

ผู้ช่วยศาสตราจารย์อัครพงษ์ ค่ำคูณ:
คุณสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ฟังทั้งคุณภักดี ธนะปุระ คุณธิดารัตน์ ยิ่งเจริญ และคุณบัณฑิต ศรีภา ในฐานะที่คุณสุรเชษฐ์จะต้องเป็นคนตัดสินใจว่า ได้หรือไม่ได้ ในประธานคณะกรรมธิการบริหารงบประมาณ คุณสุรเชษฐ์มองอย่างไร
สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ:
ก่อนจะถึงการตัดสินใจ ทุกเวทีอย่างที่ท่านธิดารัตน์ ยิ่งเจริญ กล่าวว่า ตั้งแต่ก่อนหาเสียงเลือกตั้งก็มีการถกเถียง จริง ๆ มีมาตั้งแต่ก่อนมานาน หลักการก็มีสองแนวคิดที่แตกต่างกันซึ่งอย่างน้อยต้องเลือก ไม่ใช่ว่าประนีประนอมทำทั้งคลองไทยและ Landbridge ไม่ได้ ความเป็นจริงไม่ได้มีแค่สองอย่างนี้ เพราะรัฐก็ต้องใช้เงินในการลงทุนกับหลายเรื่องไม่ใช่แค่เรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นถนน รถไฟความเร็วสูง โรงเรียน และโรงพยาบาล เป็นต้น หากเราพูดถึง Scope (ขอบเขต) ในการเชื่อมโยงสองฝั่งทะเล โดยหลักก็คือ เป็นเรื่องของ Landbridge และคลองไทย ที่อยู่บนการหารือในปัจจุบัน ถ้าสังเกตหัวข้อ อนาคตเส้นทางเศรษฐกิจ คลองไทย คอคอดกระ (คลองกระ) และ Landbridge คอคอดกระ ตอนนี้ไม่ได้มีการหารือเรียบร้อย เป็นเพียงแนวทางเลือกหนึ่งของคลองไทย (ซึ่งก็มีหลายแนวทาง) ปัจจุบันที่หารือก็คือ คลองไทยกับ Landbridge ส่วนตัวผมค่อนข้างเป็นกลาง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์อัครพงษ์ ค่ำคูณ:
คุณสุรเชษฐ์จะกลางไม่ได้ พรรคประชาชนชอบเป็นอย่างนี้ เราไม่ควรจะกลาง

สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ:
ต้องฟังเหตุผลนิดหนึ่ง เวลากล่าวถึงโครงการระดับ Mega Project แบบนี้ หรือต้องเรียกว่า “Giga Project” คือ ใหญ่กว่า Mega อีก หลายคนเข้าใจผิดว่า เป็นเรื่องของการตอบ “อยากได้หรือไม่อยากได้” ซึ่งคงไม่ใช่ หากรัฐบาลจะตอบคำถาม ควรตั้งต้นจากคำถามว่า “ควรทำหรือไม่ควรทำ” การตั้งประเด็นคำถามทั้งสองนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ฉะนั้นเวลาจะกล่าวถึงการลงทุนของรัฐต้องเข้าใจก่อนว่างบประมาณในการสร้าง Landbridge คือ 1 ล้านล้าน คลองไทยตอนนี้ตัวเลขยังไม่ชัดเจน บางหน่วยงานบอกตัวเลข 2 ล้านล้าน ถ้าสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติศึกษาตัวเลข 3-5 ล้านล้าน เนื่องจากคลองไทยยังไม่ถูกศึกษาอย่างเป็นทางการตัวเลขจึงยังไม่แน่นอน แต่สรุปได้ว่าแพงกว่า Landbridge ซึ่งการหารือในปัจจุบันถึง 1 ล้านล้าน
ผู้ช่วยศาสตราจารย์อัครพงษ์ ค่ำคูณ:
ผู้ชมทางบ้านอาจจะไม่ทราบ 1 ล้านล้านคือเท่าไหร่ งบประมาณประเทศไทยอยู่ที่ 3 ล้านล้าน คือ 1 ใน 3 ของงบประมาณทั้งปีของประเทศ

สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ:
งบลงทุนของทั้งประเทศกับทุกเรื่องในประเทศไทยมีอยู่ประมาณ 7 แสนล้านบาท ซึ่งเรากำลังกล่าวถึงจำนวนเงินที่มหาศาล ยิ่งกว่าเงินพัฒนา EEC (Eastern Economic Corridor) หรือโครงการภายใต้พระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก) เนื่องจาก ECC หลาย Flagship Project (โครงการสำคัญตามนโยบายรัฐบาล) เช่น อู่ตระเภา หรือรถไฟความเร็วสูง รวมกันยังน้อยกว่า Landbridge แต่คลองไทยยังไม่ชัดเจน
โครงการฯ ควรต้องศึกษาอย่างละเอียดอย่างเป็นกลาง ไม่ใช่ความอยากได้หรือไม่อยากได้ ต้องสังเกตว่ารัฐควรทำหรือไม่ควรทำ การจะตอบว่าควรทำหรือไม่ควรทำหลายท่านก็กล่าวถึงเรื่องของสิ่งแวดล้อม เศรษฐศาสตร์ หรือความมั่นคง แต่ไม่ใช่เรื่องของการสร้างชาติอย่างเดียว เพราะหากเลือก Landbridge ก็ไม่ต้องคิดเรื่องคลองไทย หรือเลือกคลองไทยก็ไม่ต้องคิดเรื่อง Landbridge เพราะเป็นเรื่องที่ต้องเลือก ไม่ใช่เรื่องของการประนีประนอม โดยยังมีอีกหลายเรื่องในประเทศนี้ที่อาจจะสำคัญกับคนส่วนใหญ่ของประเทศมากกว่า สรุปผมเป็นกลางแต่ย้ำว่าต้องเลือก ไม่ใช่ทำทั้งสองอย่างอันนี้เป็นตัวเลขที่แย่ที่สุด
ส่วนตัวผมติดตามมาตั้งแต่เด็ก คือพื้นฐานของผมเรียนมาสายโยธา หรือ Transport (การขนส่ง) ซึ่งสมัยเด็กเราเคยได้ยินว่า ‘เพราะสิงคโปร์จ่ายเงินนักการเมืองไทยโครงการฯ นี้เลยไม่เกิดสักที ถ้าเกิดแล้วประเทศไทยจะเจริญ’ คนอายุประมาณผมคงจะเคยได้ยินมาก่อน แต่จากประสบการณ์ของผมที่เข้าวงการการเมืองประมาณ พ.ศ. 2562 แล้วมีการตั้งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการขุดคลองไทยและการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ขึ้น ไม่เคยเห็นประเทศสิงคโปร์มาเกี่ยวข้อง แต่เป็นประเทศจีนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยข้อเท็จจริงกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการขุดคลองไทยฯ ก็มีการทำ MOU (Memorandum of Understanding คือหนังสือบันทึกความเข้าใจร่วมกัน) กับบางบริษัทของจีน
ปัจจุบันความพยายามคลองไทยได้จบไปเรียบร้อย อย่างที่คุณธิดารัตน์กล่าวก็คือ รัฐบาลให้ความสำคัญกับ Landbridge ซึ่งรัฐบาลพยายามหาผู้ลงทุนร่วม แต่สิ่งที่หารืออยู่กันในปัจจุบันประเทศที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเท่าที่รัฐบาลชี้แจง คือ ประเทศจีนกับประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สอง Player (ผู้เล่น) หลักในสถานการณ์ปัจจุบัน
เมื่อได้นั่งในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการขุดคลองไทยฯ ได้มีการศึกษาในประเด็นนี้พอสมควร มีกรรมาธิการจากทุกพรรค คุณบัณฑิตก็เป็นที่ปรึกษา ซึ่งรายงานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการขุดคลองไทยฯ นี้ถูกปัดตกไป เหตุผลเพราะรายงานค่อนข้างเห็นด้วยกับโครงการฯ ซึ่งรายงานกรรมาธิการควรจะศึกษาอย่างละเอียดและเป็นกลางด้วย แต่ข้อจำกัดของระบบนิติบัญญัติทำให้ไม่มีอำนาจศึกษาในเชิงลึกและไม่ได้มีงบประมาณในมือ
พรรคประชาชนก็กังวลว่าจะเอาข้อสรุปจากกรรมธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการขุดคลองไทยฯ เป็นข้ออ้างในการสร้างโครงการฯ ซึ่งจริง ๆ เป็นคนละเรื่องกัน วันนั้นโดยข้อเท็จจริงเสียงข้างมากซึ่งประกอบจากทุกพรรคการเมือง พรรคประชาชนก็เห็นไปในทางว่าควรจะปัดตกรายงาน ส่วนโครงการฯ จะดำเนินการต่อหรือไม่ เป็นอำนาจของรัฐบาล ผลของกรรมธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการขุดคลองไทยฯ ตอนนั้นก็คือ หน่วยงานรัฐที่ควรจะศึกษาเชิงลึกที่ใช้งบประมาณจ้างที่ปรึกษาเพื่อดูในหลายมิติ คือ สภาพัฒน์ฯ รับผิดชอบในการศึกษาเหมือนเป็นไฟเขียวกับโครงการฯ สภาพัฒน์ฯ ชุดนั้นก็จบด้วยรายงานกรรมวิสามัญพิจารณาศึกษาการขุดคลองไทยฯ ถูกปัดตก เพราะกังวลจะถูกนำเป็นข้ออ้าง

เมื่อสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566 ได้มีการตั้งชุดคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการ Landbridge) ส่วนตัวผมไม่ได้ไปนั่ง เพราะผมเป็นประธานอนุกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ แต่ผมก็มีการทราบเรื่องจากเพื่อนกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งฯ ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็เคยอภิปรายเรื่อง Landbridge ว่าหลายเรื่องมีความไม่ชัดเจน และมีการเปลี่ยนจากสภาพัฒน์ฯ ไปเป็น สนข. (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร) คือสภาพัฒน์ฯ ก็ศึกษามาถูกทางในเรื่องทางเลือก ไม่ได้ศึกษาว่าอยากได้หรือไม่อยากได้ แต่ต้องดู option (ตัวเลือก) ซึ่งสภาพัฒน์ฯ ก็ไปศึกษาออกมา 4 ทางเลือก
1. Do Nothing เป็นหลักพื้นฐานแต่ก็ไม่ได้ Do Nothing เสียทีเดียวก็คือ Do Something ตามกระบวนการปกติ เช่น การพัฒนาเมือง การพัฒนาชายฝั่ง รถไฟทางคู่
2. Landbridge แต่เป็น Landbridge ขอบเขตกลับที่รัฐบาลจะทำ
3. คลองไทย
4. GMS (Greater Mekong Subregion หรือโครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง) แนวเชื่อมกับทวาย ประเทศพม่า
กล่าวอย่างเข้าใจง่ายสภาพัฒน์ฯ ก็รับเรื่องไปศึกษา ซึ่งนี่เป็นรายงานที่เป็นกลางที่สุดและละเอียดที่สุด เท่าที่ประเทศไทยจะมีการศึกษาในปัจจุบัน ส่วนใครจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยแต่นี้เป็นการศึกษาที่ official (ทางการ) จากสภาพัฒน์ฯ ที่ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยศึกษาเรื่องนี้
นอกจากกรรมธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการขุดคลองไทยฯ และกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งฯ ผมในฐานะประธานอนุกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณโครงการฯ ที่ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณจึงได้นำโครางการฯ นี้มาสอบถามความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอ อย่างที่ได้กล่าวคือ ตอนนี้คลองไทยในทาง official ของรัฐหยุด ที่ดำเนินการอยู่คือ Landbridge เราก็เชิญมาหารือว่าเพื่อหางบประมาณจากอะไร ผมเคยตั้งกระทู้ถามเรื่อง Landbridge ซึ่งหลายเรื่องยังไม่ได้คำตอบ
โจทย์ใหญ่ในวงเสวนาวันนี้ก็ควรอยู่ที่ว่า ถ้าจะผลักดันควรผลักดันโครงการ Landbridge หรือคลองไทย แต่ไม่ใช่ผลักดันทั้งคู่ และต้องสังเกตว่าโครงการไหนคุ้มค่ามากกว่ากัน เพราะโลกของความเป็นจริงเราจำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง หากเลือกแล้วไม่คุ้มค่าก็สามารถหยุดได้ เนื่องจากยังมีโครงการอย่างอื่นที่สำคัญกว่าให้แก้ไขในประเทศนี้
ช่วงแรกมีท่านนิกร จำนง กล่าวว่า ประเทศไทยไม่มี Mega Project มานาน ซึ่งผมย้ำว่าไม่ใช่ เพราะ Mega Project สมัยรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน โฆษณาก็คือ มี Mega Project อันสุดท้ายคือ สนามบินสุวรรณภูมิ ข้อเท็จจริงคือไม่ใช่ โดยหลังจากนั้นก็มีหลายโครงการที่ทำแต่หลายโครงการก็ไม่คุ้มค่า ยกตัวอย่าง รถไฟฟ้าที่เห็นสายหนึ่งเป็นแสนล้าน ทำ 10 สาย เป็นเงิน 1 ล้านล้าน รถไฟความเร็วสูงที่ลงทุนไปแต่ก็ไม่ค่อยคืบหน้าเท่าไหร่ สถานีกลางบางซื่อซึ่งสร้างไว้ใหญ่โตแต่ทุกวันนี้แทบไม่มีคนใช้
ผู้ช่วยศาสตราจารย์อัครพงษ์ ค่ำคูณ:
ผมใช้อยู่
สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ:
น้อยมากเมื่อเทียบกับ Car far City ต้องเทียบกับผู้ใช้ ถ้าท่านจะฝันใหญ่ เปรียบเทียบเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์อัครพงษ์จะสร้างร้านอาหาร ถ้าฝันใหญ่ว่าจะมีคนมาใช้แต่ผู้ช่วยศาสตราจารย์อัครพงษ์ทำร้านอาหารแบบ 1,000 ที่นั่ง แล้วเปิดร้านใช้แค่ 80-100 ที่นั่ง ก็ไม่สมเหตุสมผลที่จะลงทุนแบบนั้น แต่ถ้าเกิดจะลองตลาดทำ 100 ที่นั่ง พอคนใช้เยอะจะขยายเป็น 200-500 ที่นั่ง และอาจจะจบอยู่ที่ 1,000 ที่นั่ง ดำเนินการแบบนี้สมเหตุสมผลมากกว่า
ข้อเท็จจริงก็คือจะฝันใหญ่จะทำโครงการทุกอย่าง อันนี้เป็นปัญหาของรัฐไทย สุดท้ายเราต้องเลือก


รับชมถ่ายทอดสดฉบับเต็มได้ที่ : https://www.facebook.com/pridibanomyonginstitute/videos/1186458066442501
ที่มา : PRIDI x PBIC : “อนาคตเส้นทางเศรษฐกิจ คลองไทย - คลองกระ - Landbridge “จากวิสัยทัศน์ปรีดี พนมยงค์” วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม 2568 เวลา 10.00-12.00 น. ณ ห้อง PBIC 211 ชั้น 2 ตึก 60 ปี วิทยาลัยนานาชาติ ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์