ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

สงครามการค้าริเริ่มโดยสหรัฐฯ และผลกระทบต่อแรงงานไทย ตอนที่ 3: ทางออกและอนาคต

16
พฤษภาคม
2568

Focus

  • จากเหตุการณ์สงครามการค้าที่กำลังจะเกิดขึ้นเพื่อรับมือต่อปัญหาที่จะเกิดขึ้น ภาครัฐควรจะมีแนวทางการแก้ไขโดยมุ่งเน้นที่แรงงานเป็นสำคัญ

 

 

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อชีวิตของแรงงานไทย ทั้งในภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และภาคบริการ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกระทบโดยตรงกับความมั่นคงทางรายได้ ความเป็นอยู่ และอนาคตของครอบครัวแรงงานหลายล้านครัวเรือน การค้นหาทางออกจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของตัวเลขทางเศรษฐกิจหรือนโยบายระดับมหภาค แต่เป็นเรื่องของการสร้างหลักประกันและโอกาสให้กับชีวิตของผู้คนธรรมดาที่ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงจากปัจจัยที่อยู่เหนือการควบคุมของพวกเขา

 

1. มาตรการด้านสวัสดิการที่ต้องปฏิรูป: สร้างหลังพิงในช่วงเปลี่ยนผ่าน

แรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมส่งออกทั่วประเทศเป็นกลุ่มแรก ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า เมื่อออร์เดอร์จากต่างประเทศลดลง หลายโรงงานต้องลดกำลังการผลิต ลดชั่วโมงการทำงาน หรือแม้กระทั่งปิดกิจการ แรงงานจำนวนมากถูกลดเงินเดือน ถูกพักงานชั่วคราว หรือถูกเลิกจ้าง ในขณะที่ภาระค่าใช้จ่าย ค่าเล่าเรียนของบุตร และหนี้สินยังคงอยู่เท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น

 


สำนักงานประกันสังคม

 

ระบบสวัสดิการสังคมของไทยในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดในการรองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจเหล่านี้ ระบบประกันสังคมยังไม่ครอบคลุมแรงงานนอกระบบซึ่งมีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของแรงงานทั้งหมด สิทธิประโยชน์กรณีว่างงานยังไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ และไม่มีมาตรการรองรับกรณีที่รายได้ลดลงแต่ยังไม่ถึงขั้นว่างงาน การปฏิรูประบบสวัสดิการจึงต้องมุ่งเน้นการสร้าง "หลังพิง" ที่มั่นคงให้กับแรงงาน และครอบครัวในยามวิกฤต

มาตรการเร่งด่วนที่จำเป็น คือการประกันรายได้ขั้นพื้นฐานสำหรับครอบครัวแรงงานที่ได้รับผลกระทบรุนแรง เพื่อให้พวกเขายังสามารถจ่ายค่าอาหาร ค่าเช่าบ้าน ค่าเล่าเรียนของบุตร และค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่น ๆ ได้ในขณะที่กำลังหางานใหม่หรือปรับตัวกับสภาพการทำงานที่เปลี่ยนไป การช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัยและหนี้สินก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน หลายครอบครัวแรงงานมีภาระหนี้สินจากการซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือ ค่าใช้จ่ายฉุกเฉินอื่น ๆ เมื่อรายได้ลดลงอย่างรวดเร็ว ภาระหนี้สินเหล่านี้อาจกลายเป็นวิกฤตที่ทำลายคุณภาพชีวิตและโอกาสในอนาคต

การฝึกอบรมทักษะใหม่ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานเป็นอีกมาตรการสำคัญ แรงงานในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบรุนแรงอาจไม่สามารถกลับไปทำงานในอุตสาหกรรมเดิมได้อีก การฝึกอบรมทักษะใหม่จะช่วยให้พวกเขาสามารถหางานในภาคส่วนอื่นที่กำลังเติบโตหรือได้รับผลกระทบน้อยกว่า โครงการฝึกอบรมเหล่านี้ควรเข้าถึงได้ง่าย ไม่มีค่าใช้จ่าย และมีเบี้ยเลี้ยงระหว่างการฝึกอบรม เพื่อให้แรงงานสามารถเข้าร่วมได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าครองชีพ

นอกจากนี้ ควรมีการสนับสนุนการรวมกลุ่มของแรงงานในชุมชน การสร้างกองทุนหมู่บ้าน การจัดตั้งสหกรณ์ชุมชน และการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน เพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมในระดับท้องถิ่น เครือข่ายความช่วยเหลือในชุมชนมีความสำคัญอย่างยิ่งในยามวิกฤต เพราะสามารถให้ความช่วยเหลือที่รวดเร็วและตรงความต้องการมากกว่าการช่วยเหลือจากภาครัฐที่อาจมีขั้นตอนและเงื่อนไขมากมาย

ปัญหาสุขภาพจิตของแรงงานเป็นอีกประเด็นที่มักถูกมองข้าม ความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในกลุ่มแรงงานที่สูญเสียงานหรือมีรายได้ลดลง การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิตที่มีคุณภาพโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และการลดการตีตราเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิต จะช่วยให้แรงงานและครอบครัวสามารถรับมือกับความท้าทายในชีวิตได้ดีขึ้น

การปฏิรูประบบสวัสดิการเหล่านี้ไม่ใช่เพียงการสงเคราะห์หรือการช่วยเหลือชั่วคราว แต่เป็นการลงทุนในทุนมนุษย์และความมั่นคงทางสังคมในระยะยาว ครอบครัวแรงงานที่มีความมั่นคง มีสุขภาพที่ดี และมีโอกาสในการพัฒนาตนเอง จะเป็นรากฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืนและทั่วถึง

 

2. แนวโน้มในอนาคตและผลกระทบต่อชีวิตแรงงานไทย

 

 

ชีวิตของแรงงานไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่เพียงแต่จากสงครามการค้า แต่ยังรวมถึงแนวโน้มสำคัญอื่น ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจโลก การเข้าใจแนวโน้มเหล่านี้จะช่วยให้แรงงานและผู้กำหนดนโยบายสามารถเตรียมพร้อม และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความมั่นคงในการทำงานกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก งานประจำที่มั่นคงและมีสวัสดิการครบถ้วนกำลังลดน้อยลง ในขณะที่งานชั่วคราว งานอิสระ และงานนอกระบบกำลังเพิ่มมากขึ้น แรงงานจำนวนมากกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนในอาชีพ ต้องทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกันเพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอ และขาดหลักประกันทางสังคมที่มาพร้อมกับการจ้างงานแบบเต็มเวลา

รูปแบบทักษะที่ตลาดต้องการก็กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว งานที่ทำซ้ำ ๆ และไม่ต้องใช้ทักษะสูงกำลังถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติ แรงงานที่มีทักษะเฉพาะในอุตสาหกรรมดั้งเดิมอาจพบว่าความรู้และประสบการณ์ของตนไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป การเรียนรู้ทักษะใหม่ และการปรับตัวกับเทคโนโลยีจึงเป็นความจำเป็นสำหรับการอยู่รอดในตลาดแรงงานยุคใหม่

การเคลื่อนย้ายของแรงงานมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ อุตสาหกรรมบางประเภทอาจรวมตัวอยู่ในบางพื้นที่ ในขณะที่อุตสาหกรรมอื่น ๆ อาจย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีต้นทุนแรงงานต่ำกว่า แรงงานจำนวนมากอาจต้องย้ายถิ่นฐานเพื่อตามหางานที่เหมาะสม ซึ่งอาจนำมาซึ่งความแตกแยกของครอบครัว การสูญเสียเครือข่ายทางสังคม และความยากลำบากในการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่

ความเหลื่อมล้ำระหว่างกลุ่มแรงงานมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น แรงงานที่มีการศึกษาสูง มีทักษะที่เป็นที่ต้องการ และมีเครือข่ายทางสังคมที่ดี มีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ในขณะที่แรงงานที่มีการศึกษาน้อย มีทักษะจำกัด หรืออยู่ในพื้นที่ห่างไกล มีความเสี่ยงที่จะถูกทิ้งให้ล้าหลังและมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง

สุขภาพและความเป็นอยู่ของแรงงานก็กำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ ความเครียดและความกดดันจากความไม่แน่นอนในอาชีพ การทำงานที่หนักขึ้นเพื่อแข่งขันกับแรงงานอื่น ๆ และเทคโนโลยี และการขาดสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว อาจส่งผลเสียต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตของแรงงาน

แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะสร้างความท้าทายมากมาย แต่ก็มาพร้อมกับโอกาสใหม่ ๆ เช่นกัน การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล อุตสาหกรรมสีเขียว และภาคบริการที่เน้นทักษะความเป็นมนุษย์ (เช่น การดูแลผู้สูงอายุ การศึกษา และความคิดสร้างสรรค์) สามารถสร้างงานและโอกาสใหม่ ๆ สำหรับแรงงานที่สามารถปรับตัวและพัฒนาทักษะที่จำเป็น

 

3. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อปกป้องและสนับสนุนแรงงานไทย

การเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นจำเป็นต้องมีนโยบายที่ครอบคลุมและเป็นรูปธรรมเพื่อปกป้องและสนับสนุนแรงงานไทย ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญมีดังนี้

ประการแรก การสร้างระบบสวัสดิการถ้วนหน้าที่ครอบคลุมคนทุกกลุ่มในสังคม ไม่ว่าจะเป็นแรงงานในระบบ นอกระบบ เกษตรกร ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ผู้สูงอายุ เด็ก หรือผู้พิการ ระบบสวัสดิการถ้วนหน้านี้ควรครอบคลุมความจำเป็นพื้นฐานในชีวิต ได้แก่ การรักษาพยาบาล การศึกษา รายได้ขั้นพื้นฐาน และที่อยู่อาศัย โดยไม่มีเงื่อนไขหรือการทดสอบคุณสมบัติที่ซับซ้อน (Means Test) ที่อาจกีดกันผู้มีสิทธิบางกลุ่ม

ระบบสวัสดิการถ้วนหน้าจะช่วยสร้างความมั่นคงในชีวิตให้กับทุกคน โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เมื่อแรงงานจำนวนมากอาจสูญเสียงานหรือมีรายได้ลดลง การมีหลักประกันว่าตนเองและครอบครัวจะยังสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพ การศึกษา และมีรายได้เพียงพอสำหรับความจำเป็นขั้นพื้นฐาน จะช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล รวมถึงเปิดโอกาสให้แรงงานสามารถเรียนรู้ทักษะใหม่หรือปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ประการที่สอง การปฏิรูประบบภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรม โดยเฉพาะการนำภาษีทรัพย์สิน (Wealth Tax) มาใช้ ภาษีทรัพย์สินเป็นภาษีที่เก็บจากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของบุคคล เช่น ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ เงินฝาก หุ้น และทรัพย์สินอื่น ๆ ที่มีมูลค่าสูงเกินกว่าระดับที่กำหนด ซึ่งแตกต่างจากภาษีเงินได้ที่เก็บจากรายได้ประจำ ภาษีทรัพย์สินจะช่วยลดการกระจุกตัวของความมั่งคั่งและสร้างรายได้ให้กับรัฐเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาระบบสวัสดิการและบริการสาธารณะ การเก็บภาษีทรัพย์สินในอัตราก้าวหน้า โดยยกเว้นสำหรับผู้ที่มีทรัพย์สินน้อยและเก็บในอัตราที่สูงขึ้นสำหรับผู้ที่มีทรัพย์สินมาก จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจโดยไม่สร้างภาระให้กับประชาชนส่วนใหญ่ เงินที่ได้จากภาษีทรัพย์สินสามารถนำไปใช้ในการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับแรงงานและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและการเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจโลก เช่น การพัฒนาทักษะ การศึกษา บริการสุขภาพ และโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น

ประการที่สาม การปรับปรุงกฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับแรงงานให้ทันสมัยและสอดคล้องกับรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป กฎหมายแรงงานปัจจุบันส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาสำหรับการจ้างงานแบบเต็มเวลาและถาวร ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในปัจจุบันที่มีการทำงานอิสระ งานชั่วคราว และงานผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้น การปรับปรุงกฎหมายควรมุ่งเน้นการให้ความคุ้มครองและสวัสดิการแก่แรงงานทุกรูปแบบอย่างเท่าเทียม รวมถึงการสร้างความยืดหยุ่นที่เอื้อประโยชน์ทั้งต่อนายจ้างและลูกจ้าง

ในท้ายที่สุด การรับมือกับผลกระทบของสงครามการค้าและการเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจโลกจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และตัวแรงงานเอง ความท้าทายที่เผชิญอยู่นี้ไม่ใช่เพียงวิกฤตที่ต้องแก้ไข แต่ยังเป็นโอกาสในการปฏิรูประบบสวัสดิการที่เป็นธรรมมากขึ้นสำหรับทุกคน

 

บทความที่เกี่ยวข้อง :