ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
ศิลปะ-วัฒนธรรม

“แผลเก่า เดอะมิวสิคัล”

23
มีนาคม
2568

Focus

  • บทความนี้นำเสนอละครเวทีเรื่อง “แผลเก่า” จากบทประพันธ์วรรณกรรมอมตะของ “ไม้ เมืองเดิม” ตำนานความรักของ “ขวัญ” กับ “เรียม” ที่ได้รับความนิยมจนถูกสร้างเป็นละครและภาพยนตร์หลายครั้ง ถูกนำมาตีความผ่านมิติใหม่แต่ยังสะท้อนถึงความร่วมสมัยในหัวใจของเรื่อง ปิตาธิปไตย และค่านิยมของสังคมไทย ที่ยังคงมีอยู่จากอดีตจนถึงปัจจุบัน Dreambox โดย Dream Team กลุ่มเดิม สร้าง “แผลเก่า เดอะ มิวสิคัล” ด้วยความรัก มุ่งมั่น ทุ่มเท และประณีตในทุกองค์ประกอบทั้งบทละคร ดนตรี ฉาก การคัดสรรนักแสดงที่มีคุณสมบัตินักร้องได้มาตรฐานตรงตามบท เป็นที่ยอมรับเรื่องการรักษามาตรฐานงานสร้างมีความร่วมสมัยในเนื้อหา และจิตวิญญาของความเป็นมนุษย์

 

 

“แผลเก่า” นวนิยายอมตะ ได้จังหวะกลับมาอีกครั้งในวาระ 120 ปี ชาตกาล ก้าน พึ่งบุญ ณ อยุธยา (16 มิถุนายน 2448 - 4 มีนาคม 2485) นักเขียนที่เป็นครูคนสำคัญ ผู้ประพันธ์ที่ใช้นามปากกา ‘ไม้ เมืองเดิม’ ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ปี 2479  ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์มาแล้วหลายครั้ง จากเรื่องเล่าเคล้าตำนานจึงกลายเป็นงานบันทึกประวัติศาสตร์ผ่านภาพยนตร์บนวิถีไทยมาตั้งแต่ต้นรัชกาลที่ 8 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ท่ามกลางการรณรงค์นโยบาย ‘สร้างชาติด้วยเอกลักษณ์ศักดินา’ แต่ทว่าสำแดง ‘ความเป็นไท’ ในวิถีท้องทุ่ง มุ่งประกาศ ‘เอกราษฎร์’ ด้วย ภาพยนตร์

  • ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2483  (อบเชย ชุ่มพันธ์-สมพงษ์ จันทร์ประภา แสดงนำ)
  • ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2497 (พรทิพย์ โกศลมัชกิช-ชีพ ชูพงษ์ แสดงนำ)
  • ครั้งที่ 3 เป็น ‘ภาพจำ’ ของยุคสมัยต่อคนไทยมาตั้งแต่ยุค 90 จนถึงปัจจุบันคือ “แผลเก่า” ฉบับภาพยนตร์ซึ่งสร้างและกำกับโดย เชิด ทรงศรี[1] (ยุทธนา มุกดาสนิท เป็นผู้ช่วยผู้กำกับ ต่อมาจึงได้เป็นผู้กำกับมือทองของวงการในยุคนั้นอีกคน) ฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2520 นันทนา เงากระจ่าง-สรพงษ์ ชาตรี แสดงนำ ร่วมด้วย ส. อาสนจินดา, ชลิต เฟื่องอารมย์, เศรษฐา ศิระฉายา และศรินทิพย์ ศิริวรรณ ถ่ายทำด้วยฟิล์ม 70 มม. เสียงสเตอร์ริโอรอบทิศ  มีเพลงประกอบเพิ่มจากเดิม คือ “แสนแสบ” ประพันธ์คำร้องโดย ชาลี อินทรวิจิตร ทำนองโดย สมาน กาญจนะผลิน ขับร้องโดย ไพรวัลย์ ลูกเพชร (ชรินทร์ นันทนาคร เคยขับร้องบันทึกแผ่นเสียง เมื่อ พ.ศ. 2503) เพลงอื่น ๆ ได้แก่ “ลำนำแผลเก่า” ขับร้องโดย ทนงศักดิ์ ภักดีเทวา และ ไพรวัลย์ ลูกเพชร, “กุหลาบสีเขียว” ขับร้องโดย สวลี ผกาพันธุ์ หนังทำรายได้เกิน 13 ล้าน สูงสุดลบสถิติภาพยนตร์ทั้งไทยและต่างประเทศทุกเรื่องที่เข้าฉายกันในช่วงนั้น

ในปี 2520 ได้รับรางวัลพระสุรัสวดี สาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แต่งหน้ายอดเยี่ยม เครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม และ ได้รับโล่เกียรติยศ ‘ภาพยนตร์เชิดชูเอกลักษณ์ไทยยอดเยี่ยม’ จาก พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกรัฐมนตรี ในปีนั้น ขวัญ-เรียม คู่นี้ (สรพงศ์- นันทนา) ได้รับเสียงชื่นชมอย่างเป็นเอกฉันท์จากมหาชนว่าเป็นคู่ที่ดูสมจริงที่สุด คุณภาพดีที่สุดจากทุก version ที่มีการสร้างมา

นอกจากนี้เมื่อปี 2524 “แผลเก่า” ยังได้รับ รางวัลกรังด์ปรี จากการประกวดภาพยนตร์ในงาน “Festival des 3 Continents” เมืองน็อง ประเทศฝรั่งเศส

ในปี 2541 “แผลเก่า”  ได้รับเลือกจาก หอภาพยนตร์และโทรทัศน์แห่งชาติของประเทศอังกฤษ (National Film and Television Archive) ร่วมกับนิตยสาร Sight and Sound ของ สถาบันภาพยนตร์อังกฤษ (British Film Institute) ผู้กำกับภาพยนตร์ และนักวิจารณ์ภาพยนตร์จากทั่วโลก ให้เป็น 1 ใน 360 ภาพยนตร์คลาสสิคของโลก โดยมีการประกาศผลเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2544

และ “แผลเก่า” เวอร์ชันเชิดได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ในจำนวน 25 เรื่อง ของภาพยนตร์ไทยที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกภาพยนตร์ของชาติ” โดย หอภาพยนตร์แห่งชาติ เมื่อปี 2554

  • ครั้งที่ 4 ม.ล. พันธ์ุเทวนพ เทวกุล นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์อีกครั้งเมื่อปี 2557 ดาวิกา โฮรเน่ - ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ค แสดงนำ

 

 

“แผลเก่า” กับรางวัล “มหาชนนิยม”

  1. วรรณกรรมอมตะของ ไม้ เมืองเดิม (ก้าน พึ่งบุญ ณ อยุธยา) สะท้อนชะตากรรมของ ขวัญ-เรียม ตัวแทนของชนชั้นทางสังคมที่สำแดงแจ้งประจักษ์ด้วย ‘อำนาจ’ ผ่านฐานะและสถานะ ในทุกระดับ โดยเฉพาะโลกของผู้หญิงในจักรวาลแห่งอำนาจของผู้ชายที่เป็น ‘เจ้าโลก’ ผู้กุมโชค (และคุม) ชะตา
  2. วิถีท้องทุ่งที่มุ่งสะเทือนความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองกรุงกับทุ่งชานเมือง สิ่งที่เรียกกันว่า ‘ความเจริญ’ ยังกระจุกตัวเฉพาะในเมืองหลวง ตรงข้ามกับภูธร (ภูมิภาค) ซึ่งมีมิติที่ ‘แตก’ กันมากทุกด้านในความต่าง แม้ระยะทางไม่ไกลกัน ขวัญไปตามหาเรียมที่บางกอกกว้างไกลด้วยพลังของความรัก แต่ต้องซมซานกลับมาอย่างหมดท่า เพราะว่ามันไม่ใช่โลกของ ‘คนชายขอบ’ อย่างเขา
  3. เป็นเรื่องใกล้ตัวแนว Melodrama ที่ตั้งคำถามและเล่นกับความฝันของหนุ่มสาว ในยุคที่บ้านเมืองมีความเปลี่ยนแปลงการปกครอง เต็มไปด้วยความต่างที่เร้าแรงทะเยอทะยาน และเต็มไปด้วยแรงต้านจาก อุดมการณ์ อุดมคติ ชัดเจนในประเด็นนี้ที่ฉายผ่านตัวละคร เรียม กับทางเลือกระหว่างชีวิตใหม่ที่ต้องกตัญญูรู้คุณอย่างคนมีอนาคต กับ อดีตรัก ความภักดี ที่มีต่อคนรัก และคำสาบานที่ยังยึดมั่น
  4. มีความเป็นอมตะเพราะประเด็นคำถามแบบปลายเปิด ที่ทำให้เกิด ‘ทางเลือกใหม่’ ระหว่างจะอยู่หรือจะไป ถามใจคนรับสารหลังเสพสื่อ ใคร (ควร) คือคนกำหนด ‘บทบาทชีวิต’ ที่ ‘คนลิขิต’เองได้  ไม่ว่าจะให้ชีวิตเปลี่ยนเธอ หรือเธอจะเปลี่ยนชีวิตตัวเอง เรียมได้เลือกแล้วหลังขวัญมีอันเป็นไป (ช้าไป)
  5. ความสำเร็จของภาพยนตร์ในยุคต่อมาตอกย้ำ ‘ภาพจำ’ ให้เป็น ‘ภาพจริง’ ยิ่งขึ้น แม้เพียงเรื่องเล่าขานแต่คือตำนานขลังดั่ง ‘อัตชีวภาพยนตร์’ ของคนตัวเล็กแต่ส่งสารยิ่งใหญ่ ใน ศักดิ์ศรีกับความรัก และ อำนาจกับชาติกำเนิด ขวัญสู้อย่างมีศักดิ์ศรีอย่างลูกผู้ชายจนวินาทีสุดท้ายมาถึง การเผาเรือของสมชายเป็นทางเลือกสุดท้าย หมายจะต่อต้านการจากไปของเรียม แต่ไม่อาจสู้กับ ‘อำนาจเหนือกว่า’ ที่มากับอาวุธได้

 

 

ปีนี้ 2568 ครั้งแรกของการสร้าง “แผลเก่า” สู่ละครเวที หลังจากจดจ้องโจทย์เรื่องนี้มานาน Dreambox Theatre กลุ่มคนละครคุณภาพทีมเดิมได้นำ “แผลเก่า” กลับมาพัฒนาต่อยอดเป็น “แผลเก่า เดอะ มิวสิคัล” โดยตีความใหม่จากแกนเรื่องเก่า เข้ากับแนวเหมือนจริงอิงย้อนยุค ภายใต้โจทย์ใหม่วัดใจด้วยละครเพลง (Sung-through musical ละครที่ดำเนินเรื่องด้วยบทเพลงตลอดเรื่อง) ในเนื้อหาไทยสากลที่ประพันธ์ใหม่ ร้องใหม่ ทั้งหมดถึง 32 เพลง ที่นักแสดงต้องใช้ทักษะในการร้องเพลงแทนบทพูด ถ่ายทอดเนื้อหาทั้งหมดตลอดเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ มีบทพูดแทรกมาบ้างแต่น้อยมาก) Dreambox สร้าง Sung-through musical (ละครที่ดำเนินเรื่องด้วยบทเพลงตลอดเรื่อง) ครั้งนี้เป็นเรื่องที่ 7 ทุกเรื่องสร้างจากต้นเรื่องซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้วเพื่อเอื้อต่อการทำความเข้าใจในเนื้อหา 6 เรื่องที่ผ่านมาคือ “คู่กรรม เดอะ มิวสิคัล” , “แม่นาค เดอะ มิวสิคัล”(ได้รับรางวัล PM’s Creative Awards 2010) , “นางพญางูขาว เดอะ มิวสิคัล” (A.I.C.T. Awards 2013 ในสาขา Best Musica) , “ซ้อน A New Musical” , “น้ำเงินแท้ เดอะ มิวสิคัล” และ “พินัยกรรมของหญิงวิกลจริต เดอะ มิวสิคัล” การคัดเลือกนักแสดงจึงต้องมีคุณสมบัติของนักร้องเป็นสำคัญ

แม้เป็นละครเพลงเรื่องแรกในชีวิตของ สยาภา สิงห์ชู ผู้ถูกเลือกจากการ audition ที่มีคนมาสมัคร 80 กว่าคน ที่สำคัญต้องเป็นนักแสดงที่ร้องดีและดูเป็นเด็กวัยรุ่น เพราะตัวละครในเรื่องอายุ 17 ปี เท่านั้น  ซึ่งทุกคนจะต้องร้องเพลง “นี่หรือคือความรัก” จาก “คู่กรรม เดอะมิวสิคัล” คนที่เหลือรอดถูก call back  เพื่อ audition รอบ 2 เป็น ‘เรียม’ เหลือเพียง 2 คน ซึ่งสยาภาเป็นหนึ่งในนั้น โดยจะต้องไปฝึกร้องเพลง “น้ำใหม่ น้ำเก่า” มาเพื่อบทนี้ แล้วเธอก็เหมาะสมทุกประการและทำได้ดีมาก รวมถึงการสร้างเทคนิคฉากเพื่อกระชากจินตนาการผู้ชมให้หลุดจากภาพจำเก่า และจะเล่าอย่างไรโดยไม่ต้องเพิ่มคลองบนเวที แต่ให้มีอรรถรส สด ใหม่ สะเทือนใจ และทรงคุณค่าในเนื้อหาความเป็น ‘วรรณกรรมอมตะ’ ที่จะสามารถเข้าถึงผู้คนได้หลากหลาย คือโจทย์ท้าทายที่เทคนิคตัดต่อภาพยนตร์ถูกนำมาใช้กับละครเวที จึงนับเป็น ‘ละครทดลอง’ ที่พัฒนาในแนวทางมุ่งสร้างและแสวงทิศทางใหม่จากรากเก่า เพื่อการเสพศิลป์-ศึกษาวิชาศิลปะการแสดง ด้วยเป็นหมายเหตุสำคัญแห่งยุคสมัยในมิติทางสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และไม่อาจมองข้ามสัญญะซับซ้อนที่ซ่อนไว้ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงใหม่ที่ถาโถมโหมกระหน่ำของกระแส ‘โลกล้ำ’ ในยุคปัจจุบัน

“แผลเก่า เดอะ มิวสิคัล”  โดย Dreambox Theatre

บทประพันธ์ : ‘ไม้ เมืองเดิม’ / บทละครและคำร้อง : ดารกา  วงศ์ศิริ

กำกับการแสดง: สุวรรณดี จักราวรวุธ

ประพันธ์เพลง-ดนตรี  :  ไกวัล กุลวัฒโนทัย, สุธี แสงเสรีชน และ ภูดินันท์ ดีสวัสดิ์มงคล

ฝึกสอนการร้อง : ใจรัตน์ พิทักษ์เจริญ

อำนวยเพลง : ดำริห์ บรรณวิทยกิจ

กำกับการร้อง : ใจรัตน์ พิทักษ์เจริญ

ออกแบบแสง ฉลาดเลิศ ตุงคะมณี

ออกแบบฉาก เทคนิค อุปกรณ์การแสดง ศุภธนิศร์ ฐิตะชัยสิทธิ์

นำแสดงโดย : เขมวัฒน์  เริงธรรม, สยาภา  สิงห์ชู,  รัดเกล้า อามระดิษ, นนทิยา จิวบางป่า, มนตรี เจนอักษร, ธรรพ์ณธร ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา, ทรงสินธ์ ศิริคุณารัศม์,  ดิษย์กรณ์  ดิษยนันทน์, ทรงสินธ์ ศิริคุณารัศม์    ฯลฯ

เปิดการแสดงที่เอ็มเธียเตอร์ (M Theatre) : 21-22-23-28 กุมภาพันธ์ 2568 / 1-2  มีนาคม 2568

 

 

โลกของเรียม

ณ ท้องทุ่งบางกะปิ ครอบครัวของสองหนุ่มสาว ขวัญ กับ เรียม ต่างเป็นศัตรูกันเพราะ เรือง พ่อของเรียมเป็นอริกับ ผู้ใหญ่เขียน พ่อของขวัญ เหตุเพราะล้ำที่นาพ่อของขวัญ จ้อย หนุ่มฐานะดีมีอิทธิพลของหมู่บ้านมาหลงรักเรียมและต้องการรวบรัดเรียมให้แต่งงานด้วย แต่เรียมรักกับขวัญจึงไม่ยอม เป็นเหตุให้ขวัญถูกทำร้าย เมื่อขวัญกลับมาฟันหน้าแก้แค้นคืน จ้อยอับอายจึงหลบไปกบดาน แต่ก่อนไปได้อุบายให้กำนันเรืองขายเรียมให้กับญาติตนคือ คุณนายทองคำ คหบดีเศรษฐีณีนาหมื่นไร่ที่บางกอก แลกกับโฉนดที่นาซึ่งติดจองนองไว้ และเพื่อจ้อยจะได้ไปไถ่ตัวเรียมกลับคืนมาเป็นเมีย

เรียมมีหน้าตาละม้าย โฉมยง ลูกสาวคุณนายทองคำที่เพิ่งเสียชีวิตไป จึงกลายเป็นที่พึ่งใจจนได้รับความเมตตาอุปการะเป็นบุตรบุญธรรม ชีวิตเรียมเปลี่ยนไปมากจากสาวชาวทุ่งมีทางเลือกใหม่ให้ไตร่ตรองเมื่อ สมชาย หลานของคุณนายทองคำที่เคยชอบพออยู่กับโฉมยงได้หันมาหมายปองเรียม เด็กสาวบ้านนอกคอกนาที่มีความรักครั้งแรกและได้สาบานจะมั่นในรักเดียวกับขวัญเด็กหนุ่มลูกศัตรูของครอบครัว  ความมั่นคงในรักเดียวของขวัญนั้นเหนี่ยวรั้งจิตใจให้เรียมรู้สึกผิด แม้ความรู้สึกนึกคิดของเรียมจะเติบโตขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปไกลกว่าชีวิตในทุ่งบางกะปิแห่งนี้แล้ว…

สามปีผ่านไป แม่เริ่ม ป่วยหนัก เรียมต้องกลับทุ่งบางกะปิมาเยี่ยมแม่ ได้พบกับขวัญอีกครั้ง ความรักที่ไม่เคยเลือนจากสองใจสานใยอีกครั้ง แม้เรียมจะลังเลที่ต้องเลือกตามเงื่อนไขในค่านิยมของสังคมใหม่ แต่ในใจรักยังภักดีต่อพี่ขวัญไม่เสื่อมคลาย ขวัญแอบมาพบเรียมแต่เรียมไล่หลบไป พร้อมให้คำมั่นจะรอพบกันในวันพรุ่ง แต่เรียมต้องกลับบางกอกโดยไม่บอกกล่าว พร้อมมีข่าวจะกลับไปแต่งงานกับหลานคุณนายทองคำ ปล่อยให้ขวัญครวญคร่ำกับเจ้าพ่อไทรในคืนทรมาน จนกระทั่งงานศพแม่เริ่ม เรียมกลับมาบ้านนาอีกครั้ง ขวัญมาทวงสัญญาขอให้กลับมาอยู่ด้วยกัน เรียมผลัดนัดให้คำตอบในวันพรุ่ง แต่รุ่งขึ้นเรียมถูกบังคับให้กลับบางกอกเพราะนายแม่ป่วย ก่อนเดินทางขวัญลอบเผาเรือของสมชายเป็นเหตุให้ถูกตามล่า เขาถูกยิงสมชายยิงจนบาดเจ็บสาหัส ซมซานไปถึงคลองแสนแสบ เรียมตัดสินใจในวินาทีนั้น ขวัญคือยอดดวงใจ เจ้าพ่อต้นไทรเป็นพยานในรักแท้

 

 

ถามถึง ‘ทางเลือก’
ดารกา วงศ์ศิริ ผู้เขียนบท

“แผลเก่า เดอะ มิวสิคัล” ดัดแปลงมาจากนวนิยายคลาสสิคของ ไม้ เมืองเดิม ส่วนตัวแล้วรู้จัก “แผลเก่า” จากการดูภาพยนตร์ที่สร้างโดย คุณเชิด ทรงศรี ซึ่งในตอนนั้นรู้สึกประทับใจมาก และจำได้ว่าเศร้ามาก

ในการทำเป็นละครเวทีครั้งนี้ ได้กลับไปอ่านนวนิยายอย่างละเอียด  จึงพบว่า ไม้ เมืองเดิม ได้เขียนตัวละครไว้อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวละคร เรียม ซึ่งในนวนิยายนั้น ได้บรรยายความรู้สึกนึกคิดของเรียมอย่างซับซ้อน

เมื่อเรียมอยู่ทุ่งบางกะปิ เรียมเป็นแค่ลูกสาวชาวนา มีหน้าที่เชื่อฟังพ่อแม่ เมื่อเรียมไม่เชื่อฟัง และไม่ยอมทดแทนบุญคุณพ่อแม่ตามที่ต้องการ เธอจึงถูกลงโทษด้วยการนำไปขายขัดดอกไว้ที่เมืองกรุง

เป็นชะตากรรมของเรียมที่ถูกขายให้กับคุณนายทองคำ ผู้เห็นเรียมเป็นดั่งลูกสาวของตนเอง รักและเมตตาเรียมจนถึงกับยอมรับให้เป็นบุตรสาวบุญธรรม

ที่เมืองกรุง เธอได้รับทั้งความเป็นอยู่ที่ดี ได้รับการศึกษา และได้รับความรักทนุถนอมจากทุกคน เวลาสามปีที่ต้องพรากจากขวัญทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเด็กสาวชาวนากลายมาเป็นหญิงสาวชาวกรุง

ไม่ต้องสงสัยว่าตลอดเวลาสามปีที่ผ่านไปนั้น ขวัญผู้ซื่อสัตย์เฝ้ารอแค่เรียมอยู่ที่ทุ่งบางกะปิ ในขณะที่เรียมเดินอยู่บนทางเลือกใหม่ แต่ชีวิตของขวัญนั้นหยุดนิ่งอยู่กับความรักและความหลัง ขวัญอาจจะมีทางเลือกหลายทาง แต่ขวัญเลือกที่จะรอคนรักของเขาแม้จะไม่รู้ว่าวันใดเธอจะกลับมา

เรียมไม่เคยลืมขวัญ แต่ชีวิตของเธอในขณะนั้นไม่มีพื้นที่ตรงไหนเลยที่ขวัญจะแทรกเข้าไปได้  ขวัญคงอยู่ในความทรงจำของเธอเสมอ แม้จะเลือนรางไปเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา

ลองคิดดูว่าถ้าเป็นตัวเรา ระหว่างโอกาสและความก้าวหน้าในชีวิต กับความรักที่ผูกพันกันมาแต่เล็กในอีกสิ่งแวดล้อมหนึ่ง เราจะเลือกอะไร

สำหรับคนรุ่นใหม่หลายคนในบริบทของสังคมปัจจุบันนี้ คงเข้าใจความรู้สึกของเรียมดีกว่าคนในยุคเก่าที่มักจะมีผู้สรุปว่า เรียมมันหลายใจ หรือ เรียมมันไปหลงแสงสี

แผลเก่าจึงไม่ใช่แค่ละครรักอมตะระหว่างขวัญกับเรียม แต่เป็นเรื่องของโอกาส ทางเลือก และการเลือกของทั้งขวัญและเรียม

ดารกา วงศ์ศิริ

17 กุมภาพันธ์ 2568

 

 

เพลง “สัญญาหน้าเจ้าพ่อไทร” : ละคร  “แผลเก่า เดอะ มิวสิคัล”

คำร้อง : ดารกา วงศ์ศิริ

ทำนอง : สุธี แสงเสรีชน

ขวัญ เรียม : เจ้าพ่อต้นไทรจงเป็นพยาน

ขวัญ : ข้าขวัญ รักมั่นเจ้าเรียมคนนี้

เรียม : ข้าเรียม จะรักพี่ขวัญคนนี้

ขวัญ : จะไม่เปลี่ยนแปลงจนชั่วชีวี

เรียม : จะไม่เปลี่ยนแปลงจนชั่วชีวี

ขวัญ : หากไม่เป็นดังคำนี้

เรียม : หากไม่เป็นดังคํานี้

ขวัญ เรียม : ขอให้มีอันเป็นไป

ขวัญ : ให้ถูกคมอาวุธบาดศาตรา

เรียม : ให้สิ้นชีวาเพราะมีดไม้

ขวัญ : ให้ประสบพานพบ มีแต่เหตุเภทภัย

เรียม : ให้มีอันเป็นไป ไม่ตายดี

ขวัญ : แต่ถ้าแม้นซื่อตรงจงรัก

เรียม : แต่ถ้าแม้นซื่อตรงจงรัก

ขวัญ : ขอให้ช่วยปกปักคุ้มครองข้า

เรียม : ขอให้ช่วยปกปักคุ้มครองข้า

ขวัญ : ได้ครองรักนี้

เรียม : ได้ครองรักนี้

ขวัญ : เป็นสามีภรรยา

เรียม : เป็นสามีภรรยา

ขวัญ : ทั้งชาตินี้และชาติหน้า

เรียม : ทั้งชาตินี้และชาดิหน้า

ขวัญ เรียม : ตลอดไป

ขวัญ เรียม : เจ้าพ่อไทรจงเป็นพยาน

ข้าขอรักมั่นแต่คนคนนี้ จะไม่เปลี่ยนแปลงจนชั่วชีวี

หากไม่เป็นดั่งคำนี้  ขอให้มีอันเป็นไป

 

 

‘น้ำใหม่’  ใน “แผลเก่า” วาระครบรอบ 39 ปี

ผู้กำกับ “แผลเก่า เดอะมิวสิคัล”

สุวรรณดี จักราวรวุธ ศิลปินร่วมสมัยดีเด่น รางวัล "ศิลปาธร" สาขาศิลปะการแสดง ประจำปี 2560 , ผู้ร่วมก่อตั้งโรงละครกรุงเทพ , ร่วมก่อตั้ง บริษัท ดรีมบอกซ์ จำกัด , อาจารย์พิเศษด้านการแสดงและกำกับการแสดงในหลายมหาวิทยาลัย , ผู้ร่วมก่อตั้ง ที่ปรึกษาหลักสูตร และอาจารย์สอนการแสดงสถาบัน Finale Academy ฯลฯ

บันทึกการสร้างงาน : “มิวสิคัล จากยุคอนาล็อกสู่ดิจิตัล” [2]

วาระครบรอบ 33 ปี เส้นทางละครเวทีทีมงานดรีมบ็อกซ์  29 ตุลาคม 2562

นึกถึงคืนวันเก่า ๆ เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ละครเพลงยุคแรก ๆ ของเราแต่ละเรื่องใช้เวลาซักซ้อม 3-4 เดือน สมัยนั้นละครเพลงเรื่องหนึ่ง ๆ มีเพลง 13-15 เพลง ไม่เยอะเหมือนปัจจุบัน พอแต่งเพลงเสร็จต้องทำ guide demo อัดเสียงร้องลงเทปคาสเส็ทท์ แล้ว dub เพื่อส่งต่อให้นักแสดงเอาไปฟังและหัดร้องเองด้วย เรื่องแรกที่ใช้ขั้นตอนนี้คือเรื่อง “มนต์เพลงขนมครก” ตุ๊ง ดำริห์ บรรณวิทยกิจ แต่งเพลง ตอนนั้นตุ๊งยังเรียนอยู่ปี 3 หรือ 4  ตอนอัดเสียงร้องไกด์ไม่สามารถตัดต่อเพลงได้ พอไกด์ผิดก็ต้องอัดใหม่ทั้งเพลงกว่าจะได้แต่ละเพลงทุกข์ยากแสนเข็ญ

ซ้อมละครยุคนั้นนักแสดงมีซ้อมกันสัปดาห์ละ 4-5 วัน โดนเคี่ยวเข็ญทั้งร้องเต้นเล่นละครแบบทีม ในกลุ่มคนไหนร้องผิดเต้นผิดทุกคนในทีมต้องเริ่มต้นใหม่ด้วยกันจนกว่าจะทำได้เป๊ะถึงกลับบ้านได้ นักแสดงส่วนใหญ่มีทักษะการแสดง ส่วนร้อง เต้น อยู่ในระดับต้องฝึกฝนกันใหม่ จึงอาศัยฝีมือการแสดง “เอาตัวรอด” ผ่านมาได้  เครื่องเล่นเทปคาสเซ็ทแบบคู่กลายเป็นสิ่งจำเป็นในการซ้อมที่ต้องจัดหาซื้อไว้ใช้เป็นเครื่องมือหากิน ใช้งานกันสมบุกสมบันขนาดปุ่มกดพังคามือไปเลยค่ะ

การพัฒนาของเทคโนโลยีหลายอย่างทำให้การทำงานสะดวกขึ้นและยากขึ้นเป็นลำดับ เมื่อมีแผ่นซีดีก็เริ่ม write แผ่น guide demo และ backing track แจกจ่ายนักแสดงแทน โปรดักชั่นหนึ่ง ๆ ต้องซื้อใช้งานหลายร้อยแผ่น โดยเฉพาะ sung through musical อย่างเรื่อง “คู่กรรม” เมื่อ 16 ปีก่อน มีเพลงในเรื่องทั้งหมด 43 เพลง คิดดูว่าแต่ละเพลงทยอยเสร็จมาก็ต้อง burn แจกนักแสดงทุกคน การอัดไกด์ร้องในยุคนั้นสามารถตัดต่อท่อนเพลงได้แล้ว เพียงแต่เนื้องานค่อนข้างซับซ้อนยุ่งยากขึ้น เพลงของ ensemble จะมี track ที่เป็นไลน์ประสานแยกแนวร้องไว้ให้ ช่วงแรกยังไม่มีแผ่นที่สามารถ write เพลงเพิ่มได้ แต่ละแผ่นใช้ได้ทีเดียวจะรอรวบรวมให้เสร็จก่อนหลายเพลงก็ไม่ทันการซ้อม จึงสิ้นเปลืองแผ่นซีดีจำนวนมาก แผ่นซีดีแต่ละยี่ห้อคุณภาพก็แตกต่างไปตามราคา เมื่อต้องซื้อเอาปริมาณ บางแผ่น burn ไปแล้วใช้ไม่ได้ก็มี แถมคอมพิวเตอร์ก็ถูกใช้งานหนัก ทั้ง write ทั้ง burn เพลงอย่างกับอุตสาหกรรมจนพังคาเครื่องเลยเหมือนกัน

ผ่านไปแค่ 6 ปี เมื่อทำเรื่อง “แม่นาค เดอะ มิวสิคัล” วิวัฒนาการเทคโนโลยีระดับก้าวกระโดด ทำให้โทรศัพท์มือถือมีส่วนลดภาระขั้นตอนทำงานตรงนี้ลงมาก นักแสดงสามารถอัดไกด์ร้องรวมทั้งไลน์ประสานเมื่อมาต่อเพลงร้องกับครูแล้วไปฝึกต่อด้วยตัวเอง หรือเผื่อแผ่ส่งต่อให้เพื่อนที่อยู่ในกลุ่มไลน์ประสานเดียวกัน ปรับเปลี่ยนแก้ไขรายละเอียดได้ง่ายและสะดวกขึ้นมาก ทีมนักแสดงมีการผสมผสานระหว่างกลุ่มที่เรียนทักษะร้องมาโดยตรงและนักแสดงที่มีประสบการณ์ละครเพลงอยู่ก่อนร่วมแบ่งปันความเชี่ยวชาญให้กันและกัน หลายคนใช้ app.เปียโน กดเสียงเช็คคีย์ไล่โน้ตให้เพื่อนได้สุมหัวร้องไลน์ประสานกันเอง นัดแนะช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างดี

อีก 3 ปีต่อมา เมื่อทำเรื่อง “ปริศนา เดอะ มิวสิคัล” เราสามารถซ้อมเพลงแล้ว skype ให้ไก่ (สุธี แสงเสรีชน) Music Composer เปลี่ยนแก้ลดเพิ่มคีย์ หรือปรับวิธีร้องสอนกันผ่านช่องทางสื่อสารโดยไก่ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมาเช็คงานบ่อย ๆ บางครั้งก็ใช้วิธีอัดเสียงร้องส่งไลน์ส่งคลิปซ้อมเพื่อทีมงานทุกฝ่ายสามารถติดตามความคืบหน้าของการซ้อมไปพร้อม ๆ กัน ถือเป็นข้อดีของเทคโนโลยีที่แท้ทรู ความสะดวกตรงนี้นำมาใช้เพื่อชดเชยข้อจำกัดเวลาซ้อมที่น้อยลงจากเงื่อนไขอุปสรรคสารพัดรูปแบบ อาศัยความรับผิดชอบของแต่ละคนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการเวลาที่ต้องมีประสิทธิภาพมากขึ้นในทุก ๆ ฝ่าย

แต่ไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวไกลแค่ไหนอย่างไร ละครเวทีก็ยังคงเป็นศาสตร์หนึ่งเดียวที่ต้องอาศัยศิลปะร่วมของคนเบื้องหน้าเบื้องหลังมากมายมาอยู่ด้วยกันในช่วงเวลาเดียว เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์จำลองของชีวิตที่ใกล้ชิดจิตวิญญาณมนุษย์ที่สุดให้กับผู้ชมขณะนั้น ทุกคนทุกฝ่ายต้องใช้เวลาซักซ้อมฝึกฝนพัฒนาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อความสมบูรณ์ของรอบแสดงเดียวต่อหน้าคนดู ละครเวทีจึงเป็น “ปรากฏการณ์” สื่อสารศักยภาพความเป็นมนุษย์ที่ทรงพลังน่ามหัศจรรย์ ด้วยชั้นเชิงทางศาสตร์และศิลปะการแสดงที่เป็นพื้นฐานสำคัญ ไม่ใช่แค่งานโชว์เทคโนโลยี.

 

 

“แผลเก่า” ที่ถูกพักไว้นาน เพราะเคยอยากจะทำแล้วต้องทิ้งความรู้สึกที่ต้องทำไปหลายปีมาก เลยนึกไม่ออกว่าจะเอาคลองขึ้นมาอยู่บนเวทีได้ยังไง คนเขียนบทก็เครียดมาก จนมาถึงวันนี้เรา brainstorm กัน ต้องทำการบ้าน บท ขึ้นมาก่อน เราคุยกันว่ามันมีประเด็นใหม่หรือไม่ในแผลเก่า ทุกเวอร์ชันจะอยู่ในมุมของขวัญ รักเข้าใจขวัญมากกว่า ขวัญได้ใจคนดูสุดหัวใจเลย ไม่เคยมี version ไหนพูดถึงเรียม ส่วนใหญ่จะสงสารขวัญ ไม่ได้เข้าใจเรียมขนาดนั้น ส่วนใหญ่ไม่ชอบเรียมเพราะมองว่าหลายใจ หลงแสงสี เนื่องจากว่าในพื้นที่ของเรียมไม่ได้ถูกอธิบาย ในขณะที่ในหนังสืออธิบาย  เลยเอามาเล่าในมุมนี้ที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึง เราก็เลยมีพื้นที่ในการพูดถึงความรู้สึกของตัวละคร มีบทเป็นตัวกำหนด จากตัวเรื่องที่สั้นแล้วก็มีเรื่องราวอยู่แค่นั้น

เป็นเรื่องของเด็กสองคนรักกันผู้ใหญ่กีดกัน ตอนแรกเราคิดว่าโปรดักชันมันก็เล็ก ๆ นะ แต่พอได้มาทำแล้ว … ไม่ใหญ่แน่นะวิ … เพราะมาจากบทที่เอาตอนจบขึ้นมาก่อน แล้วค่อยเล่าย้อนกลับไปว่าเกิดอะไรขึ้นกับสองคนนี้ เขาผูกพันกันมาตั้งแต่เด็ก แล้วพอโตขึ้นมาก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องแตกหัก เพราะครอบครัวเขาตัดขาดกัน มันก็เลยนำพาไปสู่ชะตากรรม ที่ทำให้กลายเป็นโศกนาฏกรรม ถ้าทำเป็นแนวร่วมสมัย (Contemporary) เนื้อเรื่องส่วนหนึ่งจะไม่ touch กับคนรุ่นใหม่แล้ว เราทำให้โรแมติกขึ้นมาได้ ทำให้เขาเห็นกลิ่นอายของยุคนั้นซึ่งเด็กรุ่นใหม่ไม่ได้โตมากับท้องทุ่ง คือเราต้องการให้เขาได้ spirit นั้น เรารู้ว่าผู้ใหญ่จะลิงค์กับเรื่องนี้มากกว่า แต่พอเขารู้ว่าเราไม่มีเพลงเก่า ๆ ก็ไม่ได้อยากดู เพราะอยากดูเพลงเก่า

แต่เด็กรุ่นใหม่ก็ไม่ได้รู้จักว่าจะต้องมาดูอะไร ในมุมของเราตอนเลือกเรื่องที่จะทำก็มีปัญหาเหมือนกัน มีคนบอกว่า แล้วมันจะน่าดูตรงไหน เราต้องตีโจทย์ในโปรดัคชันให้แตก ว่าคราวนี้จะเล่าอะไร เล่ายังไง

ก่อนเป็นบทเราต้องคิดว่าเรื่องที่จะทำให้อะไรกับคนดู เราจะสื่อสารอะไรกับผู้ชม ไม่ใช่เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองเพราะเราชอบ ต้องคิดว่ามันมีคุณค่าพอไหมที่จะเสียแรง เสียเวลาทำ เพราะเป็นการใช้แรงงานร่วมกันกับคนจำนวนมาก หนึ่งเป็นเริ่องที่เราอยากทำ ทำไมเรื่องนี้เราถึงควรจะทำ อย่างเรื่องนี้ก็ตีโจทย์กันหลายครั้งมากเลย เพราะเราทำมาหมดแล้ววรรณกรรมคลาสสิคอย่างนี้  เพียงแต่เราจะเล่าแตกต่างกัน อย่าง “บ้านทรายทอง” ก็ทำเป็นละครซ้อนละคร ไม่ได้เล่า ตรง ๆ คู่กรรม แม่นาค ก็ทำมาแล้ว

 

 

หัวใจของละครคือ บท เป็นจุดตั้งต้น เมื่อบทมาแล้วทีมงานทุกฝ่ายจะใช้เป็น ‘ตัวตั้ง’ เมื่อคนดูมีภาพจำในใจ การตีโจทย์ว่าจะเล่าเรื่องยังไงให้คงคุณค่า สื่อสารกับคนรุ่นใหม่ หรือทำยังไงให้ยังจับใจคนดูได้ เรื่องนี้ทุกฝ่ายทำงานยากมาก เราจะแตกออกมายังไงให้เป็นภาพบนเวที ฝ่ายฉากไม่ใช่อ่านจากบท แต่อ่านจากนิยายเก็บรายละเอียดทุกประโยคที่นิยายอธิบายไว้ แล้วมาคุยกันว่าจะเล่ายังไง เพราะเรื่องเล่าย้อนเหมือนบทหนัง เราจะทำยังไงให้ magic อยู่บนเวทีด้วย เราต้องการความร่วมมือของฉากในการเล่าเรื่องด้วย Special Effect ต้องทำงานร่วมกับแสง magic ของ theatre จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่เจอ ‘right moment’ เป็นเรื่องของ ‘จังหวะ’ ถ้าวางจังหวะได้ถูก มันถึงจะทำงานเกิด magic

ในทางโปรดักชันไม่ว่าเราจะใช้เทคโนโลยีหรืออะไรเข้ามา มันเพื่อที่จะตอบโจทย์ เพราะแต่ละเรื่อง บทเป็นตัวบอกเราเองว่าอันนี้ต้องใช้วิธีไหน ไม่มีผิดถูก มีว่า ใช่หรือไม่ใช่ เหมาะกันไหม สื่อสารได้หรือเปล่า work ไหม ทำงานได้หรือเปล่า พวก LED ก็ work ในงานหลยอย่าง เช่น งานร่วมสมัย event เพราะเป็นงานติดตั้งเร็วแล้วไม่ต้องใช้เวลานานกับการเซ็ท (setting-ติดตั้งประกอบฉาก) เพราะงานเซ็ทต้องใช้เวลา สิ่งทดแทนคือได้เวลา แต่ว่าไม่ได้ความรู้สึก เช่นฉากต้นไทร มันไม่ใช่ background แต่มันคือ ‘ตัวละคร’ ในเรื่อง ในฉากนั้น ๆ ฉาก แสง ไม่ใช่บอกแค่บรรยากาศ แต่มันสำคัญเพราะ connect กับนักแสดง มีชีวิตร่วมกัน แต่เมื่อเป็นจอเราสร้างความสัมพันธ์กับมันไม่ได้ เช่น มีประตูเราก็ออกมาจากมันไม่ได้ จะเดินเข้าบ้านก็ต้องไปด้านข้างของจอ  มันคนละอย่างกัน

ไม่ใช่เราไม่ใช้นะอย่างเรื่อง Dream Girl เราเลือกมาใช้เลย แต่กับเรื่องนี้มันทำให้ดูแห้งกระด้าง มันจะมาทำลายเรื่องของเรามากกว่า เรื่องนี้เทคนิคต้องเรียบง่าย  คนดูต้องไม่รู้สึกถึงเทคนิค เขาพร้อมจินตนาการไปกับเราอยู่แล้ว magic ต้องเกิดโดยไม่ได้ตั้งใจจะโชว์เทคนิค

อย่างฉากจบในน้ำ คนดูละครไม่คาดหวัง แต่คนอ่านหนังสือจะบอกว่ามันก็ต้องจบในน้ำ ทุกอย่างต้องตอบโจทย์ตามที่บทต้องการ แล้วมันจะจบยังไงบนเวที คือเราจะไม่เอาน้ำขึ้นมาเซ็ตเป็นคลองบนเวทีอยู่แล้ว เราต้องใช้จินตนาการเพราะเรื่องนี้พูดถึงความสัมพันธ์ของคนคู่นี้ ขวัญ กับ เรียม ซึ่งมันอยู่กับลำคลอง แล้วคนดูก็จะมีภาพของหนังของอะไรเยอะมาก แต่บนเวทีมันเป็นไปไม่ได้เราก็ต้องเลือกแต่ moment  ใช้ moment สำคัญอันนี้ต้องมี แต่ moment อื่นมันก็แค่กลิ่นอายของการใช้ชีวิตของพวกเขาเท่านั้นเอง เป็นคนบ้านนอกอยู่ท้องทุ่ง หรือที่บอกว่าฉากใหญ่ของเราที่เป็น ‘ฉากหลัก’ คือ ‘เจ้าพ่อต้นไทร’ ที่เราต้องให้ความสำคัญ เพราะเป็นตัวละครหลักของเรื่องที่มาในนามของ ‘ฉาก’ เราเชื่อว่า magic ของ theatre มันทำให้คนดูไปพร้อมกับเราได้ด้วยจินตนาการครึ่ง ๆ เพราะคนดูรู้อยู่แล้วว่านี่คือเวที เขาก็เลยจะยอมเชื่อใน condition ที่เราวางเอาไว้ ว่ามันมีน้ำมีคันดินในจินตนาการ

 

 

ละครเพลงเสียงสำคัญมากเป็นอันดับหนึ่ง เราเอาวงดนตรีไปไว้ด้านหลัง เพราะด้านหน้าเวทีไม่มีหลุม เพลงเพราะไม่ใช่แค่เครื่องเสียงดี แต่ Sound Engineer การ mix สำคัญมาก แรก ๆ นี่เละตุ้มเป๊ะจนกลับไปนอนไม่หลับ เสียง toxic กวนประสาท ไม่เพราะ เราก็ไม่ได้อยากฟัง เพราะเวลาที่ยังไม่ได้ balance นี่มันเสียงมันน่ารำคาญมาก เวลา  balance คนที่ไม่เข้าใจจะคิดว่าเป็นคอนเสิร์ต มันจะดังไปหมดทุกอย่าง เราบอกไม่ได้ต้องการ คนต้องฟังเนื้อหาว่าตัวละครพูดอะไร ฟังเรื่อง ต้องคนที่เข้าใจว่าเรา mix ละคร เพื่อให้เขาคล้อยตามอารมณ์ ดนตรีออกมาเพื่อที่มาเสริมความรู้สึกตัวละคร ที่สำคัญคือต้องไม่มากลบเสียงร้องของตัวละคร ของนักแสดงเพราะเขากำลังสื่อสารว่าพูดอะไรอยู่ (dialogue) เรื่องนี้มี 32 เพลงกำลังดี อย่างแม่นาค 50 กว่าเพลง”

“การเตรียมงานละครเพลง ถ้าเพลงเสร็จหมดแล้วเราอาจซ้อมแค่ 3-4 สัปดาห์ได้ ถ้านักแสดงชำนาญ แต่ถ้ากรณีที่บทไปแล้วเพลงทยอยมา พี่จะไม่รอเพลงเพราะจะซ้อมไม่ได้ ต้องซ้อมเป็นละครพูดไปเลย เริ่มจากบทของเราแม้จะเอาไปทำเพลงก็ยังอยู่ในบท เพราะเขียนมีสัมผัสเป็นกลอนอยู่แล้ว อาจบิดคำนิดหน่อยให้ลงทำนองหรือท่อน hook ถ้าเพลงยังไม่มาเราทำงานกับบทก่อนได้ด้วยการตีความ พูดอะไร หมายความว่ายังไง แต่เมื่อมันเป็นเพลงก็จะทำงานอีกชั้นหนึ่งขึ้นไป เพราะเพลงคือตัวกำหนด จะต้องเข้าใจช่วงเว้นวรรคของดนตรี ว่าที่เว้นเอาไว้ จังหวะที่ทอดไปก่อน เราจะสามารถเติมเต็มยังไงได้บ้างทั้ง แอคชัน ความรู้สึก อารมณ์นั้น เป็น transition ของนักแสดงเหมือนกันที่จับจุดนี้ไปสู่อารมณ์นี้ มันเกิดอะไรขึ้นกับเรา ก็ย้อนกลับมาเหมือนละครพูด เพียงแต่ในละครพูดเรากำหนดได้กับคู่แสดงของเรา แต่ในละครเพลงมันถูกกำหนดด้วยเพลง เพราะฉะนั้นเราต้องอธิบายความรู้สึกของเราได้ในระหว่างท่อนเพลง หรือช่วงดนตรีที่มันไปถึงตรงนี้ คิดอะไรรู้สึกอะไรอยู่ แล้วเชื่อมกับมันได้ยังไง

เวลาทำงานเราต้องเห็นภาพทั้งหมดก่อน เวลาซ้อมมันเป็นจิ๊กซอว์อยู่แล้ว เราต้องวางแผนเลยว่าจะต้องมีสององก์ ถ้าเวลานับถอยหลังมาเหลืออีกกี่วันต้องจบในวันที่เท่าไหร่ พอถึงวันเข้าโชว์มีเวลา blocking กับเพลง ทำงานแล้วจบทัน มีวันแสดงเป็นตัวตั้งแล้วนับถอยหลังกลับไป ทำให้เรารู้วางแผนการทำงานได้ เสร็จในแง่ภาพรวมเมื่อไหร่ ซ้อมก็ส่วนซ้อม โปรดักชันก็จะประชุมกันตลอดเวลาว่าจากจุดนี้ไปฉากนั้นต้องทำไง เพื่อให้งานเสร็จออกมาก่อน พอรู้แล้วว่าแผนงานจะไปยังไง

หัวใจสำคัญไม่ใช่คิดแค่งานของเราจะออกมายังไง มันคืองาน management ทุกฝ่าย แล้วทุกคนต้องเคารพตารางเวลา ถ้าไม่เคารพจะเกี่ยวกับงบด้วยมันจะบาน ต้องคำนวน วางแผน ให้เวลาที่เหลืออยู่มีประสิทธิภาพ ทุกคนจะรู้กำหนดมี deadline ของตัวเอง งานของเราต้องเสร็จก่อน ไม่งั้นคนอื่นทำต่อไม่ได้ ต้องคิดถึงคนอื่นด้วย จะมีแผนเอแผนบียังไงก็ต้องคิดไว้แต่แรกเลย เรื่องนี้ประมาณต้นทุน production ไว้น้อยจากพล็อตเรื่องที่ดูเหมือนสเกลเล็ก แต่ทำไปทำมารายละเอียด requirement งานฉาก เทคนิคกลไก มันซับซ้อนแบบคิดเยอะงบเลยสูงกว่าที่ประมาณไว้มากค่ะ

“แผลเก่า” ตั้งใจสะท้อนความขัดแย้งของค่านิยมความรู้สึกนึกคิดในช่วงการเปลี่ยนผ่านทางสังคม จากวิถีชีวิตกสิกรรมยุคเก่ากับสังคมเมืองที่ westernized และดูมีสถานะเหนือกว่า เมื่อขวัญมาตามหาเรียมในบางกอกอันแสนกว้างใหญ่ขวัญที่เคยเป็นฮีโร่ถูกทำลาย self esteem  หมดสภาพเป็นแค่บ้านนอกเข้ากรุงที่น่าสมเพชคนหนึ่งเท่านั้น”

 

 

ศุภธนิศร์ ฐิตะชัยสิทธิ์ ออกแบบฉาก เทคนิค

เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ ปัญหาหรือโจทย์หลักของเราก็คือ ทำยังไงให้คนรู้สึกแปลกใหม่ หรือไม่เชยในแง่ของการนำเสนอ แต่เมื่อบทละคร “แผลเก่า เดอะ มิวสิคัล” ของพี่โจ้แต่งเสร็จ แค่เริ่มต้นหน้าแรกพอพลิกหน้าที่ 2 ตรงกลางย่อหน้ากระดาษ “ห๊า!” นี่มันหน้ง…หนังใช่ไหม

‘ภาพยนตร์’ กับ ‘ละครเวที’

เมื่อบทละครเปิดเรื่องมาเหมือนกับหนังซะขนาดนั้น ไอเดียจึงเกิดขึ้นว่า ถ้าหากว่าเราอยากให้คนดูรู้สึกเหมือนกำลังดูหนังอยู่ล่ะ นั่นคือจุดเริ่มต้นของการอกแบบ และวิธีการนำเสนอของละครเวที “แผลเก่า เดอะ มิวสิคัล”

‘เปลี่ยนมุมกล้อง’ กับ ‘Turntable’

ปกติละครเราใช้ระบบการเปลี่ยนฉากแบบหมุน  ‘Turntable’ มาหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้เราจะมาใช้ในการเปลี่ยนมุมมองของคนดูให้รู้สึกว่า เหมือนกำลังเปลี่ยนมุมกล้องเวลาดูหนัง โดยเฉพาะในฉากสุดท้าย

‘ฉากแรก’ กับ ‘ฉากจบ’

เราใช้ 2 ฉากนี้ เป็นจุดตัวเริ่มต้นก่อนของการออกแบบทั้งหมดก่อน โดยคำนึงถึงการใช้และวางระบบเทคนิคพิเศษ เพื่อรองรับคิวต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นใน 2 ฉากนี้ไว้ก่อนเลย หลังจากนั้นเราจึงได้ดีไซน์หน้าตาของฉากทั้งหมดว่าจะออกมาเป็นอย่างไร

‘เทคนิคพิเศษ’ กับ ‘Theatre Magic’

องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้ คืองานการสร้างภาพในฉากสำคัญ ซึ่งก็คือ ‘ฉากแรก’ กับ ‘ฉากจบ’ ของเรื่อง เราตั้งใจตั้งแต่แรกแล้วว่า เราต้องการออกแบบ 2 ฉากนี้ให้เป็นที่จดจำ และกล่าวถึงประมาณว่า “ห้ามพลาด” และ “ต้องมาดู” 2 ฉากนี้ให้ได้ และที่ สำคัญ! คือ ต้องมาดูในโรงละครเท่านั้น!

 

 

“เราไม่ได้คิดจะใช้ Led เพราะมันไม่ได้ในความรู้สึก เพราะไม่เหมาะกับละคร period หลายโรงใช้กันเพราะเป็นละครสมัยใหม่ให้ดูทันสมัยในการใช้   ส่วนใหญ่ต้นไทรใช้เวลาทำวันเดียวจริง ๆ เพราะเราติดงานเร่งรัด มีเวลาเซ็ทฉากไม่ถึง 20 วัน รงค์รับผิดชอบต้นไม้ อยากเซ็ทให้ได้ตามที่คิดไว้เลยต้องทำเอง เป็นงานทดลองทำจากกระดาษลังกับยางพารา มีเพียงใบไม้เท่านั้นที่ใช้สำเร็จรูปมาติด แต่ออกแบบจัดวางให้มีเทคนิคโปร่งเหลื่อมซ้อนเล่นกับแสง เพราะเรากลัวมากว่าใบไม้จะออกมาแบน ๆ วันสุดท้ายต้องบอกว่า “ทุกคนรงค์ขอต้นไทรสามบาร์” (bar หน่วยพื้นที่ จุดจัด วัดขนาด) เราเสียพื้นที่สำหรับต้นไทรไปตั้งสามบาร์เพื่อใช้ฉากเดียว เพราะเป็นฉากสำคัญของเราต้องการให้สวยดูมีมนต์ขลัง

ตอนขวัญถูกยิงกระสุนหยุดอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝ่ายก็มาจากบท มันคือการเลื่อนดวงไฟไปมา คนดูเห็นแล้วว่าอะไรเคลื่อนลงมา แต่ไม่รู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นถึงได้ฮือฮา เพราะเขาไม่คิดว่าเราจะทำฉากนี้ พอกระสุนเคลื่อนก็ตกใจว่ามันคือเทคนิคภาพในหนัง เป็นเซอร์ไพร์สที่ทำให้ท่อนำดวงไฟที่มองเห็นแต่แรกหมดความหมายไปเลย มันใช่ว่ะ มันได้แล้ว ทุกคนเข้าใจได้ว่ามัน manual ไม่ใช่จอหนัง แต่มันคือเสน่ห์จากการมองมาบนเวที  แต่คนจะต้องไม่รู้ล่วงหน้าว่าเราทำอะไรแค่นั้นเลย

รงค์ออกแบบซีนนี้บอกผู้กำกับบอกทีมเลยว่าต้องการภาพนี้ให้เป็นซีนจดจำประทับใจของเรื่องนี้เท่ากับของเมืองนอก หมายถึงว่าการดูซีนที่ทำให้ประทับใจ เป็นภาพจำ เหมือนไปดูที่ต่างประเทศ แต่ shot นี้ ต้องมาดูที่นี่เห็นด้วยตาตัวเองเท่านั้น ตอนแรกเราห่วงว่าคนดูจะคิดยังไง วันแรกรู้เลยสำเร็จ

ฉากที่เล่นกับน้ำในคลอง บทครั้งแรกที่นำเสนอรงค์ต้องการให้เห็นภาพว่าตัวละครโดดต่อหน้าต่อตาคนดู แบบปะทะหน้าคนดูใกล้มากไม่ได้หลบมุม ต้องคุมคิวไม่ให้พลาดจังหวะ ต้องเซฟนักแสดงด้วย ตอนจบที่เรียมลงน้ำตามขวัญไปคนดูจะได้ความรู้สึกว่า “มันมายังไงน่ะ!?” กลับบ้านไปก็ยังตามไปหลอนว่ามันจบแบบนี้ ไม่คิดว่าจะทำถึงขั้นนี้

ส่วนการเปลี่ยนฉากก็ใช้แบบ turntable เหมือนเรื่อง “อลหม่านหลังม่านทรายทอง” ใช้หมุน หน้า-หลัง  เพราะเป็นละครซ้อนละคร ไม่ได้เปลี่ยนฉาก แต่เริ่องนี้ต้องเปลี่ยนฉาก ใช้คนหมุนฐานล่างกลม ๆ เป็นลูกล้อยึดเซ็นเตอร์ไว้แล้วหมุนไปตามต้องการ

เรื่องการมองเห็นเทคนิคในฐานะคนทำละครเราไม่จำเป็นต้องพลางขนาดนั้น (เห็นอุปกรณ์ที่ใช้ safetyได้) แต่ให้รู้ว่ามันมีเทคนิคแล้วอารมณ์มันได้ต่อเนื่อง คนดูจะรู้ว่า moment นี้มา อ๋อเป็นยังงี้ แต่เรื่องมันดำเนินก่อนที่เราจะเข้าใจเรื่องเทคนิค เพราะมันเร็วไง ต่อให้เห็นปุ๊บจะมาพูดตอนหลัง ว่าเห็นอะไรเว็บ ๆ หรือ ต่อให้เห็นแต่ถ้าเราทำคิวแม่นก็โอเค รงค์ว่าตรงนี้มันสนุก เพราะมันเป็น magic เป็น basic ที่ต้องง่ายที่สุดไม่ต้องยุ่งยาก เราแค่ทำภาพเติมเต็มจินตนาการของคนดูนิดหน่อย ไม่จำเป็นต้องทำภาพให้ถูกต้อง หรือชัดเจน แค่เอาอารมณ์คนดูตอนนั้นว่ารู้สึกยังไงและทำให้เห็นภาพ แต่อย่าเกินเรื่องแบบโชว์เทคนิค คนดูต้องอยู่กับเรื่อง อย่างเรื่องแม่นาคมันเป็นแฟนตาซี เราสนุกเล่นกับเทคนิค สนุก ๆ เพราะแม่นาคเป็นผีแสดงอิทธิฤทธิ์ได้หมดเลยทำได้ทุกอย่าง แต่พอเป็น “แผลเก่า” มันจะดูหวือหวาเกินเรื่องไปไหม

ฉลาดเลิศ ตุงคะมณี Lighting Designer

มันแล้วแต่การออกแบบของ Designer ร่วมกับผู้กำกับ เราเล่นแนว Realistic บางทีถ้ามันไม่ตอบโจทย์ เปลี่ยนเป็นแบบอื่นได้ไหม แบบไหนใช่กว่า เราเล่นที่ไหน สถานที่ อุปกรณ์ โรงละครเอื้อต่อการทำงานอย่างเต็มศักยภาพ แค่ไหน ยังไง ไฟ งบประมาณ คนทำงาน อะไรก็ได้ที่ตอบโจทย์ moment นี้ใช่ก็ใส่เข้าไป ต้องอย่างกลมกลืนกันด้วยนะ ไม่ใช่ฉีกกันไปคนละทิศคนละทาง ถ้า surreal ก็เซอร์กันไปให้ชัดเต็มที่เลย ต้องกำหนดวันโปรดักชันเข้าเซ็ทให้นักแสดงได้ซ้อมกับฉากจริงวันไหน ทันไหมด้วย

 

 

เพลง “น้ำใหม่น้ำเก่า” : ละคร “แผลเก่า เดอะ มิวสิคัล”

ขับร้อง : เขมวัฒน์ เริงธรรม , สยาภา สิงห์ชู

เนื้อร้อง : ดารกา วงศ์ศิริ

ประพันธ์ดนตรี : ไกวัล กุลวัฒโนทัย

เพลง น้ำใหม่น้ำเก่า : แผลเก่า เดอะ มิวสิคัล

เรียม

พี่ขวัญ พี่รักฉันจริงหรือไม่

ขวัญ

เรียมเอยเอ็งคือยอดดวงใจ เอ็งถามทําไมกันเล่า

ตั้งแต่ปีโน้นที่พี่บอกรักเจ้า

พี่ทําอะไรหรือเปล่า  ให้เจ้าระแวงแคลงใจ

เรียม

แต่ปีนี้ไม่เหมือนกับปีนั้น

พ่อของพี่ กับพ่อของฉันตัดเป็นตัดตาย

เรารักกัน คงไม่มีวัน ที่ใครเห็นใจ

ต้องรอนานเท่าใด จึงจะได้อยู่ด้วยกัน

*กลัวรักพี่จะเป็นเช่นปลา

อยู่ในน้ำเก่ามา เนิ่นนานเสียจนแหนงหน่าย

 พอนํ้าใหม่มาไหลไปแล้วปลาว่ายตามติดไป

ทิ้งน้ำเก่าเอาไว้ ให้ใจตรอมตรม

ขวัญ

หากเปรียบเทียบพี่นี้เป็นเช่นปลา

ที่แหวกวนเวียนว่ายไปมาในคลองนั้น

น้ำเก่านํ้าใหม่ นะห์รือก็ครือกัน

ขึ้นลงอยู่ในคลองนั้นใม่ผันแปร

น้ำใหม่ ไหลมาสักกี่ครั้ง

เรียม

น้ำใหม่ไหลมา

ขวัญ

เจ้าปลาก็ยังไม่ว่ายไปไหน

เรียม

คงว่ายหนีไป

ขวัญ

แม้นํ้ำจะแล้งจนแห้งขอดเหือดหาย

ปลาอย่างพี่มิหน่าย จะขอตายคาคลอง

เรียม

โอ้เอ๋ยเจ้าปลา

ขวัญ

น้ำใหม่จะไหลมาสักกี่ครั้ง

เรียม

น้ำใหม่ไหลมาไหลไป

ขวัญ

เจ้าปลาก็ยังไม่ว่ายไปไหน

เรียม

แน่หรือเจ้าปลา

ขวัญ

แม้นํ้ำจะแล้งจนแห้งขอดเหือดหาย

ปลาอย่างพี่มิหน่าย จะขอตายคาคลอง

เรียม

โอ้..เอย…ฮืม……

เรียม

พี่ขวัญ พี่รักฉันจริงห์รือไม่

ขวัญ

เรียมเอย เอ็งคือยอดดวงใจ เอ็งถามทําไมกันเล่า

เรียม

อย่างนั้นเรามาสาบานกันได้หรือเปล่า

สาบานต่อหน้าเจ้าพ่อต้นไทร

 

 

ไกวัล กุลวัฒโนทัย ผู้ประพันธ์ดนตรี / “แผลเก่า เดอะมิวสิคัล”

หลักการแต่งเพลงคือเราต้องเข้าใจว่า เรื่องไปยังไง อะไรคือประเด็นสำคัญ อะไรคือตัวละครหลัก ตรงไหนที่ต้องเก็บเป็นความลับ ตรงไหนที่ต้องให้เกิดความตื่นเต้น ตรงไหนจะเศร้า เอามาเบรคเป็นช่วง ๆ จริง ๆ บทของพี่โจ้ (ดารกา วงศ์ศิริ) จะระบุไว้อยู่แล้ว แต่เวลาเราแต่งเพลงจากเนื้อเพลงบทละครที่มีอยู่ มันจะยากและท้าทายมาก ปกติในวงการเพลงป็อบเขาจะทำทำนองก่อน เพราะทำนองจะบอกบรรยากาศเพลง เพลงรัก เพลงสนุก คนแต่งเนื้อร้องก็ใส่เนื้อเข้าไป แต่การแต่งเพลงละครเวทีจะกลับสลับกัน เราต้องได้แรงบันดาลใจจากสิ่งที่เราอ่าน บทสนทนาตัวละครเป็นยังไง ที่ยากกว่าละครเพลงทั่วไปคือ เวลาเขียน Sung-Through เพลงจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะใหญ่  ๆ ครับ

ลักษณะที่ 1 คือ บทสนทนา

ลักษณะที่ 2 คือ เพลงที่บรรยายอารมณ์

‘เพลงบทสนทนา’ คือ เพลงที่ทำให้เรื่องไปข้างหน้า เหมือนเราคุยกัน เกิดอะไรขึ้น  1 2 3 ถามมาตอบไป เพลงที่แต่งแบบนี้จะเป็นเพลงที่ปวดหัวมาก เพราะเหมือนเราเอาบทสนทนามาทำให้กลายเป็นเพลง ในบทสนทนานั้นเรากำลังกำกับวิธีการแสดงออกของนักแสดงโดยการร้องเพลง เพราะฉะนั้นตัวเมโลดี้ต้องถ่ายทอดว่า นักแสดงคนนี้ บุคลิกแบบนี้ ต้องร้องแบบนี้ ตัวโน้ตต้องอยู่ประมาณนี้ อีกตัวอ่อนแอกว่าต้องร้องแบบนี้  การ analyze (วิเคราะห์ จำแนก แยกแยะ) บทสนทนาให้กลายเป็นเพลงภาษาดนตรีเขาจะเรียกท่อนนี้ว่า Recitative[3] คือจะพูด ๆ ๆ คุยกัน  แล้วถึงจะมา Song คือช่วงที่ตัวละครมาร้องคนเดียวแบบ พรรณนา อันนี้ไม่ยาก ถ้าเป็นภาษาของเพลงใน opera เรียก อาริอา (Aria) เป็นช่วงที่เป็นเพลงเพราะ ๆ ยังไงต้องหาเพลงเพราะ ๆ ให้คนฟังได้ฟังว่าตัวละครจะร้องพรรณนาว่ายังไง

ส่วนใหญ่ตอนที่แต่งความเครียดจะไปกองอยู่ที่บทสนทนามากกว่าส่วนที่เป็นเพลง เพราะบทสนทนาจะมีการเถียงกัน ทะเลาะกัน ฆ่ากัน มีอารมณที่หลากหลายเช่นการค้นหาปริศนา บางอย่างเราต้องเก็บไว้เซอร์ไพร์ซพร้อมคนฟัง

พอเราเริ่มเขียนเพลงไปเราจะเข้าใจตัวละครทีละนิด เราจะเรียนรู้ตัวละครจากเพลงที่เราเขียนด้วยนะ เช่นจากเรื่อง “ซ้อน A New Musical” [4] ที่มีเรื่องราวหลาย Generation เพลงที่เล่าเรื่องย้อนอดีตควรจะเป็นฟอร์มคลาสสิค แล้วค่อย ๆ ให้ใหม่ขึ้นสลับกันไปมา แต่ต้องระวังไม่ให้มันโดดไง ถ้าโดดไปใหม่มากเก่ามากจะไม่เข้ากัน ต้องหาจุดศูนย์กลางเวลาที่เราสลับไปมาระหว่างรุ่น ต้องหาคีย์เพลงหรือดนตรีที่ต่อเนื่องได้

ในเรื่อง “ซ้อน” ผมไม่ได้คิดโจทย์ 100 ปี ในเนื้อเรื่อง คิดแค่มี 4 generation ให้โทนดนตรีมันแบ่งกันให้ชัดเจน ในกลุ่มเด็กจะเป็นเพลงสมัยใหม่ ในรุ่น 3 จะเป็นเพลงที่ซับซ้อนมีเสียงประสานละเอียดยิบเลยเพราะบุคลิกของเด็ก nerd ทั้ง harmony melody จะพลิกไปพลิกมาคนฟังจะจับไม่ได้ว่ามันคืออะไร ส่วนในรุ่น 2 ที่เป็นความรักจะออก musical หวาน ๆ ในรุ่น Andrew Lloyd Webber[5] (Baron Lloyd-Webber-นักแต่งเพลงชาวอังกฤษ) เป็น pop นิดนึง ถ้าเป็นรุ่นเก่าจะยากระดับเพลงคลาสสิค แต่ผม mix ทั้งหมดเข้าหากัน เวลาเขียนเพลงมันกระโดดไปเรื่อย ยุคนั้นยุคนี้ การรักษา uity (เอกภาพ) ของทำนองเพลงค่อนข้างจะท้าทายมาก ต้องแบ่งคุณไก่ช่วยกัน (สุธี แสงเสรีชน) ต้องเขียนเพลงไล่ตามลำดับเรื่อง 1 2 3 4 5 กระโดดไม่ได้ เนื่องจากเรื่องมันกระโดดอยู่แล้ว ถ้าเขียนโดดจะต่อกันไม่ติดเลย

 

 

ช่วงที่ผมเริ่มมาเขียนมิวสิคัลตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ ซึ่งตอนนั้นยังเป็น Dass Entertainment ผมใช้วิธีเขียนเพลงแบบค่อนข้างออกไปทางคลาสสิค เนื่องจากยุคนั้นเมืองไทยยังไม่ค่อยมีใครทำ Musical มากนัก เพราะหานักแสดงที่เล่นได้ ร้องดี ตรง cast  ยากมาก ในยุคแรกของ Dass Entertainment ก็เป็นละครพูดที่ใส่เพลงเข้าไปครับ เพลงออกแบบ Pop ตามสมัยนิยม เรื่องแรกที่ผมมาเขียนเพลงให้แบบจริงจังทั้งเรื่องคือ “Cinderella” (ปี 2534 ศรัณยู เงากระจ่าง) ผมก็เขียนเพลงแบบจังหวะยาก ๆ โน้ตยาก ๆ แบบคลาสสิคมิวสิคัลเข้าไปบางเพลง ปรากฏว่าร้องกันแทบไม่ได้ เลยลดดีกรีความยากลง และมีเพลงแบบ Pop บ้างในเรื่อง

จนมาถึงเรื่อง “นางพญางูขาว” คุณดารกา วงศ์ศิริ ผู้เขียนบท ได้สร้างเรื่องให้มีคอรัสร้องเพลงเล่าเรื่อง ร้องโดยวง “The Resonance” มาเล่นเป็น Ensemble ในละคร ทีนี้ผมเลยเขียนเพลงคอรัสได้เต็มที่ในเรื่อง ซึ่งเพลงค่อนข้างมีความยากและท้าทาย พอมาถึงเรื่อง “คู่กรรม เดอะมิวสิคัล” ซึ่งเป็น Sung-through เรื่องแรก ผมก็ถามว่าเอาจริงเหรอ พอเราได้คุณ น้ำมนต์ ธีรนัยน์ มาเป็นนางเอก ทีนี้ก็เลยสามารถเขียนเพลงให้มันออกมากึ่ง ๆ Opera ได้โดยในช่วงบทสนทนาก็เป็น Recitative แบบ Opera หูคนไทยอาจจะยังไม่ชินกับการร้องแบบนี้ แต่มันก็ต้องมีมาแทรก เพื่อไม่ให้มีแต่เพลงต่อ ๆ กันมากเกินไป มันเลยกลายเป็นสำเนียง Musical แบบ Dreambox ที่โรงอื่นเขาไม่ค่อยทำกันครับ

ลักษณะเฉพาะของภาษาไทย ก็เป็นปรกติของเพลงไทยทั่วไปอยู่แล้วที่วรรณยุกต์มาบังคับทิศทางของโน้ตดนตรี เพราะภาษาไทยเป็นภาษาที่มีเสียงดนตรีอยู่แล้ว ดังนั้นเวลาเขียนเพลงภาษาไทย ก็ต้องจัดทิศทางทำนองให้มันเข้ากับการดำเนินต่อเนื่องของเสียงวรรณยุกต์ครับ ใช้หลักการเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเพลงไทยประเภทไหนครับ

จำนวนเพลงในเรื่อง “แผลเก่า เดอะ มิวสิคัล” มี 32 เพลง ในเวลา 2 ชั่วโมง 25 นาที เพลงแรกที่แต่งสำหรับละครหลังจากอ่านบทคือ “น้ำใหม่น้ำเก่า” ซึ่งเป็น theme ของเรื่อง และเนื้อเพลงแฝงนัยยะของความผันแปรเก่าและใหม่ เพลงสุดท้ายที่แต่งของเรื่องนี้คือ “Overture” เป็นฉากว่ายน้ำ เขียนก่อนแสดง 2 วัน  การใส่เพลงก็จะแล้วแต่ความซับซ้อนของเรื่อง ตามความยาวเรื่องครับ ถ้าเรื่องมันสั้นไม่มีอะไรมาก จำนวนมันก็น้อยลง ใน “แผลเก่า” เรื่องตรงไปตรงมาไม่มีอะไรซับซ้อน ถ้าเล่นต่อกันรวมแล้วก็ประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที แต่อย่างเรื่อง “แม่นาค” เรื่องมีการขยายยืดยาวละเอียด เล่นรวม ๆ กันยาวเกือบ 3 ชั่วโมงครับ

เพลงเก่ามีลิขสิทธิ์ ราคาแพงมาก จนไม่คุ้มที่จะเอามารวม และอีกอย่างคือทิศทางการเล่าก็ไม่ได้ตรงกันในบางจุด ถ้าเอาเพลงเก่ามาก็ต้องมาหาวิธี blend เพลงแต่งใหม่ให้เข้ากับเพลงเก่าอีก สำนวนภาษาก็คนละแบบ ไม่น่าจะทำให้งานง่ายขึ้นครับ ตีความใหม่เขียนใหม่หมดไปเลยง่ายกว่าครับ อย่างเช่นเพลง “น้ำใหม่ น้ำเก่า” ครอบคลุมคอนเส็ปต์ของการตีความใหม่ในเรื่องนี้ เปรียบเทียบสิ่งที่มีอยู่เดิม และสิ่งที่เข้ามาใหม่ ตอนแรกเปรียบผู้ชายว่าเป็นปลา จะหนีไปตามน้ำใหม่ แต่ในตัวเรื่องคือย้อนแย้งว่าผู้หญิงกลายเป็นปลาได้น้ำใหม่ครับ

 

 

“แผลเก่า เดอะมิวสิคัล” เป็นงานเพลงที่มีความท้าทายหลาย ๆ อย่างมาก แม้ว่าผมจะเขียนมิวสิคัลมาหลายเรื่อง และมีเรื่องที่มีจำนวนเพลงมากกว่าเรื่องนี้ แต่ “แผลเก่า” เป็นงานที่มีชื่อเสียงมีคนรู้จักมาก ทำกันมาหลายเวอร์ชั่นจนกลายเป็นงานขึ้นหิ้ง อีกทั้งเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง “แผลเก่า” ในอดีตก็โด่งดังเป็นที่รู้จักมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเพลง แผลเก่า แสนแสบ ขวัญเรียม ฯลฯ มีทั้งทำนอง เนื้อร้อง และไตล์ที่โดดเด่นในตัวของมันอยู่แล้ว การทำเพลงขึ้นมาใหม่สำหรับเรื่องนี้จึงมีคำถามมากมายว่า “จะไปทำอะไรใหม่ยังไง ในเมื่อของเก่ามันดังมากขนาดนั้น?” และสไตล์เรื่องก็มีความเฉพาะตัวเป็นลูกทุ่งอย่างมาก ไม่น่าจะหลีกเลี่ยงการโดนเปรียบเทียบของเก่าได้แน่ ๆ

เมื่อได้สนทนากับพี่โจ้ ดารกา ผู้เขียนบท และพี่ลิง สุวรรณดี ผู้กำกับ ก็เห็นพ้องต้องกันว่าต้องดึงรายละเอียดของเรียมออกมาให้มีมิติที่มากขึ้นกว่าเดิม โดยเคารพต้นฉบับนิยายให้มากที่สุด และตัวบทละครเพลงที่พี่โจ้เขียนเรียบเรียงใหม่จากต้นฉบับนี้  มีความลุ่มลึกในตรงนี้มาก มี Theme ที่ชัดเจนในเรื่องราวความเปลี่ยนแปลงเก่าและใหม่ ผมเลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็เขียนเพลง Theme ก่อน จะได้เอามาขึงให้ครอบคลุมอารมณ์และโทนดนตรีของทั้งเรื่อง จึงได้เขียนเพลง “น้ำใหม่น้ำเก่า” เป็นเพลงแรกจากบทละครที่ได้มา โดยแต่งเพลงนี้ให้อยู่ในโทนกึ่ง ๆ ลูกทุ่ง แรกก็ลังเลว่านักแสดงที่วางตัวไว้เป็นไอ้ขวัญคือ เก้ง เขมวัฒน์ จะถนัดไหม เพราะสไตล์การร้องของคุณเก้งมีติดแนวรอ็ค จะต้องมาดัดเสียงเอื้อนแบบลูกทุ่งจะทำได้หรือไม่ แต่หลังจากปรับวิธีการร้องอยู่ช่วงหนึ่งก็คิดว่าน่าจะใช้ได้แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องใช้ช่องเสียงการร้องแบบลูกทุ่งมากเกินไป และยังรักษาไตล์ Musical แบบ Dreambox ไว้ด้วย

เพลงแรกมันมักจะยากเสมอ เพราะมันจะกำหนดทิศทางเพลงของทั้งเรื่อง เพลง “น้ำใหม่น้ำเก่า” เป็นเพลงร้องคู่ ฟังดูเหมือนเพลงร้องคู่หญิงชายแบบยุคเก่า แต่ก็เขียนให้ออกมาโทน Musical กึ่งลูกทุ่ง และมีคอร์ดสำเนียง  Musical สมัยใหม่แทรกอยู่ หลังจากทางทีมงานได้คุณ สยาโม มารับบท เรียม และลองร้องเพลงนี้คู่กับคุณเก้งดู ก็เริ่มจะมองเห็นได้แล้วว่าจะออกมาดีเยี่ยมแน่ ๆ ถึงกระนั้นเพลงอื่น ๆ ในเรื่องนี้ก็แต่งให้สำเร็จได้ไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะกติกาที่เราจะทำ Sung-Through กัน คือร้องทั้งเรื่องยันบทสนทนา ก็ต้องงัดเทคนิคการประพันธ์เพลงสารพัดรูปแบบมาใช้ ปกติแล้ว สไตล์ดนตรีที่ใช้แต่งกันใน Musical แต่ละเรื่อง มันไม่ควรจะหลากหลายมาก เช่น ถ้าละครเพลงจะเป็นแนว แจ๊ส ป็อบ ร็อค หรือคลาสสิค ก็จะต้องคงสไตล์ดนตรีไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ แต่เรื่องนี้ผมเห็นว่าน่าจะต้องผสมหลาย ๆ สไตล์เข้าหากัน แต่ถ้าเราทำดี ๆ โดยไม่ให้มันโดดกันมาก สไตล์เพลงจะช่วยขับเน้นความขัดแย้งและดึงบุคลิกตัวของละครออกมาได้ชัดยิ่งขึ้นครับ

version นี้ ดูแล้วมผู้ชมก็ชื่นชอบในการตีความใหม่ ที่ทำให้เห็นใจเรียมมากขึ้นครับ เพราะตรงนี้เป็นหัวใจของการทำเรื่องนี้ ส่วนมากคนดูมักจะประณามเรียมที่เปลี่ยนไป อีกอย่างหลายเพลงมีความยากแล้วผู้ชมรับได้ แปลว่าผู้ชมได้รับการเรียนรู้และพัฒนาไปพร้อมกับคนทำละครครับ ถ้า restage ก็จะปรับปรุงเทคนิคด้านเสียงให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นครับ เพราะโรงละครนี้ปรับเสียงยากจริง ๆ

 

 

กอบกล่องแก่ “แผลเก่า เดอะ มิวสิคัล” ละครเพลงคุณภาพ

  1. ความเป็นละครและ Musical ในประเทศไทยยังคงเกาะเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในยอดสามเหลี่ยม ปิรามิดแห่งการรับรู้ ประหนึ่งปิดประตูอยู่บนหอคอยงาช้าง แม้ว่าในปัจจุบันมีจำนวนผู้ชมเพิ่มมากกว่าเดิมหลายเท่า แต่รุ่นเก่าก็ห่างหาย-ตายจาก ส่วนรุ่นใหม่ผลิตไม่ทัน แม้หลายสถาบันจะรองรับ หรือหลายรูปแบบของการเสพสื่อที่เพิ่มขึ้น แต่รสนิยมคนดูไม่ได้เพิ่มตาม ฯลฯ
  2. แม้เป็นการสร้างงานจากกลุ่มมืออาชีพระดับแถวหน้าของประเทศ โดย Dreambox เจ้าเก่า รวบรวมนักแสดงนักร้องคุณภาพครบทีม ทั้งรุ่นใหม่แกะกล่อง(สยาภา สิงห์ชู ฯลฯ) รุ่นกลาง (รัดเกล้า อามระดิษ ฯลฯ) และรุ่นเก๋า (มนตรี เจนอักษร ฯลฯ) ทุกคนได้แสดงถึงศักยภาพสูงสุดแค่ไหน ก็ไม่อาจขยายฐานตามความต้องการของผู้ชมได้ เพราะราคาของการสร้างงานมีรายละเอียดมาก (และอยากใส่ให้เต็มที่) ทำให้ต้นทุนสูง ราคาบัตร (ปกติ) จำเป็นต้องไต่ตามกันไป แม้ในภาวะที่เศรษฐกิจไม่เกื้อกูล แต่กลุ่มแฟนเก่าที่เรารักกันยังคงให้ความสำคัญ ให้กำลังใจ และ ไม่ผิดหวังเลย
  3. ภาพจำของความเป็น “แผลเก่า”  โดยเฉพาะภาพยนตร์ฉบับของ เชิด ทรงศรี ที่ขึ้นหิ้ง ยังคงไม่ทิ้งอิทธิพลต่อจินตภาพซาบซึ้ง ซึ่งส่งผลต่อจินตนาการบนเวทีได้ไม่สิ้นสุด ขุดกันมาครบทั้งคุณสมบัติผู้แสดง การเล่าเรื่อง บรรยากาศของเรื่อง  และเพลงชุดเก่าที่ยังเฝ้าย้ำเตือน (แม้เฉือนกันไม่ลงตรงคนละประเภทงานก็ตาม)
  4. ความคาดหวังฝังใจต่อเพลงเก่ามีผลสูงต่อการเชื่อมโยงความรู้สึก โดยเฉพาะกลุ่มเก่า ที่ยังคงประทับใจไม่รู้ลืม เหตุที่ไม่ถูกนำมารวมในครั้งนี้เพราะมีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ซึ่งราคาสูงมาก อาจไม่คุ้มที่จะนำมารวมกับเพลงใหม่ และในทางการประพันธดนตรีมีทิศทางการเล่าเรื่องที่ไม่ได้ตรงกันในบางจุด หากนำเพลงเก่ามาก็ต้องหาวิธี blend เพลงแต่งใหม่ให้เข้ากับเพลงเก่าอีก สำนวนภาษาก็คนละแบบ ต้องใช้เวลาจึงตัดปัญหาไป
  5. ด้วยความรักในงานเพราะกล้าหาญชาญเวทีพร้อมพลีชีพของ Dreambox จึงไม่ช็อคผู้ชมด้วย ดาราดัง (หวังเอามาปลุกเสกเพื่อขายเสน่ห์จากความเป็น star) ที่แม้ว่ายังร้องเพลงไม่เก่งก็ไม่ใช่เงื่อนไขที่จะมาลบล้าง แม้ไม่สร้าง Theatre Magic มากมาย แต่ Magic Moment ของความเป็น Super Star มั่นใจว่าขลังกว่ายันต์กันพลาดสามารถกวาดคะแนนนิยมจากผู้ชมได้

 

 

อีกหนึ่งทัศนะที่มีต่อภาพยนตร์ “แผลเก่า” ในมิติทางการเมือง ที่สามารถมองเห็นการประกาศเอกราชของราษฎรผ่านภาพยนตร์ที่สำแดง ‘ความเป็นไท’ โดยประชาชนชาวไทยกลุ่มฐานใหญ่ของประเทศ ที่ถูกบันทึกผ่านกระแสแห่ต้อนรับ “แผลเก่า” ภาพยนตร์ซึ่งสายหนังปรามาสว่า ‘ขาดคุณสมบัติ’ เพราะเต็มไปด้วยปัจจัยเสี่ยงที่เลี่ยงไม่ได้ด้วยคุณสมบัติ Indy ที่มาก่อนยุคในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะภาพยนตร์ฉบับ เชิด ทรงศรี ที่ได้รับการวิเคราะห์ผ่านงานวิจารณ์ของอาจารย์นักสื่อสารการเมืองที่มองขาด เฉียบคม อุดมปัญญา ‘เปิดตา’ ในมิติที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง

  • แผลเก่า, เชิด ทรงศรี และการวิพากษ์ความเป็นไทยหลัง 6 ตุลา[6] โดย ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
  • แผลเก่ากับความเป็นไทยแบบใหม่ หลังการฆ่าหมู่ 6 ตุลา[7] โดย ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
  • “แผลเก่า” (2520) : “ความขัดแย้ง” ในภาพยนตร์ และตัวตนของ “เชิด ทรงศรี”[8] โดย ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

 

 

ตัวอย่างบางส่วนของ “แผลเก่า, เชิด ทรงศรี และการวิพากษ์ความเป็นไทยหลัง 6 ตุลา”[9] โดย ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

เท่าที่ผ่านมานั้นประเทศไทยไม่มีธรรมเนียมยกย่องว่าหนังเรื่องใดเป็น “หนังแห่งชาติ” จนกระทั่งไม่กี่ปีมานี้เกิดคำถามว่า “หนังไทยคืออะไร?” หนังที่สร้างโดยผู้กำกับไทยแต่ใช้เงินต่างชาติถือเป็น “หนังไทย” หรือไม่, แล้วถ้าคนกำกับเป็นไทย แต่การผลิตทั้งหมดเป็นต่างชาติ หนังเรื่องนั้นยังเป็น “หนังไทย” หรือเปล่า? ฯลฯ

คนในทศวรรษ 2540 คงจำได้ว่า “สุริโยไท” ถูกขนานนามเป็น “ภาพยนตร์แห่งสยามประเทศ” ซึ่งต่อมาถูกขยายความถึงหนังที่ผู้กำกับท่านเดียวกันสร้างอีก 7 เรื่อง กระทั่งยุคหนึ่งเกิดกระแสว่านักเรียน, ทหาร และข้าราชการต้องไปดูหนังกลุ่มนี้ให้หมด แต่จะว่าหนังกลุ่มนี้เป็น “หนังแห่งชาติ” ก็ไม่แน่เหมือนกัน

“ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ” กับ “พันท้ายนรสิงห์” เป็นหนังดีหรือไม่ก็แล้วแต่มุมมอง แต่หนังทุกเรื่องพูดถึงวีรกรรมของบุคคลจนเกี่ยวข้องกับเอกลักษณ์แห่งชาติน้อยมาก เพราะวีรกรรมแสดงความเหนือมนุษย์ของชนชั้นปกครอง และอะไรที่พิเศษแบบนี้ย่อมเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่หรือ “ชาติ” ไม่มี...

คิดง่าย ๆ ทุกประเทศไหนมีหนังดีมากกว่าหนึ่งเรื่องแน่ ๆ การอุปโลกน์ให้หนังเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็น “หนังแห่งชาติ” จึงอาจสร้างความเข้าใจผิดว่าหนังเรื่องอื่นด้อยคุณภาพกว่าไปด้วย ขณะที่ผู้กำกับซึ่งไร้แบรนด์ “ผู้กำกับแห่งชาติ” ก็อาจเข้าข่ายว่าเป็นคนทำหนังที่เทียบผู้กำกับหนังเรื่องนั้นไม่ได้เลย

ก่อนที่จะใช้เวลาหนึ่งทศวรรษครึ่งไปกับการทำหนังสงครามที่ถูกตีความเพื่อชาตินิยมของชนชั้นนำ ท่านมุ้ยในทศวรรษ 2520-2530 ทำเรื่องคนตัวเล็ก ๆ อย่างคนขับแท็กซี่ / โสเภณี / ทหารผ่านศึก / คนสลัม ซึ่งหลายเรื่องถูกยกย่องว่ามีคุณค่าทางศิลปะและสังคมกว่าแปดหนังสงครามโบราณอย่างไม่ต้องเถียงกัน…

ถ้าชาติคือคนส่วนใหญ่ หนังของ ม.จ.ชาตรีเฉลิม เรื่องคนส่วนมากของประเทศที่เป็นคนตัวเล็ก ๆ ก็ควรถูกสดุดีดีเป็น “หนังแห่งชาติ” มากกว่าหนังในช่วงหลังอย่างเห็นได้ชัดเจน...

 

 

ในหนังสือ “12 ผู้กำกับหนังไทยร่วมสมัย” ซึ่งนักวิจารณ์แถวหน้าของยุค 2530  สนานจิตต์ บางสะพาน สัมภาษณ์คนทำหนังในปี 2535 ก่อนเป็นผู้กำกับเองในปัจจุบัน คำตอบจาก “ปรินซ์ชาตรี” หรือ “ท่านมุ้ย” คือ “งานแบบนี้เกิดเพราะเรื่องของคนจนเป็นเรื่องที่มีการต่อสู้ตลอดเวลา”

สำหรับเรื่องเจ้าหรือคนรวย การมีทุกอย่างพร้อมเกินไปทำให้เรื่องของคนกลุ่มนี้ไม่น่าสนใจอย่างสิ้นเชิงในคำอธิบายที่ปรากฏในหนังสือเล่มนั้น ม.จ.ชาตรีเฉลิม ทำหนังที่ตัวละครหลักเป็นคนจนโดยมีแกนเรื่องอย่างการต่อสู้กับระบบราชการ, ตำรวจนอกแถว, นายทุนไล่ที่, การดูถูกคนอีสาน ฯลฯ เพราะเหตุว่า

“เราทำหนังเกี่ยวกับคนธรรมดาทั่วไปที่เป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมดีกว่าจะทำเรื่องคนส่วนน้อยที่ไม่น่าสนใจ”...

แน่นอนว่าการตระหนักในความสำคัญของ “คนส่วนใหญ่” จนเห็นต่อไปว่าควรทำเป็นหนังนั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่ที่จริงโลกทัศน์ท่านมุ้ยข้อนี้เป็นส่วนหนึ่งของการตื่นรู้ในวงการหนังไทยทศวรรษ 2520 ที่ส่งผลให้ผู้กำกับหลายคนทำหนังซึ่งมีแกนเรื่องเกาะเกี่ยวกับคนระดับล่างหรือสภาพสังคมที่ไม่เป็นธรรม

ขณะที่ท่านมุ้ยเอาเรื่องคนขับแท๊กซี่โดนนายทุนเอาเปรียบไปทำหนัง “ทองพูน โคกโพ” ในปี 2520 ยุทธนา มุกดาสนิท ก็สร้างหนังที่ตัวละครหลักคือหญิงนั่งดริงก์ใน “เทพธิดาบาร์ 21” ในปี 2521 ส่วน วิจิตร คุณาวุฒิ สร้าง “ลูกอีสาน” ในปี 2525 โดยเสนอภาพหมู่บ้านอีสานที่ถูกทอดทิ้งจนประชาชนแทบไม่มีอะไรจะกิน

ไม่มีงานศึกษาว่าคนทำหนังรุ่นนี้ทำหนังที่คนชั้นล่างเป็นตัวละครหลักด้วยเนื้อหาแบบนี้เพราะอะไร แต่การที่นายทุนยอมควักเงินทำหนังแบบนี้แล้วขายได้ทั้ง ๆ ที่บางเรื่องนำแสดงโดยนักแสดงใหม่ล้วน ๆ ย่อมแสดงให้เห็นว่าสังคมไทยและคนดูหนังยุคนั้นมี Landscape แตกต่างจากปัจจุบันอย่างแน่นอน.

หากเทียบหนังกับศิลปะแขนงอื่น ๆ การที่หนังไทยพูดถึงคนธรรมดาเป็นส่วนหนึ่งของการที่ศิลปะหลายแขนงพูดเรื่องนี้หลังประชาชนลุกฮือโค่นล้มเผด็จการทหารในเดือนตุลาคม 2516 ซึ่งปิดฉากการปกครองสามนายพลที่ยึดครองประเทศ 16 ปี จนเป็นแรงบันดาลให้คนร่วมสมัยเห็นความสำคัญของพลังประชาชน

ในแง่นี้ หนังไทยเปลี่ยนเพราะสังคมเกิดการ “ปฏิวัติความรู้สึกนึกคิด” ตามคำอธิบายของ ศ.เสน่ห์ จามริก นักรัฐศาสตร์ผู้เป็นที่นับถือด้านความซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพและการปกป้องสิทธิเสรีภาพจนเป็นประธานกรรมการสิทธิตามรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งเสนอประเด็นนี้ในบทความ “การเมืองไทยกับปฏิวัติตุลาคม”

 

 

เพลง “แผลเก่า” : ละคร “แผลเก่า เดอะ มิวสิคัล”

ขับร้อง : สยาภา สิงห์ชู

เนื้อร้อง : ดารกา วงศ์ศิริ

ทำนอง สุธี แสงเสรีชน

*เดือนดวงเดียวกัน

ป่านนี้พี่ขวัญคงรอที่ท่าน้ำ

ทำไมฉันจึงใจไม้ไส้ระกำ

ทำกับพี่ขวัญอย่างนั้นได้อย่างไร

ฉันคิดว่าลืม

ลืมสิ้นกลิ่นดินและกลิ่นโคลนสาบควาย

แต่มีสิ่งเดียว ที่ฉันนั้นลืมไม่ได้

คือความรักที่พี่ให้เสมอมา

สองเท้าอยากก้าวไปข้างหน้า

แต่เหมือนมี มีอะไรมาดึงรั้ง

อยากจะลืมทุกๆอย่าง

อยากจะมีชีวิตใหม่

แต่แผลเก่าคอยเตือนใจให้จดจำ

รอยแผลที่ถูกฟันนั้นของพี่

แต่รอยแผลที่มีไม่ใช่เพียงแค่ตรงนั้น

ความรักของพี่ที่มีให้กับฉัน

คือรอยแผลที่มัน ไม่มีวันลบเลือน

 

*************************

 


photo : mowojo.com

 

วรรณกรรม 11 ปกใหม่ของ 'อ่าน๑๐๑'

เปิดให้จองแล้ว ที่ mowojo.com/category/57

นวนิยาย ‘แผลเก่า’ ฉบับอ่าน ๑๐๑ มีอะไรพิเศษ

1. จัดพิมพ์เป็นปกแข็งสันโค้งฉลองวาระครบรอบ 120 ชาตกาล ไม้ เมืองเดิม

2. ผนวกบทความ “‘แผลเก่า’ และแผลจากที่ฝากไว้ก่อน” โดย ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์

3. ผนวกบทความ “แผลเก่า แห่งทุ่งบางกะปิ ร่องรอยการชนกันของชนชั้น เมือง และชนบทหลังปฏิวัติ” โดย ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์

4. ผนวกนวนิยาย ‘แสนแสบ’ โดย ไม้ เมืองเดิม (นวนิยายเต็มเรื่องอันเป็นเสมือนภาคต่อของ ‘แผลเก่า’)

 

หมายเหตุสำคัญ

  • ขอขอบคุณข้อมูลข่าวและภาพการแสดง โดย DREAMBOX : แผลเก่า เดอะมิวสิคัล

 


[1] “แผลเก่า” , ย้อนยุค เมืองไทย , www.youtube.com , สืบค้น 15 กุมภาพันธ 2568 https://youtu.be/joUiflYaIDw?si=f-_hRSnEa1i_bQE9

[2] สุวรรณดี จักราวรวุธ, มิวสิคัลจากยุคอนาล็อกสู่ดิจิตัล, สืบค้น 20 กุมภาพันธ์, https://www.facebook.com/suwandee.jakravoravudh/posts/pfbid037wrs1h7eAViYp2UwamWMvPeuRjyNVU73C9iN1GZ7yoayXEF18pDJHvD2xQG2sLXPl

[4]  post talk ซ้อน A New Musical, Dreambox Channel, สืบค้น 15 มีนาคม 2568 https://www.youtube.com/watch?v=yr0ar9bAKWc&t=185s

[5] Andrew Lloyd Webber, imdb.com, สืบค้น 15 มีนาคม 2568  https://www.imdb.com/name/nm0515908/

[6]  ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์,  เชิด ทรงศรี และการวิพากษ์ความเป็นไทยหลง 6 ตุลา , matichonweekly.com, สืบค้น 10 มีนาคม 2568, https://www.matichonweekly.com/column/article_137191

[7]  ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ , แผลเก่ากับความเป็นไทยแบบใหม่ หลังการฆ่าหมู่ 6 ตุลา, matichonweekly.com, สืบค้น 10 มีนาคม 2568 ,  https://www.matichonweekly.com/column/article_138629

[8] “แผลเก่า” (2520) : “ความขัดแย้ง” ในภาพยนตร์ และตัวตนของ “เชิด ทรงศรี” , matichonweekly.com, สืบค้น 10 มีนาคม 2568 .https://www.matichonweekly.com/column/article_142075

[9]  ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ ,  เชิด ทรงศรี และการวิพากษ์ความเป็นไทยหลัง 6 ตุลา, matichonweekly.com, สืบค้น 10 มีนาคม 2568, https://www.matichonweekly.com/column/article_137191