ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทสัมภาษณ์

PRIDI Interveiw : ดร.โอฬาร ไชยประวัติ เล่าเรื่อง มรดกทางความคิด อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์

10
มีนาคม
2568

 

ในวาระครบรอบ 109 ปีชาตกาล ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ บุคคลสำคัญที่วางรากฐานโครงสร้างเศรษฐกิจไทย และเป็นนักเศรษฐศาสตร์เสรีไทยผู้ยึดมั่นในจรรยาธรรมแห่งประชาธิปไตย สถาบันปรีดี พนมยงค์ และ คุณกล้า สมุทวณิช ได้รับเกียรติพูดคุยกับ ดร.โอฬาร ไชยประวัติ อดีตนักเรียนทุนธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่น 2 ซึ่งมีโอกาสทำงานใกล้ชิดกับอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์

 

 

ดร.โอฬาร ไชยประวัติ ไม่เพียงแต่เป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้จัดการใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานและชาวนาไทย เช่น โครงการกองทุนตั้งตัวได้ และโครงการจำนำข้าว ในบทสนทนานี้ ดร.โอฬารจะถ่ายทอดมุมมองอันลึกซึ้งเกี่ยวกับอาจารย์ป๋วย ทั้งในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ นักการเมือง และผู้ที่อุทิศชีวิตเพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจที่มั่นคงตั้งแต่ยุคสงครามเย็นจนถึงปัจจุบัน

 

ดร.โอฬาร ไชยประวัติ : ผลผลิตจากแนวคิดของ ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์

ดร.โอฬาร ได้เล่าว่าตนเองเป็นผลผลิตจาก อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในฐานะนักเรียนทุนของธนาคารแห่งประเทศไทย ย้อนกลับไปในปี 2502 ขณะที่ อาจารย์ป๋วย ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ท่านได้ริเริ่มโครงการมอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนไทยปีละ 3 ทุน เพื่อศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ อเมริกา และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วในขณะนั้น โดย ดร.โอฬารเองก็เป็นหนึ่งในนักเรียนทุนของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่สอบชิงทุนไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาในปี 2505 จบการศึกษาระดับปริญญาโท ด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย และจบปริญญาเอก MIT (Massachusetts Institute of Technology) 

การให้ทุนการศึกษาเป็นเพียงหนึ่งในหลายแนวทางที่ อ.ป๋วย ดำเนินการเพื่อปูรากฐานให้เกิดนักเศรษฐศาสตร์ที่จะเป็นกำลังในการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในเวลาต่อมา

“แต่ก่อนที่จะกลับมาในปี 2513 ผมกับนักเรียนที่อเมริกาหลายท่าน โดยเฉพาะอาจารย์ปราโมทย์ นาครทรรพ และ อาจารย์ชัยอนันต์ สมุทวณิช ซึ่งเรียนรัฐศาสตร์อยู่ที่นั่น ผมก็เรียนเศรษฐศาสตร์ ช่วงนั้นมีความรู้สึกว่ารัฐบาลสมัยนั้น ซึ่งเราเรียกว่าเป็นรัฐบาลทหาร เป็นมานานแล้ว และน่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเรื่องการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย โดยมีการเลือกตั้งมากขึ้น ผมเองไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวการเมืองเท่าไรนักเพราะเรียนเศรษฐศาสตร์ที่เขาเรียกว่าเศรษฐศาสตร์แบบตัวเลข ที่ทำ Model และนักเศรษฐศาสตร์เรียกตัวเองว่า เป็น Positive Economic ไม่ใช่ Political Economic ก็ได้ทำงานร่วมกับอีก 2 ท่าน ซึ่งเป็นนักรัฐศาสตร์ เขียนจดหมายถึงประเทศไทย ในชุด เรารักประเทศไทย ซึ่งในช่วงนั้นเป็นช่วงที่อาจารย์ป๋วย ได้ไป Sabbatical leave (ลาพักร้อน) ที่ Pinceton ไปสอนหนังสือที่ Pinceton ก็เลยมีโอกาสได้คุยกับท่านในประเด็นเหล่านี้ ก็เลยเป็นที่มาของการเขียนบทความนั้น”

 

 

ทฤษฎีลูกโป่งของอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์

หลังจากกลับประเทศไทยแล้ว ดร.โอฬาร ไชยประวัติ ได้ทำงานรับใช้ทุนธนาคารแห่งประเทศไทยในปี 2513 ซึ่งเป็นปีท้าย ๆ ของการประจำอยู่ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยของอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์

เมื่อสำเร็จการศึกษาและกลับมาในช่วงหลังปี 2513 ดร.โอฬาร ได้เข้าทำงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยตามภาระผูกพันของทุนการศึกษา แม้ว่าในขณะนั้น อ.ป๋วย จะเริ่มหันไปมุ่งงานด้านวิชาการที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มากขึ้น แต่ท่านได้วางกรอบแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์มหภาคไว้ให้ ซึ่งรู้จักกันในชื่อ "ทฤษฎีลูกโป่ง" ทฤษฎีนี้มีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์ตัวแปรทางเศรษฐกิจโดยใช้แนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังอย่าง จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ และยังคงเป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์เศรษฐกิจไทยจนถึงปัจจุบัน

“จะต้องเล่าทฤษฎีลูกโป่งหน่อย เพราะมันจะโยงมาถึงปัจจุบันนี้ คือปรับปรุงจากทฤษฎีลูกโป่งมาบวกกับทฤษฎีของเคนส์ (Keynesian Theory) เรียกว่า ตัวแปรที่กำหนดผลผลิตประชาชาติโดยส่วนรวมคือ GDP (Gross Domestic Product)

ทฤษฎีลูกโป่งสูตรเก่าของอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ คือ MV = PT มาจากทฤษฎีง่าย ๆ เอา M (ปริมาณเงิน) คูณด้วย V (Velocity of Money หรืออัตราการหมุนของเงิน) เท่ากับ P คือราคา กับ T (Transaction Volume: ปริมาณการซื้อขายสินค้า) คูณด้วย P (ราคา) ออกมาเป็นมูลค่ารวมของการซื้อขายสินค้าในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีกรอบคิดเรื่อง GDP”

ดังนั้นทฤษฎีลูกโป่งจึงหมายความว่า มูลค่าทางเศรษฐกิจคล้าย ๆ กับตัว P x V คือ มูลค่าทั้งหมดที่เราทำธุรกรรมทางการเงินเท่ากับปริมาณเงินซึ่งธนาคารแห่งชาติวัดได้ทุกวัน ปริมาณเงินหมุนเวียนที่แบงค์ชาติพิมพ์ได้ทุกวัน แล้วก็เอามาหารตัวที่คิดว่าเป็น PxT หมายความว่าเงิน 1 บาทที่แบงค์ชาตินำออกมาหมุนเวียนนั้นหมุนกี่รอบ ซึ่งหมุนตามจำนวนรอบที่นำเอา PxT หารด้วย M

 

 

สรุปแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจของอาจารย์ป๋วย

ในช่วงเวลาที่ยังไม่มีแนวคิด GDP แบบปัจจุบัน การพัฒนาเศรษฐกิจมุ่งเน้นไปที่ ปริมาณสินค้าที่ผลิตในประเทศและการค้าภายในและส่งออก ซึ่งอาจอธิบายด้วยสมการ P × T โดยที่

  • P = ราคาสินค้า
  • T = ปริมาณการทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจ

อาจารย์ป๋วยเปรียบเทียบเศรษฐกิจเป็น "ลูกโป่ง" ซึ่งก็คือ P × T หรือรายได้ประชาชาติ (Y) แนวคิดสำคัญของอาจารย์คือ Y เชื่อมโยงกับปริมาณเงิน (M) เพราะเงินหมุนเวียนมีอิทธิพลต่อขนาดเศรษฐกิจ

ซึ่งที่มาของปริมาณเงิน (M) ในยุคหนึ่งนั้นเกิดจากการผลิตเหรียญกษาปณ์ใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ในยุคต่อมาเริ่มมีการผลิตธนบัตร และเมื่อมีธนาคารแล้วสามารถออก Banknote โดยธนาคารชาติไทย รวมถึงมีเงินจากเงินฝากในธนาคาร และ บัตรเครดิต

ส่วนแหล่งที่มาหลักของเงินในระบบ เกิดจากดุลการค้า เช่น ส่งออกข้าว ดีบุก ยางพารา ที่นำรายได้เข้าประเทศ และทำให้ลูกโป่งเศรษฐกิจขยาย

โดยอาจารย์ป๋วยผู้ควบคุมนโยบายทางการเงินในขณะนั้นจะต้องควบคุม Banknote ของรัฐบาล ที่ใช้ในโครงการลงทุน เช่น โครงสร้างพื้นฐานไม่ให้เกิดการขาดดุลงบประมาณของรัฐ (Fiscal Deficit) เมื่อรัฐกู้เงินเพื่อลงทุน ซึ่งหากทำให้เศรษฐกิจเติบโต ผลตอบแทนจะสูงขึ้น ก็จะไม่ก่อให้เกิดเงินเฟ้อ

บทบาทของอาจารย์ป๋วยจึงอยู่ที่การ ควบคุมการผลิตเงินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่ให้รัฐใช้เงินเกินตัว ดูแลให้เงินที่เข้าสู่ระบบ ไปกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ มากกว่าทำให้เกิดเงินเฟ้อ และส่งเสริมให้มี ดุลการค้าเกินดุล เพื่อให้เศรษฐกิจแข็งแรงและลูกโป่งขยายตัวอย่างยั่งยืน

หลักสำคัญของทฤษฎีลูกโป่ง จึงหมายถึง ลูกโป่งเศรษฐกิจ (P × T หรือ Y) โตขึ้นจากปริมาณเงินที่เหมาะสม เงินในระบบเกิดจากการส่งออก, การออกธนบัตร, และการขาดดุลงบประมาณเพื่อการลงทุน รัฐบาลต้องมีวินัยการคลัง ไม่ใช้เงินเกินตัว เป้าหมายคือการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ โดยให้เงินทำงานเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ

นอกจากนี้อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ยังมีบทบาทสำคัญในการผลักดันระบบธนาคารพาณิชย์อย่างเป็นระบบ นำไปสู่การตราพระราชบัญญัติธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเติบโตของระบบธนาคารพาณิชย์ภายในประเทศ

จากการพูดคุยกับ ดร.โอฬาร ไชยประวัติ จะเห็นได้ว่าบทบาทของ อ.ป๋วย ในการพัฒนาเศรษฐกิจไทยไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ธนาคารแห่งประเทศไทยเท่านั้น ท่านยังมีส่วนร่วมในการวางรากฐานให้กับสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ

กระทรวงการคลัง และองค์กรสำคัญด้านเศรษฐกิจอื่น ๆ ซึ่งสืบทอดต่อมาจากแนวคิดของ อ.ปรีดี พนมยงค์ ในยุคปัจจุบัน ภาคเศรษฐกิจของไทยได้ขยายตัวออกไปครอบคลุมกระทรวงเกษตร พาณิชย์ อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว อันเป็นผลพวงจากแนวคิดเศรษฐศาสตร์ของ อ.ป๋วย ที่ยังคงมีอิทธิพลต่อระบบเศรษฐกิจไทย

 

แรงบันดาลใจในการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจเพื่อสังคม ของอาจารย์ป๋วย

นอกเหนือจากการวางรากฐานด้านเศรษฐศาสตร์ อ.ป๋วย ยังได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ในอดีตของตนเอง ขณะที่ท่านเป็นโดดร่มเสรีไทย ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่จังหวัดชัยนาท ท่านได้รับความช่วยเหลือจากชาวบ้านในการหลบหนีจากกองทัพญี่ปุ่น ประสบการณ์นี้เป็นแรงผลักดันให้ อ.ป๋วย ออกแบบนโยบายเศรษฐกิจที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำในสังคม หนึ่งในนั้นคือการก่อตั้งธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และมูลนิธิพัฒนาชนบท แนวคิดดังกล่าวได้ส่งต่อไปยัง อ.โอฬาร ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจในการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจเพื่อสังคม เช่น กองทุนหมู่บ้าน และโครงการรับจำนำข้าว

ในสายตาของ อ.โอฬาร อ.ป๋วย เป็นทั้งนักเศรษฐศาสตร์ผู้ทรงภูมิและผู้นำที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เติบโตในสายงานวิชาการ ท่านเป็นผู้ใหญ่ใจดีที่คอยติดตามความก้าวหน้าของลูกศิษย์แม้ในช่วงบั้นปลายชีวิต เมื่อไม่สามารถสื่อสารด้วยวาจาได้แล้ว ท่านยังคงใช้การเขียนเพื่อติดต่อสอบถามข่าวคราวของศิษย์ที่เคยได้รับทุน

ความเป็นผู้นำที่เปี่ยมด้วยเมตตาและแนวคิดเศรษฐศาสตร์ที่ล้ำยุคของ อ.ป๋วย ไม่เพียงแต่มีผลต่อระบบเศรษฐกิจของไทยเท่านั้น แต่ยังส่งต่อแรงบันดาลใจไปยังลูกศิษย์อย่าง อ.โอฬาร ไชยประวัติ ซึ่งต่อมาได้ดำรงตำแหน่งและมีเป็นกำลังสำคัญของชาติในการบริหารการธนาคาร และวางแผนนโยบายด้านการเงินการคลังให้กับประเทศมาหลายยุค ซึ่งได้นำแนวคิดดังกล่าวมาประยุกต์ใช้และพัฒนาต่อเพื่อสร้างประโยชน์แก่สังคมไทยโดยรวม

 

บทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจไทยของ ดร.โอฬาร ไชยประวัติ นักเรียนทุนธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่ 2

ในช่วงหนึ่งของชีวิต ดร.โอฬาร ไชยประวัติ ได้มีโอกาสเป็นศิษย์ของ ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ สั่งสมประสบการณ์ด้านตัวเลขและข้อมูลเกี่ยวกับข้าวและผลผลิตทางการเกษตรมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่เป็นนักวิชาการหนุ่มในธนาคารแห่งประเทศไทย จนก้าวเข้าสู่การบริหารธนาคารไทยพาณิชย์ และในเวลาต่อมา มีบทบาทสำคัญในการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจของประเทศผ่านเส้นทางการเมือง มีบทบาทสำคัญในการผลักดันนโยบายจำนำข้าว

ในมุมมองของ ดร.โอฬาร ไชยประวัติ นั้นมองว่า โครงสร้างของอุตสาหกรรมข้าวมีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ตั้งแต่ เกษตรกรผู้ผลิต ซึ่งเป็นกลุ่มหลักที่ควรได้รับการสนับสนุน ไปจนถึง โรงสีและผู้ส่งออก โดยทั่วไป ผู้ส่งออกมีความเชื่อมโยงกับโรงสีมากกว่ากับเกษตรกรโดยตรง

ดังนั้น การกำหนด โครงสร้างนโยบายข้าว โดยเฉพาะ โครงการจำนำข้าว มีเป้าหมายเพื่อให้ชาวนาสามารถขายข้าวได้ในราคาที่ดีกว่าการไม่มีนโยบายดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การที่ราคาข้าวสูงขึ้นย่อมทำให้ต้นทุนของผู้ส่งออกเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ส่งออกไม่สนับสนุนนโยบายนี้ เนื่องจากพวกเขาต้องการซื้อข้าวในราคาถูกเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดส่งออกได้ง่ายขึ้น ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ในประเด็นนี้ไม่น้อย

นอกจากโครงการจำนำข้าวในสมัยรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดร.โอฬาร ยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา นโยบายกองทุนตั้งตัวได้ นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท และการปรับเงินเดือนข้าราชการขั้นต่ำเป็น 15,000 บาท

“ซึ่งตอนนี้ทุกคนลืมไปแล้ว เพราะมันไม่ค่อยจะ Controversial (เป็นที่ถกเถียงกัน) แต่มันก่อประโยชน์ให้กลุ่มคนที่เป็นเป้าหมาย แต่ที่ Controversial ก็คือจำนำข้าว เพราะว่ามันมี Interest (ส่วนได้ส่วนเสีย)”

ในวาระครบรอบ 109 ปี ชาตกาล ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ดร.โอฬาร ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการพัฒนานโยบายเศรษฐกิจในปัจจุบันว่า หากต้องการแก้ไขความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ควรมีการวางแผนในระดับภูมิภาค (Regional) ครอบคลุม 800 อำเภอทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดความกระจายตัวของเศรษฐกิจไปยังพื้นที่ชนบทอย่างทั่วถึง

“ตอนนี้ลูกโป่งเศรษฐกิจ 1 ใบ ได้กลายเป็นลูกโป่งหลายใบ และหลายใบนี้ผมเสนอว่าให้เป็นหลายอำเภอ 800 อำเภอ 800 ใบ”

ผู้สัมภาษณ์ : กล้า สมุทวณิช
12 กุมภาพันธ์ 2568