Focus
- นายปรีดี พนมยงค์ เขียนบทความกฎหมายเชิงวิชาการภาษาไทยครั้งแรก ตีพิมพ์ในนิตยสารบทบัณฑิตย์ เมื่อ พ.ศ. 2469 และได้รับมอบหมายให้เป็นบรรณาธิการเมื่อ พ.ศ. 2473
- บทความนี้ นายปรีดี เสนอเรื่องกรณีของบุคคลที่ไม่มีสัญชาติเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เช่น กรณีของชาวรัสเซียที่ถูกถอนสัญชาติภายใต้กฎของโซเวียต ค.ศ. 1921 ซึ่งทำให้เกิดปัญหาว่า จะใช้กฎหมายใดบังคับในกรณีที่บุคคลเหล่านี้ปราศจากสัญชาติคณะที่ปรึกษาของสันนิบาตชาติได้เสนอว่า ให้ใช้กฎหมายภูมิลำเนาหรือกฎหมายประเทศที่บุคคลนั้นมีถิ่นที่อยู่ หากไม่มีสัญชาติแต่การนำข้อเสนอนี้มาใช้จริงยังขึ้นอยู่กับการยอมรับของประเทศนั้น ๆ และเสนอให้สยามมีการ “ออกกฎหมายว่าด้วยกฎหมายขัดกัน (Law on Conflicts of Law) อาจช่วยแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสถานะของบุคคลที่ไม่มีสัญชาติในประเทศไทยได้”
'ปรีดี พนมยงค์ กับประวัติความคิดทางกฎหมาย' เป็นชุดบทความกฎหมายของนายปรีดี พนมยงค์ อันทรงคุณค่าและหายากอย่างยิ่งโดยตีพิมพ์ในนิตยสารบทบัณฑิตย์ระหว่าง พ.ศ. 2469-2474 ที่สะท้อนให้เห็นการทำงานด้านกฎหมาย ความคิด และความสนใจทางกฎหมายของนายปรีดีก่อนการอภิวัฒน์ 24 มิถุนายน 2475 โดยกองบรรณาธิการ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ขอคัดเลือกมาเผยแพร่จำนวน 5 บทความ ดังนี้
- การเรียนกฎหมายในฝรั่งเศสโดยย่อ เรียบเรียงตามกฎประธานาธิบดีและกฎเสนาบดี ใน บทบัณฑิตย์ เล่ม 4 ตอนที่ 11 (พ.ศ. 2469)
- เกล็ดประมวลกฎหมายเรื่องพระเจ้านโปเลออง(นโปเลียน) กับประมวลกฎหมายแพ่งฝรั่งเศส ใน บทบัณฑิตย์ เล่ม 5 ตอนที่ 9 (พฤศจิกายน พ.ศ. 2471)
- ฐานะของชาวรุสเซียผู้ถูกถอนสัญชาติ (เฉพาะที่เกี่ยวกับปัญหาเรื่องความสามารถของบุคคลในกฎหมายระวางประเทศแผนกคดีบุคคล) ใน บทบัณฑิตย์ เล่ม 6 ตอนที่ 5 (กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2473)
- คดีปกครองในประเทศฝรั่งเศส ใน บทบัณฑิตย์ เล่ม 6 ตอนที่ 3 (กรกฎาคม พ.ศ. 2473)
- สิทธิของรัฐในทรัพย์มฤดกตามกฎหมายโซเวียต ใน บทบัณฑิตย์ เล่ม 6 ตอนที่ 10 (กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2474)
ใน พ.ศ. 2473 นายปรีดี พนมยงค์ ยังได้รับการอนุญาตให้เป็นบรรณาธิการนิตยสารบทบัณฑิตย์ และเขียนบทความทางกฎหมายลงในนิตยสารอย่างสม่ำเสมอ

หนังสืออนุญาตให้นายปรีดี พนมยงค์ เป็นบรรณาธิการนิตยสารบทบัณฑิตย์
เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๓ ที่มา : หอสมุดแห่งชาติ

นายปรีดี พนมยงค์ ในทศวรรษ ๒๔๖๐
ที่มา : เอกสารส่วนบุคคล ภาพถ่ายปรีดี-พูนศุข พนมยงค์


ฐานะของชาวรุสเซียผู้ถูกถอนสัญชาติ (ฉะเพาะที่เกี่ยวกับปัญหาเรื่องความสามารถของบุคคลในกฎหมายระวางประเทศแผนกคดีบุคคล) โดย ปรีดี พนมยงค์
ที่มา : หอสมุดแห่งชาติ
ถ้าจะกล่าวตามหลักที่ควรในกฎหมายระวางประเทศแล้ว บุคคลทุกคนจำต้องมีสัญชาติ และบุคคลคนเดียวจะมีหลายสัญชาติในคราวเดียวกันไม่ได้ ทั้งนี้เพราะสัญชาติเป็นสิ่งสำคัญที่ประกอบสภาพบุคคล เปรียบประดุจสิ่งซึ่งผูกพันบุคคลไว้กับประเทศ[1] เหตุฉะนั้นสัญชาติจึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าบุคคลได้รับสิทธิและหน้าที่ในฐานะเป็นพลเมืองของประเทศใดประเทศหนึ่ง เช่นสิทธิในการรับราชการฝ่ายตุลาการ[2]
แต่หลักที่ควรดั่งกล่าวแล้วย่อมมีข้อยกเว้น คือ ในบางเรื่องบุคคลคนเดียวอาจมีหลายสัญชาติก็ได้ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะบุคคลนั้นมีความเกี่ยวพันอยู่กับหลายประเทศ เช่นเกิดในประเทศหนึ่งมีบิดาเป็นคนอีกสัญชาติหนึ่ง กฎหมายแต่ละประเทศที่บุคคลเกี่ยวพันนั้น ต่างก็บัญญัติเอาบุคคลนั้นเป็นสัญชาติของตน เหตุฉะนั้นปัญหาที่ทุ่มเถียงกันใน ระวางประเทศจึ่งเกิดมีขึ้นได้ในเรื่องสัญชาตินี้ ณบัดนี้ได้มีอนุสัญญาระวางประเทศ เรื่องปัญหาอันเกี่ยวกับกฎหมายขัดกันในเรื่องสัญชาติ แต่หลายประเทศยังมิได้เป็นอัครภาคีแห่งอนุสัญญานั้น (ให้ดูหนังสือ League of nations official journal 11 th year, no. 7 July 1930 หน้า ๘๔๖)
แต่ข้อยกเว้นอันมีลักษณะตรงกันข้ามกับข้อยกเว้น ดั่งกล่าวข้างต้นก็อาจมีได้เหมือนกัน กล่าวคือบุคคลอาจปราศจากสัญชาติโดยเหตุที่ไม่มีกฎหมายของประเทศหนึ่ง ประเทศใดยอมรับเอาบุคคลนั้นเข้าไว้เป็นบุคคลสัญชาติ หรือบอกปัดไม่ให้มีสัญชาติ ซึ่งทำให้เกิดเป็นปัญหาในกฎหมายระวางประเทศว่า จะใช้กฎหมายอันใดมาบังคับถึงความเกี่ยวพันของบุคคลเช่นว่านี้ด้วยกันเองก็ดี หรือกับบุคคลที่มีสัญชาติอื่นก็ดี
ปัญหาในเรื่องการใช้กฎหมายเช่นว่านี้ย่อมมีขึ้นได้ในทางกฎหมายระวางประเทศแผนกคดีบุคคล เพราะมีกฎหมายบางลักษณะ เช่นกฎหมายที่เกี่ยวด้วยสภาพและความสามารถของบุคคล ซึ่งคนต่างด้าวแม้จะไปอยู่ในประเทศใด ๆ ก็ดีก็ย่อมจะต้องอยู่ใต้บังคับแห่งกฎหมายของตน กฎหมายส่วนตนของคนต่างด้าวนี้ แม้จะยังเกิดขัดกันอยู่บ้างว่าจะเป็นกฎหมายภูมิลําเนาของคนต่างด้าวหรือกฎหมายของประเทศที่คนต่างด้าวมีสัญชาติก็ดี แต่ประเทศโดยมากที่ใช้ประมวลกฎหมายนิยมไปในทางที่ให้ถือตามกฎหมายของประเทศที่คนต่างด้าวมีสัญชาติ เพราะแน่นอนกว่าภูมิลําเนาซึ่งบุคคลอาจย้ายสับเปลี่ยนได้ง่าย เช่นคนไทยซึ่งอยู่ในประเทศฝรั่งเศสถ้ามีปัญหาว่าคนนั้นจะบรรลุนีติภาวะเมื่อมีเท่าใด ดั่งนี้ก็ต้องถือว่าบรรลุนีติภาวะเมื่อมีอายุครบ ๒๐ ปี
บริบูรณ์ตามกฎหมายไทย หาใช่ ๒๑ ปีบริบูรณ์ตามกฎหมายฝรั่งเศสไม่อันเป็นเรื่องที่ต่างกับศีลธรรมหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งคนต่างด้าวเมื่อเข้าไปอยู่ในประเทศใดก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศนั้น เช่นกฎหมายอาชญา[3] เป็นต้น
ในบรรดาบุคคลซึ่งปราศจากสัญชาตินั้น มีบุคคลจำพวกหนึ่งซึ่งระบาดแพร่หลายอยู่ในประเทศต่าง ๆ เวลานี้ คือ ชาวรุสเซียผู้ซึ่งถูกรัฐบาลโซเวียตถอนสัญชาติเสีย โดยกฎของคณะกรรมการธุระการกลางแห่งสหรัฐโซเชียลลิสต์โซเวียตรุสเซียใน ค.ศ. ๑๙๒๑ ตามสถิติซึ่งได้คํานวณกันไว้ ได้กะประมาณบุคคลจําพวกนี้ราว ๙๐๐,๐๐๐ คน ชาวรุสเซียผู้ปราศจากสัญชาติซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศสยามก็มีอยู่บ้าง ชาวรุสเซียที่ต้องถูกถอนสัญชาตินี้ ได้แก่บุคคลที่ออกไปอยู่นอกประเทศรุสเซียก่อนวันที่ ๑ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๒๒ ตลอด ๕ ปี และมิได้รับหนังสือเดิรทางจากผู้แทนรัฐบาลโซเวียตในต่างประเทศนั้น หรือบุคคลที่ได้หนีออกจากประเทศ รุสเซียภายหลังวันที่ ๗ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙ ๑๗ โดยมิได้รับอนุญาตจากรัฐบาลโซเวียต หรือบุคคลที่ได้เข้าอยู่ในกองทัพอันเป็นสัตรูต่อรัฐบาลโซเวียต ฯ ล ฯ ดั่งนี้เป็นต้น
ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ในทางกฎหมายระวางประเทศแผนกคดีบุคคล ปัญหาในเรื่องการใช้กฎหมายอาจมีขึ้นได้ถ้าหากว่าเราได้วินิจฉัยในเบื้องต้นว่า จะต้องใช้กฎหมายตามสัญชาติของบุคคลนั้นแล้ว บุคคลที่ไม่มีสัญชาติเราจะใช้กฎหมายอันใด คณะอนุกรรมการที่ปรึกษาแห่งคณะกรรมการชาวรุสเซียผู้ปราศจากสัญชาติอันเป็นส่วนหนึ่งของสันนิบาตชาตินั้นได้ร่างความเห็นว่า ให้ใช้กฎหมายตามภูมิลำเนาของบุคคลนั้นแทนกฎหมายสัญชาติ ถ้าไม่มีภูมิลำเนาก็จะต้องถือตามกฎหมายของประเทศที่บุคคลนั้นมีถิ่นที่อยู่ แต่ทั้งนี้ก็ยังหาได้ตกลงให้เป็นการเด็ดขาดแน่นอนไม่
หนทางที่น่าคิดมีอยู่ว่า การวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวแก่ชาวรุสเซียผู้ปราศจากสัญชาติเช่นว่านี้ น่าจะต้องแยกพิจารณาว่าประเทศซึ่งศาลจะวินิจฉัยปัญหาในเรื่องนี้ เป็นประเทศที่ได้รับรู้รัฐบาลโซเวียตหรือไม่ ถ้าหากว่าเป็นประเทศที่รับรู้ การถอนสัญชาติของชาวรุสเซียตามกฎ ค.ศ. ๑๙๒๑ นั้น ก็ย่อมจะใช้ได้ และก็น่าที่จะต้องอนุโลมตามร่างความเห็นคณะที่ปรึกษาดั่งได้กล่าวข้างต้น แต่ถ้าประเทศที่ไม่รับรู้รัฐบาลโซเวียต กฎอันนั้นก็ย่อมจะใช้ไม่ได้ เช่นประเทศสยามซึ่งแม้จะได้มีสัญญาทางพระราชไมตรีกับประเทศรุสเซีย เมื่อ ร ศ. ๑๑๘ ได้มีการถอนทูต และรัฐบาลสยามไม่รับรองรัฐบาลโซเวียต รัฐบาลสยามก็ไม่อาจที่จะรับรู้กฎ ค.ศ. ๑๙๒๑ นั้นเสียได้ และอาจจะถือว่าชาวรุสเซียผู้ปราศจากสัญชาติซึ่งอยู่ในประเทศสยาม คงเป็นชาวรุสเซียตามฐานะเดิม แต่ปัญหาก็ยังเกิดยุ่งยากขึ้นอีกว่า แม้จะวินิจฉัยสภาพและความสามารถของบุคคล เช่นว่านี้ไปตามกฎหมายสัญชาติของเขาคือกฎหมายรุสเซียก็ดี แต่กฎหมายรุสเซียนั้น ถ้าจะเป็นกฎหมายเก่าครั้งพระเจ้าซาร์ ก็อาจจะถูกยกเลิกเสียแล้วโดยรัฐบาลโซเวียต แต่มีตัวอย่างที่ศาลฝรั่งเศสเคยตัดสินใน ค.ศ.๑๙๒๐ คือในสมัยที่ยังมิได้รับรู้รัฐบาลโซเวียต โดยถือตามกฎหมายรุสเซียครั้งพระเจ้าซาร์ว่า การสมรสระวางชาวรัสเซียผู้ถือศาสนาคาโทลิก กับชาวรัสเซียผู้ถือศาสนาจูเป็นโมฆะ (ดูคำพิพากษาศาลแพ่งมณฑลแซน (ปารีส) ลงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๒๐)
ทั้งนี้ส่อให้เห็นว่า ปัญหาในเรื่องกฎหมายขัดกันในทางกฎหมายระวางประเทศแผนกคดีบุคคลอันเกี่ยวด้วยชาวรุสเซียผู้ปราศจากสัญชาติย่อมเกิดได้ ปัญหาอาจจะหมดไปเมื่อประเทศสยามได้มีกฎหมายอันว่าด้วยกฎหมายขัดกัน (Law on Conflicts of Law) ออกใช้แล้ว
หลวงประดิษฐ์มนูธรรม
๒๘ มกราคม ๒๔๗๓
หมายเหตุ :
- คงอักขร การสะกดคำศัพท์ การเว้นวรรค และเลขไทยตามเอกสารต้นฉบับ
- ภาพประกอบจากบทความฐานะของชาวรุสเซียผู้ถูกถอนสัญชาติ (ฉะเพาะที่เกี่ยวกับปัญหาเรื่องความสามารถของบุคคลในกฎหมายระวางประเทศแผนกคดีบุคคล) โดยปรีดี พนมยงค์
หลักฐานชั้นต้น :
- ปรีดี พนมยงค์, ฐานะของชาวรุสเซียผู้ถูกถอนสัญชาติ (ฉะเพาะที่เกี่ยวกับปัญหาเรื่องความสามารถของบุคคลในกฎหมายระวางประเทศแผนกคดีบุคคล), บทบัณฑิตย์, เล่ม 6 ตอน 5, (2473)
[1] (๑) ดูหนังสือคําอธิบายกฎหมายระวางประเทศแผนกคดีบุคคล ของศาสตราจารย์เวสต์หน้า ๑ ซึ่งวิเคราะห์ศัพท์คํา สัญชาติ ไว้ว่าเครื่องนัดโดยนิตินัย ซึ่งผูกพันบุคคลไว้บุคคลไว้กับประเทศ
[2] (๒) ดูพระราชบัญญัติข้าราชการตุลาการ พ.ศ. ๒๔๗๑ มาตรา ๕ อนุมาตรา ๑ ซึ่งตามธรรมดาคนมีสัญชาติไทยจึ่งจะเข้ารับราชการฝ่ายตุลาการได้
[3] แม้ในเรื่องสภาพและความสามารถบางชะนิดของบุคคลก็ดี ถ้าขัดต่อศีลธรรมอันดีหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชนแล้ว ประเทศที่คนต่างด้าวเข้าไปอยู่อาจไม่รับรู้ก็ได้ เช่นทาสในประเทศอาบิสสัน (อยู่ในทวีปอาฟริกา) อาจมีสภาพบุคคลเต็มภูมิในประเทศสยามได้