ความหลังบางสิ่งบางอย่างเป็นสิ่งหลายคนลืมได้ยาก และดิฉันเองซึ่งเป็นปุถุชนคนหนึ่ง ก็มีความทรงจําในอดีตบางอย่างที่ยากที่จะลืมได้ เรื่องราวเกี่ยวกับพี่เตียง สามีของดิฉัน เป็นเรื่องที่บางคนเคยได้ยินได้ฟังมาก่อน เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคิด โดยเฉพาะในครอบครัวของเรา ที่จริง พี่เตียงอยู่บ้านไม่ได้นานนัก ต้องไปโน่นไปนี่อยู่เสมอ บางทีดิฉันก็ทราบว่า พี่เตียงไปไหน ที่ที่ไปนั้นมีมากเหลือเกิน อาจต้องไปพบพี่น้องชาวสกลนครในเขตตําบลและอําเภอต่าง ๆ แต่ตั้งแต่เริ่มงานเสรีไทย พี่เตียงไปไหนมาไหนบางทีไม่บอกให้ทราบด้วยซ้ำ แต่ดิฉันรู้ว่า พี่เตียงไปแล้วจะต้องกลับมาหาเมียหาลูก แต่แล้วในระยะหลังรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 พี่เตียงไปอยู่สกลนครบ่อยครั้ง เคราะห์ดีที่เมื่อครั้งกบฏวังหลวง 2492 พี่เตียงไม่อยู่กรุงเทพฯ เพราะถ้าอยู่ในกรุงเทพฯ ก็คงถูกยิงทิ้งไปพร้อมกับคุณทองอินทร์ ภูริพัฒน์ คุณถวิล อุดล และคุณจําลอง ดาวเรือง ไปแล้ว แต่พอพี่เตียงทราบข่าวทางหนังสือพิมพ์ว่า สี่รัฐมนตรีถูกยิง พี่เตียงก็ออกป่า
ดิฉันเป็นห่วงพี่เตียง อยากให้พี่เตียงมีชีวิตเหมือนคนอื่นเขาบ้าง มีเวลาอยู่บ้านกับลูกกับเมีย แต่พี่เตียงกลับต้องอยู่ป่า ป่าตรงไหนก็ไม่รู้ การออกป่าคราวนี้ไม่เหมือนคราวก่อน ๆ เพราะแต่ก่อนรู้ว่า พี่เตียงไปแล้วพี่เตียงจะกลับ แต่คราวนี้ไม่รู้ว่าพี่เตียงจะกลับมาเมื่อไร
แล้วทางการก็ประกาศว่า พี่เตียงเป็นขุนพลภูพาน เป็นคนจะแบ่งอีสานบ้าง ทางการทั้งตํารวจทหารพยายามตามจับตัว แต่ก็จับไม่ได้ ขอให้ทุกคนคิดว่า ดิฉันคิดอย่างไร คิดถึง เป็นห่วง เป็นห่วงเพราะเกรงจะลําบาก และยังเป็นห่วงเพราะเกรงว่า พี่เตียงของดิฉันอาจถูกจับตาย
แล้วต่อมาพี่เตียงก็ยอมมอบตัวให้ทางการและกลับมา
นึกว่า มรสุมต่าง ๆ จะหมดไป แต่แล้วมันก็ไม่หมด วันหนึ่งพี่เตียงออกจากบ้าน ประจักษ์เป็นคนขับรถให้ แล้วปรากฏว่า พี่เตียงไม่กลับ และประจักษ์ก็ไม่กลับ ดิฉันได้แต่เป็นห่วงและสงสัย และยิ่งเป็นห่วงมากขึ้นตามลําดับ พี่เตียงไม่เคยทําอย่างนี้ ผิดปรกติเสียเหลือเกิน
แล้วทางการก็ออกแถลงการณ์ว่า พี่เตียงหนีไปพม่า และมีการเพิ่มเติมเสริมแต่งรายละเอียดขึ้นอีกหลายอย่าง ดิฉันได้ฟังได้อ่าน เพราะคอยอ่านข่าวของพี่เตียงอยู่เสมอ แต่ก็ไม่ยอมเชื่อ ประการหนึ่งก็เพราะเขาไม่มีเงินติดตัวเลย อีกประการหนึ่งนั้น เพราะดิฉันไม่อาจจะเชื่อได้ว่า สามีของดิฉันจะมีพฤติกรรมไปในทางที่ไม่ดีไม่งามอย่างที่ทางการตํารวจในสมัยนั้นเขาวาดไว้
เขาเป็นคนที่มีอุดมคติสูง จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มาตลอดชีวิต เขาเป็นคนรักลูกรักเมีย แล้วจะไปทําการอย่างนั้นได้อย่างไร ทั้งลูกคนเดียวของเราก็ยังเล็กอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ดิฉันและลูกก็ได้แต่นับวันคอยไหว้พระภาวนาให้พี่เตียงกลับมา แต่พี่เตียงก็ไม่กลับ และแล้วความจริงในที่สุดก็ปรากฏออกมาว่า พี่เตียงของดิฉันเสียชีวิตแล้ว พี่เตียงของดิฉันถูกฆ่า
ดิฉันไม่อยากพูดว่า ใครฆ่าหรือใครเป็นตัวการหรือผู้ออกคําสั่ง แต่ท่านทั้งหลายคิดบ้างหรือไม่ว่า ผู้หญิงอย่างดิฉันจะรู้สึกอย่างไร พี่เตียงไม่ควรจะอายุสั้นเช่นนั้น ไม่น่าจะต้องจบชีวิตไปในลักษณะนั้น พี่เตียงยังอยู่ในวัยที่เข้มแข็ง ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา แม้ว่าเวลาเดินอาจจะขากะเผลกอยู่บ้างก็ตาม
แต่เหตุการณ์ทุกอย่างก็ได้เป็นไปแล้ว ดิฉันสงสัยว่า คนที่ฆ่าพี่เตียงของดิฉันเป็นคนมีใจเป็นอย่างไร ถ้าเมียรักหรือลูกรักของเขาตาย เพราะถูกคนอื่นฆ่า เขาจะรู้สึกเสียใจบ้างไหม ดิฉันไม่ผูกพยาบาท แต่ดิฉันคิดถึงพี่เตียงของดิฉัน ดิฉันรักเขา เพราะเขาเป็นสามีที่ดีที่สุดเท่าที่สิ่งแวดล้อมจะให้โอกาสให้เขาได้
ดิฉันนิยมชมชอบพี่เตียงในตอนแรกที่รู้จักกัน เพราะเขาเป็นคนเก่งคนหนึ่ง เขาเข้าเรียนในคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้เป็นครู ม.ม. รุ่นแรกของคณะฯ เมื่ออายุ 22 ปี (รุ่น พ.ศ. 2473) ในครั้งนั้นคณะอักษรฯ ยังไม่มีการศึกษาระดับปริญญา การศึกษาในระดับปริญญานั้นมีขึ้นหลังจากเตียงออกทํางานแล้วปีหรือสองปี พี่เตียงเคยบอกว่า จะหาทางศึกษาต่อจนได้ปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิตเหมือนอย่างเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกัน แต่ก็ไม่มีโอกาส
เขาเริ่มเข้าเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนหอวัง และต่อจากนั้นอีก 3 หรือ 4 ปี ก็ได้ย้ายไปเป็นรองอาจารย์ใหญ่อยู่ที่โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล ซึ่งเป็นโรงเรียนชายประจําจังหวัดอุดรธานี พี่เตียงเป็นครูหนุ่ม และในฐานะที่เป็นรองอาจารย์ใหญ่ ก็ได้ชื่อว่ามีตําแหน่งสูงในสมัยนั้น
ดิฉันเองตามญาติจากกรุงเทพฯ ขึ้นไปอยู่ที่นั่น และมีโอกาสรู้จักกับพี่เตียง ยังจําได้ว่า เขาเป็นคนพูดเก่ง นุ่มนวล และอ่อนหวาน รู้จักเอาอกเอาใจ แต่ดิฉันก็ยังไม่ได้ตั้งใจว่า ในอนาคตดิฉันจะตัดสินใจอย่างไร
ชีวิตของพี่เตียงเมื่ออยู่ที่อุดรธานีไม่ราบรื่นนัก เพราะต่อมาถูกจับด้วยข้อกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ครูของโรงเรียนอีกสองคนถูกจับโดยข้อหาเดียวกัน คือ ครูญวง เอี่ยมศิลา กับคุณครูบั่น แก้วมาตย์ พี่เตียงถูกส่งมาพิจารณาคดีในกรุงเทพฯ พี่เตียงไม่เคยเรียนกฎหมาย แต่อาศัยที่เคยอ่านหนังสือมามาก เมื่อพิจารณาดูทุกสิ่งทุกอย่างแล้วมองไม่เห็นเลยว่า เพราะเหตุใดทางการจึงหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เพราะเมื่ออยู่โรงเรียนก็ทําหน้าที่ฝ่ายการปกครองในฐานะที่เป็นรองอาจารย์ใหญ่ ถ้าจะสอนหนังสือก็มักจะเป็นเรื่องสอนแทนครูที่ขาด ที่สอนอยู่ก็มีสอนวิชาภาษาไทย แต่บางทีก็ต้องสอนภาษาอังกฤษ ตอนกลางคืนส่วนใหญ่ก็ใช้เวลาเขียนตําราวิชาครู อาจมีการพบปะเพื่อนฝูงก็เป็นครั้งเป็นคราวและไม่เคยทําอย่างปกปิดอะไร ในที่สุดศาลก็ตัดสินยกฟ้องและปล่อยตัวพ้นข้อหาไป
ดิฉันแต่งงานกับพี่เตียงใน พ.ศ. 2482 หลังจากที่รู้จักกันประมาณ 5 ปี
สิ่งหนึ่งที่ประทับใจของดิฉันตลอดมา คือ ความมีอุดมคติของเขา เขาจะกระทําทุกอย่างเพื่ออุดมคตินั้นโดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ทั้งยังเป็นผู้มีความจําดี รักเพื่อนฝูงพวกพ้อง สามารถจําหน้าและจําชื่อเพื่อน ๆ ตลอดจนเหตุการณ์สมัยที่ยังเป็นเด็กได้ เวลาอยู่กับเพื่อนฝูงเป็นคนคุยสนุก และในเวลาเดียวกันก็สามารถพูดโน้มน้าวจิตใจคนอื่นได้ เป็นคนที่ใจกว้างกับเพื่อนฝูงทั้งรุ่นพี่ รุ่นน้อง ซึ่งอาจจะเพราะเหตุนี้ด้วยที่ทําให้พี่เตียงมีเพื่อนที่รักใคร่ชอบพอเป็นจํานวนมาก
มีอยู่บ่อยครั้งพี่เตียงจะยอมสละความสุขของตนเองเพื่อเพื่อน เพื่ออุดมคติ พี่เตียงเคยขอให้ดิฉันเอาเงินหรือของส่วนตัวของดิฉันไปเพื่องานส่วนรวมอยู่เสมอ เช่น เมื่อครั้งที่คุณจํากัด พลางกูร จะเดินทางไปติดต่อกับรัฐบาลจีนในระยะแรกของงานเสรีไทย พวกเราไปส่งคุณจํากัดที่ท่าแขก จังหวัดนครพนม เราไม่มีทางรู้ว่า คุณจํากัดจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์อะไรบ้าง แต่สิ่งที่เรารู้ก็คือ คุณจํากัดต้องมีเงินติดตัวไปมากพอสมควร แม้ว่าคุณจํากัดจะมีเงินทองติดตัวไปบ้างแล้ว แต่เราก็รู้สึกว่า หากจะมีเพิ่มเติมไปอีกก็ย่อมเป็นการดี ที่จริงเราเองก็ไม่มีเงินทองมากมายอะไร พี่เตียงมีแหวนทองคําซึ่งเป็นแหวนนามสกุลที่ใช้ติดตัวอยู่วงหนึ่ง ก็ถอดให้คุณจํากัดไป เมื่อเห็นว่า แหวนวงเดียวไม่พอ ก็ขอยืมกําไล สร้อยเพชร และล็อกเก็ตของดิฉันเพิ่มเติมให้คุณจํากัดอีก ซึ่งดิฉันก็เข้าใจและยอมตาม
เรามีที่ดินอยู่ในกรุงเทพฯ เพียงแปลงเดียว ไม่ใช่ใหญ่โตกว้างขวางอะไร บ้านของเราเป็นบ้านไม้ที่พออยู่ได้ตามควรแก่อัตภาพเท่านั้น แต่เมื่อถึงคราวต้องใช้เงินเพื่องานเสรีไทย พี่เตียงก็เอาไปจํานองเพื่อชาติ เพื่องานในอุดมคติอีก บางคนอาจคิดว่า พี่เตียงได้เงินได้ทองมากมายจากงานเสรีไทยและงานการเมือง แต่คนที่รู้ตื้นลึกหนาบางของฐานะการเงินของเรา จะไม่คิดเช่นนั้นเป็นอันขาด แม้แต่ที่ดินที่พี่เตียงจับจองที่บ้านพาน จังหวัดสกลนคร เพื่องานการเมือง พี่เตียงก็ทําในนามของคนอื่น แต่ในด้านค่าใช้จ่าย เช่น ค่าธรรมเนียม การหักร้างถางพง การตัดถนนหนทาง และการก่อสร้างต่าง ๆ ภายในบริเวณที่ดินนั้น พี่เตียงใช้เงินส่วนตัวทั้งหมด ซึ่งเป็นจํานวนมิใช่น้อย แต่เพราะความไม่เห็นแก่ตัว ความที่ไม่คิดถึงผลประโยชน์ส่วนตัว ที่ดินแปลงนี้ในที่สุดก็หลุดมือไป โดยที่เราไม่ได้ค่าใช้จ่ายกลับคืนมาแม้แต่สตางค์เดียว
พี่เตียงไม่ใช่นักฉวยโอกาสเพื่อทรัพย์สินหรือการเงิน และพูดอยู่เสมอว่า ไม่ต้องการจะสะสมทรัพย์สินหรือความร่ำรวยใด ๆ เพียงแต่ให้มีพออยู่พอกินสามารถทํางานเพื่อประเทศชาติ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของส่วนรวม ก็พอใจแล้ว พี่เตียงถือว่า ตัวเองเป็นชาวสกลนคร เติบโตมาในเมืองนั้น รู้จักชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวสกลนคร ทั้งในตัวเมืองและนอกเมือง ตลอดจนตามชนบทที่อยู่ไกลออกไป เขาเห็นว่า อีสานควรจะต้องเจริญกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนั้น อีสานควรจะได้รับการเหลียวแลจากทางการมากกว่านั้น พี่เตียงบอกว่า ในฐานะที่เป็นผู้แทนราษฎรก็จะทําทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อราษฎรโดยส่วนรวม นี่แหละคือสิ่งที่เขาพูดอยู่ตลอดเวลาเมื่อยังมีชีวิตอยู่
พี่เตียงเป็นคนรักเมียและรักลูก เป็นห่วงและเอาใจใส่เท่าที่จะมีเวลาพอที่จะเจียดให้ได้ และให้เกียรติแก่ดิฉันอยู่เสมอ สิ่งที่ดิฉันขอร้อง เขาจะยอมรับและไม่ยอมเสียคำพูดที่ได้ให้ไว้ ดิฉันทราบว่า พี่เตียงเป็นคนเจ้าชู้ ซึ่งก็คงเป็นธรรมดาของนักการเมืองในบรรยากาศอย่างนั้น แต่พี่เตียงจะให้เกียรติดิฉันในฐานะ “ภรรยา” ของเขา ไม่ว่าเขาจะไปที่ใดหรืออยู่ต่อหน้าใคร
เป็นที่น่าเสียดายที่ “การเมือง” ทำให้พี่เตียงต้องจากลูกเมียและอุดมคติทุกอย่างโดยไม่มีทางกลับคืนในวัยเพียง 41 ปี หลังจากที่ได้มีโอกาสล้มลุกคลุกคลานอยู่กับชีวิตการเมืองอยู่เพียงประมาณสิบปีกว่า ๆ ดิฉันขออำนาจของคุณพระรัตนตรัย ขออำนาจแห่งพระสยามเทวาธิราชแห่งบ้านเมืองของเรา ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิในสากลพิภพ ขออำนาจอุดมคติของพี่เตียง ขออำนาจของคุณธรรมของพี่เตียง จงบันดาลให้พี่เตียงไปสู่สุคติ และขอให้อุดมคติของพี่เตียง ผู้ที่จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ มุ่งต่อความเจริญและความเป็นปึกแผ่นของเมืองไทยและของคนไทย จงสัมฤทธิ์ผลสมตามความปรารถนาอันบริสุทธิ์ของพี่เตียงด้วยเถิด
ที่มา: สุพจน์ ด่านตระกูล (บรรณาธิการ), เตียง ศิริขันธ์ ผู้นำเสรีไทยภาคอีสาน, นนทบุรี: สถาบันวิทยาศาสตร์สังคม, 2540, น. 2-6.