ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

สงครามการค้าริเริ่มโดยสหรัฐฯ และผลกระทบต่อแรงงานไทย ตอนที่ 1 : รากฐานความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ที่มาของสงครามการค้า

14
พฤษภาคม
2568

Focus

  • ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ช่วงเวลาทศวรรษ 1950-1960 ความสัมพันธ์มีลักษณะซับซ้อน เนื่องจากบริบททางการเมือง และทางเศรษฐกิจ ที่มีความเปลี่ยนแปลง

 


พิธีเปิดถนนมิตรภาพ โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ นายกรัฐมนตรีของไทย กับเอกอัคราชทูตสหรัฐ
มาร่วมทำพิธีเปิดถนนมิตรภาพอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2501
ที่มา: พิพิธภัณฑ์เมืองนครราชสีมา

 

รากฐานความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ จากยุคสงครามเย็นสู่ปัจจุบัน

ในทศวรรษ 1950-1960 สหรัฐฯ มองไทยเป็นแนวป้องกันการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งนำไปสู่การสนับสนุนทางทหารและเศรษฐกิจอย่างมหาศาล รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของไทย อาทิ การสร้างถนนมิตรภาพ และฐานทัพอเมริกันในหลายจังหวัดของไทย ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ ในช่วงนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจให้กับไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำหรับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าในระยะยาวระหว่างสองประเทศอีกด้วย

 

การทดแทนการนำเข้า (ISI): การเติบโตของทุนอุตสาหกรรมและความเหลื่อมล้ำ

ในช่วงทศวรรษ 1960 ถึงต้นทศวรรษ 1970 ไทยได้ดำเนินนโยบายการทดแทนการนำเข้า (Import Substitution Industrialization - ISI) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และธนาคารโลก นโยบายนี้มุ่งส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศเพื่อผลิตสินค้าทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ โดยรัฐบาลไทยใช้มาตรการคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศผ่านการตั้งกำแพงภาษีสูง การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี และการสนับสนุนด้านสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการในประเทศ

นโยบาย ISI ส่งผลให้เกิดการเติบโตของกลุ่มทุนอุตสาหกรรมในประเทศอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในภาคการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน เช่น สิ่งทอ อาหารแปรรูป และเครื่องใช้ไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม ผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงนี้กระจุกตัวอยู่กับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับชนชั้นนำทางการเมือง ในขณะที่เกษตรกรและแรงงานในชนบทได้รับผลประโยชน์น้อยมาก นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

การเติบโตของอุตสาหกรรมในช่วงนโยบาย ISI มีลักษณะกระจุกตัวอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ ส่งผลให้เกิดการอพยพแรงงานจากชนบทสู่เมืองเป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิดปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมในเขตเมือง ในขณะเดียวกัน ชนบทก็ประสบกับปัญหาการสูญเสียแรงงานและทรัพยากร นอกจากนี้ นโยบาย ISI ยังสร้างภาระให้กับผู้บริโภคในประเทศที่ต้องซื้อสินค้าในราคาสูงกว่าราคาตลาดโลก เนื่องจากการคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ

 

ความสัมพันธ์กับชนชั้นนำไทย: การเมืองที่ขับเคลื่อนการค้า

ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับชนชั้นนำไทยในช่วงสงครามเย็นมีลักษณะพิเศษ กล่าวคือ สหรัฐฯ มุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มทหารและข้าราชการระดับสูงของไทย ซึ่งมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายของประเทศ ภายใต้บริบทของการต่อต้านคอมมิวนิสต์ สหรัฐฯ สนับสนุนรัฐบาลที่นำโดยทหารในไทยอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการรัฐประหารหลายครั้งก็ตาม การสนับสนุนดังกล่าวไม่ได้จำกัดอยู่เพียงมิติทางการเมืองและความมั่นคง แต่ยังรวมถึงการเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจและการค้าให้กับกลุ่มทุนไทยที่มีความใกล้ชิดกับชนชั้นนำทางการเมืองอีกด้วย

ในช่วงทศวรรษ 1970-1980 การลงทุนโดยตรงจากสหรัฐฯ ในไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น เช่น สิ่งทอและอิเล็กทรอนิกส์ การลงทุนเหล่านี้มักดำเนินการผ่านการร่วมทุนกับนักธุรกิจไทยที่มีความสัมพันธ์อันดีกับผู้มีอำนาจทางการเมือง ซึ่งได้รับประโยชน์จากนโยบายส่งเสริมการลงทุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีต่างๆ ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ระหว่างรัฐกับทุนในไทยจึงมีส่วนสำคัญในการกำหนดรูปแบบและทิศทางของการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับสหรัฐฯ

 

จากการทดแทนการนำเข้าสู่การส่งออก (EOI): เขตเศรษฐกิจพิเศษและผลกระทบ

ในช่วงกลางทศวรรษ 1970 ถึงทศวรรษ 1980 ไทยเริ่มเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจจากการทดแทนการนำเข้า (ISI) ไปสู่การส่งเสริมการส่งออก (Export-Oriented Industrialization - EOI) โดยได้รับอิทธิพลจากแนวทางการพัฒนาของประเทศอุตสาหกรรมใหม่ในเอเชียตะวันออก เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสิงคโปร์ การเปลี่ยนแปลงนี้สอดคล้องกับนโยบายของสหรัฐฯ และองค์กรระหว่างประเทศที่ส่งเสริมการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน

นโยบาย EOI นำไปสู่การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษและนิคมอุตสาหกรรมในหลายพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะในภาคตะวันออก เพื่อดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ผ่านการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย นโยบายนี้ประสบความสำเร็จในการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงานอย่างรวดเร็ว แต่ก็นำมาซึ่งผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ

การขยายตัวของเขตอุตสาหกรรมและเขตเศรษฐกิจพิเศษส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของไทยอย่างลึกซึ้ง ในด้านหนึ่ง การลงทุนจากต่างประเทศนำมาซึ่งเทคโนโลยีใหม่ การจ้างงาน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งส่งผลให้เกิดความมั่งคั่งและการเติบโตของชนชั้นกลางในเขตเมือง แต่ในอีกด้านหนึ่ง การพัฒนาดังกล่าวก็ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่นและสิ่งแวดล้อม เช่น การเวนคืนที่ดิน มลพิษทางน้ำและอากาศ ปัญหาสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ และการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ

การขยายตัวของเขตอุตสาหกรรมยังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างแรงงานของไทย โดยมีการอพยพของแรงงานจากภาคเกษตรกรรมไปสู่ภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและความสัมพันธ์ทางสังคมแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ การเติบโตของอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกยังทำให้เศรษฐกิจไทยพึ่งพาตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ไทยมีความเปราะบางต่อความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของประเทศมหาอำนาจ

 

รัฐประหารและผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้า

ประวัติศาสตร์การเมืองไทยหลังสงครามโลกครั้งที่สองเต็มไปด้วยการรัฐประหารและความไม่มั่นคงทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ กลับมีเสถียรภาพและเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงรัฐบาลที่นำโดยทหารซึ่งมักจะดำเนินนโยบายเปิดกว้างต่อการลงทุนจากต่างประเทศและการค้าเสรี

 


Sarit Thanarat Premier of Thailand 1958-1963
ที่มา: The US began the withdrawal of 23,000 troops from Thailand in November 1962.

 

รัฐประหารใน พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นำไปสู่การดำเนินนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวทางทุนนิยมอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อการลงทุนจากสหรัฐฯ และประเทศตะวันตกอื่น ๆ ในช่วงทศวรรษต่อมา นโยบายดังกล่าวถูกสานต่อโดยรัฐบาลทหารชุดต่าง ๆ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่ทิศทางหลักของนโยบายเศรษฐกิจยังคงเน้นการเปิดกว้างต่อการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย

แม้ว่าสหรัฐฯ จะแสดงความกังวลต่อการรัฐประหารในไทยในช่วงหลังสงครามเย็น แต่ในทางปฏิบัติ ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่หยุดชะงัก ตัวอย่างเช่น หลังการรัฐประหารใน พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) แม้สหรัฐฯ จะแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับการยึดอำนาจและระงับความช่วยเหลือทางทหารบางส่วน แต่ความสัมพันธ์ทางการค้ายังคงดำเนินต่อไป โดยสหรัฐฯ ยังคงเป็นหนึ่งในประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย

 

ขยายบทบาทของกลุ่มทุนการเงินและระเบียบเสรีนิยมใหม่หลังวิกฤตปี 2540

 

 

วิกฤตเศรษฐกิจเอเชีย พ.ศ. 2540 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย วิกฤตดังกล่าวส่งผลให้สถาบันการเงินในประเทศจำนวนมากต้องปิดตัวลง ธุรกิจหลายแห่งล้มละลาย และรัฐบาลไทยต้องขอความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) การรับความช่วยเหลือดังกล่าวมาพร้อมกับเงื่อนไขในการปฏิรูปเศรษฐกิจตามแนวทางเสรีนิยมใหม่ (Neo-liberalism) ซึ่งรวมถึงการเปิดเสรีภาคการเงิน การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การลดบทบาทของรัฐในระบบเศรษฐกิจ และการเปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาถือครองกิจการในไทยได้มากขึ้น

การปฏิรูปเหล่านี้ส่งผลให้โครงสร้างเศรษฐกิจไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการขยายบทบาทของกลุ่มทุนการเงินและการเพิ่มขึ้นของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ในช่วงหลังวิกฤต สถาบันการเงินต่างชาติเข้ามามีบทบาทในระบบการเงินไทยมากขึ้น ผ่านการเข้าซื้อหรือควบรวมกิจการกับธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนที่ประสบปัญหา นอกจากนี้ บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ ยังเข้ามาซื้อกิจการในไทยที่ประสบปัญหาทางการเงิน ทำให้โครงสร้างความเป็นเจ้าของในหลายอุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงไป

 

การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และจุดเริ่มต้นของสงครามการค้า

 

 

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา นโยบายการค้าของสหรัฐฯ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีใน ค.ศ. 2016 สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้หันมาใช้นโยบาย "America First" ซึ่งเน้นการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศและการลดการขาดดุลทางการค้ากับประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีน นโยบายดังกล่าวนำไปสู่การใช้มาตรการกีดกันทางการค้าหลายรูปแบบ ทั้งการขึ้นภาษีนำเข้า การใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด และการจำกัดการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง

แม้ว่าไทยจะไม่ได้เป็นเป้าหมายหลักของมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ เช่นเดียวกับจีน แต่ก็ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาคและระดับโลก นอกจากนี้ ไทยยังถูกสหรัฐฯ จับตามองในประเด็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา การใช้แรงงาน และการค้ามนุษย์ ซึ่งอาจนำไปสู่มาตรการกีดกันทางการค้าในอนาคต

ในบริบทของความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ไทยต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาดุลยภาพทางการทูตและเศรษฐกิจระหว่างสองมหาอำนาจ ในขณะเดียวกัน ก็ต้องปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง โดยเฉพาะในด้านการค้าและการลงทุน ความท้าทายดังกล่าวมีผลกระทบโดยตรงต่อภาคอุตสาหกรรมและแรงงานไทย ซึ่งต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางการค้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว