลักษณะของอำนาจภายใน
- มาจากภายใน : เกิดจากการพัฒนาตนเองผ่านการฝึกฝนและสติปัญญา
- สร้างขึ้นได้ : สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้เมื่อถูกทำลายลง
- พัฒนาได้ : สามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกฝนและสร้างประสบการณ์
- เชื่อมโยงกับศักดิ์ศรี : เกี่ยวข้องกับความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองและความสามารถในการจัดการกับปัญหา
ตัวอย่างของอำนาจภายใน
- ความเชื่อมั่นในตนเอง (Self-efficacy) : ความเชื่อว่าตนเองสามารถจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ได้
- ความสงบทางจิตใจ : การไม่ถูกอารมณ์ครอบงำ เช่น ความโกรธ หรือความกลัว
- ความกล้าหาญและความมุ่งมั่น : การยืนหยัดเพื่อความเชื่อของตนเองแม้จะเผชิญกับอุปสรรค
- ความเมตตาและการให้อภัย : การใช้คุณธรรมในการตอบโต้
การนำไปใช้
- ในระดับบุคคล : ช่วยให้จัดการกับความเครียด ความกลัว และความกังวล
- ในระดับสังคม : เป็นพลังให้กลุ่มสตรีนิยมร่วมกันปกป้องผู้ถูกคุกคามทางเพศ
- ตัวอย่างบุคคล : Joanna Macy เธอได้ช่วยให้ผู้คนเอาชนะความกลัวและความเพิกเฉย เมื่อต้องเผชิญกับความผันผวนพร้อมรับมือกับความปั่นป่วนทางสังคม ด้วยการกระทำที่สร้างสรรค์และร่วมมือกัน

photo : From Headlines to Sexual Consent Culture :
Faculty of Communication Arts, Chulalongkorn University
Joanna Macy [2] (นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมชาวอเมริกัน นักเขียน นักวิชาการด้านพุทธศาสนาและนิเวศวิทยาเชิงลึก) มองว่า ‘ กระบวนทัศน์ความรู้ ’ ในโลกนี้ถูกครอบงำด้วยการสอนให้คนพยายามเสาะแสวงหา ‘ การมีอำนาจเหนือกว่า ’ (Power Over) อาจมาในนามบุคคล คู่รัก กลุ่มคนรักสถาบันหรือชาติ ใช้อำนาจที่ตัวเองมีอยู่ เช่น ชาย รักต่างเพศที่มีอำนาจเหนือ LGBT การศึกษาที่สูงกว่า มีตำแหน่งที่สูงกว่า มีสถานภาพ วัย มีเงิน เป็นคนกุมข้อมูล กำหนดนโยบายตัวบทกฎหมาย มีกำลังทหาร มีอาวุธ มีพวกพ้อง มีคนติดตาม ฯลฯ แหล่งอำนาจเหล่านี้ มีคนจำนวนไม่น้อยนำไปใช้เพื่อการ เอาเปรียบ กดขี่ ตัดสินใจแทน ฯลฯ กับคนที่มีแหล่งอำนาจน้อยกว่า ลักษณะพฤติกรรมของการใช้อำนาจเหนือ เช่น ไม่รับฟัง ออกคำสั่ง บังคับ กดดัน คิดแทน Joanna คิดว่าไม่เป็นธรรม ควรต้องทบทวนและท้าทาย
Joanna Macy มองว่าอำนาจที่แท้จริงของโลกนี้คือ อำนาจจากการเกื้อกูลกัน (Power Sharing) ซึ่งแตกต่างจากอำนาจในการควบคุม (Power Over) โดยเน้นไปที่การทำงานร่วมกันเพื่อเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน การมีส่วนร่วม การแบ่งปัน การเปิดกว้าง การมีความสัมพันธ์อย่างพึ่งพา เชื่อมโยง สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เลือกได้ สิ่งเหล่านี้ Joanna เรียกว่า ‘ อำนาจร่วม ’ (Power Sharing - Share Power) คำนี้ถูกใช้ในการเคลื่อนไหวของกลุ่มสตรีนิยมเยอะมากในยุคปัจจุบัน กล่าวคือ แทนที่ ‘ กลุ่มรักชาติ ’ จะใช้อำนาจที่ตัวเองมีอยู่ไปกดขี่คนอื่น แต่ควรใช้อำนาจนี้ในการรับฟัง ปรึกษาหารือ ช่วยเหลือเกื้อกูล สนับสนุนและเปิดโอกาสให้คนที่มีอำนาจน้อยกว่า ร่วมในกระบวนการตัดสินใจ โดยไม่แนะนำ ไม่ตัดสิน ไม่สั่งสอน ไม่พูดแทรก การฟังด้วยหัวใจ (Deep Listening) คือกลไกหนึ่งของอำนาจร่วม ซึ่งจะถูกใช้เพื่อคนที่มีอำนาจน้อยกว่า ได้มีโอกาสในการบอกเจตจำนง บอกสิ่งที่เขาต้องการ เช่นเดียวกับ Sexual Consent ต้องไม่เป็นการใช้อำนาจเหนือ แต่ต้องเป็นการใช้อำนาจร่วม เราจะร่วมกันตัดสินใจในความสัมพันธ์นั้น

photo : From Headlines to Sexual Consent Culture :
Faculty of Communication Arts, Chulalongkorn University
ปิดหลักสูตรการอบรม 4 วัน ด้วยวงเสวนา “ From Headlines to Sexual Consent Culture : สื่อมวลชนจะร่วมสร้างวัฒนธรรมการสื่อสารความยินยอมทางเพศได้อย่างไร ” [3] วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน 2568 เวลา 13:00-15:00 น. ณ ห้องประชุม ดร.เทียม โชควัฒนา ชั้น 3 คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยการเสวนาจัดขึ้นเพื่อเป็นแนวทางร่วมสร้างวัฒนธรรมการสื่อสารความยินยอมทางเพศ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประเด็นการสื่อสารด้วยความยินยอมทางเพศ สิทธิมนุษยชน และความเท่าเทียมทางเพศ ภายใต้ความร่วมมือของ UNESCO และ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
วิทยากรร่วมเสวนา ได้แก่
- คุณนัยนา สุภาพึ่ง มูลนิธิเพื่อสิทธิและความเป็นธรรมทางเพศ
- ดร.ชเนตตี ทินนาม คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (หัวหน้าโครงการอบรม และนักวิจัยด้านความเท่าเทียมทางเพศ)
- ดร.โกสุม โอมพรนุวัฒน์ วิทยาลัยสหวิทยาการ ม.ธรรมศาสตร์
- อ.พิมพ์พจี เย็นอุรา คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน ม.ธรรมศาสตร์
- คุณธารารัตน์ ปัญญา ทนายความและผู้ก่อตั้ง Feminist Legal Support (FLS)
- คุณดลยณา บุนนาค สำนักข่าว Thai PBS World
- คุณพีร์ญาดา ประสูตร์แสงจันทร์ สำนักข่าว โพสต์ทูเดย์

photo : From Headlines to Sexual Consent Culture :
Faculty of Communication Arts, Chulalongkorn University
รายงานพิเศษ : เนื้อหาบางช่วงตอนของการเสวนา เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2568 และสามารถรับฟังการเสวนาย้อนหลังได้ที่ Faculty of Communication Arts, Chulalongkorn University : From Headlines to Sexual Consent Culture
https://www.facebook.com/commartschulaofficial/videos/1120095356778566
ดร.ชเนตตี ทินนาม อาจารย์ภาควิชาการสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงหัวใจของ Gender Sensitivity และการสื่อสารที่สมดุลว่า
“ ในกรณีที่รู้สึกไม่ปลอดภัยในองค์กร มันสะท้อนความกลัวที่เป็น ‘ ความกลัวร่วม ’ ของทุกเพศ ทุกคน เวลาที่ต้องตกอยู่ในวงจรของการถูกคุกคาม อันเนื่องมาจากเรื่องเพศ เราไม่ได้กลัวอยู่คนเดียวเป็นความกลัวที่ผู้เสียหายทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ทั้งสิ้น กลัวว่าเราจะได้รับการคุ้มครอง เราจะได้รับความปลอดภัย และเราจะได้รับการรักษาความลับและความเป็นส่วนตัวระดับไหน ถ้าเราไม่ประสงค์จะให้เรื่องราวของเราเป็นที่รับรู้ในวงกว้าง ก็ยังวางใจไม่ได้ ตราบใดที่สังคมในโลกนี้ยังคงมี ‘ วัฒนธรรมทางการทูต ’ อยู่ (ยืดหยุ่น ประนีประนอม ยินยอมแบบไม่ยืนยัน ฯลฯ)
กรณีที่อยู่ในองค์กรแล้วเรา voice เรื่องนี้ออกไปแต่องค์กรไม่มีมาตรการที่จะช่วยเหลือหรือยืนยันความปลอดภัยให้กับเราได้ ทั้งระหว่างเกิดเหตุหรือหลังเกิดเหตุก็ตาม มีหน่วยงานหลายหน่วยงานข้างนอกที่ทำงานเรื่องนี้อย่างจริงจัง ที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือเราทั้งในด้านการรักษาความปลอดภัย รักษาความลับ และกระบวนการทางกฎหมาย เช่น มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล , มูลนิธิเพื่อนหญิง , มูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม , Feminist Legal Support , สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี บ้านพักฉุกเฉินที่ดอนเมือง ในกรณีที่บ้านไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัย อาจถูกสะกดรอยจนไม่มีที่ไหนปลอดภัยเป็น Safe Zone สำหรับเราได้
ความจำเป็นเร่งด่วนที่เราอยากจะได้ขั้นแรกที่สุดคือ ต้องมีใครสักคนรับฟังเรา ถ้าเกิดเหตุที่บ้านหรือที่สาธารณะ หรือแม้แต่ในองค์กรที่ทำงาน แล้วเราไม่สามารถจะหาใครสักคนที่จะรับฟังเราโดยไม่ตัดสินว่าเราไป Blackmail เขาหรือเปล่า เรากำลังจะถูก ‘ กล่าวโทษเหยื่อ ’ เหมือนทุกครั้งที่เวลาผู้หญิงคนหนึ่งอาจจะลุกขึ้นมาร้องขอว่า “ ถูกคุกคามทางเพศ ” แล้วสังคมก็มักจะตั้งคำถามว่า คุณไปให้ท่าเขาหรือเปล่า หรือเขาแค่มาจีบหรือเปล่า คิดไปเองหรือเปล่า แล้วน้องเดินตามเขาไปบนห้องทำไม แบบนี้ … เบื้องต้น ทุกคนต้องการใครสักคนที่จะรับฟังทุกเรื่องราว ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา หน่วยงานที่อาจารย์ยกชื่อมาทั้งหมดนี้ ทุกคนสามารถทำงานด้วยหัวใจกับเราได้
ประเด็นที่สองในหน่วยงานมีนักกฎหมายซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผู้หญิงนะคะ เวลาที่เราจะต้องก้าวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม มีหลายกรณีที่อาจารย์รับเรื่องแล้วส่งให้มูลนิธิเหล่านี้คำแนะนำคือ อย่าไปแจ้งความที่โรงพักคนเดียวเด็ดขาด เพราะเราอาจเสี่ยงที่จะเจอโรงพักที่ไม่มี Gender Sensitivity สุดท้ายแล้วเจ้าหน้าที่เขาอาจจะพูดว่า ‘ เขายังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย เขาแค่ข้ามรั้วเข้ามายืนอยู่ในบ้านเราเท่านั้นเอง ยังไม่มีการจับเนื้อต้องตัวให้เสียหายในทางเพศ’ ฯลฯ ตำรวจจะไล่ผู้หญิงกลับบ้าน ไม่รับฟังความกลัวที่เกิดขึ้นภายใน เป็นปัญหาของสังคมระดับโลกที่ไม่เข้าใจนิยามของคำว่า ‘ การคุกคามทางเพศ ’ ทุกคนเข้าใจว่า ‘ เหตุคุกคามทางเพศ ’ จะเกิดขึ้นเมื่อมีการจับเนื้อต้องตัวจนถึงข่มขืนเท่านั้น แต่ลักษณะอย่างอื่นยังมีนิยามอีกกว้างมาก ๆ ที่มันเข้าข่าย แล้วผู้หญิงมีสิทธิ์ที่จะร้องขอความคุ้มครอง และมีสิทธิ์ที่จะขอให้มีใครสักคนฟังเรา แล้วให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมาย ประเด็นนี้ต้องโยงมาที่การทำงานของสื่อด้วย
เพราะในการทำงานของสื่อ จะจบลงตรงเหตุการณ์ที่มีการคุกคามทางเพศเกิดขึ้น แล้วนำมาสู่ข้อสันนิษฐานว่า ยินยอม สมยอม Blackmail แล้วจบ หลังจากนั้นเราจะติดตามร่องรอยของความช่วยเหลือในลักษณะต่าง ๆ ได้ยากมาก สื่อต้องทำหน้าที่ support โดยการบอกช่องทางที่จะช่วยเหลือผู้หญิงเหล่านี้ด้วยว่าทำอะไรได้บ้าง มีหน่วยงานไหนช่วยได้ อาจเป็นการช่วยหาข้อมูลผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านมาดูแล คือสิ่งที่ผู้หญิงผู้เสียหายต้องการมากที่สุดเมื่อเกิดเหตุการณ์ เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ไม่ควรถูกผลักให้กลายเป็น ‘ เรื่องส่วนตัวของเธอ ’ หรือแม้แต่การโทษเหยื่อที่ทำให้ข้อเท็จจริงของการคุกคามทางเพศไม่ถูกรายงานด้วยตัวเลขจริง ทั้งในเชิงข้อเท็จจริงในทางกฎหมายและข้อเท็จจริงที่ปรากฎเป็นข่าว เพราะฉะนั้นเรามีเส้นทางที่จะไปต่อตรงจุดนี้ ขอให้รู้ว่าเธอจะไม่ได้อยู่ด้วยความกลัวอย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไป มีคนทำงานที่พร้อมจะรับฟังและอยู่เคียงข้างเสมอเมื่อเกิดเหตุรุนแรงขึ้น ”
ดร.ชเนตตี ทินนาม สรุปการสื่อสารที่สมดุลและเท่าเทียมตามหลักสิทธิมนุษยชน
“ วิธีเดียวที่ดีที่สุดที่เราจะรู้ว่าเขาต้องการอะไร แล้วไม่ใช่เป็นความต้องการของเรา คือฟังเขาก่อน แล้วต้องเป็นการฟังที่เรารู้ตัวด้วยว่าเรากำลังไม่ dominate หรือ control ให้การตัดสินใจนั้นมาสู่ความต้องการของเราอย่างเดียว สิ่งสำคัญของ Sexual Consent แม้เราจะบอกว่า คุณต้องสามารถบอกและยืนยันความต้องการภายในของตัวเองได้ และ Sexual Consent จะไม่เป็นการสื่อสารที่สมบูรณ์ได้เลยถ้าเราไม่พร้อมที่จะรับฟังความต้องการของคนอื่น สองสิ่งนี้จะต้องประสานเข้าด้วยกัน
สิ่งที่ยากที่สุดในสังคมตอนนี้ก็คือ แม้แต่ตัวเราเองวันนี้บอกได้หรือยังว่าเราต้องการอะไร บางทีเรารับรู้ความต้องการของตัวเองแล้วแต่ไม่กล้าที่จะพูดออกมา เพราะกลัวว่าคนที่อยู่ข้างหน้าจะตัดสินเรา เขาจะฟังเราจริงหรือเปล่า เขาจะใช้อำนาจเหนือเข้ามาแทรกแซงความต้องการที่เราอยากจะบอกจริง ๆ ว่า ยินยอมหรือไม่ยินยอม สิ่งนี้ต้องเป็น ‘ การสื่อสารที่สมดุล ’
จึงมาถึงข้อสรุปที่ว่า ‘ ความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เท่าเทียม ’ คือสุดยอดของความเป็นมนุษย์แล้วที่เราจะมอบให้แก่กันได้ เพราะ Sexual Consent คือสิทธิมนุษยชน ที่เราควรจะ respect เคารพความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียม การที่เราจะสามารถยืนยันได้ว่านี่คือสิ่งที่ฉันต้องการสื่อสารมันออกไป ขณะเดียวกันอย่าลืมที่จะฟังความต้องการของคนอื่นด้วยค่ะ ”

photo : From Headlines to Sexual Consent Culture :
Faculty of Communication Arts, Chulalongkorn University
ดร.โกสุม โอมพรนุวัฒน์ ผู้อำนวยการหลักสูตรปริญญาโท สาขาวิชาสตรี เพศสถานะ และเพศวิถีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำเสนอให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนของการสร้าง “ วัฒนธรรมการสื่อสารความยินยอม ” (Consent Communication Culture) ในสังคมไทย โดยเฉพาะในองค์กรสื่อ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดกรอบการรับรู้เรื่องเพศ อำนาจ และความรุนแรงทางเพศ ดร.โกสุมกล่าวว่า
“ วัฒนธรรมความยินยอม Consent Culture ในต่างระเทศเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจมาก แต่ในประเทศไทยยังน้อยมากน่าจะงานนี้เป็นโครงการแรกที่ใช้คำว่า Consent Culture เพราะมีเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้ายังไม่แตะเชิงโครงสร้างใด ๆ เลย ขอโฟกัสไปที่ ‘ สื่อ ’ เพราะสื่อคือพื้นที่ผลิตความหมาย และมีอำนาจในการกำหนดเรื่องเล่า ในณะเดียวกันก็เป็นพื้นที่สุ่มเสี่ยงต่อการถูกคุกคามหรือการถูกลวงละเมิดทั้งทางตรงและทางอ้อม บางองค์กรมีการเขียนกฎเป็นลายลักษ์อักษรแต่เหตุการณ์เหล่านี้ยังคงเกิดขึ้นซ้ำ ๆ นั่นเพราะเรายังไม่ได้สร้างวัฒนธรรมความยินยอมให้เข้าไปอยู่ในตัวตนของคนให้ตระหนักว่า Consent คือสิทธิที่เท่าเทียมของทุกคน เมื่อมีวัฒนธรรมก็จะมีสิทธิ์กำหนดขอบข่ายของร่างกายตัวเอง มีสิทธิ์กำหนดการสื่อสาร การตัดสินใจที่เกี่ยวกับการทำงานในมิติต่าง ๆ ด้วย
สิ่งสำคัญต่อการทำความเข้าใจเรื่องความยินยอมในวัฒนธรรมความยินยอมคือ สิ่งนี้เป็นมากกว่าเรื่องเพศ (Sexual Consent) แต่อยู่ในทุกมิติของการดำรงชีวิต วัฒนธรรมความยินยอมต้องอยู่บนฐานของแนวคิดและความเข้าใจเรื่อง Affirmative Consent (ความยินยอมที่ได้รับการยืนยัน) การนิ่งเงียบหรือไม่ได้ปฏิเสธนั่นไม่ได้แปลว่ายินยอม ต้องมีการสื่อสาร การถาม การฟัง การเคารพซึ่งกันและกัน บางกรณีในที่ทำงานอาจมีเรื่องของ ‘ อำนาจ ’ ที่ทำให้จำเป็นต้องยินยอม
Affirmative Consent คือรากฐานของความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมในทุกมิติของชีวิต เพื่อการอยู่ร่วมกันบนฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน จึงจะนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านจาก ‘ วัฒนธรรมแห่งการควบคุม ’ ไปสู่ ‘ วัฒนธรรมแห่งการพูด-การฟัง ’ ได้
กรณีศึกษาจากต่างประเทศ เช่น องค์กรสื่อสาธารณะ National Public Radio (NPR) ของสหรัฐอเมริกา ที่นําแนวคิด Workplace Consent มาปรับใช้หลังเกิดเหตุอื้อฉาวทางเพศภายในองค์กร ซึ่งนําไปสู่การสร้างระบบร้องเรียนที่ปลอดภัย การอบรมพนักงานเรื่องความยินยอม และการส่งเสริมวัฒนธรรมการสื่อสารอย่างเปิดเผย แนวทางเช่นนี้ควรถูกนํามาปรับใช้กับบริบทไทย เพื่อให้สื่อมวลชนไม่เพียงเป็นผู้รายงานข่าว แต่ยังเป็น ‘ ผู้สร้างวัฒนธรรมแห่งความยินยอม ’ ในบริบทองค์กร ที่ส่งเสริมการเคารพศักดิ์ศรีของผู้คนในทุกมิติของการสื่อสาร 4 ระดับ
1. สร้างความเข้าใจร่วมกันในทุกระดับภายในองค์กร โดยนิยามความยินยอมที่ชัดเจนในบริบทของการทำงาน กำหนดขอบเขตสิทธิเพื่อระบบฏิบัติร่วมกัน บนพื้นฐานการเคารพใน ‘ พื้นที่ส่วนตัว ’ ของกันและกัน
2. อบรมพัฒนาการสื่อสารเรื่องความยินยอม การถาม การพูด การฟัง ทำให้ไม่เป็นเรื่องน่าอาย ไม่เกรงใจที่จะปฏิเสธ
3. ออกแบบระบบกลไกในการร้องเรียนที่ โปร่งใส ปลอดภัย เป็นธรรม มีการเก็บเป็นความลับและมี ‘ ช่องทางอิสระ ’ โดยม่ต้องเป็นไปตามสายงานการบังคับบัญชา ไม่ให้สุ่มเสี่ยงต่อหน้าที่การงานเพราะถูกกระทำกลับ คณะทำงานที่รับเรื่องร้องเรียนจะต้องมีความเข้าใจในเรื่องเพศและความสัมพันธ์เชิงอำนาจด้วย
4. ในฐานะองค์กรสื่อควรบูรณาการ ‘ วัฒนธรรมความยินยอม ’ เข้าไปในกระบวนการทำข่าว โดยนำเสนอเนื้อหาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ จรรยาบรรณสื่อ ’ เช่น การสัมภาษณ์ควรมีการสอบถามความยินยอมของผู้ถูกสัมภาษณ์เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของผู้เสียหายจากการถูกกระทำความรุนแรง การรายงานข่าวควรคำนึงถึงศักดิ์ศรีของผู้ถูกกระทำด้วย (มี sensitivity) โดยไม่ทำให้บุคคลในข่าวกลายเป็น ‘ วัตถุของการเสพข่าว ’ (Sensational การมุ่งเน้นเสพข่าวที่เร้าอารมณ์ กระตุ้นความตื่นเต้น ตกใจ หรือข่าวประเภทดรามา เนื้อหาหวือหวาเพื่อเรียกยอดวิว)
‘ วัฒนธรรมการสื่อสารความยินยอม ’ จึงไม่ใช่เพียงเครื่องมือป้องกันการล่วงละเมิด แต่คือกรอบคิดใหม่ของการทํางานสื่อและสังคม ที่ยอมรับว่า ทุกเสียงมีคุณค่าเท่ากัน และการฟังกันด้วยความเคารพคือพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างมีศักดิ์ศรี และความรับผิดชอบต่อกันในสังคมรวมสมัย ดร.โกสุม กล่าวสรุป

photo : From Headlines to Sexual Consent Culture :
Faculty of Communication Arts, Chulalongkorn University
คุณนัยนา สุภาพึ่ง จากมูลนิธิเพื่อสิทธิและความเป็นธรรมทางเพศ และอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นักกฎหมายผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิและความเป็นธรรมทางเพศ กล่าวว่า
“ หลายคนออกมาจากความรุนแรงไม่ได้เพราะเราคือส่วนหนึ่งของการยินยอมนั้น ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ครอบครัว สามี-ภรรยา เจ้านาย-ลูกน้อง อาจารย์-ลูกศิษย์ เป็นต้น ดังนั้นการสร้างความเข้าใจและตระหนักรู้เรื่องความยินยอมให้เป็นวัฒนธรรมในการพูดคุยและยอมรับได้ จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะแก้ไขปัญหาความรุนแรงทางเพศ อีกทั้งความรุนแรงทางเพศในครอบครัวเป็น ‘ พื้นที่มืด ’ ที่สังคมมองไม่เห็น ปัญหาความรุนแรงทางเพศจำนวนมากเกิดใน ‘ ครอบครัว ’ แต่สังคมและคนรอบตัวมักให้คุณค่ากับการ “ รักษาครอบครัวไว้ ” มากกว่าความปลอดภัยของเหยื่อ ส่งผลให้ผู้เสียหายต้องทนอยู่ในสถานการณ์รุนแรง ดังนั้นการเปลี่ยนวัฒนธรรมสำคัญกว่าการแก้กฎหมายอย่างเดียว ต้องสื่อสารเรื่องเพศบนความเท่าเทียม ต้องเลิกโทษเหยื่อ และต้องให้สังคมเข้าใจว่า Sexual Consent คือเรื่องสิทธิ ความปลอดภัย สุขภาวะ และความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่แค่คดีอาญา
คุณธารารัตน์ ปัญญา ทนายความและผู้ก่อตั้ง Feminist Legal Support กล่าวว่า
“ จากประสบการณ์การทํางานให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายในคดีความรุนแรงทางเพศ หนึ่งในความท้าทายสําคัญคือความเข้าใจเรื่อง ‘ ความยินยอม ’ ที่ยังคลาดเคลื่อนในสังคม รวมถึงในกระบวนการยุติธรรมเอง หลายครั้งคนจํานวนมากรวมถึงเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมเอง มักมองไม่เห็นอํานาจที่ไม่เท่าเทียมในสถานการณ์ความรุนแรง ขณะเดียวกันสื่อมวลชนยังมีบทบาทสําคัญในการสร้างความเข้าใจ เพราะการนําเสนอข่าวที่โทษผู้เสียหาย หรือมองปัญหาแบบผิวเผิน ยิ่งทําให้ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความยินยอมและความรุนแรงทางเพศฝังรากลึกในสังคม
ที่ฝรั่งเศสมีการยกระดับกฎหมายเริ่มตั้งแต่แก้ไขนิยามของคำว่า ‘ ยินยอม ’ ให้รัดกุมมากขึ้น คือต้องเป็นความยินยอมโดยเสรีมีข้อมูลครบถ้วน ผู้เสียหายต้องรับรู้ว่าการยินยอมของตัวเองนำไปสู่อะไร ต้องมีตัวเลือกให้ปฎิเสธได้ สามารถเพิกถอนหรือยกเลิกได้ในภายหลัง ถ้ามีการใช้ความรุนแรงอำนาจข่มขู่หรือบังคับ จะไม่ถือว่าเป็นการให้ consent เพราะมีการรับวัฒนธรรม Power Dynamic มาใช้ ” (พลวัตอำนาจ) คือ ความสมดุลของอำนาจ อิทธิพล และการควบคุมที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลหรือกลุ่มต่าง ๆ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาไม่คงที่ มีหลายรูปแบบ)

photo : thaibunterng.fandom.com
จาก ‘ ภาพชีวิต ’ สู่ ภาพยนตร์ คือ ‘ ภาพสะท้อน ’
ภาพยนตร์ไทยมากมายหลายเรื่องทั้งในอดีตและปัจจุบัน ที่มีประเด็นทางสังคม เกี่ยวกับการกระทำความรุนแรงต่อผู้หญิง การต่อสู้ปกป้องสิทธิ์สตรี เพื่อความยุติธรรมในทุกมิติ ทั้งที่เป็นแกนหลักของเรื่องและแทรกอยู่ประรายก็มีไม่น้อยเลย
- ความเหลื่อมล้ำทางเพศและสถานะ : การที่ผู้หญิงมีโอกาสน้อยกว่าผู้ชาย บทบาทของผู้หญิงจึงถูกจำกัดด้วยค่านิยม และโครงสร้างทางสังคม (เก่า)
- ความรุนแรงต่อสตรี : สะท้อนถึงการถูกคุกคาม การกดขี่ และการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงในรูปแบบต่าง ๆ แม้ในกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
- สิทธิมนุษยชน : สะท้อนให้เห็นถึงประเด็นปัญหาความไม่เท่าเทียม ความเหลื่อมล้ำที่ฝังรากลึกและถูกกลบ ส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนในหลายมิติ
ภาพยนตร์ที่โดดเด่นต่อประเด็นสำคัญเหล่านี้ได้แก่เรื่อง “ ล่า ” บทประพันธ์โดย ทมยันตี (ที่มาของเรื่อง คุณหญิงวิมล ศิริไพบูลย์ พบกับเด็กสาวคนหนึ่งในโรงพยาบาล เพราะถูกล่วงละเมิดทางเพศอย่างโหดร้ายจนเสียสติ ) มธุรส หนีสามีกดขี่ทุบตี มีหญิงอื่น ทำร้ายทั้งกายใจ เธอต้องพาลูกหนีออกจากบ้านไปอาศัยในสลัม ผึ้ง ลูกสาวแรกรุ่นถูกชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งรุมข่มขืน เมื่อลูกกลายเป็นบ้าและกฎหมายเอาผิดคนร้ายไม่ได้ ผู้เป็นแม่ใจสลายจนไม่อาจทนรอความช่วยเหลือจากผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อำนาจคุ้มครองของกฎหมายได้ เธอตัดสินใจปฏิบัติการไล่ล่าฆาตกรด้วยการปลอมตัวถึง 7 บุคลิก เป็นภาพจำของภาพยนตร์ต้นแบบในปี 2520 (เรื่องจริงอีกคดี วันที่ 16 ธันวาคม 2520 ไม่ต่างกัน เมื่อ 3 นักเรียนสาววางแผนล่าสังหารแก๊งนักเรียนกลุ่มหนุ่มทรชนด้วยความแค้นเพราะถูกข่มขืน [4] ‘ ฆาตกร ’ สารภาพว่าได้รับอิทธพลจากภาพยนตร์เรื่อง “ ล่า ”) ผลงานจากการผนึกกำลังร่วมของสามผู้กำกับ ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล , ไพรัช กสิวัฒน์ , เชิด ทรงศรี นำแสดงโดย สมบัติ เมทะนี , อรัญญา นามวงษ์ , ลลนา สุลาวัลย์ , วิยะดา อุมารินทร์ ฯลฯ บริษัทสหมงคลฟิล์ม สร้างและจัดจำหน่าย ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์อีก 2 ครั้ง ในปี 2537 (ช่อง 5) และปี 2560 (ช่อง ONE) สินจัย หงษ์ไทย ได้รับรางวัลนาฏราช ครั้งที่ 9 สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากละครเรื่อง “ ล่า ” (ผลงานปี 2560) [5]

photo : thaibunterng.fandom.com
“ หย่าเพราะมีชู้ ” (THE ACCUSATION) ภาพยนตร์แนว Drama เปี่ยมอุดมการณ์ สตรีนิยม (Feminist ไม่แพ้อีกเรื่องคือ “ ครั้งเดียวก็เกินพอ ” ของผู้กำกับนักเขียนบทภาพยนตร์คนเดียวกัน มานพ อุดมเดช) จากบทประพันธ์ของ อุดม ศุภสินธุ์ นำแสดงโดยสองนางเอกคุณภาพแห่งยุค สินจัย หงษ์ไทย , นาถยา แดงบุหงา , อภิชาติ หาลำเจียก , ชลประคัลภ์ จันทร์เรือง ฯลฯ อำนวยการสร้างโดย วิศิษฐ์ มิ่งวัฒนบุญ บริษัท พูนทรัพย์โปรดักชัน
“ หย่าเพราะมีชู้ ” ภาพยนตร์ปี 2528 เรื่องของผู้หญิงที่ถูกกดขี่ทางเพศจากพฤติกรรมสามี บริบททางสังคมเก่ากดทับทำให้เธออดทนจนถึงที่สุด แต่เมื่อเขาคบชู้จึงต้องสู้ปกป้องศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์และสถานะ ‘ ภรรยา ’ เพื่อความยุติธรรมตามกฎหมาย ฉากว่าความในศาลกระชากความเป็นชายไร้สำนึก โดดเด่นเป็นรูปแบบใหม่ของภาพยนตร์ไทยในยุคนั้น ที่ผู้ชมสนุกเร้าใจไปกับการสืบพยาน หาเหตุผลซักค้าน ประเด็นหักล้างบทอล่างฉ่างเปิดเปลือยรสนิยมความรุนแรงทางเพศอย่างหมดเปลือกปกป้องผู้หญิงด้วยเหตุผลที่อยู่บนข้อเท็จจริง บทบาทของสองดาราสาว สินจัย - นาถยา ได้ใจแฟนหนังไทยมาก โดยเฉพาะฉากถอดรองเท้าเขวี้ยงใส่หน้าสามีในศาล กลายเป็นภาพจำจนบัดนี้
เชิญรับชม https://youtu.be/DVyERb3VP9s

photo : thaibunterng.fandom.com
ผลงานของ ‘ ผู้กำกับ Feminist ’ มานพ อุดมเดช ในประเด็นความรุนแรงต่อผู้หญิงยังมีอีกเรื่องที่โดดเด่นคือ “ คืนบาป พรหมพิราม ” เขียนบทและกำกับโดย มานพ อุดมเดช อำนวยการสร้างโดย หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล นำแสดงโดย พิมพ์พรรณ ชลายนคุปต์ , กมล ศิริธรานนท์ , สมภพ เบญจาธิกุล ฯลฯ จัดจำหน่ายโดย บริษัทสหมงคลฟิล์ม เป็นภาพยนตร์อาชญากรรม ที่สร้างจากนวนิยายเชิงอาชญวิทยาของ นที สีทันดร (สันติ เศวตวิมล) มีเค้าจากเรื่องจริงคดีข่มขืนและฆาตกรรมที่ อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2520
กลุ่มผู้ก่อเหตุประมาณ 30 คน รุมข่มขืนหญิงสาวเสียสติแล้วฆ่าปิดปาก แรกตำรวจไม่ยอมดำเนินคดีอ้างอุบัติเหตุ เพราะเกรงกลัวอิทธิพลของผู้ก่อเหตุ แต่ชาวบ้านร่วมกันร้องเรียนสื่อมวลชน ทำให้สื่อร่วมกันสืบสวนและตีแผ่ คดีได้รับความสนใจในวงกว้าง จนตำรวจต้องรื้อฟื้นการสืบสวนขึ้นมาใหม่ มีการดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุได้เพียงบางส่วนประมาณ 10 คน ส่วนที่เหลือไม่สามารถดำเนินคดีได้เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ
ภาพยนตร์ได้รับรางวัล ลำดับภาพยอดเยี่ยม จาก ชมรมวิจารณ์บันเทิง
ได้รับ รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ประจำปี พ.ศ. 2546
- ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
- นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม
- บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
- ลำดับภาพยอดเยี่ยม
- ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม

photo : thaibunterng.fandom.com
เรื่อง “ ช่างมันฉันไม่แคร์ ” กำกับโดย ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล เรื่องราวความรักของคนรุ่นใหม่ที่กล้าลุกขึ้นมาปฏิวัติขนบ สินจัย หงษ์ไทย รับบทผู้หญิงเท่ทันสมัย เป็นนักสร้างสรรค์งานโฆษณา ชาติสกุลดี ฐานะครอบครัวดี การศึกษาดี มีทัศนคติที่เป็นขบถต่อการแบ่งแยกชนชั้น กีดกันสถานะ รักกับผู้ชายขายตัว รับบทหนุ่มบ้านนอกซื่อใสใจสะอาดโดย ลิขิต เอกมงคล ครอบครัวกีดกันแต่เธอยืนยันเคียงข้างปกป้อง คู่รัก จากการทำร้ายของ คนรักเก่า ที่มีอำนาจเหนือ เธอต่อสู้แลกสิทธิ์ของชีวิต อิสรภาพของจิตใจ และไม่ยอมจำนนต่อเงื่อนไขของสังคม เพื่อความเท่าเทียมในความเป็นมนุษย์ของ ‘ ไอ้ตัว ’ บริษัทสหมงคลฟิล์ม สร้างและจัดจำหน่าย เรื่องนี้ได้รับ 4 รางวัลตุ๊กตาทอง (รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี) ประจำปี พ.ศ. 2529
- รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
- รางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล)
- รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม (หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล)
- รางวัลเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม (สุวรรณดี จักราวรวุธ)
เชิญรับชม “ ช่างมันฉันไม่แคร์ ” https://youtu.be/KdCtnzZsfu8

และล่าสุดเรื่อง “ วิมานหนาม ” (The Paradise of Thorns) ภาพยนตร์ไทยแห่งปี จาก ชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 33 ประจำปี 2567 โด่งดังทั้งในระดับประเทศและในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติทั่วโลก กำกับการแสดงโดย นฤเบศ กูโน ภาพยนตร์สะท้อนเพศวิถีที่สังคมด้อยค่า ความเหลื่อมล้ำอย่างรุนแรง และการแก่งแย่งสิทธิ์ครอบครองทรัพย์สินของคู่รักร่วมเพศ (ก่อนกฎหมายสมรสเท่าเทียมประกาศใช้ในปี 2568) ผู้หญิงถูกลดทอนคุณค่าของ ‘ ภรรยา ’ ให้เป็นแค่ ‘ คนรับใช้’ แต่สาวชาวชาติพันธุ์สู้อย่างถึงที่สุดเพื่อทวงสิทธิ์ตาม ‘ พฤตินัย ’ แม้ไม่มีสิทธิ์ตาม ‘ นิตินัย ’ จนได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการจะครอบครองอย่างผู้ชนะ นำแสดงโดย อิงฟ้า วราหะ , สีดา พัวพิมล , วรกมล ชาเตอร์ , ร่วมด้วย พงศกร เมตตาริกานนท์ , และ หฤษฎ์ บัวย้อย ได้รับรางวัล ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จาก Y Content Awards 2024 , รางวัล Best Feature Film จากเทศกาลภาพยนตร์ LGBT+ Film Festival Poland 2025 , รางวัลกำกับศิลป์ยอดเยี่ยม สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 33 และ Thailand Box Office Awards 2024 “ วิมานหนาม ” ได้รับทั้งหมด 4 รางวัล
- รางวัลภาพยนตร์แห่งปี (2567)
- รางวัลนักแสดงนำหญิงแห่งปี : อิงฟ้า วราหะ
- รางวัลนักแสดงสมทบหญิงแห่งปี : สีดา พัวพิมล
- รางวัลเพลงประกอบภาพยนตร์ : เหมือนวิวาห์ / เจฟ ซาเตอร์
จากเวที ‘สุพรรณหงส์ครั้งที่ 33’ โดย สมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ ได้แก่
- นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม | สีดา พัวพิมล
- ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม
- กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม
- กำกับภาพยอดเยี่ยม
- เพลงนำภาพยนตร์ยอดเยี่ยม | เหมือนวิวาห์ ร้องโดย เจฟ ซาเตอร์

ความยินยอมต่อ ‘ อำนาจเหนือ ’
‘ เหยื่อ ’ ในระบบราชการ
“ Out Standing ” [6] แคนาดา / 2025 / 106 นาที / อังกฤษ / TIFF 50 (2025)
ภาพยนตร์สัญชาติแคนาดาที่โดดเด่นประเด็นผู้หญิงกับการถูกทำร้ายรุนแรง โดยผู้มีอำนาจผ่านระบบงาน บนความยินยอมของ ‘ เหยื่อ ’ (Servisever) ทั้งในหน้าที่อันทรงเกียรติ และการกดขี่บีฑาทางเพศ เรื่อง “ Out Standing ” จัดฉายรอบปฐมทัศน์ในโครงการ Discovery ของ “ เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต ครั้งที่ 50 The 50th Toronto International Film Festival ” จัดโดย Rogers เมื่อวันที่ 4–14 กันยายน 2568 และที่ประเทศไทย เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับการคัดเลือกจัดฉายในพิธีเปิดงานของ “ เทศกาลภาพยนตร์ผู้หญิง Baturu Women’s Film Festival 2025 ” ที่ได้รับการคัดสรรภาพยนตร์จากนักสร้างสรรค์ผู้หญิง และบรรดาผู้กำกับเฟมินิสต์จากหลายประเทศทั่วโลก เพื่อบอกเล่าเรื่องของผู้หญิงที่ลุกขึ้นยืน ผู้หญิงที่เจ็บปวด ผู้หญิงที่ยังมีความหวังและผู้หญิงที่ต่อสู้เพื่อสิทธิ ความเท่าเทียม และศักดิ์ศรีของตัวเอง โดยมีเจตจำนงให้ทุกเสียงได้ถูกฟังโดยไม่มีใครมาปิดปากพวกเธออีกต่อไป สถานที่จัดฉายได้แก่ Alliance Française Bangkok, Goethe-Institut Thailand, Jim Thompson Art Center, House Samyan, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, บ้านตรอกถั่วงอก, คณะลาบ 2563 เชียงใหม่ จัดฉายเมื่อวันที่ 25-30 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา
“ TIFF 50 ” โดย JASON ANDERSO รายงานว่า “ Out Standing ” เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากชีวิตจริงของ Sandra Perron เจ้าหน้าที่ทหารราบหญิงคนแรกของแคนาดา ซานดรา เพอร์รอน เติบโตในครอบครัวทหาร เธอไล่ตามความฝันที่จะรับใช้ชาติด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าหลังจากเข้าร่วมกองทัพแคนาดาในปี พ.ศ. 2527 แต่เมื่อเธอเริ่มฝึกฝนเพื่อเป็นนายทหารราบหญิงคนแรกของแคนาดา และต่อมาในอาชีพการงานในฐานะสมาชิกของกรมทหารราบที่ 22 (Royal 22e Régiment เป็นกรมทหารราบที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ได้รับฉายาที่รู้จักกันดีว่า ‘ แวนดูส ’ VanDoos) เพอร์รอนต้องเผชิญกับความท้าทายที่มากกว่าความต้องการของงานซึ่งแสนสาหัส มีคำสั่งบังคับให้ต้องพิสูจน์ความสามารถอย่างหนักหน่วงครั้งแล้วครั้งเล่า แม้เธอผ่านพ้นไปจนได้แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด รวมถึงการถูกคุกคามและทำร้ายร่างกายอย่างโหดเหี้ยมเกินเหตุ ดังที่เธอเล่าไว้ในบันทึกความทรงจำปี พ.ศ. 2560 เรื่อง “ Out Standing in the Field ” ว่า ความแตกต่างทางเพศก่อให้เกิดความขัดแย้งในสถาบันที่สังกัดกับกองทัพแคนาดา คือสิ่งซึ่งสามารถกล่าวได้ว่ากลายเป็น ‘ ศัตรูที่โหดร้ายที่สุดของเธอ ’

photo : www.amazon.com
เช่นเดียวกับหนังสือเล่มที่โด่งดังของ Perron ได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ผลงานของผู้กำกับ Mélanie Charbonneau นำเสนอระบบราชการในกองทัพที่มักจะเปลี่ยนแปลงง่าย แต่กลับกลายเป็นสิ่งที่เอื้อให้เกิดความไม่เท่าเทียมและมักเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้หญิง แม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีพลังต่อการวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างอย่างหลากหลาย แต่ “ Out Standing ” กลับประสบความสำเร็จอย่างงดงามในฐานะภาพสะท้อนที่ได้รับความสนใจชวนให้ติดตาม ของบุคคล (ผู้หญิง) ซึ่งความทรนงภายนอกบดบังความโกรธและความเปราะบางที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน ทั้งหมดนี้ถูกถ่ายทอดออกมาบนจอภาพยนตร์อย่างทรงพลัง โดย Nina Kiri (Nina Kiridžija) นักแสดงสาวชาวเซอร์เบีย-แคนาดา รับบทเป็น Sandra Perron หญิงแกร่งแห่งกองทัพแคนาดา
ยิ่งไปกว่านั้น Charbonneau ยังหลีกเลี่ยงการใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบง่าย ๆ และใช้วิธีการที่ซับซ้อนกว่า ซึ่งสิ่งนี้เป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเหตุการณ์สำคัญของ “ Out Standing ” เมื่อ Perron ซึ่งเพิ่งปลดประจำการจากราชการ ต้องเผชิญกับข้อพิพาทเกี่ยวกับภาพถ่ายระหว่างการฝึกซ้อม ภาพที่น่าตกใจนี้อาจสื่อความจริงเพียงบางส่วน เกี่ยวกับประสบการณ์และความสัมพันธ์ของเธอกับกัปตัน Pritchett (Vincent Leclerc) ครูฝึกทหารที่ดูโหดเหี้ยม Charbonneau กับ Kiri และทีมงานของเธอต่างภูมิใจกับเรื่องนี้ (รวมถึงเหล่าทหารทั้งหมดที่เธอได้สร้างแรงบันดาลใจ ด้วยเรื่องราวชีวิตที่ไม่เคยลดความน่าเชื่อถือหรือความน่าติดตามลงเลย)

photo : thecanadianencyclopedia.ca
“ Out Standing ” สร้างจากชีวิตจริงของ เพอร์รอน (Sandra Perron) ไล่เรียงเรื่องราวลำดับเหตุการณ์ตามเวลารับราชการทหารในประวัติ ดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์โดย เมลาลี ชาร์บอนโน (Mélanie Charbonneau) และ มาร์ติน เพจ (Martin Page) โดยอิงจากบันทึกความทรงจำเรื่อง “ Outstanding in the Field ” ของ แซนดรา เพอร์รอน เธอเกิดเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 1965 ที่ เมืองพอร์เทจ ลา แพรรี เป็นเด็กหนุ่มที่เติบโตมาในครอบครัวทหารและได้เดินทางไปทั่วแคนาดาตั้งแต่ยังเด็ก เธอจบการศึกษาจาก โรงเรียนนายร้อยทหารบกแคนาดา RCAC (Royal Canadian Army Cadets) หลังเรียนจบก็เข้าร่วมกับกองทัพแคนาดาทันที เธอรับราชการในกองทัพทหารแคนาดา (RCAC) ตั้งแต่ปี 1979 ถึง 1984 ได้รับยศร้อยโทและได้รับรางวัลระดับทองจาก The Duke of Edinburgh's Award
และลงทะเบียนในแผนการฝึกอบรมนายทหารประจำการ ได้รับการฝึกขั้นพื้นฐานที่ CFB Chilliwack และเข้าเรียนที่ Winnipeg Univercity ระหว่างเรียนภาคฤดูร้อนที่ CFB Borden เพอร์รอนถูกข่มขืนต้องทำแท้งแต่เธอไม่ได้รายงานเหตุการณ์ จนสำเร็จการศึกษาในปี 1988 ด้วยปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์ จากนั้นเพอร์รอนเริ่มรับราชการใน กองพันทหารที่ 5 ที่ CFB Valcartier ปี 1989 ขณะอยู่ที่ Valcartier เธอได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นร้อยเอก
เพอร์รอนถูกโอนไปยังกองทหารราบเมื่อมีการเปิดรับผู้หญิงในปี 1989 การฝึกของเธอเริ่มต้นในปี 1991 ที่ CFB Gagetown เธอรายงานว่าถูกคุกคามในฐานะนักเรียนและถูกฝึกอย่าง ‘ รุนแรงเกินไป ’ เจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ กล่าวหาว่า ‘ เธอเป็นภัยคุกคาม ’ และผู้สำเร็จการศึกษาจาก วิทยาลัยการทหารแห่งราชวงศ์ (RCAC) ไม่ชอบเธอเป็นพิเศษ ในวันที่ 29 เมษายน 1992 เพอร์รอนถูกจับเป็น ‘ นักโทษ ’ จากเหตุการณ์จำลองการฝึกทหาร เธอถูกสอบสวนเชิงล้อเลียน ถูกตี ถูกมัดไว้กับต้นไม้ และถูกทิ้งไว้ในหิมะเป็นเวลาสองชั่วโมงโดยไม่มีรองเท้าบู๊ต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกในวันที่ 15 พฤษภาคม 1992 เธอถูกจับเป็นนักโทษอีกครั้งในการฝึกจำลองและถูก ‘ ธำรงวินัย ’ (การลงโทษเพื่อปรับปรุงวินัยของทหาร) ด้วยการตีที่ท้องอย่างแรงพร้อมกับนายทหารคนอื่น ๆ อย่างไร้มนุษยธรรม

photo : thecanadianencyclopedia.ca
ในฐานะเจ้าหน้าที่ Perron ถือเป็นผู้มีความสามารถมาก รับราชการในกรมทหารราบที่ 22 ตั้งแต่ปี 1992 เธอถูกส่งไปประจำการกับกรมทหารที่ ยูโกสลาเวีย โดยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ ในการเดินทางครั้งที่สองเธอได้เป็นผู้บัญชาการหมวด TOW Under Armour ในปี 1995 ที่ โครเอเชีย ได้รับคำชมเชยในการปฏิบัติงานอย่างยอดเยี่ยม เพอร์รอนออกจากกองทัพบกในปี 1996 เพราะเธอไม่ได้รับการยอมรับจากทหารคนอื่น กำลังก้าวหน้าในขณะที่อายุยังน้อย แม้ว่าเพอร์รอนไม่ได้อุธรณ์เกี่ยวกับคำสั่งต่อการปฏิบัติงานที่ดูเหมือนจ้องจะ ‘ เล่นงาน ’ เธอขณะที่อยู่ในกองทัพ แต่ภาพของเธอที่ถูกมัดไว้กับต้นไม้กลางหิมะก็รั่วไหลออกมา เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 1996 บนหน้าแรกของ Le Journal de Montréal (หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์รายวันภาษาฝรั่งเศสยอดขายสูง ที่ตีพิมพ์ในเมืองมอนทรีออล รัฐควิเบก ประเทศแคนาดา) แล้วงานตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเธอก็เริ่มต้นขึ้นเหมือนจงใจจับผิด
ทหารที่เกี่ยวข้องรวมถึง มิเชล เรนวิลล์ โต้แย้งว่าการปฏิบัตินั้น ‘ ปกติ ’ คนอื่น ๆ โต้แย้งว่าคดีของเธอเป็นการละเมิดประมวลกฎหมายเจนีวา หรือเป็นการละเมิดรายงานที่ออกในเดือน มกราคม 1997 สรุปว่าเธอประสบกับ ‘ การล่วงละเมิดทางเพศอย่างละเอียดอ่อนและเปิดเผย ’ ขณะอยู่ในกองทัพ เพอร์รองกล่าวว่าเธอตกเป็นเหยื่อของ ‘ การล่วงละเมิดทางอารมณ์และจิตใจอย่างต่อเนื่อง ’ สภาพของความเป็นหญิงท่ามกลางหมู่ชายจึงไม่ต่างจากนักโทษในกองทัพ ประสบการณ์ของเธอได้รับการยกย่องว่าทำให้กองทัพต้องแก้ไขระเบียบปฏิบัติเพื่อพยายามหยุดยั้งการล่วงละเมิดทางเพศ เธอกลับเข้าร่วมกองร้อยฝึกทหารใหม่ในปี 1996
ตั้งแต่ปี 1996 ถึง 2003 เพอร์รอนอยู่ในหน่วย Cadet Instructors Cadre ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพแคนาดา และได้รับการเลื่อนยศเป็น พันตรี เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 1998 เธอได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าคณะกรรมการที่ปรึกษาเก้าคนของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งชาติ เกี่ยวกับการช่วยเหลือสตรีและชนกลุ่มน้อยให้ ‘ กลมกลืน ’ เข้ากับกองทัพแคนาดา คณะกรรมการได้จัดทำรายงานสรุปผลการทำงานว่า “ ความไม่รู้และการไม่ยอมรับผู้อื่นเป็นภัยต่อกองทัพแคนาดา ” และอธิบายว่า “ เป็นความพยายามของกองทัพในการบูรณาการสตรีและชนกลุ่มน้อย ซึ่งชัดเจนว่าคือความล้มเหลว ” หลังออกจากกองทัพ เธอได้เป็นผู้จัดการของ General Motors ใน Quebec และยังทำงานให้กับ Bombardier Aerospace อีกด้วย เธอทำงานให้บริษัทที่ปรึกษาใน Edmonton โดยได้รับการแต่งตั้งเป็นหุ้นส่วนอาวุโส ในปี 2013 Perron ได้ตีพิมพ์หนังสือ “ Outstanding in the Field : A Memoir by Canada's First Female Infantry Officer ” ในปี 2013 “ The Globe and Mail ” เรียกบันทึกความทรงจำของเธอว่า “ revealing and moving ” (ทั้งเปิดเผยและกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนไหวในวงกว้าง) ” ได้รับรางวัล “ Quebec Writers' Federation Award ” และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล “ Shaughnessy Cohen Prize for Political Writing ” ปี 2020 Perron ได้จัดทำหนังสือเป็นแพ็คเกจของขวัญสำหรับส่งมอบให้กับกองทัพแคนาดาในช่วง COVID-19 ระบาดหนัก นับเป็นของวัญอันเหมาะสมต่อการบันทึกเกียรติประวัติพัฒนาการของกองทัพแคนาดายิ่งนัก

Black Box Diaries [7]
2024 / ชื่อไทย : หรือเธอคนเดียวที่ผิด
ญี่ปุ่น-สหรัฐอเมริกา-สหราชอาณาจักร
1ชั่วโมง 43 นาที / กำกับ : ชิโอริ อิโตะ
รางวัล : ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลต่าง ๆ ถึง 33 รางวัล และได้รับรางวัลจากทั่วโลกรวม 21 รางวัล
- เข้าชิง Grand Jury Prize (World Cinema – Documentary) Sundance Film Festival 2024
- ได้รับรางวัล Human Rights Award เทศกาล CPH:DOX (Copenhagen International Documentary Festival)
“ Black Box Diaries ”[8] สร้างจากบันทึกความทรงจำของนักข่าวสาววัย 28 ปี ชิโอริ อิโตะ (Shiori Itō) เริ่มสร้างไม่นานหลังจากที่อิโตะตัดสินใจแถลงข่าวต่อสาธารณะ เมื่อเธอถูกล่วงละเมิดทางเพศในเดือนพฤษภาคม ปี 2017 อิโตะ ช็อกคนทั้งประเทศญี่ปุ่นด้วยการเปิดเผยเหตุการณ์ที่เธอถูกข่มขืน โดยนักข่าวรุ่นใหญ่ผู้ทรงอิทธิพล และเป็นคนสนิทของอดีตนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ เธอกล่าวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เธอรู้สึกไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเปิดหน้าสู้เพื่อผลักดันให้ญี่ปุ่นยอมเปลี่ยนแปลงกฎหมายเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศอันล้าสมัย
แต่สิ่งที่อิโตะไม่เคยคาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อการแถลงข่าวของเธอสร้างความตกตะลึงให้แก่สังคมที่ถือว่าเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องน่าอับอาย ภายในไม่กี่วันเธอก็กลายเป็นศูนย์กลางความขัดแย้งทางการเมือง เมื่อฝ่ายขวาจัดมองว่าเธอเป็นภัยคุกคามที่จะส่งผลโค่นล้มรัฐบาลอาเบะ ขณะที่ฝ่ายซ้ายยกย่องเธอเป็นวีรสตรีด้วยเหตุผลเดียวกัน คำขู่ฆ่า การกลั่นแกล้งเหยียดหยามทางไซเบอร์ จดหมายที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ทำให้อิโตะตกอยู่ในภาวะย่ำแย่ และเมื่อเธอยื่นฟ้องคดีแพ่ง ผู้ถูกกล่าวหาก็ประกาศสงครามเต็มรูปแบบกับเธอ
“ Black Box Diaries ” เป็นสารคดีที่ Shiori Itō กำกับด้วยตัวเอง ด้วยเนื้อหาที่เป็นส่วนตัวที่สุดเพื่อบันทึกการเดินทางอันระหกระเหินและแสนเจ็บปวด ผู้ชมจะได้เห็นผลกระทบจากเครือข่ายการเมือง สื่อ และเทคโนโลยีที่มีอิทธิพลต่อความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นทั้งผู้เสียหายและเป็นนักข่าวที่ต้องขุดคุ้ยสืบสวนคดีของตัวเธอเอง…ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้เวลาสร้างนานถึง 6 ปี กำกับโดย อิโตะ นักข่าวผู้เสียหาย Shiori Itō และร่วมอำนวยการสร้างกับ ฮันนา อัควิลิน และ เอริก นยาริ ในช่วงสุดสัปดาห์แรกที่เข้าฉาย รายได้จากบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกอยู่ที่ 7,000 ดอลลาร์สหรัฐ และมีมูลค่ารวมประมาณ 33,000 ดอลลาร์สหรัฐ ณ ต้นเดือนมีนาคม 2023

photo : www.amazon.sg [9]
“ Black Box ” เป็นบันทึกความทรงจำที่สะเทือนใจ ชวนให้ติดตามเรื่องราวการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมของ Shiori Itō ที่เรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในภาพรวมของระบบและโครงสร้างทางสังคม เพื่อให้มั่นใจว่าในอนาคต เหยื่อของการล่วงละเมิดทางเพศจะสามารถออกมาเปิดเผยตัวได้โดยไม่ต้องถูกปิดปากหรือถูกทำให้อับอาย อิโตะระบายถึงระบบการปราบปรามด้วยความรุนแรงที่ล้มเหลว ด้วยความโกรธแค้น รอบคอบและเงียบงัน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการประกาศถึงจุดเริ่มต้นของแนวร่วมใหม่ ที่แสวงหา ‘ เส้นทางยุติธรรม ’ ที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
ในปี 2015 ชิโอริ อิโตะ นักข่าวสาวผู้เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น ได้ตั้งข้อหาข่มขืนกับ โนริยูกิ ยามากูจิ นักข่าวชื่อดัง หลังเลิกจากดื่มสังสรรค์อิโตะจำได้ว่าเธอรู้สึกตัวอีกครั้งในห้องพักโรงแรมขณะที่ถูกทำร้ายร่างกาย แต่เมื่อไปแจ้งความอิโตะกลับถูกบอกว่าคดีของเธอเป็น ‘ กล่องดำ ’ ที่ไม่สามารถแตะต้องได้และไม่สามารถดำเนินคดีได้
หลังจากตีพิมพ์ในปี 2017 บันทึกเผ็ดร้อนของอิโตะได้นำเสนอกระแส #MeToo ในญี่ปุ่น และกลายเป็นศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและกฎหมายอย่างเร่งด่วนเกี่ยวกับการยอมรับการล่วงละเมิดทางเพศและความรุนแรงบนพื้นฐานทางเพศ ขณะที่สื่อต่างประเทศรายงานเรื่องราวของเธอทุกย่างก้าว แม้กระทั่งบันทึกไว้ในภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่อง “ Secret Shame ” [10] ของ BBC ปลายปี 2019 อิโตะชนะคดีแพ่งที่ฟ้องยามากูจิคู่กรณี หนังสือเล่มนี้สร้างปรากฎการณ์และได้จุดประกายให้เกิดการสะสางทางสังคม สมกับที่อิโตะได้ต่อสู้จนถึงที่สุด

photo : Feminist Legal Support : Change DV Law
ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว
ฉบับภาคประชาชน
Feminist Legal Support (FLS) เป็นหนึ่งใน เครือข่ายต่อต้านความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศประเทศไทย (CaGBV) ทางเครือข่ายฯ ได้จัดทำ “ ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวฉบับภาคประชาชน ” เสนอต่อสภาผู้แทนฯ โดยมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งร่วมลงชื่อสนับสนุนถึง 23,989 คน ขณะนี้ เว็บไซต์รัฐสภากำลังเปิดรับฟังความเห็นสาธารณะต่อร่างกฎหมายฉบับนี้ เพื่อสรุปความเห็นเสนอต่อฝ่ายนิติบัญญัติให้พิจารณาเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบต่อไป
ร่วมกันผลักดัน ‘ กฎหมายใหม่ ’ ที่ยึด ‘ ผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง ’ และให้การคุ้มครองแบบครอบคลุม ขอเชิญแสดงความเห็นต่อ “ ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว[11] พ.ศ. ....(ฉบับภาคประชาชน) ” เพื่อผลักดันให้ร่างกฎหมายของภาคประชาชนฉบับนี้เป็น #บ้านพื้นที่ปลอดภัยของทุกคน และร่วมให้ความเห็น “ เห็นด้วย ” เพื่อผลักดันโดยสแกน QR code ในภาพ
หรือคลิกลิงก์ https://www.parliament.go.th/section77/survey_detail.php?id=509
หมดเขตรับฟังความเห็น 10 ธันวาคม 2568 (ดูคำถามฉบับเข้าใจง่ายและเหตุผลประกอบการให้ความเห็นในภาพ)
ติดตามรายงานล่าสุดของ ICJ (International Court of Justice - ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือที่รู้จักกันในนาม ศาลโลก) เพื่อดูข้อเสนอเร่งด่วนในการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม สำหรับผู้เสียหายกรณีความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศและเพศภาวะในประเทศไทย : https://www.icj.org/thailand-swift-action-is-needed-to-ensure-access-to-justice-for-survivors-of-sexual-and-gender-based-violence


photo : Feminist Legal Support : Change DV Law
[1] โครงการการฝึกอบรมสื่อมวลชนเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมการสื่อสารด้วยความยินยอมทางเพศ https://www.facebook.com/share/p/17ahGuphUn/
[2] โจแอนนา เมซี ผู้นำและนักเคลื่อนไหว Ecodharma https://tricycle.org/article/remembering-joanna-macy/
[3] From Headlines to Sexual Consent Culture : สื่อมวลชนจะร่วมสร้างวัฒนธรรมการสื่อสารความยินยอมทางเพศได้อย่างไร https://www.facebook.com/commartschulaofficial/videos/1120095356778566
[4] ตำนานคดีดัง (2520) “ ล่า ” 3 นร.สาว แค้นขืนใจ ไล่ฆ่าแก๊งทรชน https://youtu.be/sHALQrLuUak?si=3WgXVCkdEX8z8uUX
[5] ล่า | EP.1 (FULL HD) | 28 พ.ย. 60 | one31 https://youtu.be/fyAYZ-5vlkI?si=YKXBiGuldePV8hHI
[6] “ Out Standing ” https://www.tiff.net/films/out-standing
[7] Black Box Diaries https://documentaryclubthailand.com/black-box-diaries/
[8] Raped by a Powerful Journalist https://youtu.be/59XXT9A6qpU?si=kAP8aV8xnHbuzlUp
[9] Black Box: The Memoir That Sparked Japan's #Metoo Movement https://www.amazon.sg/Black-Box-Memoir-Sparked-Movement/dp/1952177979
[10] Japan Secret Shame https://www.bbc.co.uk/programmes/b0b8cfcj
[11] ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวฉบับภาคประชาชน https://www.facebook.com/share/p/1G5zSTJ3i3/