Focus
- สถานการณ์สงครามการค้าที่เกิดขึ้น เศรษฐกิจไทยเนื่องจากพึ่งพาการส่งออกและเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลก ทำให้ได้รับผลกระทบ เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม และเกษตรกรรม และผลกระทบที่เกิดขึ้นทำให้รัฐไทยจำเป็นจะต้องหาแนวทางแก้ไขเพื่อรองรับผลที่จะเกิดในอนาคต
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่เริ่มต้นอย่างเข้มข้นในปี 2561 ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโลกอย่างกว้างขวาง แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้เป็นเป้าหมายโดยตรงของมาตรการกีดกันทางการค้า แต่ด้วยลักษณะของเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออกและเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลก ประเทศไทยจึงได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากสงครามการค้าดังกล่าว โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมสำคัญและตลาดแรงงาน
1. ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและอุตสาหกรรมไทย
ประเทศไทยเป็นส่วนสำคัญของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และเครื่องจักรกล การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนของสหรัฐฯ ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของจีนไปยังสหรัฐฯ ของไทยลดลงประมาณร้อยละ 15-20 ในช่วงปี 2561-2563 ในขณะเดียวกัน การย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทย เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้า ก็ส่งผลให้มีการปรับเปลี่ยนในห่วงโซ่อุปทาน โดยในช่วงปี 2561-2564 มีบริษัทจากจีนและประเทศอื่นๆ ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานดังกล่าวมิได้ส่งผลดีต่อประเทศไทยในทุกมิติ การที่ไทยอยู่ในตำแหน่งกลางของห่วงโซ่คุณค่า ซึ่งส่วนใหญ่ทำหน้าที่ในการประกอบสินค้าจากวัตถุดิบและชิ้นส่วนที่นำเข้าจากประเทศอื่น ทำให้มูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นภายในประเทศค่อนข้างจำกัด สัดส่วนมูลค่าเพิ่มของไทยในห่วงโซ่คุณค่าโลกอยู่ที่เพียงประมาณร้อยละ 30-40 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ซึ่งหมายความว่า ประโยชน์ส่วนใหญ่ยังคงตกอยู่กับประเทศที่ควบคุมเทคโนโลยี การออกแบบ และการตลาด
เมื่อพิจารณาผลกระทบรายอุตสาหกรรม พบว่าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยซึ่งเป็นหนึ่งในภาคการส่งออกสำคัญ มีมูลค่าการส่งสูง และอาจมีการจ้างงานหลักแสนคน ได้รับผลกระทบอย่างหนัก การส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ของไทยไปยังสหรัฐฯ และจีนลดลงประมาณร้อยละ 10-15 ในช่วงที่สงครามการค้าเข้มข้นที่สุด และส่งผลให้มีการปรับลดกำลังการผลิตและการจ้างงาน โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชิ้นส่วนสำหรับอุปกรณ์โทรคมนาคมและคอมพิวเตอร์
อุตสาหกรรมยานยนต์ก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ไปยังจีนเพื่อประกอบและส่งต่อไปยังสหรัฐฯ การส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยไปยังจีนลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2562-2563 นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนในนโยบายการค้าระหว่างประเทศยังส่งผลให้บริษัทยานยนต์ชะลอการลงทุนในโครงการใหม่ๆ ในประเทศไทยอีกด้วย
อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม แม้จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน แต่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากสินค้าจีนที่ถูกผลักดันให้ออกสู่ตลาดอื่นๆ ทั่วโลกแทนตลาดสหรัฐฯ การส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทยลดลงประมาณร้อยละ 15-20 ในช่วงปี 2562-2564 และมีการปิดกิจการของโรงงานขนาดเล็กและขนาดกลางมากกว่า 100 แห่ง ส่งผลให้มีการเลิกจ้างพนักงานมหาศาล
ภาคเกษตรกรรมซึ่งเป็นแหล่งจ้างงานสำคัญของไทยก็ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าเช่นกัน โดยเฉพาะสินค้าเกษตรสำคัญ เช่น ยางพารา มันสำปะหลัง และผลไม้ ซึ่งจีนเป็นตลาดส่งออกหลัก ราคายางพาราและมันสำปะหลังลดลงร้อยละ 20-30 ในช่วงปี 2561-2563 อันเนื่องมาจากการชะลอตัวของภาคการผลิตในจีนซึ่งเป็นผลจากสงครามการค้า ส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรไทยกว่า 2 ล้านครัวเรือน
2. การเปลี่ยนแปลงของการลงทุนและผลกระทบต่อแรงงานไทย
สงครามการค้ายังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบและทิศทางของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในไทย ในด้านหนึ่ง การย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังไทยเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ส่งผลให้มีการลงทุนใหม่ๆ จากจีนและประเทศอื่นๆ ในไทยเพิ่มขึ้น ในช่วงปี 2562-2564 การลงทุนโดยตรงจากจีนในไทยเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนสงครามการค้า โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ไฟฟ้า และพลังงานทดแทน แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศก็ทำให้นักลงทุนบางรายชะลอการลงทุนขนาดใหญ่ออกไป การลงทุนโดยตรงจากสหรัฐฯ และยุโรปในไทยลดลงประมาณร้อยละ 15-20 ในช่วงเวลาเดียวกัน สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองในภูมิภาค
การย้ายฐานการผลิตสร้างความผันผวนในตลาดแรงงาน การย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังไทยสร้างโอกาสการจ้างงานใหม่ แต่ในทางกลับกัน บริษัทบางแห่งกลับย้ายฐานการผลิตจากไทยไปยังประเทศที่มีต้นทุนแรงงานต่ำกว่า เช่น เวียดนาม กัมพูชา และลาว มีการย้ายฐานการผลิตออกจากไทยประมาณร้อยละ 5-10 ของโรงงานในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น ซึ่งส่งผลให้เกิดการสูญเสียงานของแรงงานไทยประมาณ 80,000-100,000 ตำแหน่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
สถานการณ์ด้านค่าจ้างและสภาพการทำงานก็ไม่ได้ปรับตัวดีขึ้นแม้จะมีการลงทุนใหม่จากต่างประเทศ ค่าจ้างแรงงานในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2-3 ต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อในบางปี การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดโลกยังส่งผลให้บริษัทหลายแห่งพยายามลดต้นทุนการผลิต ซึ่งอาจนำไปสู่การกดดันให้แรงงานทำงานหนักขึ้นหรือยอมรับสภาพการทำงานที่ด้อยลง ในด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจของครอบครัวแรงงาน การสูญเสียงานหรือการลดลงของรายได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานทักษะต่ำถึงปานกลางซึ่งมักมีเงินออมน้อยและมีภาระหนี้สิน สัดส่วนครัวเรือนที่มีหนี้สินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยครัวเรือนแรงงานในภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ามีสัดส่วนหนี้สินต่อรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น
3. โครงสร้างรองรับปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต
ประเทศไทยมีโครงสร้างและกลไกรองรับผลกระทบจากสงครามการค้าและความผันผวนทางเศรษฐกิจในหลายระดับ แต่ยังมีข้อจำกัดในหลายด้าน ระบบประกันสังคมเป็นกลไกสำคัญในการรองรับผลกระทบต่อแรงงานในระบบ โดยให้ความคุ้มครองในกรณีว่างงาน เจ็บป่วย และชราภาพ อย่างไรก็ตาม ระบบนี้ยังมีข้อจำกัดในด้านความครอบคลุม โดยแรงงานนอกระบบซึ่งมีประมาณร้อยละ 55 ของแรงงานทั้งหมดยังไม่ได้รับความคุ้มครองอย่างเพียงพอ สิทธิประโยชน์ในกรณีว่างงานยังจำกัดอยู่เพียงร้อยละ 50 ของค่าจ้างและมีระยะเวลาสูงสุดเพียง 180 วัน ซึ่งอาจไม่เพียงพอในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่ยืดเยื้อ
โครงการพัฒนาทักษะแรงงานที่ดำเนินการโดยรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังมีข้อจำกัดทั้งในด้านงบประมาณ คุณภาพของการฝึกอบรม และความสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในปัจจุบัน มีแรงงานที่ได้รับการฝึกอบรมทักษะใหม่เพียงประมาณร้อยละ 10-15 ของแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการลงทุนที่รัฐบาลดำเนินการ เช่น มาตรการลดหย่อนภาษี การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนใหญ่เอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่มากกว่าธุรกิจขนาดเล็กและแรงงาน ระบบสวัสดิการสังคมของไทยช่วยบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อครัวเรือนที่มีรายได้น้อยได้ในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่เพียงพอในการรับมือกับวิกฤตขนาดใหญ่ ค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคมของไทยยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศที่มีระดับการพัฒนาใกล้เคียงกัน
รัฐไทยจำเป็นต้องพัฒนาและปรับปรุงกลไกรองรับผลกระทบจากสงครามการค้าและการเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจโลกอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาทักษะแรงงาน การขยายความคุ้มครองทางสังคมให้ครอบคลุมแรงงานทุกกลุ่ม เพื่อเป็นหลังพิงในช่วงเปลี่ยนผ่านของโครงการ
บทความที่เกี่ยวข้อง :