ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
ศิลปะ-วัฒนธรรม

“ความรักควรไปตาย” PRIVATE LIVES

28
กุมภาพันธ์
2568

Focus

  • ละครเวที "ความรักควรไปตาย": เป็นการนำบทละคร "Private Lives" ของ Noël Coward มาปรับปรุงใหม่ให้มีความร่วมสมัย กำกับโดย ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์ และปรับบทโดย ชลเทพ ณ บางช้าง พล็อตเรื่องว่าด้วย เรื่องราวความสัมพันธ์ของอดีตสามีภรรยาที่บังเอิญมาเจอกันอีกครั้งในช่วงฮันนีมูนกับคู่รักใหม่ของแต่ละคน ทำให้ถ่านไฟเก่าปะทุขึ้นมา
  • เหตุผลที่ทำให้ละครเรื่องนี้เป็นที่นิยมตลอดมา ประกอบไปด้วย บทสนทนาที่เฉียบคม,ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับทุกคน,การสร้างตัวละครที่มีความรอบด้าน และอิสระในการสร้างสรรค์โครงสร้างใหม่
  • ผู้กำกับ ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์ อธิบายถึงแนวคิดในการนำบทละครคลาสสิกมาตีความใหม่ โดยเน้นการสร้าง suspension และ dramatic tension การพัฒนาตัวละคร การเน้นประเด็นบางอย่าง และการปรับจังหวะการดำเนินเรื่อง

 

 

 

งานประพันธ์เรื่อง “Private Lives” ของ โนแอล โคเวิร์ด (Noël Coward นำเรื่องเกิดขึ้นที่โตเกียว ไปเขียนบทที่เซี่ยงไฮ้ และถูกนำไปสร้างครั้งแรกเป็นละครเวทีที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในเดือนกันยายน ปี 1930) ผ่านมาเกือบ 100 ปี ที่วรรณกรรมยังทำงานกับผู้คนบนเรื่องราวความสัมพันธ์ของอดีตสามีภรรยาคู่หนึ่ง ซึ่งแยกทางกันไปแต่งงานใหม่ แต่แล้ววันดีคืนร้ายได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในช่วงฮันนีมูนกับคู่รักใหม่ของแต่ละคน จนถ่านไฟเก่าจะปะทุขึ้นอีกครั้ง ฟังจากพล็อตแล้วไม่น่าแปลกใจที่แม้เวลาจะผ่านไปเกือบร้อยปี แต่ประเด็นนี้ยังคงร่วมสมัยใหม่เสมอ เพราะเรื่องราวความรัก ความใคร่ ในสายสัมพันธ์ของผู้คน บนธรรมชาติแห่งสัญชาตญาณการสืบพันธุ์ของมนุษย์ถ้วนทั่วทุกตัวคน จนถูกจัดวางให้ถ่างลึกลงไปถึงตัวตนคนโลกีย์มีมุมมองผ่านบทของ ชลเทพ ณ บางช้าง ร้อยเรียงเรื่องราวร่วมกับ ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์ ผู้กำกับที่ถนัดนักกับการปอกปลิ้นดิ้นสู้อยู่กับพฤติกรรมมนุษย์ด้วยท่าทีแสบสันสนั่นสนุก แต่ปลุกใจให้ตื่นรู้สู่สำนึกในประเด็นที่เป็นแก่นเรื่องได้ไม่ยากหากจะค้นหา ไหนจะดารานักแสดงแห่งละครเวทีตัวแม่ตัวพ่อมาต่อบทไม่ลดละปะทะกันสนั่นเวที ทำให้เดือนแห่งความรักไม่เหงาแม้ผู้คนจะเฉากับเศรษฐกิจก็ตาม

 

 

RCB Experimental Art Lab ร่วมกับ NUNi Productions นำเสนอละครเวที “ความรักควรไปตาย” (Private Lives) รหัสนาฏกรรม เชิง Satire Comedy เชิดชูวีรกรรมของอดีตสองผัวเมีย แต่ละคนต่างพาคู่ชีวิตใหม่ของตัวเองไป honeymoon  แต่บังเอิญดันไปเจอกันในโรงแรมที่ญี่ปุ่น แล้วถ่านไฟเก่าก็คุกรุ่นขึ้นอีกครั้ง ไม่จำเป็นต้องยับยั้ง ทั้งสองคู่จึงพร้อมใจพากันหนีคนรักของตัวเองที่เพิ่งแต่งงานใหม่กลับประเทศไทย แต่มีหรือที่ถ่านไฟใหม่จะยอม?! เรื่องนี้มาพร้อมคำถามทิ่มใจ “จริงหรือไม่ที่เรามักจะแสวงหาตัวตนของแฟนเก่าในร่างของแฟนใหม่…เสมอ!?!”

 

กำกับการแสดงและร่วมร้อยเรียงบท โดย ครูบิ๊ก ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์
ปรับเป็นบทละครไทยทันสมัย โดย ชลเทพ ณ บางช้าง

นักแสดง
ปวิตร มหาสารินันทน์ (ฤทธิ์)
ภัทรสุดา อนุมานราชธน (แพรว)

ชวิศการ วรโรจน์โยธิน (วิน)
รัศม์ประภา วิสุมา (อุ๋งอ๋ง)

เปิดการแสดงท้าชนเดือนแห่งความรัก เมื่อวันที่ 1 / 2 / 8 / 9 และ 14 - 16 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ RCB Forum ชั้น 2 River City Bangkok การแสดงเป็นภาษาไทยพร้อมคำบรรยายภาษาอังกฤษจัดเต็มตลอดเรื่องเฟื่องอรรถรส สด แสบสัน

“Private Lives” เปิดการแสดงครั้งแรกเมื่อ 95 ปีก่อน ที่ประเทศอังกฤษในรูปแบบ ‘ละครทัวร์’ (Touring Theatre) ไปจัดแสดงตามเมืองต่าง ๆ ในยุโรป ก่อนเปิดการแสดงที่โรงละคร Phoenix Theatre ในกรุงลอนดอนเมื่อปี 1930 นําแสดงโดยนักแสดงที่มีชื่อเสียงเป็นที่นิยมของวงการในยุคนั้นคือ  โนเอล โคเวิร์ด (Noël Coward เป็นผู้เขียนบทเรื่องนี้) ร่วมขบวนด้วย Gertrude Lawrence , แอเรียอันนา อัลเลน และ Laurence Kerr Olivier และได้เปิดการแสดงที่ Broadway theatre เป็นการการันตีคุณภาพ (ขึ้นขั้นระดับโลก) ในปีถัดมาละครเรื่องนี้ได้กลับมา restage อีกหลายครั้งทั้งฝั่งอังกฤษและอเมริกา (ในย่าน West End ของอังกฤษซึ่งเป็นศูนย์รวมของกลุ่มโรงละครที่ส่วนใหญ่ตั้งอยู่รอบ ๆ Covent Garden เหมือนเป็น  Broadway ของยุโรป) และในย่าน Broadway กลางกรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา สองประเทศผู้นำด้านละครเวทีระดับโลก

จากบทของตัวละครที่สร้างเสน่ห์ดึงดูด ท้าทายกระฉูดฝีมือการแสดง ทำให้มีนักแสดงแสวงสืบทอดเป็นทายาทของแต่ละบทบาทหลายรุ่น อาทิ โนเอล โคเวิร์ด เคยเล่นไว้ ได้แก่ โรเบิร์ต สตีเฟ่น (Robert Stephens), ริชาร์ด เบอร์ตัน (Richard Burton), อลัน ริคแมน (Alan Rickman) และ แมทธิว แมคเฟดเยน (Matthew Macfadyen) / ส่วนนักแสดงที่มาสืบทอดบทบาทที่ เกอร์ทรูด ลอว์เรนซ์ เคยเล่นไว้ได้แก่ ทัลลูลา แบงค์เฮด (Tallulah Bankhead), เอลิซาเบธ เทเลอร์ (Elizabeth Taylor), โจอัน คอลลิน (Joan Collins), เอเลน สติชท์ (Elaine Stritch), แม็กกี้ สมิธ (Maggie Smith), พิเนโลเป คีธ (Penelope Keith) และ ลินเซย์ ดันแคน (Lindsay Duncan) ฯลฯ

 


photo : Dass Entertainment  เรื่อง “ร้ายเหลือเครือญาติ” ปี 2533

 

ละครเวทีไทยจากบทละครของ Noël Coward

1. เรื่อง “สมรสประแป้ง” จากเรื่อง “Private Lives” จัดแสดงที่วิก มณเฑียรทองเธียเตอร์ กำกับโดย มารุต สาโรวาท

2. เรื่อง “ร้ายเหลือเครือญาติ” ปี 2533 / “ว่าที่ศรีสะใภ้” จากเรื่อง “Relative Values” สร้างโดย Dass Entertainment / Dreambox เวอร์ชันแรกจัดแสดงที่ AUA กรุงเทพฯ และเวอร์ชันดัดแปลงจัดแสดงที่ โรงละครกรุงเทพ (M Theatre  ในปัจจุบัน) นำแสดงโดย ดวงตา ตุงคะมณี, ธิติมา สังขพิทักษ์, แสงระวี อัศวรักษ์, ภาณุเดช วัฒนสุชาติ  กำกับการแสดงโดย มารุต สาโรวาท

3. เรื่อง “วิญญาณอลเวง” / “พิษสวาทปีศาจเมียหลวง” จากเรื่อง “Blithe Spirit” (ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์ ผู้แปลบทละคร) เวอร์ชันแรกจัดแสดงที่ มณเฑียรทองเธียเตอร์ และ อีกเวอร์ชันดัดแปลงใหม่จัดแสดงที่ ฉลามหินเธียเตอร์ โรงแรมหินสวย-น้ำใส จ.ระยอง (ฉบับดัดแปลงแบบรื้อ-สร้างเรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวกับ “นางนาก เดอะ มิวเซียม” ที่ครูบิ๊กทำโดยเอามาซ้อนยั่วล้อกับ “ตำนานแม่นาคพระโขนง” จัดแสดงที่มะ ขามป้อมสตูดิโอ ปะทะกับ “แม่นาคพระโขนง เดอะ มิวสิคัล” ที่ รัชดาลัย เธียเตอร์ และ “แม่นาค เดอะ มิวสิคัล” ของโรงละคร Dreambox ในปี 2552

4.  “ความรักควรไปตาย”  จากต้นฉบับเดียวกันกับ “สมรสประแป้ง” จากเรื่อง “Private Lives” โดย RCB Experimental Art Lab ร่วมกับ NUNi Productions

 


photo : เรื่อง “สมรสประแป้ง”

 

ละครเวทีอารมณ์ขันส่งเสริมความสมานฉันท์ของชีวิตสมรส

ความเป็นปกติวิสัยของ ‘โลกีย์ชน’ อยู่ในเนื้อหาเข้มข้นของความเป็นคนกับอารมณ์รัก ทำให้ละครเรื่องนี้ได้กลับมา remake และ restage อีกหลายครั้ง นอกจากตัวอย่างผลงานละครเวทีในแถบยุโรป อเมริกาที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว “Private Lives” ได้รับการต่อยอดตลอดเส้นทางข้ามทวีปมาถึงประเทศไทยด้วย เคยจัดแสดงเป็นละครเวทีครั้งแรกในปี 2537 ที่วิก มณเฑียรทองเธียเตอร์ โรงแรมมณเฑียร กรุงเทพฯ ในชื่อ “สมรสประแป้ง” กำกับการแสดงโดย มารุต สาโรวาท นำแสดงโดย ทูน หิรัญทรัพย์, อรนภา กฤษฎี, วราพรรณ หงุ่ยตระกูล และ ภาณุเดช วัฒนสุชาติ ด้วยความเหมาะสมกับสถานที่ ในแนวของละคร comedy ที่มีเนื้อหาหฤหรรษ์ตามแบบฉบับของ “ละครเวทีอารมณ์ขัน ส่งเสริมสมานฉันท์ของชีวิตสมรส” จึงประสบความสำเร็จ ได้กลับคืนเวทีอีกครั้งในปี 2552 โดยผู้กำกับเจ้าเก่า มารุต สาโรวาท ครั้งนี้เปิดการแสดงที่ โรงละครอักษรา เธียเตอร์ (King Power Complex ถนนรางน้ำ)  ทั้งหมด : 16 รอบ ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม ถึง วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน 2552 มีหนุ่มเสกเป็นโปรดิวเซอร์ ราคาบัตรทุกที่นั่งรวมปุฟเฟ่ทานอาหารที่ ห้องอาหารรามายณะ ราคา 6,000 บาท (VVIP) 4,000 บาท (BOX VIP) 3,000 บาท (VIP) 2, 500 บาท 2,000 บาท 1,500 บาท 1,000 บาท *

การแสดงยังเดินเรื่องยังแกะบทเก่าผ่านตัวละครใหม่ ล้วนตัวดาวเด่นของวงการละครทีวีไทยในยุคนั้น แทนไท แสดงโดย เมทนี บูรณศิริ อดีตคนรักเก่าของ วิฬาลักษณ์ หันมาคบกับ ไอรดา อย่างจริงจัง แต่ในใจก็ยังไม่สามารถลืมอดีตคนรักเก่าได้ วิฬาลักษณ์ แสดงโดย ปิยธิดา วรมุกสิก หม้ายสาว เศรษฐีนี ที่กำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังจากที่แต่งแล้วหย่ากับสามีคนเก่า มาแล้วหลายรอบ มาร์ค แสดงโดย อัครา อมาตยกุล สามีใหม่ของ วิฬาลักษณ์ ผู้ที่พร้อมจะมาดามใจเธอ เพื่อให้เธอลืมอดีตที่เจ็บปวด ไอรดา แสดงโดย สุจิรา อรุณพิพัฒน์ แฟนใหม่ของแทนไท

คงโครงเรื่องและสถานที่เก่าตามบทดั้งเดิม  ณ ริเวียร่า บนดาดฟ้าห้องสวีท ริมระเบียงชมวิวยามค่ำคืนแสนโรแมนติก วิฬาลักษณ์ เศรษฐีนีสาวในอ้อมกอดของ มาร์ค สามีใหม่ของเธอ ทุกอย่างกำลังไปได้ดี เธอเกือบจะลืมอดีตที่ปวดร้าวกับ แทนไท สามีเก่าจอมเจ้าชู้ที่อยู่กินกันมานานเกือบสิบปี แต่งแล้วหย่า หย่าแล้วแต่งกันใหม่ แต่แล้วก็ไปไม่รอด เธอรีบคว้า มาร์ค มาดามหัวใจ อุตส่าห์หนีมาไกลถึงฝรั่งเศสแต่แล้วทุกอย่างในอดีตก็หวนคืนมาหลอกหลอนในห้องสวีทห้องเดิมที่เธอเคยฮันนีมูนครั้งแรกกับแทนไท ห้องเดิมระเบียงเดิม พระจันทร์ดวงเดิม แถมวงดนตรีที่เล่นอยู่ด้านล่างก็บรรเลงเพลงรักเพลงเดิม ๆ เหมือนเมื่อ 10 ปีก่อนเปี๊ยบ

และที่น่าตกตะลึงกว่าแผ่นดินไหวถล่มก็คือ ห้องสวีทที่อยู่ติดกันอีกเพียงห้องเดียวมีแค่ผนังกั้นนั้นก็คือร่างของ แทนไท ที่กำลังกอดอยู่กับ ไอรดา ภรรยาใหม่วัยเด็กของเขา ทั้งคู่ตกตะลึง ต่างร้องไล่กันราวผีหลอก ทั้งคู่มีปากเสียงกันแทบทำเอาโรงแรมพัง ต่างคนต่างโทษกันและโอ้อวดแฟนใหม่ของตนเอง ต่างก็หาที่ติของกันและกันด่าทอข้ามระเบียงห้องกันทั้งคืน จนในที่สุดถ่านไฟเก่าก็คุโชน ทั้ง วิฬาลักษณ์ และ แทนไท ตัดสินใจปีนระเบียงหากัน และตกลงใจจะอยู่ร่วมกันอีกครั้ง และพร้อมกันทิ้งคนรักใหม่ของทั้งคู่ที่เพิ่งจะเริ่มฮันนีมูน ให้เฝ้าหวังอยู่อย่างโดดเดี่ยว....และหนีกลับเมืองไทย มาร์ค และ ไอรดา ตามกลับไปเจอทั้งคู่ พร้อมหาข้อยุติ จบเค้าโครงเรื่องได้อย่างน่าติดตามตอนจบ ที่มีปลายเปิดให้เดาและเร้าใจให้อยากชม 

 


photo : "Private Lives" 1931 directed by Sidney Franklin

 

นอกจากถูกสร้างเป็นละครมากมายหลายเวทีแล้ว บทละคร “Private Lives” ยังถูกดัดแปลงเป็นละครทางวิทยุ และโทรทัศน์อีกหลายครั้ง รวมทั้งได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในปี 1931 (กำกับโดย Sidney Franklin บทภาพยนตร์โดย Hanns Kräly  และ Richard Schayer เค้าโครงเรื่องยังยึดแนวทางของบทละครเดิมเป็นหลัก  Elyot Chase และ Amanda Prynne หย่าร้างกันหลังชีวิตการแต่งงานไม่ราบรื่น และรู้สึกหงุดหงิดผิดหวังเมื่อพบว่าทั้งคู่ต่างเลือกที่จะไปฮันนีมูนกับคู่สมรสใหม่ในโรงแรมเดียวกันที่เมืองตากอากาศ French Riviera Elyot รู้สึกว่าคำถามของ Sybil เจ้าสาวของเขาเกี่ยวกับ Amanda น่ารำคาญ ในขณะที่ Amanda หวังว่า Victor สามีใหม่ของเธอจะหยุดพูดถึง Elyot ทุกครั้งที่มีโอกาส เมื่อ Elyot พบว่า Amanda อยู่บนระเบียงห้องชุดติดกันของพวกเขา เขาจึงยืนกรานว่าเขาและ Sybil จะต้องออกเดินทางไป Paris ทันที ซึ่งเป็นแผนเดียวกับที่ Amanda เสนอให้กับ Victor อดีตคู่สมรสทั้งสองเปิดศึกทะเลาะกับคู่ครองใหม่อย่างดุเดือดทั้งที่ต่างตั้งใจมาแสวงหาความสงบ เพื่อ Honeymoon อย่างมีความสุขก่อนเริ่มชีวิตคู่อย่างเป็นทางการ

เมื่อถูกปล่อยให้รำลึกถึงความหลัง เอเลียตและอแมนดาจึงฟื้นความสัมพันธ์ด้วยการจูบและตกลงกันว่าจะยุติการทะเลาะวิวาทเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเอ่ยชื่อ "โซโลมอน ไอแซกส์" (ในเวอร์ชัน “ความรักควรไปตาย” ถูกแปลงเป็น “เช้ากินผัดฟัก เย็นกินฟักผัด” ท้าทายทักษะพิเศษในการออกเสียงยิ่งนัก) จากนั้นทั้งสองก็เลือกหนีกันไปที่ St. Moritz เมืองตากอากาศบนเทือกเขา Alps ในประเทศ Switzerland แต่ไม่นานนักพวกเขาก็เริ่มทะเลาะกันอีกเกี่ยวกับแผ่นเสียง อแมนดาหัวเสียทุบตีเอเลียตจนทำห้องพักในโรงแรมพังยับเยิน อแมนดารีบวิ่งออกไปและได้พบกับวิกเตอร์กับซิบิล ซึ่งบังเอิญหลงผิดมาเลือกโรงแรมเดียวกัน แล้วทุกคนก็เข้าไปพัวพันกับการทะเลาะวิวาทอีกครั้ง ในที่สุดทุกอย่างก็สงบลง และทั้งสองคู่ได้พบกันเพื่อรับประทานอาหารเช้าในวันรุ่งขึ้น แต่เมื่อวิกเตอร์และซิบิลเริ่มทะเลาะกัน เอเลียตและอแมนดาก็เลือกออกจากรีสอร์ตไปด้วยกันอีกครั้งปิดฉากความสัมพันธ์ผิดฝาผิดตัว คงเข้าใจในชีวิตคู่และการอยู่ร่วมมากขึ้น

 

  

ความรักควรไปตาย ‘to hell with love !’

เหตุผลที่ทำให้ละคร Private Lives เป็นที่นิยมตลอด 95 ปี ที่ผ่านมา

1. มีบทสนทนาที่เฉียบคม : การเขียนที่คมคายและชาญฉลาดของ โนเอล โคเวิร์ด ผู้เขียนบทละครต้นฉบับ ทำให้บทสนทนาอันเรียบง่ายกลายเป็นความ “ปากจัด” ที่ตอบโต้กันไปมาจนผู้ชมอดจะหลงใหลในเสน่ห์ของการเล่นคำและสำบัดสำนวนไม่ได้ ขณะเดียวกันก็เผยให้เห็นถึงความซับซ้อนในความสัมพันธ์ด้วยอารมณ์ขัน

2. มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับทุกคนจนเป็นประสบการณ์ร่วม (โดยเฉพาะคนที่เคยมีแฟน มีแล้วเลิก หรือเคยแต่งงาน หรือแต่งแล้วหย่า) ละครเรื่องนี้สำรวจ Theme เกี่ยวกับความรัก การแต่งงาน การใช้ชีวิตคู่ และความท้าทายต่าง ๆ ของความสัมพันธ์ในยุคใหม่ ซึ่งสะท้อนถึง “ชีวิตส่วนตัว” ของผู้ชมจำนวนมาก

3. การสร้างลักษณะนิสัยตัวละครที่มี ‘ความรอบด้าน’ ว่ากันว่าตัวละครที่มีพลวัตและมีข้อบกพร่องนั้น ทั้งน่าสนุกและทำให้ผู้ชมสามารถมองเห็นแง่มุมต่าง ๆ ของตัวเองในเรื่องราว ความคิด และการกระทำของตัวละครไปในเวลาเดียวกัน  บางทีเรา (ในฐานะคนดู) อาจพบตัวเราเองโลดแล่นอยู่บนเวทีไม่ขณะใดก็ขณะหนึ่งจนได้

4. มีการวิพากษ์วิจารณ์ทางสังคม : เดิมละครเรื่องนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสังคมชนชั้นสูงในยุคนั้น โดยเน้นที่ปัญหาของชนชั้น ความปรารถนาและความขัดแย้งทางอารมณ์ แต่ประเด็นเหล่านี้ถูกเลือกที่จะไม่เน้นให้เด่นชัด เพราะต้องการจัดให้เป็นเรื่องของคนธรรมดาสามัญในยุคปัจจุบัน และมีเหตุผลสำคัญว่า ประเด็นดังกล่าวมีในละครเรื่องอื่นมากพอแล้ว ถ้าเล่าซ้ำมาก ๆ เกรงจะเข้าข่ายน้ำเน่า จึงคัดเอามาแต่เรื่องส่วนตัวล้วน ๆ ชวนหัวจะนัวกว่า

5. อิสระในการสร้างสรรค์โครงสร้างใหม่ : ด้วยการจัดวางลำดับเรื่องราวใหม่ของละครคลาสสิกเรื่องนี้ให้มีความร่วมสมัย โดยให้ตัวละครหลักซึ่งหนีตามกันมาได้มีเวลาทบทวน การกลับมาพบกับคู่หย่าอีกครั้งในช่วงฮันนีมูนกับคู่รักใหม่ ก่อนจะจับทุกคนมาเผชิญหน้ากับความน่าประหลาดใจที่หลีกหนีไม่พ้นของปุถุชนคนโลกีย์

องค์ประกอบเหล่านี้รวมกันทำให้ “Private Lives” กลายเป็นละครคลาสสิกเหนือกาลเวลาที่ดึงดูดผู้ชมทั้งในอดีตและปัจจุบัน

 

 

รื้อ สร้าง จัดวางใหม่ ใน “Private Lives”

ผู้กำกับ : นายดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์ (บิ๊ก) ศิลปินรางวัลศิลปาธร สาขาศิลปะการแสดง ปี 2562

การศึกษา :  จบการศึกษาปริญญาโทด้านการกำกับการแสดงละครเวทีจาก Theatre Directing ที่ Middlesex University, London, UK

อาชีพปัจจุบัน : เป็นอาจารย์พิเศษที่ ม.บูรพา และ ม.มหิดล (กำกับการแสดง), ม.หอการค้าไทย สอนเขียนบท, และอีกหลายสถานะ Theatre director / Scriptwriter for film, TV & stage / Script Doctor Acting Coach / Lecturer of Play Directing

“ความรักควรไปตาย” เรื่องราวส่วนตัวที่ทั้งเมียทั้งผัวอยากจะกดแชร์

แพรวมาฮันนีมูนกับวิน และมาเจอกับฤทธิ์ซึ่งมาฮันนีมูนกับอุ๋งอิ๋งที่โรงแรมเดียวกันห้องติดกัน ความซวยจะไม่บังเกิด ถ้าฤทธิ์ไม่ใช่ผัวเก่าแพรว

ปัญหามาจากที่เราจดทะเบียนกันโดยนิตินัยก็จริง แต่พฤตินัยต่างหากที่ทำให้ชีวิตคู่เราพัง ใครหลวงใครน้อยของใครน้อยใครหลวง ใครใหม่ใครเก่าของใครเก่าใครใหม่ สองคนนี้ไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากกันและกัน แต่ทั้งคู่ก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ต่อให้ต่างคนต่างแต่งงานใหม่ แต่ทั้งคู่ก็ต้องมีอันต้องหวนมาเจอกันอีก…จนได้(เรื่อง!!!)

“ปีที่แล้ว ในขณะรีสเตจเรื่อง Endstation ก็ได้ปรารภกับ ฉี ชลเทพ ณ บางช้าง ผู้แปล ว่าอยากทำ ‘ละครรอมคอม’ บ้าง หลังจากทำรักสายดาร์ก ไม่ก็ละครสีเทาแดง มาหลายเรื่องแล้ว ทอดสายตามองไปก็เห็นแคสนักแสดงที่เล่นได้กำลังนั่งกินส้มตำกันอยู่ในฉากพอดี ก็เลยนึกถึงเรื่อง Private Lives นี้ขึ้นมา แล้วก็เล่าเรื่องให้บัวและฉีฟัง พร้อมทั้งวางผังว่าใครน่าจะเล่นเป็นตัวละครไหน เรื่อง #ความรักควรไปตาย ก็เลยถือกำเนิดขึ้นด้วยประการฉะนี้ มาคราวนี้บทได้รับการแปลและดัดแปลงใหม่โดย ชลเทพ ณ บางช้าง รวมทั้งเรียงร้อยเรื่องใหม่ และกำกับโดย ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์ เมื่อเปิดการแสดงครั้งแรก 95 ปีที่แล้ว ฉาก “นัวเนีย” ในองก์สอง เกือบถูกเซ็นเซอร์ในสหราชอาณาจักรเนื่องจากล่อแหลมมากเกินไป

ขอบอกไว้ก่อนว่า…ความรักควรไปตาย มีที่มาดั้งเดิมจาก Private Lives ละครสุดคลาสสิกของ โนเอล โคเวิร์ด บทละครเรื่องนี้เขียนเมื่อปี  2472 (สามปีก่อนประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครอง) ดังนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่บทละครเรื่องนี้จะเขียนขึ้นจากเรื่องใด ๆ ที่เป็นข่าวใน 2-3 วันนี้ ตามที่ลือกัน

แต่ถ้าเรื่องใด ๆ ใน 2-3 วันนี้ดันมีบางส่วนไปพ้องกับบทละครที่ซ้อมกันมาแล้ว 2-3 เดือนละก็… อันนี้ช่วยไม่ได้นะท่านผู้ชม เพราะชีวิตคนเราบางทีมันก็เหมือนละคร อันมีที่มาจากชีวิตคนเราอีกที หนีกันไม่พ้นหรอก”

 

 

“ความรักควรไปตาย” จากสมมติฐานที่ว่า “การจัดลำดับฉากใหม่ในละครอาจเปลี่ยนแปลงการดำเนินเรื่อง พัฒนาการของตัวละคร และการมีส่วนร่วมของผู้ชมได้อย่างมีนัยสำคัญ” ดังนั้น หลังจากกระบวนการซ้อมมาระยะหนึ่ง นี่คือสิ่งที่อาจเกิดขึ้นแล้ว กำลังเกิดอยู่ และ/หรือกำลังจะเกิดขึ้นต่อไปจากการ “reconstruct” บทละครเรื่อง “Private Lives”

1. มี suspension และ dramatic tension มากขึ้น

การเปลี่ยนลำดับเหคุการณ์สามารถสร้างความตื่นเต้นระทึกใจและความอยากรู้ได้โดยเปิดเผยข้อมูลในเวลาที่คาดไม่ถึง ซึ่งจะเปลี่ยนการเดินทางทางอารมณ์ของผู้ชมจากแบบเดิม ซึ่งเป็นการเรียงตามลำดับเวลา

2. การพัฒนาตัวละคร ฉากที่เปิดเผยเรื่องราวเบื้องหลังหรือแรงจูงใจอาจมีผลกระทบที่แตกต่างกันเมื่อวางไว้ก่อนหน้าหรือหลัง ซึ่งส่งผลต่อการรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวละครของผู้ชม

3. การเน้นประเด็นบางอย่างอาจเด่นชัดขึ้นหรือลดลงตามลำดับของฉาก โดยเน้นที่แง่มุมต่าง ๆ ของเรื่อง

4. การจัดลำดับใหม่สามารถส่งผลต่อจังหวะโดยรวม โดยเร่งหรือชะลอการดำเนินเรื่อง ซึ่งสามารถเปลี่ยนระดับการมีส่วนร่วมของผู้ชมได้

5. การจัดลำดับใหม่บางอย่างอาจทำให้โครงเรื่องสับสนหรือรบกวนการไหลตามตรรกะ ในขณะที่บางอย่างอาจเพิ่มความชัดเจน โดยให้บริบทหรือการปูเรื่องที่มาเล่าทีหลัง

6. ผลกระทบทางอารมณ์ของช่วงเวลาสำคัญอาจเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจเพิ่มหรือลดการตอบสนองของผู้ชมขึ้นอยู่กับตำแหน่งของฉากนั้น ๆ

โดยพื้นฐานแล้ว ลำดับของฉากจะกำหนดประสบการณ์การเล่าเรื่อง และอาจนำไปสู่การตีความและการตอบสนองทางอารมณ์ที่หลากหลาย และนั่นคือสิ่งที่โปรดักชั่นนี้เรียกว่า “การเรียงร้อยใหม่” จากบทละครดั้งเดิม ลองทำ และอยากให้ผู้ชมได้ลองดู

 

 

การออกแบบจัดวาง stage เรื่องนี้ เป็นเวทีเปิดสี่ด้าน ผู้ชมนั่งขนานขอบแต่ไร้กรอบกีดกั้น ไม่ต่างกันกับการนั่งชมชีวิตคู่อยู่ข้างห้องผ่านกระจกใสในห้องตัวเอง คนอื่นมองจากอีกด้านจะไม่เห็นคนข้างใน เหมือนใส่ฟิล์มหนาเสริมสนานกับการลุ้นระทึกไม่ว่ายามสงบศึกหรือรบรา ตัวละครปล่อยลูกบ้าวิ่งพล่านสิบทิศทั้งสองคู่เหมือนอยู่ไม่สุข แต่เพราะถูกกำหนดตำแหน่งแหล่งที่เพื่อไปไล่จี้ท่านผู้ชมอย่างทั่วถึง ซึ่งมาจากศาสตร์ที่ไม่อาจมองข้าม ความว่า blocking

“บล็อกกิ้ง (blocking) หมายถึงการวางตำแหน่งที่สถิตย์ให้ตัวละคร รวมไปถึงการกำหนดวิธีที่นักแสดงเคลื่อนไหวในตำแหน่งต่าง ๆ บนเวที (หรือพื้นที่การแสดงนั้น ๆ) เมื่อผู้กำกับเริ่มทำบล็อกกิ้ง ส่วนใหญ่นักแสดงมักจะทำตามสิ่งที่บทบอกไปก่อน หรือไม่ก็เคลื่อนไปอยู่ในจุดต่าง ๆ ตามความต้องการ หรือแรงจูงใจในโมเม้นท์นั้น ๆ ของตัวละคร (เท่าที่จะเข้าใจ) บวกกับทักษะการใช้พื้นที่แบบต่าง ๆ ของตนและวางองค์ประกอบภาพของผู้กำกับ

อย่างไรก็ตาม จริง ๆ แล้วเราไม่จำเป็นต้องทำตามสิ่งที่บทบอกมาใน  stage direction เสมอไป (ไอ้พวกที่อยู่ในวงเล็บทั้งหลาย) stage direction ในบทอาจให้แนวทางที่เป็นจุดเริ่มต้นแก่เรา แต่เราสามารถคิดต่อ ค้นหา หรือแม้แต่ ”หลีกหนี“ จากคำแนะนำ (เชิงสั่ง) นั้นก็ได้ มันขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจว่าเราจะใช้เวทีแบบไหน จะเล่นที่ส่วนไหนของฉาก เวที หรือพื้นที่การแสดง หรือจะต้องการให้ผู้ชมโฟกัสตรงจุดใด ไปจนถึงการพิจารณาผลกระทบอย่างต่อเนื่องของการแสดงโดยรวม ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร รวมไปถึงการใช้ common sense หรือ logic ในโมเม้นท์นั้น ๆ ด้วย ในขณะเดียวกัน ความหลากหลายและสุนทรียภาพทางสายตาของบล็อกกิ้งก็เป็นสิ่งสำคัญมากพอ ๆ กับการวางทิศทาง วิธีการเข้าออก จังหวะ และการเคลื่อนไหวของตัวละครที่สอดคล้องกับ mise-en-scene หรือองค์ประกอบอื่นอย่างเช่น ดนตรี หรือแสงเงา เช่นกัน เพราะการวางบล็อกกิ้ง ก็ถือว่าเป็นศิลปะของการกำกับการแสดงอีกชนิดหนึ่งด้วย คล้าย ๆ กับการที่จิตรกรวาดภาพ หรือประติมากรสร้างสรรค์ประติมากรรมแล้วจัดวางลงบนพื้นที่ ความสำเร็จของการวางบล็อกกิ้งไม่ได้อยู่ที่ทำออกมาแล้วสวยงามเพียงอย่างเดียว หากแต่จะต้องสามารถสื่อสารเรื่องราว ความหมาย อารมณ์ความรู้สึก สอดคล้องกับสไตล์ และเอื้อต่อผลรวมของการแสดงทั้งหมดด้วย

 

 

อย่างไรก็ตาม ใด ๆ ที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงแค่ "ส่วนหนึ่ง" ที่ผู้กำกับจะต้องนึกถึงตอนวางบล็อกกิ้ง - ซึ่งโดยส่วนตัวไม่เชื่อว่าจะมีสูตรสำเร็จตายตัว ถึงแม้ว่าจะมีหลายคนพยายามวางทฤษฎีและหลักการทำบล็อกกิ้ง รวมทั้งการสร้างสรรค์องค์ประกอบภาพ แต่นั่นเป็นแค่แนวทางเท่านั้น ไม่ใช่กฏที่จะต้องทำตาม แหม…ถ้าขืนเชื่อหมดละครก็คงบล็อกกิ้งภาพออกมาเหมือน ๆ กันเป็นแน่ สำหรับการวางบล็อกกิ้ง อย่าลังเลที่จะทดลอง - กรูกล่าวไว้สั้น ๆ แค่นี้”

“2568 (และปีต่อ ๆ ไป) ยังมีละครเวทีอีกหลายเรื่องที่อยากทำ บ้างก็เป็นละครใหม่ จากบทละครใหม่ ทั้งที่เป็นบทต่างประเทศ และบทที่เขียนขึ้นใหม่ หรือดัดแปลงจากที่ใด ๆ บ้างก็เป็นบทละครที่มีอยู่แล้ว ทั้งที่เป็นคลาสสิก โมเดิร์น คอนเท็มฯ และเรื่องที่ตัวเองเคยทำแล้วเอากลับมาปัดฝุ่นใหม่ สต๊อคเยอะจัด จัดบ้านช่วงปีใหม่ ทำให้ได้มีเวลารีวิวดูทรัพย์สมบัติทางการละครที่มีอยู่ (ซึ่งบางอย่างลืมไปแล้วว่ามี) แล้วประจักษ์ว่ายังมีละครสนุก ๆ ที่อยากทำ หรือสามารถทำได้เลย เหลืออยู่อีกมากมายหลายเรื่องมั่ก ๆ ต่อให้พวกเจ็นเบต้าแก่ตายไปแล้วก็คงยังทำไม่หมด

ส่วนอะไรใด ๆ ที่ไม่อยากทำ ก็มีให้เห็นนะ แต่ไม่ขอกล่าวถึง เพราะไม่น่าจะมีประโยชน์ในขณะมีชีวิตอยู่  (อย่างน้อยก็ตอนนี้) ขอละไว้ให้มันอยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ทิ้งไม่ขว้าง เผื่อวันหน้าตัวเองตายไปอาจจะมีประโยชน์ต่อใด ๆ ก็ได้ ไอ้ที่ปลวกกินไปก็มีอยู่เหมือนกัน เช่น บทละครของเบรคชท์ เบคเก็ต ด้วยความที่เราจัดเรียงบทตามชื่อผู้ประพันธ์ มันก็เลยกินตัวบีทีเดียวพร้อมกันไปเลย แต่ไม่เป็นไร บีอื่นยังรอด สมัยนี้บทละครหาไม่ยาก หาโหลดหรือหาซื้อจากอินเตอร์เน็ตได้ถ้ามีอันต้องอ่าน

อย่างไรก็ตาม การจะหยิบละครเรื่องใดขึ้นมาทำก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายไปเสียทัังหมด ไม่ว่ายุคนี้หรือยุคไหน ๆ มันก็มีความยากง่ายของมัน ปูนนี้แล้วมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าจะมีใครขี่ม้าขาวมาช่วยหรือไม่ แต่มันขึ้นอยู่กับตัวเอง ทีมและคนดูล้วน ๆ รวมทั้งยังขึ้นอยู่กับว่าแต่ละโปรเจ็คทำเพื่ออะไร  อยากให้เป็นอยากเกิดอะไร หรือรนหาที่แค่ไหน แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ที่ผ่านมาและที่จะมีต่อไป แต่ละเรื่องมันมีวิธีทำของมัน เหมือนกันบ้าง แตกต่างกันบ้างแล้วแต่วาระโอกาสและความพร้อมสรรพของทรัพยากร  การทำละครไม่มีสูตรสำเร็จ อะไรต้องทำหรือไม่ต้องทำเดี๋ยวเวลาทำมันก็รู้เองแหละ

ปีนี้และปีหน้าแปลนไว้หลายเรื่องอย่างต่อเนื่อง บางคนในที่นี้อาจรู้แล้วว่ามีเรื่องอะไรบ้าง และเล่นที่ไหนหรือใครเป็นนักแสดง แต่จะไม่บอกตอนนี้หรอก เดี๋ยวค่อย ๆ ประกาศให้โลกรู้เป็นระยะ ๆ ไปดีกว่าเผื่อมีจังหวะฟ้าผ่าต้องเปลี่ยนแผนกระทันหันให้ทันสถานการณ์ จะได้ไม่เสียหมา อย่าลืมมาอุดหนุนทุกเรื่องก็ละกัน ดำเกิงจะอยู่ได้เพราะมีคนดู”

 

 

ละครเรื่อง “Private Lives” ในเวอร์ชันปี  2568 นี้ ก็ได้รับการแปลและดัดแปลงใหม่โดย ชลเทพ ณ บางช้าง รวมทั้งเรียงร้อยเรื่องใหม่และกำกับโดย ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์ ศิลปินศิลปาธร สาขาการแสดง ปี 2562 อาจารย์สาขาศิลปะการแสดงที่มีลูกศิษย์มากมาย ที่ร่วมจัดแสดงละครนี้อีกครั้งในนาม “ความรักควรไปตาย” ซึ่งนับเป็นการรวมตัวกันของเหล่านักแสดงละครเวทีมากฝีมือของประเทศไทยที่จะมาประชันบทบาทกันอย่างไม่มีใครยอมใคร นั่นคือ

ปวิตร มหาสารินันทน์ (ครูป้อม) อดีตผู้อำนวยการหอศิลปกรุงเทพฯ (BACC) อาจารย์ทางด้านศิลปะการแสดง นักวิจารณ์ เป็นคณะกรรมการคัดสรร ศิลปินศิลปาธร และ ศิลปินแห่งชาติ และผู้รับเหรียญอิสริยาภรณ์สาขาศิลปะและอักษรศาสตร์ชั้นอัศวิน (Chevalier de L’Ordre des Arts et des Lettres) จากกระทรวงวัฒนรรรมและการสื่อสาร สาธารณรัฐฝรั่งเศสเมื่อปี  2557 กรรมการบริหาร International Association of Theatre Critics (IATC) และ International Association of Theatre Leaders (IATL)

ภัทรสุดา อนุมานราชธน (ครูบัว) อาจารย์ทางด้านศิลปะการแสดง ผู้กำกับละครเวที ที่ได้รับเหรียญอิสริยาภรณ์ สาขาศิลปะและอักษรศาสตร์ชั้นอัศวิน (Chevalier de L’Ordre des Arts et des Lettres) จาก กระทรวงวัฒนรรรมและการสื่อสาร สาธารณรัฐฝรั่งเศส เมื่อปี 2566 ในฐานะผู้มีผลงานดีเด่นด้านการละครและการภาพยนตร์ จนได้รับรางวัล Best Performance by a Female Artist : นักแสดงหญิงยอดเยี่ยม จากละครเวทีเรื่อง “ENDSTATION” เป็นนักแสดงเจ้าบทบาทที่สามารถทั้งในละครทีวีหลายเรื่องต่อเนื่องตลอดปี มี “บุษบาลุยไฟ” ทางช่อง Thai PBS และ ‘แม่หยัว’ ทางช่อง ONE31 และ Netflix ฯลฯ

ชวิศการ วรโรจน์โยธิน นักแสดงช่อง 7 ที่มีผลละครเสาร์ 5 และละครเวที Endstation

รัศม์ประภา วิสุมา นักแสดงละครเวทีเรื่อง “พยัคฆ์น้อยพอร์คชอป” และผลงานซีรีส์ Shadow เงา / ล่า / ตาย ทาง VIU

 

 

“โลกิยชน”

ทุกสถานะของความรัก ความผูกพัน มีโครงสร้างของความสัมพันธ์ที่ไม่ต่างกันในความเป็นมนุษย์สามัญ ที่ไม่สามารถแยกกายกับจิตออกจากกันได้ ในบรรดาสายใยที่เชื่อมโยงมนุษย์เข้าด้วยกัน มีสายสัมพันธ์เส้นเปราะบางที่สุดคือความรักความเสน่ห์หาในแบบ “คู่รัก” เป็นเหตุผลที่สมควรต้องรักและรักษาความสัมพันธ์ให้ประหนึ่ง ‘เสาแห่งวิหาร’ ให้มีระยะห่างเพราะ ‘ความรักแบบผัวเมีย’ มีความกระหายไคร่ครอบครองคล้องชีวิตและคิดเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้งตามวิสัยปุถุชนคนโลกีย์

ในทุกความสัมพันธ์ก็มีความสำคัญไม่ต่างกัน มันเกิดขึ้นได้อย่างไรไม่ยากแต่การรักษาไว้ให้ราบรื่นนั้นยากยิ่งกว่า เพราะหมายถึงว่า เริ่มต้นด้วยดีอย่างไร ควรต้องรักษาไว้ให้คงอยู่อย่างนั้นตลอดไป หรือมีพัฒนาการที่ดีขึ้นกว่าเดิมเท่านั้นจึงจะเหมาะสมต่อการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข (แม้จะเป็นไปไม่ได้แต่ต้องไม่เลวร้ายกว่าเดิม) เพราะความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้คนมีผลต่อการดำรงอยู่ของชีวิตมากกว่าที่คิดและมองเห็น แม้ว่าไม่ใช่คนทุกคนจะมีอิทธิพลต่อความเป็นอยู่ของเราก็ตาม

และในทุกความสัมพันธ์มี ‘ความเป็นเพื่อน’ เคลื่อนสายใยผูกพันอันจะทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นที่สุด เพราะในจุดของความเป็นเพื่อนถ้าไม่มีพฤติกรรมที่เป็นการ ‘ทรยศ’ มาลดความรักจนเป็นอุปสรรคล่ะก็ ทุกการกระทำสามารถทำใจ ‘อะไรก็ได้’ และ ‘ให้อภัยได้’ เป็นสายประสานให้ ‘ผ่าน’ ในทุกการกระทำ ซึ่งตรงข้ามกับ ‘คู่รัก’ ที่มีความเป็น ‘เจ้าข้าวเจ้าของ’ คอยบงการให้ต้องเสี่ยงต่อการหักหาญน้ำใจได้ง่ายกว่า (อันมีที่มาคือความ ห่วง หวง) เพราะฉะนั้น ‘ความรักความปรารถนา’ ในฐานะคู่รักต่างหากที่ ‘สมควรไปตาย’ เพราะสิ่งนี้คือตัวตั้งต้นไปจนกลายเป็นตัวสลายสายสัมพันธ์ได้เป็นอย่างดี เพราะมันมีความเป็นมนุษย์ที่มาพร้อมคุณสมบัติสุดพิเศษ ‘เกินเพื่อน’ ให้ต้องคอยเตือนสติตัวเองอยู่เสมอว่า

1. เราต่างมี ‘หลายปาง’ ซ่อนในร่างเดียว อารมณ์เปลี่ยว อารมณ์เปรี้ยว ฯลฯ เมื่อไม่ได้อยู่คนเดียวต้องระวัง ‘ปางมาร’ มันออกมาอาละวาดจนขาดสติ

2. วุฒิภาวะต้องการเวลา กว่าจะตกผลึก กว่าจะลึกซึ้งต่อการใช้ชีวิต ความผิดพลาดอาจมาจากความเยาว์ ความเขลา ความทรนง ความหลงผิด ฯลฯ

3. การแต่งงานคือภาวะที่ต่างต้องเรียนรู้เพื่อจะอยู่ร่วมกันอย่างให้เกียรติผู้อื่น และตัวเอง

4. การเลือกคู่อย่างมีอิสระแต่ละครั้ง คือกระบวนการค้นพบ ‘ความต้องการแท้จริง’ ของตัวเอง และจะชัดเจนแหลมคมขึ้นตามประสบการณ์

5. ความรักแบบ ผัว ๆ เมีย ๆ ละเหี่ยใจ ต่างตั้งอยู่ในความเห็นแก่ตัวเป็นที่สุด ต้องฉุด ‘ความรักมากเกินไป’ ไว้ให้ดี เพราะมันไม่มีเครื่องชั่งตวงวัดชัดเจน

6. รักษาระยะห่างของเสาแห่งวิหารไว้ให้จงดี เว้นช่องว่างไว้ให้ต่างโดดเดี่ยวได้ด้วย จะช่วยให้เข้าใจกันมากขึ้น

7. ต้องมี ‘ความเป็นเพื่อน’ เพื่อหล่อเลี้ยงความรัก ปกปักษ์ชีวิตคู่อยู่เสมอ

8. เติบโตไปพร้อมกับการเรียนรู้พร้อมกัน เติมเต็มกันและกันฉันเพื่อน

9. ชีวิตคู่ต้องการการเรียนรู้กันและกัน ไม่ต่างจากวิถีสามัญซึ่งคนเราต้องเรียนรู้เพื่อรอบรู้ตลอดชีวิต

10. ไม่มีใครสามารถครอบครองใคร ถ้าเจ้าตัวเขาไม่เต็มใจจะให้ชีวิตมา

 

 

จุดเด่นของละครเรื่องนี้คือความดิบในสันดานของมนุษย์ไม่เลือกเพศ (น่าใส่เพศที่สามมาอีกคู่จะหรูไม่น้อย แทรกเป็นแขกรับเชิญที่บังเอิญ (อีก) มาอยู่ในโรงแรมเดียวกัน แล้วร่วมสังสันท์ให้สนั่นโรง (สี่คนยังไม่พออีกเหรอเพื่อน แค่นี้โรงก็เขยื่อนแล้วนะ) ความเป็นธรรมชาติที่สาดคำพูดใส่ให้เป็นกันเองนักเลงพอ เหมือนพร้อมก่อคดีต้องต่อยตีไม่มียั้ง ไม่มีใครยอมใคร ประหนึ่งกำลังอยู่ในชีวิตจริงไม่ต้องอิงทฤษฎีการละคร ความยาวเพียงชั่วโมงครึ่งกำลังดีสำหรับละครแนวนี้ ไม่งั้นท่านผู้ชมอาจต้องดมยา ถ้าสองชั่วโมงอาจเป็นลมด้วยความชื่นชมนักแสดงผู้แรงฤทธิ์ทั้งสี่ โดยเฉพาะคู่รุ่นพี่ที่เจนเวทีจนถึงจะ ‘ด้น’ ก็ดูไม่รู้ คือคู่ ฤทธิ์ (ปวิตร มหาสารินันทน์) กับ แพรว (ภัทรสุดา อนุมานราชธน) คู่นี้มีฉากเปิดตัวที่ทั้งเก๋เท่โรแมนติคปูเรื่องย้อนหลังครั้งอดีต (flashback) ที่ทำให้เข้าใจได้ว่า เมื่อถึงเวลาที่อยู่ด้วยกันเพียงลำพังอีกครั้ง ทำไมถึงได้มีพลังดึงดูดต่อกันอีกหน ต่างจากคนคู่น้องบ้องแบ๊วที่จ้องจะเป็นแมวกัดกัน มันทำให้มิติของความเป็นคนหล่นหายไป

เทคนิคฉากแบบ Less is more ขออยู่บนเงื่อนไขของ ‘ละครฉากเดียว’ เปรี้ยวเข้ายุค look ไม่ใช่ poor theatre แต่ทำเซอร์เปลี่ยนฉากแบบผู้ชมต้องมากจินตนาการ อ่านให้ชัด จัดให้เป็น เห็นทั้งห้องอาหาร ลานเต้นรำ ล้ำไปถึงห้องนอนซ้อนในก้อนเดียว ไม่เหนี่ยวคนดูด้วยความเป็น sentimental บ้าง เพื่อรักษาระยะห่างของความฮาให้มากกว่านี้จะดีต่อใจ ไม่เข้าข่าย ‘ละครคาเฟ่’ ที่เฮกับมุกจนจุกหายใจไม่ทัน สาระสำคัญของแก่นถูกบดบังพลังแผ่ว พอ ๆ กับเสียงที่ไม่เลี้ยงไมค์ไว้ช่วยขยาย บางข้อความสำคัญจึงหายไปกับสายลมและเสียงหัวเราะ เป็นเรื่องที่ถูกออกแบบให้เหมาะกับการทำ Tour Theatre นำเสนอเพื่อพิจารณา พราะว่า “Private Lives” เสมือนตัวแทนของความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่เฉพาะ ‘คู่รัก’ เท่านั้น แต่ยังมีนัยถึงสายใยผูกพันในทุกสถานะของมนุษย์ คือที่สุดต่อการดำรงอยู่อย่างปลอดภัยและไม่เปราะบาง โดยเฉพาะบนเส้นทางของคนยุคใหม่ในวันนี้.

 

 

“ความรักและการแต่งงาน” : คาลิล ยิบราน

เพื่อความสงบสุขของชีวิตและความรักจักชวนอ่านหนังสือ “ปรัชญาชีวิต”[1] จากบทประพันธ์ของ KAHLIL GIBRAN แพร่หลายมานานนักอ่านทั่วโลกรู้จักกันดีและได้กลายเป็น ‘คำภีร์ชีวิต’ ของผู้คนหลาย generation ทั้งฝั่งตะวันตกแล้วยกมายังฝั่งตะวันออก นับตั้งแต่การพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกฉบับภาษาอังกฤษเมื่อปี 1926 และถูกแปลกระจายหลายภาษาพิมพ์มาแล้วหลายสิบล้านเล่ม และได้รับการแปลเป็นภาษาไทยครั้งแรกโดย สำนักพิมพ์ กะรัต เมื่อปี 2530 แปลโดย ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ระวี ภาวิไล ทั้งหมดมีเพียง 28 บท รวม 130 หน้าเท่านั้น แต่แน่นไปด้วยปรัชญาที่ชวนค้นหาทุกคำ นำให้ทุกประโยคเต็มไปด้วยสัจธรรมที่ทรงคุณค่าน่าศึกษา แม้ผ่านกาลเวลามากว่า 99 ปี แต่ยังคงอยู่ในวิถีของผู้คนจนปัจจุบัน แม้ในวันที่ Life Style ของคนรุ่นใหม่จะแปรเปลี่ยนไปก็ตาม

สาระของ “ปรัชญาชีวิต” ไม่ต่างจากการเทศน์แสดงธรรมด้วยคำสอนล้ำค่าจากศาสดาในศาสนาพุทธ เมื่อ อัลมุสตาฟา ‘ผู้ถูกเลือก’ ให้เป็น ผู้แทนของพระผู้เป็นเจ้า ผู้แสวงหาความสูงสุด และเป็นที่รักของชาวเมืองกำลังจะจากไป หลังจากอยู่ในเมืองนี้มาจนครบ 12 ปี  ท่ามกลางความโศกเศร้าเข้าปกคลุม หนึ่งในประชาชนชาวออร์ฟาลีสผู้เป็นเสมือนตัวแทนชาวเมืองชื่อ ‘อัลมิตรา’  (นางคือ ‘ผู้เห็นธรรม’ เป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้ฟังธรรมของท่านเมื่อท่านมาถึงดินแดนแห่งนี้ได้เพียงวันเดียว) ได้ขอร้องท่านโปรดให้สัจธรรมแก่ชาวเมืองเพื่อพวกเขาจะได้นำคำสอนมอบให้ลูกหลาน เพื่อลูกหลานได้ถ่ายทอดกันต่อไป และธรรมะนั้นจะไม่สูญ อัลมิตราพูดขึ้นว่า “ในความโดดเดี่ยวของท่าน ท่านก็ได้เฝ้าฟังเสียงสะอื้น และหัวเราะในความหลับของเรา ขอท่านเผยแก่เราเอง บอกให้เราทราบถึงสิ่งซึ่งท่านได้ประจักษ์ อันมีอยู่ระหว่าง การเกิดและความตาย” ท่านตอบว่า “ ประชาชนชาวออร์ฟาลีส เราจะบอกอะไรแก่ท่านได้ นอกจากสิ่งที่เคลื่อนอยู่ในวิญญาณของท่านเอง แม้ขณะนี้”  อัลมิตราตอบว่า “ได้โปรดบอกเราถึงเรื่อง ‘ความรัก’ ” ท่านเงยศรีษะขึ้นมองดูฝูงชน เขาเหล่านั้นเงียบกริบ ท่านพูดด้วยเสียงอันดังว่า

 

photo :  “ปรัชญาชีวิต” คาลิล ยิบราน สนพ.ผีเสื้อ

 

“เมื่อความรักร้องเรียกเธอ จงตามมันไป แม้ทางของมันนั้นจะขรุขระและชันเพียงใด และเมื่อปีกของมันโอบรอบกายเธอ จงยอมทน แม้หนามแหลมอันซ่อนอยู่ในปีกนั้นจะเสียดแทงเธอ และเมื่อมันพูดกับเธอ จงเชื่อตาม แม้เสียงของมันจะทำลายความฝันของเธอดั่งลมเหนือพัดกระหน่ำสวนดอกไม้ให้แหลกลาญไปฉะนั้น

เพราะแม้ขณะที่ความรักสวมมงกุฎให้เธอ มันก็จะตรึงกางเขนเธอ และขณะที่มันให้ความเติบโตแก่เธอนั้น มันก็จะลิดรอนเธอด้วย

แม้ขณะเมื่อมันไต่ขึ้นไปสู่ยอดสูง และลูบไล้กิ่งก้าน อันแกว่งไกวในแสงอรุณ แต่มันจะหยั่งลงสู่รากลึก และเขย่าถอนตรงที่ยึดมั่นอยู่กับดินด้วย

ความรักจะรวบรวมเธอเข้าดั่งฝักข้าวโพด มันจะแกะเธอออกจนเปลือยเปล่า แล้วมันจะล่อนเพื่อให้เธอหลุดจากเปลือก มันจะบดเธอจนเป็นผงขาว และขยำจนเธอเปียก แล้วมันก็จะนำเธอเข้าสู่ไฟอันศักดิ์สิทธิ์ของมัน เพื่อว่าเธอจะได้กลายเป็นอาหารทิพย์ของพระเป็นเจ้า

ความรักจะกะทำสิ่งทั้งหมดนี้แก่เธอ เพื่อว่าเธอจะได้หยั่งรู้ความลับของหัวใจเธอเอง และด้วยความรู้นั้น เธอก็จะได้เป็นส่วนหนึ่งของดวงใจแห่งชีวิตอมตะ

หากแต่ด้วยความกลัว เธอมุ่งแต่แสวงหาความสงบสุขและความสำราญจากความรัก ก็จะเป็นการดีกว่า ที่เธอควรจะปกคลุมความเปลือยเปล่าของตนและหลีกหนีออกไปเสียจากลานบด ไปสู่โลกอันไร้ฤดูกาล ที่ซึ่งเธอจะหัวเราะก็ไม่เต็มที่ และจะร้องไห้ก็ไม่เต็มที่

ความรักมิให้สิ่งอื่นใด นอกจากตนเอง และก็ไม่รับเอาสิ่งใด นอกจากตนเอง ความรักไม่ครอบครอง และไม่ยอมถูกครอบครอง เพราะความรักนั้นพอเพียงแล้วสำหรับตอบความรัก

ความรักมิให้สิ่งอื่นใด นอกจากตนเอง และก็ไม่รับเอาสิ่งใด นอกจากตนเอง

ความรักไม่ครอบครอง และก็ไม่ยอมถูกครอบครอง เพราะความรักนั้นพอเพียงแล้วสำหรับตอบความรัก

เมื่อเธอรักอย่าได้กล่าวว่า “พระเป็นเจ้าอยู่ในดวงใจเรา” แต่ควรพูดว่า “เราอยู่ในดวงใจพระผู้เป็นเจ้า” และอย่าได้คิดว่าเธอนำทางแห่งความรักได้ เพราะถ้าความรักพบว่าเธอมีคุณค่าพอแล้วก็จะเป็นผู้นำทางแก่เธอเอง

ความรักไม่มีไม่มีความปรารถนาสิ่งอื่นใด นอกจากจะทำตนเองให้สมบูรณ์ แต่หากเธอรัก และจำเป็นต้องมีความปรารถนา ก็ขอให้ความปรารถนาของเธอจงเป็นดังนี้

เพื่อจะละลายไหลดั่งธารน้ำ ซึ่งส่งเสียงเพลงกล่อมราตรี

เพื่อจะเรียนรู้ความปวดร้าว อันเกิดแต่ความอ่อนโยนละมุนละไมเกินไป

เพื่อจะต้องบาดเจ็บ ด้วยความเข้าใจในความรักของตนเอง

และเพื่อจะยอมให้เลือดหลั่งไหล ด้วยความเต็มใจและปราโมทย์

เพื่อตื่นขึ้น ณ รุ่งอรุณ ด้วยดวงใจอันปีติและขอบคุณความรักอีกวันหนึ่ง

เพื่อจะหยุดพัก ณ ยามเที่ยง และเพ่งพินิจความสุขซาบซึ้งของความรัก

เพื่อจะกลับบ้าน ณ ยามพลบค่ำ ด้วยรู้สึกสำนึกคุณ

และเพื่อจะหลับไปพร้อมกับคำสวดภาวนาสำหรับคนรักในดวงใจ และเพลงสรรเสริญบนริมฝีปากของเธอ”

 

 

แล้วอัลมิตราก็ถามต่อไปว่า “แล้วการแต่งงานเล่าพระคุณท่าน” และท่านตอบว่า

“เธอเกิดมาด้วยกัน และเธอจะอยู่ด้วยกันตลอดไป เธอจะอยู่ด้วยกันแม้เมื่อปีกขาวของความตายปัดกวาดวันคืนของเธอให้กระจัดกระจายไป

ถูกแล้ว เธอจะอยู่ด้วยกัน แม้ในความทรงจำอันสงัดของพระผู้เป็นเจ้า แต่ขอให้มีช่องว่างในการอยู่ร่วมกันของเธอ และขอให้กระแสลมแห่งสวรรค์โบกโบยไปมาระหว่างเธอ

จงรักกันและกัน แต่อย่าสร้างพันธะแห่งความรัก และขอให้ความรักนั้นเป้นเสมือนห้วงสมุทรอันเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างฝั่งแห่งวิญญาณของเธอทั้งสอง

จงเติมถ้วยของกันและกัน แต่อย่าดื่มจากถ้วยเดียวกัน

จงให้ขนมปังแก่กัน แต่อย่ากัดกินจากก้อนเดียวกัน

จงร้องและเริงรำด้วยกัน และจงมีความบันเทิง แต่ขอให้แต่ละคนได้มีโอกาสอยู่โดดเดี่ยว

ดังเช่นสายพิณนั้นต่างอยู่โดดเดี่ยว ทว่าสั่นสะเทือนด้วยทำนองดนตรีเดียวกัน

จงมอบดวงใจ แต่มิใช่ต่ออีกฝ่ายหนึ่ง เพราะหัตถ์แห่งชีวิตอมตะเท่านั้นที่จะรับดวงใจของเธอไว้ได้

และจงยืนอยู่ด้วยกัน แต่อย่าใกล้กันนัก เพราะเสาของวิหารนั้น ก็ยืนอยู่ห่างกัน

และต้นโอ๊คไซเพรส ก็มิอาจเติบโตใต้ร่มเงาของกันและกันได้

 

 

“Private Lives” มีให้ฟังฟรีจากละครวิทยุ[2] ทาง BBC Radio 4 FM

Saturday-Night Theatre : West End Winners

Free Download : https://archive.org/details/noel-coward-private-lives

จากผลงานการบันทึกเสียงเมื่อ วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม 2518 เวลา 20:30 น.

โดย Noel Coward ดัดแปลงสำหรับวิทยุโดย Cynthia Pughe

 

ละครตลกเสียดสีสังคม 3 องก์

ดนตรีและแสดงโดย William Davies

Producer :…..Ian Cotterell

Elyot Chase :…..Paul Scofield

Amanda Prynne :…..Patricia Routledge

Sibyl Chase :…..Miriam Margolyes

Victor Prynne :…..John Rye

Louise :……Carole Boyd

 


[1] คาริล ยิบราน , ปรัชญาชีวิต , ระวี ภาวิไล , elib.life.ac.th , สืบค้น 14 กุมภาพันธ์ 2568, https://elib.life.ac.th/wp-content/uploads/2022/08/13-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%A5-%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%99.pdf.

[2]  Cynthia Pughe , บทละครวิทยุ , BBC Radio 4 FM , สืบค้น 14 กุมภาพันธ์ 2568, https://archive.org/details/noel-coward-private-lives.