ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
แนวคิด-ปรัชญา

ปรีดี พนมยงค์กับการพยายามแก้ไขปัญหาความรุนแรงและภารกิจที่ยังไม่เสร็จสิ้น

17
พฤษภาคม
2568

 

 

 

ผศ. อัครพงษ์ ค่ำคูณ

คุณสุธรรม แสงประทุม มีบทบาทในเรื่องนักต่อสู้สิทธิมนุษยชนและผู้ซึ่งเกี่ยวข้องอยู่กับขบวนการเคลื่อนไหว เพื่อความเป็นธรรม ความสันติสุข และความอยู่ดีกินดีของประชาชน เมื่อสักครู่คุยกันหลังไมค์ คุณสุธรรมบอกว่าอยากคุยเรื่องอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เพราะอาจารย์ปรีดีสมัยนี้ก็คือโดนรถทัวร์ลง จนกระทั่งต้องไปอยู่จีน 21 ปี แล้วไปอยู่ที่ฝรั่งเศส คุณสุธรรมจะอธิบายเกร็ดประวัติศาสตร์หน่อยไหม เรื่องของการสร้างสันติภาพในภาคใต้ ในบทบาทของอาจารย์ปรีดี

 

สุธรรม แสงประทุม

ตอนนี้รู้สึกดีใจมากที่ได้พบเจอเพื่อนมิตร พอหลังเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลเสร็จ ผมจิตตกไปเยอะ เหนื่อยไม่อยากจะกล่าวอะไรทั้งสิ้น อยู่ในสภาก็กดบัตรโหวตเห็นชอบไม่เห็นชอบสะส่วนใหญ่ เพราะรู้สึกว่าปัจจุบันนี้ไม่มีใครฟังใคร เรื่องที่เรากล่าวก็นำไปสู่การปฏิบัติได้น้อยมาก ที่กล่าวกันอยู่ในสภาทั้งหมดและองค์ประกอบของการจัดตั้งรัฐบาลลักษณะนี้ทำอะไรแทบไม่ได้เลย การร่วมรัฐบาลไม่ใช่การร่วมมือ แค่หยุดต่อสู้กันมิติหนึ่ง แต่ยังคงขัดแข้งขัดขากันอยู่ เพราะรัฐบาลที่บริหารมาสองปีแทบจะทำอะไรไม่ได้เกือบทุกเรื่อง เพราะฉะนั้น ผมกับจาตุรนต์ ฉายแสง คุยกันเป็นสองเท่าว่าทำอย่างไรดี เขามีญัตติให้ตั้งคณะกรรมการวิสามัญเพื่อศึกษาหาแนวทางให้เกิดสันติภาพใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ บอกท่านจาตุรนต์ว่า “เออเราไปทำตรงนี้กันดีกว่า ดูใครไม่ค่อยได้สนใจ” สองผมเองก็เคยมีประสบการณ์ตรงตอนปี 2518 ตอนนั้นเกิดกรณี 5 ศพ สะพานกอตอ คือ ประชาชนถูกฆ่าตาย 5 คน จริง ๆ ควรจะ 6 คน เขากำลังจะผ่านด่านตรวจ ตอนนั้นมีกฎอัยการศึก มีด่านตรวจของทหารอยู่แล้วก็คน 4-5 คน เขาผ่านทางไป เถียงกันพูดจากันไม่รู้เรื่อง ก็ใช้ดาบปลายปืนของทหารแทงคนเหล่านี้ตาย และโยนลงแม่น้ำทิ้งศพ แต่เด็กคนหนึ่งชื่อสือแม บราเซะ เกิดไม่ตาย ก็คลานขึ้นมาบอกชาวบ้าน จนกลายเป็นเรื่องใหญ่และมีการเรียกร้องชุมนุมที่จังหวัดปัตตานี ให้มีการจับกุมคนทำผิดมาลงโทษ

ผมเป็นนักศึกษาตัวเล็ก ๆ ก็เดินทางไปร่วมกับเขา ระหว่างชุมนุมก็มีการระเบิดหลงอีก ก็เลยย้ายไปอยู่มัสยิดกลางปัตตานี ผมก็ไปร่วมชุมนุมกับพี่น้องที่นั่นเป็นเดือนกว่า ระหว่างนั้นเดือนธันวาคม ก็ไปได้พบเห็นประสบการณ์จริงว่า ถ้าเป็นชาวบ้านกับเด็กไม่รอดตาย 5-6 ศพนี้ก็หายไป ประวัติศาสตร์เหล่านี้ถูกลืมถูกฝังอยู่ คนหลายแสนคนมาชุมนุมใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ จึงได้ไปพบเห็นว่า ความทุกข์เหล่านี้ถูกกดทับมายาวนานมาก จนรัฐบาลต้องยอม เพราะตอนแรกเขาไม่ยอมรับรู้ เราก็บอกว่าทำไมหาไม่ได้ เพราะคนที่เข้าเวรยามอยู่เขาต้องบันทึกเพื่อจะเบิกค่าเบี้ยเลี้ยง เหตุเกิดเวลานั้นใครอยู่เวรยาม สุดท้ายก็ยอม หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ระหว่างนั้นรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ก็ยุบสภาพอดีในระหว่างชุมนุม เพราะว่าหนึ่งพร้อมจะนำคนผิดมาลงโทษ สองพร้อมจะโยกย้ายหน่วยทหารที่อยู่ที่นั่น แต่ว่ากองทหารย้ายไม่ได้ เพราะธงชัยเฉลิมพล แต่ว่าท้ายที่สุด ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างนั้น ไม่กี่เดือนก็เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 คนเหล่านั้นก็หายหมด เรื่องราวต่าง ๆ ก็ยังฝังกลบอยู่ ผมไปเห็นประสบการณ์ตรงที่นั่น

ไม่นานหลังจากชุมนุมที่ปี 2519 ผมเป็นเลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยพอดี ก็เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตอนนั้นผมเป็นเลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย คุณวิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็เป็นนักแสดงด้วยคนหนึ่ง เพราะมีการชุมนุมคัดค้านการกลับมาของจอมพลถนอม กิตติขจร มีการสร้างสถานการณ์ใช้ความรุนแรงในวาจา ความคิด และระเบิด ท้ายที่สุดก็มีการฆ่าหมู่เกิดขึ้น

ผมไปพบหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ตอนนั้นเป็นนายกรัฐมนตรีก็ถูกจับที่บ้านนายกเสนีย์ เอาคุณวิโรจน์ไปพบนายกเสนีย์ด้วย เพื่อจะไปบอกว่าการแสดงละครไม่ได้เกี่ยวกับการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการแสดงเพื่อเรียกร้องให้นักศึกษาได้เห็นใจคนที่ต่อสู้อย่างสันติและประสบความรุนแรง แต่ก็ถูกจับที่นั่นและถูกขังอยู่ 2 ปี ระหว่าง 6 ตุลาคม 2519 ไปขึ้นศาลทหาร จนกระทั่งพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ทนไม่ได้ก็นิรโทษกรรม ตอนนั้นอเมริกาเองเขาก็มีส่วนเกื้อกูลต่อสิทธิมนุษยชน Jimmy Carter เข้ามาเป็นประธานาธิบดี แล้วส่งผู้ช่วยรัฐมนตรีเขาคือ Patricia Derian มา observe (สังเกต) เรา และมาเยี่ยมเราถึงคุกบางขวาง วิโรจน์เป็นล่าม เพราะพูดภาษาอังกฤษเป็นอยู่คนเดียว หลังจากนั้นก็เกิดนิรโทษกรรม ระหว่างที่เราติดคุกอยู่ก็มีคนเรียกร้องทั่วโลกให้มีการปล่อยตัวพวกเราเห็นว่า เหตุการณ์เกิดในที่สว่างกลางเมือง คนทั่วโลกรู้ และมีการเรียกร้องจากประเทศฝรั่งเศส โดยอาจารย์ปรีดีเป็นผู้ร่วมลงนามให้ปล่อยตัวพวกเรากับนิรโทษกรรมความรุนแรงเหล่านี้ จนกระทั่งมีการปรองดองครั้งแรกจากนิรโทษกรรม ส่งผลให้เพื่อนฝูงที่หนีเข้าป่าไปใช้กำลังอาวุธต่อสู้กัน บ้านเมืองก็เสียโอกาสมาก เงินของแผ่นดินก็ใช้ในการทำลายกันฆ่ากัน ไม่มีใครมาลงทุน จนรัฐบาลเกรียงศักดิ์ต้องนิรโทษกรรม ซึ่งได้สร้างความปรองดองครั้งใหญ่

พวกผมโดน มาตรา 112 ด้วย คดีแรกก็อ้างมาตรา 112 ที่นักศึกษาแสดงละครและนำไปสู่ข้อหาอื่นอีกเยอะ เวลานั้นก็มีการนิรโทษกรรมออกมา จึงได้พบเห็นได้รู้ประสบการณ์ พอออกมาผมเองก็มีโอกาสดีกว่าคนอื่นที่ได้รับเชิญไปยุโรป เชิญไปพบคุณพ่อของฟูอาดี้ ตอนนั้นเรียนปริญญาเอกอยู่ พี่สุรินทร์ พิศสุวรรณ ศึกษาปริญญาเอกอยู่ Harvard แล้วมาเป็นล่ามให้ผมกับคุณทองใบ ทองเปาด์ ก็ได้รู้จักได้คุยกันแล้วก็ไปยุโรปไปพบอาจารย์ปรีดี เพราะตอนนั้นทางคุณป้าฉลบชลัยย์ พลางกูร ซึ่งเป็นคนที่ดูแลเมตตาพวกเรา แม้ออกจากคุกก็ยังดูแลอยู่ จึงได้พาไปพบท่านอาจารย์ปรีดี

ผมจำได้ว่าประเทศเวียดนามบุกประเทศกัมพูชาพอดี ท่านอาจารย์ปรีดีก็เขียนบทความ War of love war by proxy ท่านปรีดีเขียนมาลงนิตยสารไหนไม่ทราบ เมื่อไปพบท่านให้อ่านบทความเหล่านี้ให้ฟัง แล้วท่านปรีดีจะอธิบายให้เรา รู้สึกตอนนั้นภรรยาผมเขาอยู่มติชน ยังสัมภาษณ์อาจารย์ปรีดีมาตีพิมพ์ในมติชน ก็ได้อาจารย์ปรีดีเป็นผู้มีเมตตามาก เป็นผู้อยากเห็นโลกนี้มีสันติธรรมมาเป็นแนวทางให้คนไม่ใฝ่ความรุนแรง และวางตัวเป็นกลางตามแนวทางที่ท่านได้นั่นไว้ ตรงนั้นก็เป็นประสบการณ์ที่สำคัญของผม

เมื่อผมมาเป็นกรรมาธิการฯ ร่วมกับท่านจาตุรงค์ ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ก็มาพบว่าเราพยายามตัดตอนศึกษาความไม่สงบรากเหง้าต่าง ๆ ใน 20 ปีตั้งแต่ปี 2547 จนปัจจุบัน เพิ่งรู้ว่าอาจารย์ปรีดีมีส่วนสำคัญมาก ในการวางรากฐานเรื่องการปรองดอง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อท่าน ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ได้รื้อฟื้นตำแหน่งจุฬาราชมนตรี โดยตั้งคุณแช่ม พรหมยงค์ และใช้เป็นสะพานเชื่อมรับฟังปัญหาของพี่น้อง 3 จังหวัดชายแดนใต้ แล้วให้ หะยีสุหลงรวบรวมความเห็นของพี่น้อง 3 จังหวัดขึ้นมา

ท่านปรีดีพยายามให้เชื่อมเพื่อรับฟังแนวทางเหล่านั้น แล้วท่านปรีดีเองก็มีประสบการณ์ว่าไม่ให้ไกลไปถึงการแยกดินแดน แต่ให้เกิดความเป็นธรรมให้อยู่ภายใต้อธิปไตยของเราและมีความเป็นธรรมที่อยู่ด้วยกันได้ แต่บังเอิญพอเกิดกรณีสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร เรื่องนี้ก็ละลายไป ทำให้ท่านปรีดีต้องลาออก และในเวลาเดียวกันก็หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ก็ไม่มีสถานะที่แข็งแรงในการแก้ปัญหา แต่ลุงแช่มก็ได้มีส่วนช่วยเจรจากับโต๊ะครู 80 คนที่จะไปเข้าข้างอังกฤษ และนำโต๊ะครูเหล่านี้พบในหลวงรัชกาลที่ 8  แล้วก็สามารถที่จะแก้ไขปัญหาได้ระดับหนึ่ง และผมคิดว่าถ้าหากอาจารย์ปรีดีอยู่แล้วสถานการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลงขนาดนั้น วันนี้สถานการณ์ภาคใต้ก็เปลี่ยน ข้อเรียกร้องของหะยีสุหลง 7 ข้อก็จะถูกนำมา ขณะนั้นกำลังรับฟังกันกำลังเดินเพื่อจะนำไปสู่การแก้ปัญหา แต่หลังจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม ขึ้นมา ก็ปรากฏว่ากลุ่มอนุรักษ์นิยมแบบคลั่งชาติก็เกิดขึ้น และก็นำหะยีสุหลงจับกุมอุ้มหายไปเลย นั่นคือความรุนแรงครั้งใหญ่ที่เป็นมรดกตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้ ต่างวาระต่างรูปแบบ จนเรามาศึกษากันซึ่งผมก็จะอธิบายในรอบต่อไป

 

ผศ. อัครพงษ์ ค่ำคูณ

เราเห็นภาพจากนิยามของความรุนแรงคืออะไร ผู้ซึ่งมีประสบการณ์เกี่ยวกับความรุนแรงแล้ว คิดว่าสันติภาพควรจะต้องมี nexus (เชื่อมต่อ) เพิ่มขึ้นมานอกจากเรื่องการพัฒนา แล้วก็เรื่องของการทำให้พื้นที่นั้นเข้าใจกันมากขึ้น นอกจากมีประชาธิปไตยและการพัฒนาแล้วยังจะต้องมีสันติภาพด้วย

เรามาฟังผ่านมาถึงคุณสุธรรม แสงประทุม อธิบายประสบการณ์ผู้ซึ่งโดนความรุนแรงด้วยตัวของท่านเอง แล้วก็ไปพบอาจารย์ปรีดี แล้วพบว่าสิ่งสำคัญที่จะทำให้สังคมในสังคมประชาธิปไตยมีสันติภาพก็คือ การที่เราต้องยึดมั่นในสันติภาพมีความอดทนอดกลั้นที่จะอธิบายที่จะใช้เหตุผลมากกว่าใช้ความรุนแรงใช่ไหม การเมืองที่มีสันติภาพ Peaceful Politic มีไหม เพื่อจะโยงมาที่คุณสุธรรม เพราะว่าเป็นเจ้าของรถทัวร์ มี Peaceful Politic ไหมในฐานะที่เป็นรัฐบาล รัฐบาลควรจะดำเนินนโยบายอย่างไร ในการที่จะสร้างการเมืองที่สันติระหว่าง พูดกันง่าย ๆ ส้ม แดง เหลือง น้ำเงิน แกงโฮะกันทุกวันนี้ที่ทะเลาะกัน รัฐบาลอันควรจะวางตัวอย่างไรให้ประชาธิปไตยมีสันติภาพเชิญ คุณสุธรรม

 

 

สุธรรม แสงประทุม

ที่จริงผมก็บอกไปว่าตั้งแต่เห็นรูปแบบการร่วมรัฐบาลแล้ว เราคงหวังอะไรยาก เพราะว่าวันนี้ไม่ใช่ร่วมมือกัน แค่หยุดต่อสู้กันอย่างเปิดเผยเท่านั้น แต่ไม่ได้ร่วมกันทำงานอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง เพราะฉะนั้น ปรากฏการณ์ที่เราเห็น DSI ล้ม วุฒิสภา (สว.) ก็ดีอะไรก็ดี การยึดนั่นยึดนี่ การตรวจสอบ

 

ผศ. อัครพงษ์ ค่ำคูณ

ชั้น 14

 

สุธรรม แสงประทุม

ชั้น 14 ก็เป็นส่วนหนึ่ง ผมคิดว่าก็ยังเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถที่จะสร้างความสงบ ที่จะนำไปสู่การสร้างสิ่งดีงามได้ แต่เพื่อความเป็นธรรม เราต้องยอมรับว่า 20 กว่าปีที่ผ่านมา ประเทศไทยถลำลึกในเรื่องการทำลายหลักการประชาธิปไตยมาก ทุกวันนี้นักการเมืองที่มีศักยภาพในการเคลื่อนงานของบ้านเมืองมียากมาก ไม่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่วางไว้ กฎกติการายละเอียดเยอะมาก ซึ่งถูกผูกเท้าอยู่กับที่จะให้เราวิ่งแข่งกับประชาคมโลก ผมว่าลำบาก เหมือนที่พูดกันมาใน 2 ปีของของรัฐสภาไทย ผมว่ามีผลในทางปฏิบัติน้อยมาก

ผมคิดว่าวันนี้การที่เราจัดครบรอบ 125 ปี ชาตกาล ท่านอาจารย์ปรีดี ผู้ซึ่งทำคุณประโยชน์ให้กับบ้านเมืองจำนวนมาก แล้วถอดเอาแนวคิดสิ่งที่ท่านสร้างไว้ สิ่งที่ท่านคาดหวัง เพื่อจะมาสานต่อไปสู่การปฏิบัติก็ถือว่าเป็นแรงบันดาลใจที่กระตุ้นเตือนให้คนรุ่นเราได้คิดและตระหนักมาก เพราะว่าการที่ท่านปรีดีเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองมาให้เป็นประชาธิปไตย ซึ่งประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจจริง แล้วโอกาสที่ท่านปรีดีได้รับมีส่วนตรงไหนก็ตาม ถ้าได้ทำเป็นรูปธรรมอย่างเต็มที่ แม้งานนั้นจะยากลำบากเพียงใด เช่น การตั้งขบวนการเสรีไทย เพราะเป็นงานที่ยากลำบากมาก แต่ท่านปรีดีกลับทำแล้วก็ไปเจรจาต่อรองจนเกิดความเป็นธรรม คำว่า “อิสรภาพ” หรือ “เอกราช” จึงยังคงดำรงอยู่ โดยตอนที่ท่านปรีดีเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ การเจรจาเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขต การเจรจาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ท่านทำไว้มากมายทีเดียว

ผมขอชื่นชมมีอีกคนหนึ่งคืออาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ที่พยายามผลักดันให้ผลงานให้คุณค่าเหล่านี้ของอาจารย์ปรีดีให้ปรากฏหยั่งรากอยู่ในสังคมไทย และยูเนสโก (UNESCO) รองรับคุณงามความดีเหล่านี้ที่ยังอยู่ เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าถ้าอาจารย์ปรีดียังคงมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันนี้ แนวคิดอันนั้นก็ยังทันสมัย ศักดิ์สิทธิ์ และมีผลต่อไปในวันข้างหน้า ตรงนี้ผมอยากให้พวกเราตระหนักเพราะที่พูดกันบนเวทีนี้มันสั้นมาก จะพูด 3 จังหวัดชายแดนใต้ก็พูดได้นิดเดียวมีเรื่องสันติภาพ

ผมเห็นอาจารย์มารค ตามไทมา ท่านเป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องยอมรับว่ารัฐบาลนายกทักษิณ ชินวัตร ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับท่านบ้างเหมือนกันว่า ระหว่างเกิดความรุนแรงตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา ท่านก็ดิ้นรนขวนขวายหาทางออกให้กับบ้านเมืองเยอะ เช่น ตั้ง กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เกิดขึ้นมาอาจารย์มารคก็เป็นส่วนหนึ่ง ท่านอานันท์ ปัญญารชุน เป็นประธานให้เพื่อหาทางออกของบ้านเมืองในการรับฟังความเห็นดูรากเหง้าของปัญหา และหลังจากถูกยึดอำนาจไป รัฐบาลต่อมารัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์ ท่านก็เอาแนวความคิดที่ชุดนี้ศึกษาและตั้งคณะเจรจาอย่างไม่เป็นทางการ โดยมีอาจารย์มาร์คเป็นหัวหน้าคณะ แต่บังเอิญท่านอยู่ได้แค่ปีเดียว การก่อรูปเพื่อรับฟังความเห็นต่างอย่างเป็นระบบที่เรียกว่าการเจรจายังไม่เปิดเผย และหลังจากนั้นรัฐบาลต่อมารัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ก็ได้มีการคุยนอกรอบต่อ มีพลเอกเชษฐา ฐานะจาโร อดีตแม่ทัพภาค 4 ก็ได้คุยอย่างไม่เป็นทางการ รัฐบาลสุรยุทธขึ้นมาก็ทำไป รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ได้สานต่อสิ่งที่รัฐบาลสุรยุทธได้วางไว้ แต่ก็ไม่เป็นทางการเหมือนกัน จนกระทั่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นมา การเจรจาหรือการพูดคุยสันติภาพที่เปิดเผยเป็นรูปแบบที่เกิดขึ้น เพียงแต่ว่าเวลาก็ไม่นานเหมือนกัน มีการยึดอำนาจก็เปลี่ยนไป ณ วันนี้เราต้องยอมรับว่าการพูดคุยเป็นทางออกที่สำคัญทางหนึ่ง เพราะว่าเอาตัดตอนเฉพาะ 20 ปี จริง ๆ มากกว่านั้น ตั้งแต่อุ้มหายหะยีสุหลงมาแล้ว ได้ฝังลึกกดทับความต้องการจริง ๆ ของประชาชนไว้ และก็ปรากฏออกมาเป็นความรุนแรงตลอดเวลาในหลายรูปแบบ พอรัฐบาลยิ่งลักษณ์ขึ้นมา ผมคิดว่าการรัฐบาลยิ่งลักษณ์เอานโยบายเจรจาสันติภาพมาก็เป็นผลมาจากนายกทักษิณ ระหว่างที่ท่านไปตกระกำลำบากอยู่ต่างประเทศ ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ก็อยู่ในหัวใจท่านเหมือนกัน

ท่านก็พยายามเจรจานอกรอบ คุยกับที่ต่าง ๆ เพราะใครก็ตามที่เขาพยายามแปลงตรงนั้นออกมาเป็นการเจรจาสันติภาพ แต่วันนี้ผมคิดว่าสิ่งที่ท่านเจอมาโดยประสบการณ์ชีวิต ทำให้ท่านระมัดระวังมากเหมือนกันว่าอำนาจที่ขึ้นมาเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญแบบนี้ รัฐบาลไม่ได้มีอำนาจจริง ๆ ที่จะเคลื่อนย้ายเคลื่อนไหวประเทศไปข้างหน้าได้ ตอนท่านเข้ามาครั้งแรกรัฐธรรมนูญปี 2540 ต้องยอมรับว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนแข็งแรงเพียงพอ สร้างเสียงส่วนใหญ่ขึ้นมา เสียงยังไม่พอมากท่านก็ไป merge พรรคอื่นมาเพื่อให้เกิดความแข็งแรงพอที่จะเคลื่อนประเทศ แต่ก็สามารถเคลื่อนได้ในลักษณะพื้นฐานเท่านั้น เช่น เรื่องเศรษฐกิจฐานรากอะไรพวกนี้ แต่ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้เป็นปัญหาเดียวที่ท่านทำไม่เคยเจาะลึกลงไปได้ จึงเป็นปัญหาที่คาราคาซังอยู่ พอรัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้ามาสานต่อได้ก็มีการยึดอำนาจ เรื่องก็กลับไป แต่กระบวนการพูดคุยสันติภาพสันติสุขมันก็ไม่ได้จบ ก็ยังเดินต่อแต่ไม่เป็นรูปเป็นร่าง และขาดเป้าหมาย ขาดกระบวนการที่จริงจัง ที่นำไปสู่ความปรองดองได้อย่างแท้จริง เพราะฉะนั้น พอรัฐบาลชุดนี้เกิดขึ้น เราก็คาดหวังว่าเป็นรัฐบาลเดียวกันกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะถ้าต่อภารกิจนี้ได้ อย่างแข็งแรงและจริงจัง โดยมีกรรมการชุดที่จาตุรนต์เป็นอยู่ ท่านกัณวีร์ สืบแสง ก็เป็นด้วย แต่ก็เดินไปจนวันนี้ก็ยังปิดหีบไม่ลงอยู่ ยังปิดการศึกษาไม่จบ และคิดว่าน่าจะกำลังเขียนอยู่ ก็คงจะเสนอทางออกที่ดีได้

เราคิดว่า หนึ่งเมื่อมีการปราบปรามใช้กฎหมายที่แข็งแรง แล้วยังไม่สามารถนำความสงบสุข หรือจบความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ได้ ทำให้งบประมาณและชีวิตผู้คนก็เยอะ เพราะฉะนั้น การเจรจาพูดคุยจึงเป็นทางออกอีกทางหนึ่งซึ่งมีความสำคัญ แต่ในทางออกนี้รัฐบาลจะต้องมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างเอกภาพขึ้นให้ได้ในกระบวนการดำเนินการ ทั้งข้าราชการประจำและทหาร ตรงนี้ผมคิดว่าเป็นคำตอบหนึ่งที่จะต้องสร้างให้ปรากฏ ประเทศอื่นเขาเคยทำสำเร็จในลักษณะใกล้เคียงกัน อย่างอาเจะห์ของประเทศมาเลเซียก็ดี มินดาเนาของประเทศฟิลิปปินส์ก็ดี แต่ว่ารัฐบาลเขามีเจตจำนงค์ เขาแข็งแรงจริง และเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจจริง เขาถึงสามารถผลักดันกว่าจะสำเร็จได้ก็ไม่ใช่ไม่ใช่ไม่ใช้เวลาไม่กี่ปี ตั้งแต่ นีโนย์ อากีโน ขึ้นมาแล้วจนกระทั่งพึ่งลงเอยของมินดาเนาไม่นาน เห็นไหมว่า ของอาเจะห์ก็มาสำเร็จตรงสึนามิ โดยความมุ่งมั่นและมีอำนาจจริงของผู้นำของประธานาธิบดีของเขา จึงสามารถที่จะผลักดันจนเกิดสันติภาพขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้น ประเทศเราต้องยอมรับว่าปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้เป็นปัญหาที่ซับซ้อนซ้อนเงื่อน หมักหมมสั่งสม พูดตรงไหนก็ตรงหมด ถูกหมด และการเจรจาที่เราอยากจะเห็นก็มีการพูดคุยกันมากขึ้น ส่วนการพูดกับใคร หรือคุยกับใคร ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการนี้ รับรู้เรื่องกระบวนการนี้ให้มากที่สุด

ผมคิดว่าตรงนี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะนำเสนอจริง ๆ ผมก็อยากฟังจากอาจารย์มารค ซึ่งได้มากรุณาให้แนวคิดต่อกรรมาธิการฯ เอาประสบการณ์ของอาจารย์มารคก็คล้าย ๆ  อาจารย์ปรีดี ก็คือแปลงปรัชญาแนวคิดสู่การปฏิบัติ และลงไปสัมผัสซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงสามารถขับเคลื่อนผลักดันออกมา ซึ่งตรงนี้ผมคิดว่าต้องช่วยกันอีกมาก นายกทักษิณวันนี้ผมขออีกนิดหนึ่ง ไม่ใช่เพราะเป็นตัวแทนท่านแต่ว่าดูความตั้งใจท่านเท่าที่เรารู้จัก ท่านก็พยายามจะใช้ connection (เครือข่าย) ใช้ประสบการณ์ แฃะใช้บารมีที่มีมาช่วยงานสันติภาพใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ เพราะงั้นการเข้าไปเป็นที่ปรึกษาของท่านประธานอาเซียนอันวาร์ อิบราฮิมก็ดี ผมคิดว่าท่านคงจะตั้งใจจะทำให้ 3 จังหวัดชายแดนใต้ไปสู่สันติให้ได้ แต่ว่ารูปแบบจะเป็นอย่างไร เราไม่รู้ เพราะคงจะไม่ไว้ใจใครเหมือนกันว่าพูดออกไปแล้วเดี๋ยวคนต้านก็จะเยอะจะอะไรตรงนี้ แม้กระทั่งสันติภาพในชายแดนในพม่า

ผมเคยเป็นเลขานุการท่าน ครั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศครั้งแรก ที่ต่างประเทศเราก็ไปเยือนพม่าด้วยกันในสถานะประเทศเพื่อนบ้าน ท่านนายกทักษิณไม่อยากเข้าไปแทรกแซงการเมืองภายในของประเทศใดประเทศหนึ่ง ตอนนั้นรัฐบาลไทยก็มักจะรับนโยบายจากอเมริกามาหนุนชนกลุ่มน้อยเพื่อใช้เป็น buffer state (รัฐกันชน) แต่นายกรัฐมนตรีไม่ต้องการตรงนี้ เขาอยากให้กิจการภายในเป็นแต่ว่าการช่วยเหลือก็ช่วยเหลือภายใต้เวทีที่ชอบธรรมเหมาะสม

ผมก็คิดเช่นเดียวกันว่าในความไม่สันติสุขในพม่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ท่านก็คงอยากจะใช้ช่องทางเข้าไปช่วยเหลือ แต่สถานะบทบาทตามกลไกลในระบอบประชาธิปไตยจึงทำได้แค่ไหนนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง ตรงนี้ผมคิดว่าก็ฝากไว้เพื่อความเป็นธรรมแก่ท่าน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นใน 3 ชายแดนใต้ ผมรู้ว่าไม่ได้เป็นความต้องการของท่าน แต่เมื่อกลไกลปฏิบัติดำเนินไป ท่านก็ไม่รู้จะฉีกตัวเองออกมาอย่างไร แม้กระทั่งกรณีตากใบที่เป็นการปฏิบัติของราชการประจำ เพียงแต่การแสดงออกหรือว่าการไปปฏิบัติเกินเลยกว่าหลักการที่ถูกต้อง เพียงแต่คุณอังคณา นีละไพจิตร บอกถ้าอย่างนั้นก็น่าจะให้พลเอก พิศาล วัฒนวงษ์คีรี เข้ามามอบตัวเสีย แล้วก็ใช้กระบวนการในศาลเพื่อพิสูจน์แหล่งที่มาความของความจริง

ผมก็คิดว่าก็เป็นแนวทางอีกแนวทางหนึ่งที่พวกเราอยากจะเห็นกระบวนการต่าง ๆ เดินไป ซึ่งท่านก็พยายามขอโทษขอโพยแล้วก็ตาม เพราะฉะนั้น การพูดคุยในวันนี้ผมคิดว่าโดยสาระลึกจริง ๆ คงไม่มีอะไรพูดได้ละเอียด แต่ว่าก็แสดงความตั้งใจว่า หนึ่งรัฐบาลนี้ที่เกิดขึ้นมาเนี่ยเกิดขึ้นมาภายใต้กติกาที่ลำบากมาก ถ้าจะให้เดินไปดีก็ต้องแก้รัฐธรรมนูญให้ได้ วันนี้รัฐธรรมนูญก็หมดหนทางที่จะแก้

สองสิ่งจุกจิกทั้งหลายที่เกิดขึ้นที่วางไว้ ถ้าจะตั้งใครสักคนก็ตั้งยาก วันนี้จึงคาราคาซังทั้งหมด ซึ่งตรงนี้ผมนึกถึงสันติภาพที่เป็นรูปธรรมของอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เรียกว่า “สันติประชาธรรม จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” นั่นคือสันติภาพในส่วนบุคคล เพราะว่าตั้งแต่ทรัพยากรมนุษย์คนหนึ่งจะเกิดขึ้นมาในสังคม ควรจะได้รับการรองรับดูแลอย่างไร ตั้งแต่จุติในครรภ์มารดาก็ควรจะได้รับการดูแลอย่างดี คลอดออกมาแม่ควรจะแข็งแรงที่จะคลอดลูก คลอดออกมาแล้วควรจะมีการเลี้ยงดูที่ดี มีโรงเรียนที่ดี จบการศึกษาและควรจะมีงานทำที่ดี ระหว่างทำงานก็ได้รับการดูแลที่ดีจากรัฐ ในเวลาเดียวกัน เกษียณอายุแล้วรัฐก็ต้องดูแล และคนเหล่านี้ก็จบชีวิตลงอย่างสงบ ไม่ต้องห่วงคนรุ่นต่อไปเพราะรัฐที่ในอุดมคติต้องเข้ามารองรับ

ผมคิดว่าอาจารย์ป๋วยกัลยาณมิตรที่ดีของอาจารย์ปรีดีคนหนึ่ง ได้ถอดสันติวิธี สันติธรรม สันติภาพออกมาเป็นสันติประชาธรรม ซึ่งเป็นเป็นรูปแบบหรือเป็นกระบวนการที่เห็นแล้วก็เข้าใจง่าย และเรื่องนี้เมื่อผมลงผู้แทนครั้งแรกปี 2531 ผมก็เอาแนวคิดสันติประชาธรรมว่า เรามองคนที่จะเกิดมาในสังคมนี้อย่างไร ถ้าคนเหล่านี้ได้รับการรองรับทุกขั้นตอนของชีวิตเช่นนี้ สันติภาพก็ย่อมเกิด โดยความสงบสุขก็ต้องเกิดและสันติภาพส่วนบุคคลก็จะนำไปสู่สันติภาพโดยรวม unity (เอกภาพ) ความแข็งแรงก็เกิด

ผมก็ขอฝากสิ่งนี้เพื่อเป็นการรำลึกถึง 125 ปีชาตกาลของท่านปรีดี ซึ่งเป็นรัฐบุรุษอาวุโสที่คิดทำเพื่อสามัญชน เพื่อประชาชนคนรากฐานอย่างแท้จริง

 

 

 

รับชมถ่ายทอดสดฉบับเต็มได้ที่ : https://www.youtube.com/live/Q1HZDjbcsVA?si=JsQXXgQY5dbhwIWg

 

หมายเหตุ :

  • ถอดความและเรียบเรียงใหม่โดยกองบรรณาธิการ

ที่มา : PRIDI Talks #30 “ประชาธิปไตยที่ไร้สันติภาพ : เมื่อความรุนแรงไม่ได้อยู่แค่ในสงคราม” วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.00-16.00 น. ณ หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์