ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

จาก “หะยีสุหลง โต๊ะมีนา” ถึง “ทนายสมชาย นีละไพจิตร” และ “บิลลี่” การอุ้มหายและการเยียวยาเพื่อการอยู่ร่วมกันในอนาคต

21
กุมภาพันธ์
2568

Focus

  • กรณีของ หะยีสุหลง โต๊ะมีนา, ทนายสมชาย นีละไพจิตร และบิลลี่ พอละจี สะท้อนให้เห็นว่า การอุ้มหายถูกใช้เป็นเครื่องมือจัดการฝ่ายตรงข้ามหรือผู้ที่เรียกร้องสิทธิ์ ไม่ใช่เพียงแค่ในไทย แต่ในระดับโลกก็มีกรณีลักษณะนี้ เช่น ซีเรีย, ศรีลังกา, อาร์เจนตินา รัฐบาลมักจะปฏิเสธความเกี่ยวข้อง หรืออ้างว่าไม่สามารถหาตัวผู้กระทำผิดได้
  • ครอบครัวของผู้สูญหายต้องเผชิญกับ “การสูญเสียที่ไม่มีความชัดเจน” (Ambiguous loss) ซึ่งสร้างความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่อง ญาติไม่สามารถปิดฉากความโศกเศร้าได้ เพราะไม่รู้ว่าคนที่รักยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ บางกรณี เช่น ภรรยาของนักเคลื่อนไหว Itai Dzamara ระบุว่าเธอต้องอยู่กับความหวังและความสิ้นหวังในเวลาเดียวกัน
  • รัฐบาลมีหน้าที่ต้องเปิดเผยข้อมูลของผู้ถูกบังคับสูญหาย ให้ครอบครัวได้รับความจริงและความยุติธรรม องค์กรสิทธิมนุษยชน เช่น Amnesty International และ UN Human Rights Office กดดันให้รัฐบาลทั่วโลกต้องสอบสวนและลงโทษผู้กระทำผิดหากไม่มีการแก้ไขอย่างจริงจัง ความขัดแย้งและบาดแผลในสังคมจะดำเนินต่อไป ไม่สามารถสร้างสันติสุขที่แท้จริงได้

 

 

 

เอกสารขนาด A4 จำนวน 3 แผ่น เนื้อกระดาษสีเหลืองบ่งบอกถึงความเก่าแก่ ถูกบรรจุใส่อยู่ในกรอบไม้แขวนอยู่บนฝาผนังบ้านของตระกูลโต๊ะมีนา ยังไม่สะดุดใจผู้เขียนเท่าไหร่นัก แต่เมื่ออ่านเนื้อความพบว่ากระดาษเหล่านี้ไม่ใช่กระดาษธรรมดา แต่คือ คำสั่งศาลคดีหมายเลขดำที่ 73/2505 และคดีหมายเลขแดงที่ 74/2505 เรื่องขอให้ศาลมีคำสั่งว่านายหะยีสุหลง โต๊ะมีนา เป็นคนสาบสูญ และศาลได้รับคำร้องและวินิจฉัย เมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2505

 


คำสั่งศาลให้นายหะยีสุหลง โต๊ะมีนา เป็นคนหายสาบสูญ

 

คนที่เติบโตในจังหวัดชายแดนภาคใต้และนักวิชาการที่สนใจปัญหาของสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้รับทราบเรื่องราวของนายหะยีสุหลง โต๊ะมีนาดี เสมือนหนึ่งเป็นบทเรียนบทหนึ่งและตำนานความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ระหว่างรัฐไทยกับผู้นำศาสนาในพื้นที่ โดยเฉพาะประเด็นคนถูกบังคับให้สูญหาย

ในทางวิชาการพบว่าบาดแผลทางใจของญาติและคนใกล้ชิดของบุคคลที่สูญหายของบุคคลอันเป็นที่รักถือเป็นความเสียใจอย่างที่สุด หากเทียบกับบรรดาประเภทของบาดแผลทางใจ (psychological trauma) ประเภทอื่น ๆ ในประสบการณ์ความเสียหายด้านจิตใจของมวลหมู่มนุษยชาติ[1] เพราะการถูกบังคับให้หายสาบสูญเป็นการสูญเสียที่ไม่มีความชัดเจน (ambiguous loss) และไม่สามารถยืนยันความสูญเสียได้ (unconfirmed loss)

ในแต่ละปีพบว่า มีบุคคลที่สูญหายหลายพันคนทั่วโลก ส่วนมากเป็นบุคคลที่ทำงานเคลื่อนไหวเรียกร้องด้านสิทธิมนุษยชน หรือทนายความ ที่มักจะตกเป็นเหยื่อ

ส่วนคนที่ได้รับผลกระทบทางด้านจิตใจมักจะเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิด เช่น ลูกชาย ลูกสาว พ่อ แม่ เพราะไม่รู้ว่าบุคคลอันเป็นที่รักยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนเป็นตายร้ายดีประการใด ภาวะเช่นนี้ถูกห่อหุ้มด้วยความหวังความสิ้นหวังในเวลาเดียวกัน ส่วนการตามหาผู้สูญหายยังนำมาสู่ภาวะอันตรายของคนในครอบครัวอีกด้วย[2]

จำนวนผู้ถูกบังคับให้สูญหายในต่างประเทศทั่วโลก มีสถิติดังนี้

  • ประเทศซีเรีย พบว่า ตั้งแต่ ค.ศ. 2011 เป็นต้นมา มีผู้ถูกอุ้มหายกว่า 82,000 คน
  • ประเทศศรีลังกา พบว่า ช่วงปลายศตวรรษ ที่ 1980 มีจำนวนประมาณ 60,000-100,000 คน ถือเป็นประเทศที่มีคนถูกอุ้มหายสูงที่สุดในโลก
  • ประเทศอาเจนติน่า พบว่า ช่วงศตวรรษที่ 20 ระหว่าง ค.ศ. 1976-1983 คาดว่ามีจำนวนราว 30,000 คน
  • ประเทศซิมบับเวย์กรณีนักข่าวและนักเคลื่อนไหวด้านสันติภาพชื่อ Itai Dzamara ถูกบังคับให้สูญหาย เมื่อวันที่ 9 มีนาคม ค.ศ. 2015 ภรรยาของ Dzamara กล่าวว่า “มันเป็นความเจ็บปวดของการมีชีวิตอยู่เมื่อไม่รู้ว่าคนที่รักอยู่ที่ไหน เพราะฉันยังอยู่ด้วยความหวัง และทุก ๆ วันจะเฝ้าคิดว่าสามีของฉันจะกลับมา หรือรอว่าเมื่อไหร่จะมีคนมาบอกว่าพบสามีของฉันอยู่ที่ไหนสักแห่ง มันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน เวลาที่ลูก ๆ ถามว่าเมื่อไหร่พ่อของเขาจะกลับมา และฉันไม่มีคําตอบให้ลูก ๆ ของฉัน และฉันยังกังวลว่าคดีของสามีที่รักของฉันจะไม่มีวันคืบหน้าหรือได้รับการสืบสวนอย่างจริงจังเมื่อรัฐบาลอ้างว่าได้ปล่อยสามีของฉันให้เป็นอิสระไปแล้ว”

ในประวัติศาสตร์สังคมไทย ก่อนหน้านี้กรณีของหะยีสุหลง โต๊ะมีนา พบว่ายังมีอีกหลายคนที่กลายเป็นผู้ถูกบังคับให้สูญหาย[3] เช่น เมื่อ พ.ศ. 2495 นายเตียง ศิริขันธ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสกลนคร หัวหน้าขบวนการเสรีไทยสายอีสาน หายตัวไปเมื่อ 12 ธันวาคม นายพร มะลิทอง หายไปเมื่อ 24 มีนาคม พ.ศ. 2497 ทั้งสองคนถูกอุ้มหายไปในยุคของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายทะนง โพธิ์อ่าน วุฒิสมาชิกสายแรงงาน ประธานสภาองค์การลูกจ้างสภาแรงงานแห่งประเทศไทย หายตัวไปเมื่อ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2534

การอุ้มหายมิได้เกิดขึ้นเพียงครั้งละ 1 คน ในยุค พล.อ. สุจินดา คราประยูร เหตุการณ์ พฤษภาประชาธรรม ช่วง 17-18 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 มีผู้สูญหายประมาณ 175 คน ก่อนหน้านี้ประวัติศาสตร์ไทยยังมีการบันทึกเรื่อง “ถีบลงเขา เผาลงถังแดง” ไว้ว่า ช่วง พ.ศ. 2510-2519 ยุคของจอมพล ถนอม กิตติขจร ปกครองประเทศ มีการใช้วิธีถีบลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ และนำคนใส่ถังน้ำมันพร้อมเชื้อเพลิงเผาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตไปแล้ว (เพื่อทำให้การพิสูจน์หลักฐานพบเป็นไปได้น้อยมาก) ในช่วงดังกล่าวมีการบันทึกไว้ว่ามีผู้สูญหายจำนวนประมาณ 3,000 คน ทั้งหมดเป็นชาวบ้านในจังหวัดพัทลุง และพื้นที่ใกล้เคียง เพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ แต่รัฐบาลได้ปฏิเสธจนกระทั่งการกดดันจากศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยและภาคประชาชนจน พล.อ. กฤษณ์ สีวะรา ผู้บัญชาการทหารบกยอมรับว่าถังแดงเป็นเรื่องจริง[4]

กรณีถีบลงเขาเผาลงถังแดงเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งในยุคปัจจุบัน เมื่อ “บิลลี่” หรือ พอละจี รักจงเจริญ นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยงแห่งบ้านบางกลอยบน-ใจแผ่นดิน โดยเคลื่อนไหวร่วมกับชาวบ้านในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และเตรียมฟ้องคดีต่อเจ้าหน้าที่ กรณีการเข้ารื้อทำลายบ้านเรือนและทรัพย์สินของชาวกะเหรี่ยงกว่า 20 ครอบครัว เมื่อ พ.ศ. 2554 ต่อมาใน พ.ศ. 2557 หลังบิลลี่ถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่อุทยานฯ แก่งกระจาน เพื่อนำตัวไปสอบสวน ก่อนแจ้งว่าได้ปล่อยตัวบิลลี่แล้ว แต่ไม่มีบุคคลใดพบเห็นบิลลี่อีกเลยนานกว่า 5 ปี[5] จนกระทั่งเมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2562 ดีเอสไอได้แถลงความคืบหน้าคดี ระบุว่าพบหลักฐานสำคัญชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์และกระโหลกที่อยู่ภายในถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร ที่จมอยู่ใต้น้ำบริเวณสะพานแขวนเหนืออ่างเก็บน้ำเขื่อนแก่งกระจานและดีเอสไอได้ยืนยันว่าผลดีเอ็นเอตรงกับ “บิลลี่” เมื่อได้เทียบกับแม่ของบิลลี่[6]

อีกกรณีคือ สมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม และนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน หายตัวไปเมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2547 เวลาประมาณ 20.30 น. ยุคนายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้หายตัวไประหว่างทำคดีเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้ต้องหาที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายมูจาฮีดีน และจำต้องรับสารภาพเพราะถูกตำรวจทำทารุณกรรมและมีหลักฐานพิสูจน์ได้ ทนายสมชายถูกอุ้มหายขณะกำลังเดินทางไปพบเพื่อนที่โรงแรมชาลีนา ในซอยมหาดไทย ถนนรามคำแหง โดยผู้อุ้มเป็นชายฉกรรจ์ 5-6 คน จงใจขับรถชนเพื่อให้ทนายสมชายลงมาดูเหตุการณ์ก่อนจะทำร้ายร่างกายและลักพาตัวไปเหตุการณ์เกิดขึ้นเพียง 3 วัน ก่อนจะเดินทางไปว่าความที่ศาล จังหวัดนราธิวาส พร้อมมีแผนที่จะยื่นรายชื่อคัดค้านการใช้กฎอัยการศึกต่อ พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ที่มีแผนกำหนดการเดินทางไปปัตตานีในวันที่ 16 มีนาคม[7]

 


พ.ต.ท. กรวัชร์ รองอธิบดีดีเอสไอ อธิบายแผนผังจำลองวัตถุพยาน คาดว่าเป็นชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์ บริเวณสะพานแขวนแก่งกระจาน

 


“บิลลี่ ” หรือ พอละจี รักเจริญ นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอยบนใจแผนดิน
ที่มา: มติชนออนไลน์, 15 เมษายน พ.ศ. 2561

 

เมื่อการบังคับให้สูญหายสร้างผลกระทบทางจิตใจอย่างแสนสาหัส การจัดการกับความเจ็บปวดในสังคมพบว่า มีองค์กรในระดับโลกให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว และมีการรณรงค์เรียกร้องประเด็นสิทธิมนุษยชน ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นเนลเอง[8] ก็มี บทบาทสำคัญในการรณรงค์ กดดันให้รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการท้าคดีผู้ที่ถูกอุ้มหาย เร่งรัดให้มีการสืบสวนสอบสวน ตั้งคณะกรรมการเพื่อสืบหาความจริง และกดดันให้รัฐบาลบังคับใช้กฎหมายลงโทษผู้กระทำผิด

ส่วนองค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ United Nations Human Rights Office of the High Commissioner (2019) มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการชุดหนึ่งเพื่อดูแลกรณีผู้คนที่ถูกอุ้มหายเรียกว่า คณะกรรมาธิการว่าด้วยการบังคับบุคคลให้สูญหาย

(The Committee on Enforced Disappearances- CED) คณะกรรมการชุดนี้รวบรวมเอากลุ่มผู้เชี่ยวชาญสาขานี้โดยเฉพาะและมีการทำงานที่เป็นอิสระในการเฝ้าระวังการบังคับใช้สนธิสัญญากับประเทศต่าง ๆ ที่เป็นสมาชิก โดยทุกประเทศจะต้องส่งรายงาน 1 ครั้ง ใน 2 ปี ถึงคณะกรรมาธิการ เพื่อที่จะรายงานว่าแนวทางสิทธิมนุษยชนถูกนำไปใช้ปฏิบัติตามที่ได้ให้สัตยาบันไว้หรือไม่ โดยองค์กรสหประชาชาติจะกดดันให้รัฐบาลปฏิบัติตามโดยเฉพาะประเทศที่เป็นสมาชิกลงนามในอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี[9]

กุญแจสำคัญของการเยียวยาแผลใจ (psychological trauma) คนที่ถูกอุ้มหาย คือ การให้ครอบครัวของผู้สูญหายได้รับทราบข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะรัฐบาลจะมีบทบาทสำคัญยิ่งในการให้ข้อมูลกระบวนการสืบสวนสอบสวนให้ความเป็นธรรมระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับครอบครัว[10]

 


ทนายสมชาย นีลไพจิตร และรถยนต์ในที่เกิดเหตุ
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์, 2562

 


ประเทศต่าง ๆ ที่ลงนามในอนุสัญญากับองค์การสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี
ที่มา: United Nations Human Rights Office of the High Commissioner. (2019). International Convention for the Protection of all Persons from Enforced Disappearance. Retrieved from https://www.ohchr.org/Documents/HRBodies/CED/OHCHR_Map_CPED.pdf

 

เพื่อที่จะเข้าใจการเยียวยาแผลใจ (psychological trauma) คนที่ถูกอุ้มหาย ผู้เขียนยกตัวอย่างกรณีคนถูกอุ้มสูญหายในประเทศอิรัก ข้อมูลจากศูนย์ช่วยเหลือเหยื่อผู้ถูกซ้อมทรมาน[11] (The CENTER for VICTIMS of TORTURE, 2019b) พบว่า สงครามในอิรักตั้งแต่ ค.ศ. 2008 เป็นต้นมา ได้ให้ความช่วยเหลือเหยื่อของสงครามในประเทศจอร์แดน และตั้งแต่ ค.ศ. 2015 เริ่มมีการรายงานคนหายที่ศูนย์แห่งนี้ โดยพบว่ามีผู้ได้รับผลกระทบทางด้านจิตใจจำนวน 81 คน จากเหยื่อจํานวน 310 คน ญาติที่ตามหาบุคคลที่สูญหายอธิบายว่า ความโทมนัสเกิดจากการหายตัวไปของบุคคลอันเป็นที่รัก เป็นความรู้สึกเจ็บปวดที่ยาวนานต่อเนื่อง เพราะขาดข้อมูลเกี่ยวกับคนที่สูญหาย นอกจากนี้การหายตัวไปยังเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจและข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การไม่ถูกยืนยันว่าตาย” ดังนั้นการเยียวยาแผลใจกรณีบุคคลถูกบังคับให้สูญหายจะต้องเริ่มจากรัฐบาลที่ต้องมีมาตรการในทางปฏิบัติ และตระหนักว่าครอบครัวของผู้สูญหายมีสิทธิที่จะรู้ว่าบุคคลอันเป็นที่รักอยู่ที่ไหน มีสภาพเป็นอย่างไร นั้นหมายถึง การให้ข้อมูลข่าวสารกับครอบครัว รวมไปถึงการดำเนินการสืบสวนสอบสวน และมีบทลงโทษที่เป็นธรรม ให้ความยุติธรรมแก่ครอบครัว

หากสังคมต้องการความสงบและสันติสุขคืนมาในระยะยาวและยั่งยืน จากบทเรียนกรณีบุคคลที่ถูกบังคับให้สูญหายในหลายแห่งทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย บทบาทที่สำคัญยิ่งคงไม่พ้นองค์กรรัฐบาลที่จะเข้ามาปฏิบัติการในการดูแลครอบครัวของผู้สูญเสียอย่างจริงจังและจริงใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสื่อสารและการให้ข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเหยื่อผู้สูญเสีย ถือเป็นช่องทางหนึ่งในการบรรเทาความเจ็บปวด ของสมาชิกในครอบครัวที่ตกเป็นเหยื่อ ที่อาจจะพอบรรเทาแผลใจของครอบครัวผู้ที่สูญเสียบุคคลได้ ไม่มากก็น้อย…

 


[1] Lenferink LI, de Keijser J, Wessel I, de Vries D, Boelen PA. Toward a better understanding of psychological symptoms in people confronted with the disappearance of a loved one: A systematic review. Trauma Violence Abuse. 2019;20(3): pp. 287-302.

[2] Amnesty International. Enforced Disappearances. Available from: https://www.amnesty.org/en/what-we-do/disappearances/. n.d. .

[3] จีคิวไทยแลนด์. ย้อนรอยคนไทยที่ (ถูกอุ้ม) หายไป. Available from: https://www.gqthailand.com/life/article/enforced-disappearance. สืบค้นเมื่อ 2560.

[4] จุฬารัตน์ ดํารงวิถีธรรม. ถังแดง: การซ่อมสร้างประวัติศาสตร์และความทรงจําหลอนในสังคมไทย. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์; 2559, วจนาวรรลยางกูร. “ถังแดง” บทเรียนจากความตาย จุฬารัตน์ ดํารงวิถีธรรม “ถีบลงเขา เผาลงถังแดง”. Available from: https://www.matichon.co.th/prachachuen/news_221421 . สืบค้นเมื่อ 2562, ปริญญา นวลเปียน. โซนสีเทาในพื้นที่สีแดง: ภาพสะท้อนจากเขตปลดปล่อยบริเวณชุมชนเชิงเขา บรรทัด ใน ยุคสงครามเย็น. Rusamilae Journal. 2562;39(3): หน้า 7-20.

[5] ข่าวไทยพีบีเอส. ลําดับเหตุการณ์คดี “บิลลี่” หายตัวนานกว่า 5 ปี. Available from: https://news.thaipbs.or.th/content/283675. สืบค้นเมื่อ 2562.

[6] ธันยพร บัวทอง. บิลลี้: ดีเอสไอเผยดีเอ็นเอชิ้นส่วนกะโหลกตรงกับแม่ของ “พอละจี รักจงเจริญ”. Available from: https://www.bbc.com/thai/thailand-49561737. สืบค้นเมื่อ 2019.

[7] บีบีซีนิวส์ไทย. จาก ทักษิณ สู่ ประยุทธ์ การสูญหายของ สมชาย นีละไพจิตร กับ ไฟใต้ ที่ยังไร้คําตอบ. Available from: https://www.bbc.com/thai/thailand-47521488. สืบค้นเมื่อ 2019, ไทยรัฐออนไลน์. ย้อนคดี “ทนายสมชาย” ยอดคนดี โดนอุ้มอุกอาจกลางกรุง คนเห็นเพียบ แต่เป็นปริศนา. Available from: https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/1654923. สืบค้นเมื่อ 2562.

[8] Amnesty International, Enforced Disappearances, Available from: https://www.amnesty.org/en/what-we-do/disappearances/, n.d. .

[9] United Nations Human Rights Office of The High Commissioner. Committee on Enforced Disappearances. Available from: https://www.ohchr.org/EN/HRBodies/CED/Pages/CEDIndex.aspx.

[10] The CENTER for VICTIMS of TORTURE. Enforced Disappearances: Ambiguity Haunts the Families of Iraq's Missing. Available from: https://www.cvt.org/Disappearances. Accessed 2019a.

[11] The CENTER for VICTIMS of TORTURE. Enforced Disappearances: Ambiguity Haunts the Families of Iraq's Missing. Available from: https://www.cvt.org/Disappearances. Accessed 2019b.