ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
ศิลปะ-วัฒนธรรม

รางวัลภาพยนตร์ไทยยอดเยี่ยม สมัชชานักวิจารณ์กรุงเทพฯ ครั้งที่ 33 ประจำปี 2567 (The 33rd. Bangkok Critics Assembly Award 2024)

8
ตุลาคม
2568

 

หนึ่งในรางวัลที่มอบให้กับภาพยนตร์ไทยที่ ‘ ขลัง ’ เพราะพลังการคัดเลือกผลงานผ่านภาษาภาพยนตร์ที่ได้มาตรฐานสากล และยังคงได้รับการยอมรับมานานต่อเนื่องกว่า 34 ปี คือ ‘ รางวัลภาพยนตร์ไทยยอดเยี่ยม ’ โดย ชมรมวิจารณ์บันเทิง (Bangkok Critics Assembly) ซึ่งประกอบด้วยบุคลากรผู้เป็นคลังความรู้ ทั้งนักข่าว นักวิจารณ์ภาพยนตร์จากนิตยสาร หนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ มีประธานชมรมคือ นคร วีระประวัติ (ปัจจุบันเป็น ประธานสมาพันธ์สื่อมวลชนแห่งประเทศไทย) โล่รางวัลถูกออกแบบเป็นสัญลักษณ์ สามเหลี่ยมรูปทรงปิรามิดอยู่บนแกนกลมสี่ด้านบนฐานสี่เหลี่ยม มีความหมายแทน ‘ ปลายปากกา ’ ของนักวิจารณ์ เป็นรางวัลที่มอบให้แก่ภาพยนตร์และบุคคลากรในวงการอุตสาหกรรมการผลิตภาพยนตร์ไทย ที่มีผลงานดีเด่นที่สุดในสาขาต่าง ๆ ในแต่ละปี จัดให้มีพิธีมอบรางวัลขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2534 เปิดมุมมอง ทัศนะใหม่ ให้โอกาส Art Movie สร้างอีกมิติของการตัดสินงานสู่ตำนานเกียรติยศอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยยุคใหม่

ปีนี้ 2568 ชมรมวิจารณ์บันเทิง ได้ร่วมกับ กระทรวงวัฒนธรรม กรมส่งเสริมวัฒนธรรรม และ THACCA ผู้สนับสนุนหลัก จัดงานประกาศผล ‘ รางวัลภาพยนตร์ไทยยอดเยี่ยม ชมรมวิจารณบันเทิง’ ครั้งที่ 33 ประจำปี 2567 (The 33rd. Bangkok Critics Assembly Award 2024) โดยมีเกณฑ์การคัดเลือกและพิจารณาผลรางวัล ภาพยนตร์ขนาดยาวและขนาดสั้น ใช้กฎเกณฑ์เดียวกันกับปีที่ผ่านมานั่นคือ ภาพยนตร์ขนาดยาวจะต้องเข้าฉายเชิงพาณิชย์ในประเทศไทยในปีนั้น ๆ ส่วนภาพยนตร์ขนาดสั้นต้องมีการจัดฉายไม่ทางใดก็ทางหนึ่งในประเทศไทย และจะต้องมีความยาวไม่เกิน 1 ชั่วโมง โดยกรรมการจะเป็นผู้สรรหาภาพยนตร์เพื่อการพิจารณาเอง โดยผู้สร้างภาพยนตร์ขนาดยาวและขนาดสั้นไม่จำเป็นต้องส่งภาพยนตร์เข้าประกวด เพราะทางชมรมฯ มีคณะกรรมการชมภาพยนตร์ทุกเรื่องตลอดทั้งปี จากนั้นจึงคัดสรรพิจารณาตามขั้นตอน ในภาพรวม ภาพยนตร์จะต้องมีคุณสมบัติสำคัญคือ

  • แนวความคิดสร้างสรรค์
  • มีศิลปะในการนำเสนอ ที่สามารถเล่าเรื่องราวได้อย่างโดดเด่น คู่ควรกับการบันทึกให้เป็น ภาพยนตร์แห่งปี ในฐานะตัวแทนภาพยนตร์ของแต่ละปี ในเชิง ‘คุณภาพ’

โล่รางวัลของปีนี้ถูกออกแบบเป็นสัญลักษณ์ปากกาทั้งแท่งสีดำเรียบหรู ปลายยอดยังคงเป็นปลายปากกาสามเหลี่ยมรูปทรงปิรามิด (อารยธรรม) วางบนแกนกลมสี่ด้านบนฐานสี่เหลี่ยม ตัวแท่งพันด้วยฟิล์มภาพยนตร์ท้นความหมาย แทนปากกาของนักวิจารณ์บนฐานอารยวัฒนธรรมนำศิลปภาพยนตร์

 

 

การประกาศผล รางวัลภาพยนตร์ไทยยอดเยี่ยมชมรมวิจารณ์บันเทิงครั้งที่ 33 ประจำปี 2567 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 ณ โรงแรม Avani Sukhumvit Bangkok หนึ่งในผู้สนับสนุน งานถูกออกแบบใหม่ภายใต้แนวคิดสร้างสรรค์ ‘ ลดการแข่งขัน เพิ่มการเฉลิมฉลอง ’ จึงไม่มีการเสนอรายชื่อเข้าชิงรางวัลสาขาต่าง ๆ แต่เปลี่ยนทางเป็นการยกย่องและเชิดชูเกียรติภาพยนตร์ที่น่าจดจำตลอดปี 2568 ภายใต้ชื่อรางวัล “ ภาพยนตร์ไทยแห่งปี ” ประจำปี 2567  เกษมศักดิ์ วงศ์รัฐปัญญา หรือ เสือเตี้ย สนานจิตต์ บางสพาน ประธานชมรมวิจารณ์บันเทิง (นักวิจารณ์ภาพยนตร์ และนักเขียน มีงานเขียนบทความวิจารณ์ภาพยนตร์และสังคม การเมือง ตีพิมพ์ในนิตยสาร สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์มาตั้งแต่ พ.ศ. 2516 สนานจิตต์ผันตัวมาเป็นผู้เขียนบทและกำกับ จากภาพยนตร์เรื่อง “ ขังแปด ” ในปี พ.ศ. 2545 และกำกับภาพยนตร์เรื่องที่สอง “ ซุ้มมือปืน ” ในปี พ.ศ. 2548) กล่าวถึงการมอบรางวัลในปีนี้ว่า

ในวาระ 38 ปี ของการก่อตั้ง ชมรมวิจารณ์บันเทิง และ 32 ปี ของการจัดงานประกาศรางวัลภาพยนตร์ไทยยอดเยี่ยมชมรมวิจารณ์บันเทิง ภายใต้แก่นแท้จิตวิญญาณตามวัตถุประสงค์ที่ก่อตั้งชมรม เพื่อมุ่งสร้างคุณค่าและเชิดชูบุคลากรทุกคนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย และเป็นกำลังใจให้กับคนทำงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังแบบเข้าถึงอย่างถ่องแท้  ปีนี้ชมรมวิจารณ์บันเทิงได้มีมติให้มีการทดลองปรับเปลี่ยนการมอบรางวัล ด้วยการลดจำนวนรางวัลในสาขาย่อย แต่เพิ่มจำนวนเรื่องที่ได้รับรางวัลในสาขาใหญ่แทน เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการที่เห็นพ้องกันว่า อยากเป็นฝ่ายสนับสนุนภาพยนตร์ สรรเสริญให้คุณค่าในลักษณะเป็นเรื่อง ๆ ซึ่งแต่ละเรื่องย่อมมีบุคลากรและทีมงานร่วมกันรับรางวัลอยู่แล้ว เชื่อมั่นว่าการมอบรางวัลของชมรมวิจารณ์บันเทิงนั้น ครอบคลุมทั้งการสนับสนุนบุคลากรในวงการและภาพยนตร์ไทยในปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนผ่าน “ รางวัลภาพยนตร์ไทยแห่งปี ” รวมถึงสนับสนุนผลงานขนาดสั้นซึ่งถือเป็นแหล่งบ่มเพาะการเล่าเรื่อง และเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของศาสตร์ภาพยนตร์อันเป็นรากฐานสำคัญของวงการอย่าง “ ภาพยนตร์สั้นไทยแห่งปี ” และรางวัลพิเศษสำหรับผู้เคยทำคุณประโยชน์แก่วงการหนังไทยอย่าง “ รางวัลเกียรติคุณแห่งความสำเร็จ ” ด้วย

รางวัลสำหรับภาพยนตร์ จะไม่มีการเสนอชื่อเข้าชิง ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม หรือแยกเป็นสาขาย่อย เช่น ลำดับภาพยอดเยี่ยม ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม เหมือนที่ผ่านมา แต่จะเหลือแค่ 2 ประเภทรางวัล คือ รางวัลภาพยนตร์ไทยแห่งปี จำนวน 5  รางวัล และรางวัลภาพยนตร์สั้นไทยแห่งปี จำนวน 10 รางวัล โดยคัดเลือกและตัดสินจากคณะกรรมการ แล้วประกาศผลก่อนวันงาน นอกจากนั้นยังมี “ รางวัลเกียรติยศจากคณะกรรมการ ” คือ “ Grand Jury Prize ” ที่ได้ประกาศและมอบรางวัลในวันงาน โดยผู้ที่รับรางวัลจะเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับคะแนนสูงสุดจากคณะกรรมการตัดสิน นอกจากนี้ยังคงรางวัลที่มีมาตลอดเป็นประเพณี ได้แก่ “ รางวัลเกียรติคุณแห่งความสำเร็จ ” (Lifetime Achievement Award) เพื่อมอบให้แก่บุคลากรในวงการภาพยนตร์ไทยที่มีผลงานดีเด่นตลอดชีวิตการทำงานอีกด้วย

 

 

รายชื่อ 15 ผลงาน ที่ผ่านการคัดเลือกรอบแรก รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง    
ประเภท “ ภาพยนตร์ไทยแห่งปี ” ประจำปี 2567    
The Bangkok Critics Assembly Award 2024    
Shortlist for ‘Outstanding Thai Features’

• CSI กรณีสวรรคต (CSI: Death of King Ananda)

• คุณชายน์ (The Cliché)

• คนกราบหมา (Dog God)

• เชคสเปียร์ต้องตาย (Shakespeare Must Die)

• แดนสาป (The Cursed Land)

• ตาคลี เจเนซิส (Taklee Genesis)

• ตำรวจแต่ง: กำเนิดผู้พิทักษ์สันติหลุด (Police Modify)

• ฝนเลือด (Blood Rain)

• มอร์ริสัน (Morrison)

• มันดาลา (Rivulet of Universe)

• วัยหนุ่ม 2544 (In Youth We Trust)

• วิมานหนาม (The Paradise of Thorns)

• หลานม่า (How to Make Millions Before Grandma Dies)

• อนงค์ (My Boo)

• อำนาจ ศรัทธา อนาคต (Breaking The Cycle)

 

 

รายชื่อ 30 ผลงาน ที่ผ่านการคัดเลือกรอบแรก รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง    
ประเภท ภาพยนตร์สั้นไทยแห่งปี ประจำปี 2567    
The Bangkok Critics Assembly Award 2024    
Shortlist for ‘Outstanding Thai Short Films’

รายชื่อทั้งหมดเรียงตามลำดับอักษรชื่อเรื่อง

พร้อมรายชื่อผู้กำกับภาพยนตร์และผู้อำนวยการสร้าง

 

All About Winnie Chou-Chou

กิตติวินท์ หาโกสุม

 

Auganic

กฤษฏิ์ คมกริชวรากูล (กำกับ) King Louie Palomo

 

Crayon (กลับบ้าน)

อัครวิทย์ มีนาค (กำกับ) ชลธิชา ทรัพย์ประทุม

 

Dokmai and Papa การผจญภัยของเจ้าหญิง

ก่อเขต จันทร์หม่อน (กำกับ) วิธวินท์ สุวรรณอัตถ์

 

He

วินธัย สวัสดิ์ธนวณิชย์ (กำกับ) พิริยยุตม์ ตั้งจิตเมตต์

 

Imago

หฤษฎ์ ศรีขาว (กำกับ) คมน์ธัช ณ พัทลุง

 

Landscape of Us on Fire

กรภัทร์ จีระดิษฐ์ (กำกับ) วรัตต์ บุรีภักดี

 

Linn Linn Linn (แม่ลินเป็นร่างทรง)

ลลิตา ทวิสกุลรัตน์ (กำกับ) ศรุต เตชะสิริไพบูลย์

 

Mekong: Beyond the River

ฐานิยา ไทรคำ

 

The Night Dara Died

อสมาภรณ์ พิริยะโภคานนท์

 

No Exorcism Film

คมน์ธัช ณ พัทลุง (กำกับ) Danielle Napattaloong, Rare Occupant

 

Series of Actions

ชนสรณ์ ชัยกิตติภรณ์ (กำกับ) บรรณวิฑิต วิลาวรรณ

 

Sometime Somewhere Someone

ธันยวีร์ ทองดีพันธ์ (กำกับ) โชติกา ชูสุวรรณ

 

The Spirit Level

ไทกิ ศักดิ์พิสิษฐ์

 

Tokyo Inn

ปรียาพัชร์ พรหมสิงห์ (กำกับ) สุชาญา ดุลยวิทย์, ณัฐณิชา ชนะประโคน

 

ก่อนสลายกลายเป็นไอ (Faded Memories)

ราชพฤกษ์ ติยะจามร (กำกับ) เอกรัฐ สอนโพธิ์

 

ขอให้เรารักกันโดยสวัสดิภาพ (Our Beloved Journey)

ฐาปณี หลูสุวรรณ (กำกับ) ชลสิทธิ์ อุปนิกขิต, ธรรศพลฐ์ เอี่ยมรานนท์

 

คืนข้ามวัน (Happy New Year)

เชวง ไชยวรรณ (กำกับ) กริ่งกาญจน์ เจริญกุล

 

ชวนอ่านภาพ 6 ตุลา

จุฬญาณนนท์ ศิริผล (กำกับ) ณัฐพรรณ แย้มเขไข

 

ด้วยรักและอาลัย (Dear You)

เหมือนดาว กมลธรรม (กำกับ) กตพร แซ่เอียบ, อชิรญา กงมนต์

 

ที่อื่น (Liquid Concrete)

ธนธรณ์ พันธ์ศรีเพ็ชร (กำกับ) ธนวรรณ สุขสมวุฒิ

 

นางเงือกจำแลง (Mermaid Mimicry)

ชิตพล แพงเวียงจันทร์ (กำกับ) นภัทร ธนะโรจชูเดช, ธารธรรม ฉันทอุไร

 

เปลวไฟเมือง (Urban Flames)

อฏวี โฆษิตปฏิพัทธ์ (กำกับ) อรวี ชัยรุ่งเรือง

 

ผื่นกุหลาบ (Rose Rash)

ธนัตถ์ รุจิตานนท์ (กำกับ) Graphy Animation

 

ผู้หญิงที่ยังอยู่ (Dust Beneath the Sun)

ชัยพล ก่อเกียรติขจร (กำกับ) สุธาสินี ราชทอง

 

ภาพยนตร์สร้างใหม่ ลำดับที่ ๖๑ / กรุงเทพฯ (Reconstruction #61 / Bangkok)

สมาคมคริส มาร์เกอร์ แห่งประเทศไทย

 

ไม่มีน้ำตาสำหรับคนยโส (We Do Not Believe in Tears)

กัลปพฤกษ์ ติยะจามร

 

ร่างกายอยากปะทะ เพราะรักมันปะทุ (The Body Craves Impact as Love Bursts)

วรรจธนภูมิ ลายสุวรรณชัย (กำกับ) กัณหรัตน์ เลี่ยมทอง

 

เล่นน้ำเขื่อนกับเพื่อนของฉัน (Normal Day)

สุทัศน์ พานิช

 

สะ-บั้น-ปลาย (The Last Supper of the Three Wise Men)

จิตรภาณุ กสิฤกษ์ (กำกับ) ศุภัชฌา เครือสุคนธ์

 

 

เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 ชมรมวิจารณบันเทิง Bangkok CriticsAssembly จัดงานประกาศผล รางวัลภาพยนตร์ไทยยอดเยี่ยมครั้งที่ 33 ประจำปี 2567 ณ โรงแรม Avani Sukhumvit Bangkok  รายชื่อภาพยนตร์และผู้ที่ได้รับรางวัลมีดังนี้

รางวัลภาพยนตร์ไทยยอดเยี่ยม ชมรมวิจารณบันเทิงครั้งที่ 33 ประจำปี 2567 มอบรางวัลด้านภาพยนตร์ 2 ประเภท คือ

  • รางวัลภาพยนตรไทยแห่งปี จำนวน 5 รางวัล
  • รางวัลภาพยนตร์สั้นไทยแห่งปี จำนวน 10 รางวัล

 

1. รางวัลภาพยนตร์ไทยแห่งปี ประจำปี 2567 จำนวน 5 รางวัล ได้แก่

  1. ตาคลี เจเนซิส โดย บริษัท เนรมิตรหนัง ฟลม จำกัด
  2. วิมานหนาม โดยบริษัท จีดีเอช หาหาเกา จำกัด รวมกับ ใจ สตูดิโอ
  3. เชคสเปียรต้องตาย โดย มูลนิธิ ซิเนมา โอเอซิส
  4. อํานาจ ศรัทธา อนาคต โดย Common Sense รวมกับ บริษัท ปอป พิคเจอร จำกัด
  5. หลานม่า โดย บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด 

 

 

2 . รางวัลภาพยนตรสั้นไทยแห่งปี ประจำปี 2567

  1. Dokmai and Papa การผจญภัยของเจาหญิง กอเขต จันทร์หมอน (กำกับ) วิธวินท สุวรรณอัตถ์
  2. He วินธัย สวัสดิ์ธนวณิชย์ (กำกับ) พิริยยุตม์ ตั้งจิตเมตต
  3. Imago หฤษฎ ศรีขาว (กำกับ) คมนธัช ณ พัทลุง
  4. Series of Actions ชนสรณ ชัยกิตติภรณ์ (กำกับ) บรรณวิฑิต วิลาวรรณ
  5. The Spirit Level ไทกิ ศักดิ์พิสิษฐ์ (กำกับ)
  6. ชวนอานภาพ 6 ตุลา จุฬญาณนนท์ ศิริผล (กำกับ) ณัฐพรรณ แยมเขไข
  7. ที่อื่น (Liquid Concrete) ธนธรณ พันธศรีเพ็ชร (กำกับ) ธนวรรณ สุขสมวุฒ
  8. เปลวไฟเมือง (Urban Flames) อฏวี โฆษิตปฏิพัทธ์ (กำกับ) อรวี ชัยรุงเรือง
  9. ภาพยนตร์สร้างใหม่ ลำดับที่ ๖๑ / กรุงเทพฯ (Reconstruction #61 / Bangkok) สมาคมคริส มาร์เกอร์ แห่งประเทศไทย
  10. ร่างกายอยากปะทะ เพราะรักมันปะทุ (The Body Craves Impact as Love Bursts) วรรจธนภูมิ ลายสุวรรณชัย (กำกับ) กัณหรัตน เลี่ยมทอง

 

 

3. รางวัล Grand Jury Prize

รางวัลที่ได้รับคะแนนสู่งสุดคือ ‘ รางวัลเกียรติยศจากคณะกรรมการ ’ หรือ “ Grand JuryPrize ” ได้แก่ “ หลานม่า ” (How to Make Millions Before Grandma Dies) โดย บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด

( “ หลานม่า ” ได้รับ 2 รางวัล ได้แก่ รางวัลภาพยนตร์ไทยแห่งปี 2567 และ

Grand Jury Prize โดย Producer จิระ มะลิกุล, วรรณฤดี พงษ์สิทธิศักดิ์ | ผู้กำกับ พัฒน์ บุญนิธิพัฒ์ | นักแสดงนำ พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล, อุษา เสมคำ ฯลฯ)

 

4. รางวัล Grand Jury Prize

รางวัล Grand Jury Prize ภาพยนตร์สั้นไทยแห่งปี ประจำปี 2567 ได้แก่ “ The Spirit Level ” กำกับโดย ไทกิ ศักดิ์พิสิษฐ 

 

5. รางวัลเกียรติคุณแห่งความสำเร็จ

รางวัลเกียรติคุณแห่งความสำเร็จ ผู้ที่คู่ควรกับการมอบคุณค่าเพื่อเชิดบุคคลากรและบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย ทั้งในมิติปัจเจกและในฐานะผู้มีคุณูปการต่อวงการได้แก่ผู้กำกับภาพ คุณปัญญา นิ่มเจริญพงษ์

 

 

นอกจากคัดสรรมอบรางวัลให้กับภาพยนตร์คุณภาพแล้ว การทำงานเพื่อสร้างองค์ความรู้คือบทบาทที่ควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมทุกครั้งของชมรมวิจารณ์บันเทิง ปีนี้ก็เช่นกัน นอกจากจัดงานประกาศผลมอบรางวัลแล้ว ยังเพิ่มความพิเศษด้วยกิจกรรมฉายภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัล “ ภาพยนตร์ไทยแห่งปี ” ประจำปี 2567 ทั้ง 5 เรื่อง ให้ประชาชนชมฟรีระหว่าง วันที่ 13-17 กันยายน 2568 ณ โรงภาพยนตร์ Century The Movie Plaza สาขาสุขุมวิท และหลังฉายภาพยนตร์จบแต่ละรอบมีกิจกรรมเสวนา “ Talk With Director ” กับผู้กำกับและตัวแทนจากทีมผู้สร้างภาพยนตร์ของแต่ละเรื่อง มาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับกระบวนการงานสร้างและประเด็นหัวข้อที่เกี่ยวข้อง โดยมี Concept คือ “ การเปลี่ยนแปลง ” เพื่อเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของ รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ปีนี้ และในอนาคตอันใกล้ที่กำลังจะมาถึง

นอกจากนั้นในบริเวณ lobby ชั้น 4 ก่อนขึ้นโรงภาพยนตร์ชั้น 5 ยังจัดให้มีนิทรรศการ “ หนังไทย 2567 หมายเหตุในการเปลี่ยนแปลง ” ประวัติศาสตร์หน้าสำคัญที่ทุกคนมีส่วนสร้างร่วมกัน ในบอร์ดนิทรรศการที่จัดแสดงทั้ง 5 วัน ถูกออกแบบอย่างสวยงามแน่นไปด้วยสาร สาระ ทัศนะ บทวิเคราะห์ของ ภาพยนตร์ไทยในปี 2567 เสมือนเป็นบทวิจัยสำคัญในตำราวิชาภาพยนตร์ ผ่านภาพรวมของวงการภาพยนตร์ไทยในบริบทปรากฏการณ์ และการเปลี่ยนผ่านทั้งในมิติของงานสร้าง ผลตอบรับจากผู้ชม สังคม และตลาดโลก พร้อมบทสัมภาษณ์ร่วมประกาศเกียรติคุณแก่บุคคลากรคนสำคัญ ปัญญา นิ่มเจริญพงษ์ เป็นจารึกหน้าสำคัญของประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทย ที่มีคุณค่าควรถูกบันทึกไว้เพื่อเผยแพร่ในวงกว้าง เป็นแนวทางการสร้างงาน การศึกษา  หลักฐานสำคัญสำหรับการสืบค้นข้อมูลภาพยนตร์ไทยทั้งในปัจจุบันและอนาคต

 

 

รางวัลเกียรติคุณแห่งความสําเร็จ ประจําปี 2567    
(Lifetime Achievement Award)    
ปัญญา นิ่มเจริญพงษ์

นับแต่ปี 2524 เป็นต้นมา ปัญญา นิ่มเจริญพงษ์ มีผลงานการ ‘ กํากับภาพ ’ ในภาพยนตร์ไทยมากกว่า 70 เรื่อง และในช่วง 6-7 ปีที่ผานมา แม้อายุจะผ่านเลข 70 มาหลายปีแล้ว แต่เขายังคงทํางานในหน้าที่นี้ รวมถึงหน้าที่ ‘ ผู้ควบคุมกล้อง ’ โดยเฉพาะสเตดิแคม (Steadicam อุปกรณ์กันสั่นไหวสำหรับกล้องถ่ายภาพยนตร์ ที่คิดค้นโดย Garrett Brown เปิดตัวในปี 1975 เพื่อช่วยให้ภาพนิ่งและลื่นไหลราวกับไม่มีการเคลื่อนไหวของผู้ควบคุมกล้อง ระบบ Steadicam ทำงานโดยการ แยกการเคลื่อนไหวของผู้ควบคุมกล้องออกจากการเคลื่อนไหวของกล้อง ผ่านชุดอุปกรณ์ที่ติดตั้งเข้ากับตัวผู้ควบคุม ทำให้สามารถถ่ายภาพเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระและนุ่มนวล ราวกับถือกล้องด้วยมือแต่ยังคงความเสถียรเหมือนใช้ขาตั้งกล้อง) เมื่อถูกถามว่าทําไมยังคงทํางานที่ค่อนข้างหนักอยู่ คําตอบก็คือ “ แม้โอกาสทํางานจะน้อยลง แต่เมื่อมีความสามารถทําได้ก็อยากใช้มัน ได้ทํางานได้เงินตามวิชาชีพ ผมไม่คิดจะเลิกหรอก ยังไม่ตายก็ยังไม่หยุด ”

ปัญญา เป็นคนพื้นที่คลองชักพระ ตลิ่งชัน กรุงเทพฯ เกิดเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2489 ด้วยใจรักการถ่ายภาพ เขาเรียนรู้จากตําราด้วยตนเอง และเลือกเรียนวิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพฯ แผนกชางภาพ แม้จะไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวเพราะเห็นว่าสิ่งที่เขาชอบไม่อาจเป็นอาชีพที่มั่นคง และเมื่อต้องเลือกระหว่างเรียนให้จบกับออกมาทํางานที่รัก เขาเลือกอยางหลัง โดยเข้าทํางานเป็นช่างภาพที่นิตยสาร “ โลกดารา ” ก่อนจะถูกชักนําเข้าสู่สายงานภาพยนตร์โดย โชน บุนนาค ผู้กํากับภาพชั้นนํา เริ่มจากการถ่ายภาพนิ่งให้กับภาพยนตร์เรื่อง “ ขุนศึก ” (2519) ของ สักกะ จารุจินดา และช่วยงาน เปี๊ยก โปสเตอร์ อีกหลายเรื่อง จนได้รับความไว้วางใจให้จับกล้องถ่ายภาพยนตร์ ฝึกฝนเรียนรู้จนกระทั่งได้เป็นผู้กำกับภาพเต็มตัวใน “แข่งรถแข่งรัก” (2523) ของ สมเดช สันติประชา ตามด้วย “รักพยาบาท” ของ แจ๊สสยามในปีถัดมา (2524)

ปัญญากล่าวว่า ความรู้ที่ได้รับจาก วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพพานิชยการ โดยเฉพาะโอกาสได้เรียนรู้กับ อาจารย์พูน เกษจํารัส คือพื้นฐานสําคัญทางด้านการจัดองค์ประกอบภาพสําหรับการถ่ายภาพยนตร์ เขาได้เรียนรู้อย่างมากจาก โชน บุนนาค และ พูนสวัสดิ์ ธีมากร สองผูกํากับภาพรุ่นใหญที่เรียนงานถายภาพยนตร์จากญี่ปุน โดยมีโอกาสร่วมงานกับพูนสวัสดิ์ในการถ่ายเรื่อง “ เพชรตัดเพชร ” (2527) ของสักกะ จารุจินดา

 

 

ในช่วงเวลาการทํางานกว่า 40 ปี ปัญญากํากับภาพให้ผู้กํากับชั้นนําหลายท่าน ทั้งรุ่นใหญ่และคลื่นลูกใหม่ อาทิ แจ๊สสยาม (“ รักพยาบาท ”, “ กตัญูประกาศิต ”, “ กัลปงหา ”) / รุจน์ รณภพ (“เมียแตง ”, “ ไฟเสนหา ”, “ พรุงนี้ฉันจะรักคุณ ”, “ หลงไฟ ”) / สักกะ จารุจินดา (“ เพชรตัดเพชร ”, “ แกวกลางดง ”) / เปี๊ยก โปสเตอร์ (“ วัยระเริง ”, “ กลิ่นสีและกาวแป้ง ”, “ บินแหลก ”) / ยุทธนา มุกดาสนิท (“ ผีเสื้อและดอกไม ”, “ หลังคาแดง ”) / ชนะ คราประยูร (“ เหยื่อ ”) / บรรจง โกศัลวัฒน์ (“ นวลฉวี ”) / สมเดช สันติประชา (“ แขงรถแขงรัก ”) / มานพ อุดมเดช (“ หย่าเพราะมีชู้ ”) / พรพจน์ กนิษฐเสน (“ ไม่สิ้นไร้ไฟสวาท ”, “ ปีกมาร ”, “ แรงเทียน ” ฯลฯ) / อังเคิล - อดิเรก วัฏลีลา (“ ซึมนอยหน่อย กะล่อนมากหน่อย ”, “ ปลื้ม ”, “ ฉลุย ”, “ ฉลุยโครงการ 2 ”, “ ดีแตก ”, “ ฉลุยหิน คนไข่สุดขอบโลก ”, “ วาไรตี้ผีฉลุย ”) / ปื๊ด - ธนิตย์ จิตนุกูล (“ ซึมน้อยหน่อย กะล่อนมากหน่อย ”, “ ปลื้ม ”, “ สยึ๋มกึ๋ย ”) / อุดม อุดมโรจน ( “ ปุกปุย ”, “ คู่แท้ 2 โลก ”, “ คนป่วนสายฟ้า ”) / สมจริง ศรีสุภาพ (“ รักแรกอุม ”) / พชร์ อานนท์ (“ สติแตกสุดขั้วโลก ”, “ 18 ฝน คนอันตราย ”, “ หอแต๋วแตก ” ฯลฯ)

ปัญญามีหลักการง่าย ๆ ในการร่วมงานกับผู้กำกับที่มีสไตล์การทำงานแตกต่างกัน “ เรามีอะไรก็ให้เขา เขาอยากได้อะไรให้เขาไปเต็ม ๆ ” และ “ ผู้กำกับที่ได้ร่วมงานกัน สำหรับผมทุกคนดีหมด ผมหาความรู้ได้จากทุกคน ”

เกียรติประวัติจากงานกำกับภาพ ปัญญา ได้รับรางวัลตุ๊กตาทอง 4 ครั้งจากเรื่อง “ กตัญญู ประกาศิต ” (2526), “ เพชรตัดเพชร ” (2527, ร่วมกับ พจน์ พจนา และ อรัญ สวนสโมสร), “ ไม่สิ้นไร้ไฟสวาท ” (2529) และ “ ฉลุย โครงการ 2 ” (2533) ได้รับรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง 2 ครั้งจาก “ ฉลุย โครงการ 2 ” (2533) และ “ คู่แท้ 2 โลก ” (2537) จากการทำงานผ่านช่วงเวลายาวนาน มีผลงานคุณภาพเป็นที่ประจักษ์ เป็นส่วนหนึ่งในการวางรากฐานและสร้างแรงบันดาลใจต่อคนรุ่นหลังในการทำงานภาพยนตร์  โดยเฉพาะด้านการกำกับภาพ  ปัญญา นิ่มเจริญพงษ์ คือบุคลากรผู้มีคุณูปการยิ่งต่อวงการภาพยนตร์ไทย และมีความเหมาะสมทุกประการสำหรับ “ รางวัลเกียรติคุณแห่งความสำเร็จ ” อันเป็นรางวัลสำคัญของชมรมวิจารณ์บันเทิง คณะกรรมการจึงมีมติมอบให้ด้วยความเคารพและชื่นชมยินดียิ่ง

 

 

ผลงานกำกับภาพ (เฉพาะที่รวบรวมได้ระหว่างปี 2523-2567)

2523 - แข่งรถแข่งรัก

2524 - รักพยาบาท (เครดิตร่วมกับ เทวินทร์ สุขศิลา)

2526 - กตัญญูประกาศิต

2527 - วัยระเริง, เพชรตัดเพชร (พูนสวัสดิ์ ธีมากร กำกับการถ่ายภาพ ปัญญา นิ่มเจริญพงษ์, พจน์ พจนา, อรัญ สวนสโมสร ร่วมถ่ายภาพ)

2528 - นวลฉวี, กัลปังหา, ผีเสื้อและดอกไม้, หย่าเพราะมีชู้, ซึมน้อยหน่อย กะล่อนมากหน่อย,แก้วกลางดง

2529 - ลูกสาวเถ้าแก่เฮง, แม่ดอกรักเร่, เมียแต่ง, น้ำเซาะทราย, ชมพู่แก้มแหม่ม, ปลื้ม, ไม่สิ้นไร้ไฟสวาท

2530 - ไฟเสน่หา, เฮงได้ เฮงดี รักนี้, หลังคาแดง, ปีกมาร, พรหมจารีสีดำ (เครดิตร่วมกับ สุทศ เรืองจุ้ย), ดีแตก, เหยื่อ

2531 - กลิ่นสีและกาวแป้ง, ฉลุย, นางกลางไฟ (เครดิตร่วมกับ สุทศ เรืองจุ้ย), แรงเทียน, เพราะว่าฉันรักเธอ, รักแรกอุ้ม

2532 - พรุ่งนี้ฉันจะรักคุณ, ห้าวเล็กๆ

2533 - ฉลุย โครงการ 2, ปุกปุย, หลงไฟ

2534 - สยึ๋มกึ๋ย, โฮ่ง

2535 - สะแด่วแห้ว (เครดิตร่วมกับ สุทัศน์ อินทรานุปกรณ์, สุทศ เรืองจุ้ย)

2537 - คู่แท้ 2 โลก, แบบว่าโลกนี้...มีน้ำเต้าหู้และครูระเบียบ

2538 - สติแตกสุดขั้วโลก, บินแหลก, ฉลุยหิน คนไข่สุดขอบโลก, รักแท้บทที่ 1

2540 - คนป่วนสายฟ้า, 18 ฝนคนอันตราย, อุแว้สวรรค์ มหัศจรรย์ข้ามโลก

2543 - Go-Six โกหก ปลิ้นปล้อน กะล่อน ตอแหล

2545 - ตำนานกระสือ

2546 - ว้ายบึ้ม! เชียร์กระหึ่มโลก, ช้างเพื่อนแก้ว

2547 - ปล้นนะยะ

2548 - เอ๋อเหรอ

2549 - ไฉไล, โกยเถอะโยม

2550 - หอแต๋วแตก, ตั๊ดสู้ฟุต, เหยิน เป๋ เหล่ เซมากูเตะ

2551 - หัวหลุดแฟมิลี่

2552 - หอแต๋วแตกแหกกระเจิง

2553 - กระดึ๊บ, ตายโหง (เฉพาะส่วนกำกับโดย พชร์ อานนท์)

2554 - หอแต๋วแตก แหวกชิมิ (เครดิตร่วมกับ ตนัย นิ่มเจริญพงษ์)

2555 - รักเว้ยเฮ้ย, รัก 555 อย่าทำก๋อย, หอแต๋วแตก แหกมว๊ากมว๊ากกก (เครดิตร่วมกับ อานนท์ จันทร์ประเสริฐ)

2558 - หอแต๋วแตก แหกนะคะ (เครดิตร่วมกับ อานนท์ จันทร์ประเสริฐ)   

2559 - หลวงพี่แจ๊ส 4G (เครดิตร่วมกับ อานนท์ จันทร์ประเสริฐ)

2561 - หลวงพี่แจ๊ส 5G (เครดิตร่วมกับ อานนท์ จันทร์ประเสริฐ)

2562 - สงกรานต์ แสบสะท้านโลกันต์ (เครดิตร่วมกับ อานนท์ จันทร์ประเสริฐ),หลวงตามหาเฮง (เครดิตร่วมกับ อานนท์ จันทร์ประเสริฐ, พนม พรมชาติ)

2563 - พจมาน สว่างคาตา (เครดิตร่วมกับ อานนท์ จันทร์ประเสริฐ)

2564 - หอแต๋วแตก แหกโควิด ปังปุริเย่ (เครดิตร่วมกับ อานนท์ จันทร์ประเสริฐ, พนม พรมชาติ, กริชชัย มงคลทรัพยา)

2567 - หอแต๋วแตก แหกสัปะหยด (เครดิตร่วมกับ พนม พรมชาติ)

 

ผลงานกำกับภาพยนตร์

2530 - ถามหัวใจคุณก็ได้

2532 - ห้าวเล็กๆ

2534 - ม่อก 2 ต้องได้สาม

2540 - อุแว้สวรรค์ มหัศจรรย์ข้ามโลก

 

 

ผู้กำกับร่วมประกาศเกียรติคุณรางวัลแห่งความสำเร็จ ประจำปี 2567

ภาพยนตร์ประกาศเกียรติคุณ ปัญญา นิ่มเจริญพงษ์ โดย ชมรมวิจารณ์บันเทิง[1] 

ธีระวัฒน์ รุจินธรรม กำกับภาพยนตร์ [2] / สนับสนุนโดย RED Snapper

https://youtu.be/NMQ3Guc46e0?si=g47Qq_I9X8q6fpEZ

 

ยุทธนา มุกดาสนิท

“ถ้าคนทำหนังเป็นใจ ตากล้องก็ต้องเป็นตา

ตากับใจสัมพันธ์กัน มันก็ไปกันได้

มันเป็นแบบนั้นใน ผีเสื้อและดอกไม้”

 

รศ. บรรจง โกศัลวัฒน์

ผมเคยทำงานร่วมกับ ปัญญา นิ่มเจริญพงษ์ ในภาพยนตร์เรื่อง “ นวลฉวี ” ประมาณปี 2527 ปัญญาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ภาพยนตร์ดูดี มีคุณค่า สนุก มีความเป็นศิลปะ

ในยุคนั้น เรามุ่งความสนใจไปที่งานถ่ายแบบคัทยาว ความเป็นศิลป์ เนื้อแท้ของงานถ่ายภาพ จากฝีมือที่แม่นยำ ควบคุมจังหวะของการเคลื่อนกล้องตลอดเวลา ช่วยให้ลีลาน่าสนใจ น่าติดตาม จากความละเอียด ทั้งโทนสี แสง เละเงา ที่สมควรกล่าวขานถึง

จึงขอชื่นชมในความสามารถพิเศษในงานถ่ายทำภาพยนตร์ อย่างที่หาผู้มีฝีมือเทียบเคียงได้ยาก

แจ๊สสยาม-กฤษฎ์ บุณประพฤทธิ์

ทุกความสำเร็จเกิดจากความสามารถและความเพียรพยายาม

“ยินดีด้วยนะ”

“ภูมิใจด้วยหวะ”

“ขอให้ผลลัพธ์จากการทุ่มเทรุ่งโรจน์ตลอดไป”

 

สมเดช สันติประชา

ผมกับ ปัญญา นิ่มเจริญพงษ์ เราทั้งคู่ได้พบกันในกองถ่ายภาพยนตร์เรื่อง “ พยัคฆ์ร้ายไทยถีบ” ของ คุณสักกะ จารุจินดา ในตอนนั้นเขาเป็นช่างภาพนิ่ง  ส่วนเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ ต่อมาเราก็ยังได้พบกันอีกในกองถ่ายของพี่ เปี๊ยก โปสเตอร์ หลาย ๆ เรื่อง จากนั้นไม่นานนักปัญญาเขาก็ก้าวขึ้นเป็นผู้ช่วยกล้อง ถ่ายภาพยนตร์ของพี่เปี๊ยกนั่นแหละ ในเวลานั้นมี โชน บุนนาค และ พูนสวัสดิ์ ธีมากร เป็นช่างภาพ  ช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้น  ผมมีโอกาสได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “ แข่งรถแข่งรัก”  ผมก็เลยให้คุณปัญญามาถ่ายภาพยนตร์ครั้งแรกให้กับผม และจากวันนั้นจนถึงวันนี้ปัญญาได้เติบโตในวงการภาพยนตร์  ถ้าคุณหรือใคร ๆ ได้รู้จักและได้ร่วมงานกับเขาคุณจะรู้เลยว่า ผู้ชายคนนี้มีคุณค่าแค่ไหน  ปัญญา ยินดีด้วยครับสำหรับรางวัล “เกียรติคุณแห่งความสำเร็จ”

 

มานพ อุดมเดช

ผมโชคดีที่ได้ทำงานกับ คุณปัญญา นิ่มเจริญพงษ์ ในภาพยนตร์เรื่อง “ หย่าเพราะมีชู้ ” ของบริษัท พูนทรัพย์ โปรดักชั่น  ผมไม่รู้จักคุณปัญญามาก่อนเลย แต่ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือไม่เพียงคุณปัญญาที่ผมไม่รู้จัก แต่แทบทั้งทีมงานที่ผมได้ทำงานร่วม ไม่รู้จักใครเลย คือต่างฝ่ายต่างไม่รู้จักกันมาก่อน แต่การทำงานระหว่างพวกเราเป็นไปด้วยความราบรื่นอย่างน่าแปลกใจ ผมจำวันแรกได้จนถึงวันนี้ ถ่ายวันแรกเมื่อ 40 ปีเต็มปีนี้พอดี ที่โรงเรียนสตรีเศรษฐบุตรบำเพ็ญมีนบุรี เป็นฉากนางเอกในเรื่องซึ่งเป็นครูสอนหนังสือในชั้นเรียน มีปัญหานิดหน่อยเรื่องเสียงรถยนต์วิ่งในถนนรบกวนการบันทึกเสียง แต่ผมบอกไม่เป็นไร เพราะอาจจะไม่ใช้เสียงในซีนนี้ก็ได้ การถ่ายทำใช้เวลาไม่เกินสองชั่วโมงก็สำเร็จเรียบร้อย 

คุณปัญญามืออาชีพสมคำร่ำลือ เพราะกล้อง BL1 ของบริษัท อัศวินภาพยนตร์ มันใหญ่และเทอะทะไม่ใช่เล่น แต่คุณปัญญาคุมอยู่ แต่ทรหดที่สุดก็ตอนถ่ายทำในสตูดิโอของอัศวินที่หนองแขม บอกความเป็นมืออาชีพ เพราะไม่มีเครื่องปรับอากาศ ร้อนเหมือนอยู่ในเตาเผาถ่าน เนื่องจากเป็นหนังบันทึกเสียงและกล้องเจ้ากรรมก็ไม่มี sound blimp อัศวินซื้อแต่กล้องแต่ไม่ซื้อ sound blimp สำหรับเก็บเสียงกล้องเวลามันทำงาน เสียงเข็มกวักรูหนามเตย และเฟืองหมุนฟิล์มข้างในกล้อง มันลอดทะลุกล้องออกมารบกวนการบันทึกเสียง จึงต้องหาผ้าห่มมาห่อกล้อง คุณปัญญาก็ต้องมุดผ้าห่มซุกหัวเข้าไปส่องวิวไฟน์เดอร์ สั่งคัตที ดึงหัวออกมาที เหงื่อนี้โทรมเชียว เป็นอยู่ยังงี้ตลอดสองเดือนกว่าในโรงถ่าย การถ่ายทำที่ว่าอาจจะสบายหน่อยสำหรับคุณปัญญาแกก็ตรงไม่ต้องยืนถ่ายภาพ เพราะแทบไม่เคยใช้ไทรพ็อดเลย เพราะทั้งเรื่อง เราติดตั้งกล้องบน โจนาธานจิ๊ป เครน คุณปัญญาก็ได้นั่งอยู่บนเครน มีคนลากถอยหน้าถอยหลัง หรือสวิงไปซ้ายไปขวา ถ้าอยากเห็นว่าภาพออกมาเป็นยังไงก็ต้องไปหาหนังเรื่อง “ หย่าเพราะมีชู้ ” ดูฝีมือระดับบรมครูของคุณปัญญาแล้วจะอึ้งกับภาพในห้องศาลเกือบสองชั่วโมง คุณปัญญาแกถ่ายยังไง ไม่ทำให้คนดูหาวเรอน่าเบื่อ ตอนประกวดผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาไม่ให้รางวัลถ่ายภาพยอดเยี่ยมแก่คุณปัญญา ผมก็นึกฉุนอยู่เหมือนกัน แต่ที่ดันได้คือรางวัลภาพยนตร์ยอดนิยมอะไรก็ไม่รู้  เกิดมาก็ได้พบได้เห็นหนนั้นหนเดียวแหละ คุณปัญญาแกอุตส่าห์ครีเอตภาพ ทุ่มหยาดเหงื่อแรงกายและวิญญาณเสียเปล่า 

ผมได้ร่วมงานกับ ‘ ช่างภาพชั้นเทพ ’ คุณปัญญาครั้งนั้นแล้ว จากนั้นมาก็ไม่มีโอกาสอีกเลย เพราะบริษัทพูนทรัพย์ฯ ประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง แพแตก ผมก็ตกงาน ทั้ง ๆ ที่เตรียมความฝันไว้เยอะแยะ เมื่อไม่มีนายทุนใจดีให้ทำหนังก็เลยแทบไม่มีโอกาสได้เจอหน้าค่าตากันเลยกับคุณปัญญาตากล้องมืออาชีพชั้นเทพ ที่ผมมีความทรงจำที่ดีงามกับแก ขอแสดงความยินดีกับโอกาสที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติจากชมรมนักวิจารณ์ฯ ครั้งนี้ด้วยครับ คุณปัญญา นิ่มเจริญพงษ์ สำหรับผมแล้ว เขาเป็นช่างถ่ายภาพยนตร์มืออาชีพ ระดับเทพทั้งเลือดเนื้อและวิญญาณ ชนิดไร้ข้อกังขา

 

 

สุทัศน์ อินทรานุปกรณ์

พี่ปัญญาเป็นครูทางด้านภาพของผมอีกหนึ่งท่าน โดยพี่เค้าไม่รู้ตัว สมัยก่อนยังไม่มีการเรียนการสอนด้านภาพยนตร์ จะมีก็แต่ เทคนิคกรุงเทพ ที่สอนเรื่องภาพ การถ่ายภาพ พวกเราต้องอาศัยครูพักลักจำ พี่ปัญญาเป็นหนึ่งในไอดอลของผม หนังที่งานภาพมีคนพูดถึงเยอะส่วนมากเป็นงานของพี่ปัญญาทั้งนั้น ผมได้ดูภาพยนตร์เรื่อง “ นวลฉวี ” ต้องทึ่งกับมุมกล้อง การวางภาพ การเล่าเรื่องด้วยภาพของพี่ปัญญา จนถึงกับพูดกับตัวเองว่า พี่ปัญญาถ่ายเหมือนหนังฝรั่งเลย จากนั้นมาผมก็จะเอาพี่ปัญญาเป็นตัววัดว่า งานภาพของบ้านเรามันมาถึงขั้นนี้แล้วนะอะไรทำนองนั้น เรียกว่าพี่ปัญญาเป็นแบบอย่างให้ผมอยากทำงานภาพออกมาได้ดีอย่างพี่เค้า…พี่ปัญญาเคยบอกกับผมว่า “ งานกำกับภาพของภาพยนตร์ไม่ได้เอาความสวยของภาพอย่างเดียว ต้องเล่าเรื่องได้ด้วย ” …ถึงผมจะไม่เคยได้ร่วมงานกับพี่เค้าเลย ได้แต่ไปถ่ายแทนพี่เค้า ตอนที่พี่เค้าติดถ่ายอีกเรื่อง จนทุกวันนี้เวลาผมดูภาพยนตร์ที่เค้าเอากลับมาฉายในทีวี ถ้าเรื่องไหนงานภาพโดดเด่น ผมก็จะเฝ้าดูชื่อผู้กำกับภาพตอนเอ็นเครดิต แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้….ปัญญา นิ่มเจริญพงษ์ กำกับภาพ ถ่ายภาพ

 

ฐนิสสพงศ์ ศศินมานพ

ผมเห็นพี่ปัญญามาตั้งแต่ผมอายุ 17-18 เห็นพี่เขาถ่ายภาพนิ่ง แกเริ่มถ่ายหนังก่อนผม แต่เราเข้าวงการมาใกล้ ๆ กัน  ผมก็ดูแก ตามงานแกตลอด แต่ตอนหลังตามไม่ทัน เพราะแกถ่ายหนังเยอะมาก

พี่ปัญญาเป็นคนขยัน พร้อมจะพัฒนาไปเรื่อย ๆ ส่วนตัวขอบคุณแกที่ทำงานมาตั้งนานทำประโยชน์ให้วงการ ขอบคุณที่เดินสายนี้มาอย่างโชกโชน ทุ่มเทมาก  ทุ่มเททุกอย่าง สเตดิแคมก็ฝึกเอง  ดำน้ำแกก็เอา  ขึ้นค็อปเตอร์ถ่ายแกก็ขึ้น  เป็นตัวอย่างที่ดี  แกเป็นนักบู๊

 

อังเคิล - อดิเรก วัฎลีลา

พี่ปัญญา นิ่มเจริญพงษ์ เป็นผู้กำกับภาพหรือตากล้องที่ผมเคยร่วมงานด้วยตั้งแต่เริ่มเรียนรู้เรื่องแรกเติบโตมาเรื่อย ๆ และต่อเนื่องมานานกว่า 10 ปี นับว่าเป็นครูคนแรกในวงการทำหนังของผมเลยก็ว่าได้ ถ้าไม่มีพี่ปัญญาเราเติบโตมาไม่ได้เหมือนกัน เป็นคนใจเย็นที่จะประคอง ไม่โกรธไม่โวยวายพร้อมที่จะรับความไม่รู้เรื่องของเรา สัมผัสได้ถึงความต้องการของเรา ถึงเราจะสื่อสารถูกบ้างผิดบ้างแต่ก็รู้ว่าอยากได้อะไรก็จัดให้ แล้วสนุกกับการทำงานมาก ๆ ชอบลองอะไรใหม่ ๆ ไม่ว่าไอเดียหรือช็อตนั้นจะแปลกพิสดารหรือยากลำบากแค่ไหน ถ้าผู้กำกับอยากได้เดี๋ยวพี่ปัญจัดให้ครับ ไม่เคยมีสักครั้งที่พี่ปัญญาจะบ่ายเบี่ยงเกี่ยงงอน หรือบ่นว่า “ ยาก ” หรือ “ ทำไม่ได้ ” ออกจากปากของพี่ปัญญาเลยสักครั้ง การแก้ปัญหาคือเรื่องสนุกของพี่ปัญญาครับ เป็นคนที่ไม่หวงวิชา ให้ความร่วมมือกับน้อง ๆ ทีมงานไม่ว่าจะหน้าเก่าหรือหน้าใหม่ทุกคนเสมอ จะผ่านมานานกี่ปีกี่ยุคสมัย พี่ปัญญาก็ยังบุคลิกเดิม น่ารักและเป็นกันเองกับทีมงานทุกรุ่นทุกคนอย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลงจนถึงทุกวันนี้ พี่ปัญญาคือสุดยอดตากล้องแห่งยุคสมัย เหมาะสมกับรางวัลอันทรงเกียรตินี้มาก ๆ ครับ

 

ปื๊ด - ธนิตย์ จิตนุกูล

2528 เป็นครั้งแรกที่ผู้กำกับหนังคู่ดูโอ้ใหม่ถอดด้าม “ ปื๊ด-อังเคิล ” ผู้ไม่เคยเรียนด้านภาพยนตร์จากสถาบันไดมาก่อน ได้เผชิญหน้ากับผู้กำกับภาพชื่อดัง ปัญญา นิ่มเจริญพงษ์ จินตนาการก่อนเจอคิดว่าแกน่าจะดุดันเอาเรื่อง แต่พอเจอ ได้พูดคุย ก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก เฮ้อออ… เราสองคนงานนี้รอดแน่! บรรยากาศการเริ่มทำงานถึงได้ผ่อนคลายขึ้น

คิวแรกของหนังเรื่องแรก “ ซึมน้อยหน่อยฯ ” อังเคิลรับหน้าที่ดิวงานกับพี่ปัญโดยตรง ส่วนผมทำหน้าที่กับนักแสดง เรื่องมันเริ่มที่เช้าแรกของคิวแรก ผมบิ๊วนักแสดงกับผู้ช่วยเสร็จ ก็เดินเตร่ไปทางกล้อง เห็นพี่ปัญกับอังเคิลคุยกัน ก่อนที่อังเคิลเดินจากไปทางฝ่ายศิลป์ พี่ปัญเดินไปทางทีมไฟ  เราก็เลยโฉบตรงไปทางพี่ปัญ  ก่อนถึงตัวแก เราได้ยินแกบ่น “ ทำไมเช้านี้ไม่มีคุกกี้เนี่ย น่าเสียดาย! ” (Cookie อุปกรณ์จัดแสง )

ด้วยความที่พี่ปัญเป็นคนน่ารักในมุมเรา  เช้าต่อมาเราเลยถือโอกาสเอาคุกกี้ไปบรรณาการ พี่ปัญงง! แต่ก็รับไปด้วยมารยาทที่ดีงาม เราเอ่ยวจีที่ทำเอาพี่ปัญส่งยิ้มในใบหน้า “ เมื่อวานเห็นพี่บ่นไม่มีคุกกี้ ผมเลยยกทั้งกล่องให้พี่เลย คุกกี้ฟาร์มเฮาส์ ” ความจริง ๆ พี่แกหมายถึงที่บังดวงไฟ เพื่อสร้างเงาบนผนังหรือพื้น เพื่อให้เกิด depth ความลึกของภาพ นั่นต่างหาก! ผมก็หน้าแตกสิครับ นี่คือความทรงจำอันมีคุณค่าสำหรับผู้กำกับหน้าใหม่สมัยนั้น มันผ่านมานานมาก แต่ก็ยังแจ่มชัดในความทรงจำที่มีต่อผู้กำกับภาพคนแรกของผมกับอังเคิล  ผมกับพี่ปัญเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้นผ่านเครื่องดื่มยอดฮิตชะโลมใจในหมู่คนทำหนัง  แต่ด้วยวัย วันเวลา ทำให้พี่ปัญไม่ค่อยได้ดื่มสังสรรค์กัน ดั่งโกวเล้งว่าไว้  “ เราไม่ได้ดื่มด่ำกับรสเหล้า  ขึ้นอยู่กับว่าเราได้ร่ำสุรากับใคร ”

สำหรับผมแล้ว ปัญญา นิ่มเจริญพงษ์ ผู้กำกับภาพที่มีผลงานมากมายในวงการหนัง ทั้งเก่ง ทั้งนอบน้อม  ถ่อมตน วางตนไว้เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนทำหนังรุ่นต่อ ๆ มา อย่างควรค่าแก่การยกย่องเป็นอย่างมากคนหนึ่งเลยครับ

 

สุเทพ ตันนิรัตน์

หนังเรื่องแรกของเรา “ รักแท้บทที่ 1 ” เราใหม่มาก ไม่เคยออกกองทำงาน เคยแต่ไปกองพี่ปื๊ดพี่อังเคิลบ้าง เจอพี่ปัญในกอง “ สยึ๋มกึ๋ย ” ก็คุยกันบ้างธรรมดา พอทำงานจริงความที่ไม่มีประสบการณ์ก็ไปวุ่นวายกับทุก ๆ จุด  เรื่องภาพมันเหมือนไม่ได้คุยแลกเปลี่ยน ผู้กำกับภาพเขาเหมือนเป็นคนช่วยเราถ่ายทอด vision ของเรา แต่เราไม่ได้เตรียมอะไรเพื่อช่วยเขาเลย  คิดไปแล้วก็โชคดีนะที่เป็นพี่ปัญ ตอนนั่งตัดต่อนี่รู้เลยเป็นเพราะพี่ปัญที่ช่วยทำให้หลายอย่างมันออกมาได้ ขอบคุณพี่เขา ดีใจที่แกได้รางวัลนี้ สมควรอย่างยิ่งครับ

 

สุรศักดิ์ วงษ์ไทย

ทำงานกับพี่ญาครั้งแรก  เราเล่น “ ซึมน้อยหน่อย กะล่อนมากหน่อย ” ของพี่ปี๊ดพี่อังเคิล  พี่ญาเป็นคนใจดี  ตัวเล็กๆ อ้วนนิดหน่อย กลมๆ เราเลยชอบเรียกแกว่า ‘ แมวน้ำ ’ ตัวกลม ๆ ขับรถมินิ เป็นตากล้องที่ดูน่วม ๆ ไม่รุ่นใหญ่ทั้งที่ตอนนั้นแกรุ่นใหญ่แล้ว  แกเก่ง จำได้รู้สึกจะเป็น “ ซึม 2 ” ใช้ Steadicam แกใส่ถ่าย แต่ว่าจอมันพัง เราต้องวิ่งหนีผี แกก็วิ่งไล่ถ่ายโดยที่ไม่เห็นจอ เสร็จแล้วเราถามแก จะได้มั้ยเนี่ย? ไหวมั้ย? แกบอกได้สิ  ซึ่งพอได้เห็นมันก็ได้อย่างที่แกต้องการจริง ๆ เราว่าพี่ญาเป็นคนแม่นมากเวลาทำงาน

 

พชร์ อานนท์

ร่วมงานกับพี่ญาครั้งแรก  ตอนแกถ่าย “ สะแด่วแห้ว ” เรื่องนั้นพชร์เป็นผู้ช่วย พอได้กำกับหนังเรื่องแรก “ สติแตกสุดขั้วโลก ” ก็ได้พี่ญาช่วยเยอะ  ถือว่าพี่ญาเป็นครูคนแรกในด้านภาพยนตร์ เรียนรู้จากแกเป็นส่วนใหญ่ พชร์ทำหนังไม่มีบท ใช้วิธีคุยกันว่าจะเล่าเรื่องอย่างนี้ ๆ ถ่ายอย่างนี้ ๆ พี่ญาก็ทำได้เข้าขากันตั้งแต่เรื่องแรกเลย หลังจากนั้นก็ทำงานกันมาเรื่อย พี่ญาเป็นคนขยัน และแข็งแรงมาก “ 18 ฝน คนอันตราย ”  ใช้ handheal กับ steadicam แทบจะทั้งเรื่อง แกแบกสบาย  ทุกวันนี้ไม่เคยลืม จำได้เสมอว่าเราทำหนังเป็น ทำหนังสนุกเพราะพี่ ปัญญา นิ่มเจริญพงษ์ สอนให้  รักพี่ญาเสมอครับ

 

 

หนังไทย 2567 หมายเหตุในการเปลี่ยนแปลง

ปี 2567 เป็นปีปรากฏการณ์สำหรับการทำรายได้ของหนังไทย  ด้วยตัวเลขกว่า 2,400 ล้านบาท จากการฉายตามโรงทั่วประเทศ ก้าวกระโดดจากราว 400 ล้านบาท ในปี 2565 และขยับขึ้นพอสมควรจากราว 1,800 ล้านบาท ในปี 2566 ทำให้เป็นครั้งแรกนับแต่มีการรวบรวมบันทึก ที่หนังไทยสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดในประเทศสูงกว่าหนังฮอลลีวู้ด  โดยสัดส่วนตามเปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 54:38

กลุ่มหนังรายได้มากกว่า 100 ล้านบาท ได้แก่

1. “ธี่หยด 2” (815 ล้านบาท)

2. “หลานม่า” (339)

3. “พี่นาค 4” (178)

4. “วิมานหนาม” (150)

5. “อนงค์” (150)

6. “หอแต๋วแตก แหกสัปะหยด” (150)

7. “เทอม 3” (122) 8. “วัยหนุ่ม 2544” (122)

สำหรับตลาดต่างประเทศ 2567 เป็นปีปรากฎการณ์เช่นกัน  “ หลานม่า ” กลายเป็นหนังไทยเรื่องแรกที่ทำเงินในตลาดต่างประเทศได้มากกว่า 2,000 ล้านบาท  และยังมีความสำเร็จของหนังอีกหลายเรื่อง รวมถึงกรณีเหนือความคาดหมาย เช่น “ 404 สุขีนิรันดร์...Run Run ” ที่ทำได้ไม่ดีนักจากการฉายในประเทศ แต่กลับกลายเป็นหนังไทยทำเงินสูงสุดในเวียดนาม ด้วยตัวเลขราว 135 ล้านบาท

ตัวเลขข้างต้น สะท้อนว่าการฉายตามโรงภาพยนตร์ยังคงมีความสำคัญ แม้จะมี streaming เป็นอีกช่องทางที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ หลังสถานการณ์ โควิด-19 เป็นต้นมา จากการรวบรวมของชมรมวิจารณ์บันเทิง ในปี 2567 มีหนังไทยความยาวเกิน 60 นาที ฉายในโรงภาพยนตร์ 59 เรื่อง และฉายในระบบ streaming อีก 8 เรื่อง ประมาณ 1 ใน 3 หรือ 20 เรื่องคือหนังในกลุ่มสยองขวัญ ทั้งสยองขวัญแท้ ๆ และที่ผสมผสานกับแนวตลกและแอ็คชั่น

จากหนังทำเงินได้มากกว่า 100 ล้านบาท  มีถึง 5 เรื่อง ที่อยู่ในกลุ่มสยองขวัญ  “ หอแต๋วแตก แหกสัปะหยด ”, “ พี่นาค 4 ” และ “ เทอม 3 ” ให้ภาพคุ้นเคยของหนังใน Movies Franchise (series) ที่มีคาแร็คเตอร์เฉพาะเป็นกลุ่มคนผจญผี “ ธี่หยด 2 ” ตามติดภาคแรกโดยเติมความเข้มข้นในแอ็คชั่นคนฟาดฟันกับผีอย่างเต็มตัว “ อนงค์ ” อยู่ในทางที่ “ พี่มาก ” เริ่มไว้ เพิ่มความน่ารักในส่วนของผีสาว  ทั้งหมดนี้ดูเหมือนเป็นการสานต่อความสำเร็จมากกว่าริเริ่มสิ่งใหม่ ๆ แต่เมื่อมองลึกลงไป หนังหลายเรื่องในแนวนี้มีการผูกเรื่องเกี่ยวกับขนบ ตำนาน ความเชื่อและเลือกพื้นที่นำเสนอที่น่าสนใจ เช่นการสืบสานศิลปะโนราใน “ เหมรฺย บน บาป สาป แช่ง ” หรือเรื่องของพ่อลูกชาวพุทธที่ย้ายเข้าไปอยู่ในชุมชนมุสลิมใน “ แดนสาป ” ซึ่งผู้กำกับ ภานุ อารี เลือกวิธีนำเสนอให้คนดูได้ละเลียดกับรายละเอียดที่วางไว้ใต้พล็อต

ในการมองเชิงพัฒนาการ “ ธี่หยด 2 ” มีความเป็นหนังแอ็คชั่นที่ควรมีหมายเหตุต่างหาก  หนังแอ็คชั่นร่วมสมัยของไทยได้ผ่านจุดรุ่งเรืองของแนวศิลปะการต่อสู้ Martial Arts ที่ “ องค์บาก ” เป็นหัวหอกตั้งแต่ปี 2546 มานานพอสมควร ในช่วง 7-8 ปี ที่ผ่านมา  หนังในชุด “ ขุนพันธ์ ” ของ ก้องเกียรติ โขมศิริ เป็นหนังแอ็คชั่นที่ประสบความสำเร็จต่อเนื่อง โดยพื้นฐานอยู่บนแอ็คชั่นในลักษณะ combat ที่ปะทะด้วยอาวุธ ผสมผสานกับมนต์ดำ ไสยเวทย์  “ ธี่หยด ” ทั้ง 2 ภาค ของ ทวีวัฒน์ วันทา อาจถือได้ว่าอยู่ในทางใกล้เคียงกัน  เช่นเดียวกับ “ ช.พ. ๑ สมรภูมิคืนชีพ ” ของ ก้องเกียรติ โขมศิริ ที่เล่าเรื่อง “ ยุวชนทหาร 2484 ” ผจญซอมบี้ทหารญี่ปุ่น

หนังแอ็คชั่นอีกเรื่องของ ก้องเกียรติ โขมศิริ ในปี 2567 “ Bangkok Breaking ฝ่านรก เมืองเทวดา ” การช่วยเหลือเด็กสาวที่ถูกลักพาตัวในโลกมืดและอันตรายของกรุงเทพฯ กับ “ The Package พัสดุฝ่าแดนมรณะ ” ของ ฉัตรชัย หงษ์ศิริกุล การส่งพัสดุของไรเดอร์ในยุคที่โลกเต็มไปด้วยคนกลายพันธุ์เป็นซอมบี้  เป็นอีกสองตัวอย่างของหนังแอ็คชั่นในทิศทางปัจจุบัน  ที่ความเข้มข้นอยู่ที่การผูกเรื่องและฉากหลัง รวมถึงการแสดงที่ไม่ได้ยึดนักแสดงที่โดดเด่นในการใช้ศิลปะการต่อสู้เป็นศูนย์กลาง  ทั้งสองเรื่องเผยแพร่ในระบบสตรีมมิ่ง

สำหรับความหลากหลายในเนื้อหา แนวหนังที่จะมองหาได้มากที่สุดยังคงเป็นแนว drama โดยสองเรื่องสำคัญที่เป็นตัวแทนของปีทั้งในด้านการทำเงินและคุณภาพองค์รวมก็คือผลงานจาก GDH  เมื่อมองย้อนหลังรวมเลยไปถึงงานในชื่อ GTH นี่คือบริษัทที่สร้างแบรนด์ขึ้นมาจากหนังสองแนวหลักคือสยองขวัญและดราม่า หรือดราม่าปนตลกอารมณ์ดีที่เรียกกันว่าแนว feel good ครอบครัว และความสัมพันธ์เชิงปัจเจก อาจจะเป็นก้าวที่ชัดเจนที่สุดในทางนี้ของ GDH นับแต่ “ ฉลาดเกมส์โกง ” ในปี 2560

คำอธิบายที่ใช้กับ “ หลานม่า ” และ “ วิมานหนาม ” อาจใช้ได้เช่นกันกับ “ เธอฟอร์แคช สินเชื่อ..รักแลกเงิน ” ของ จีเอ็มเอ็ม ทีวี  งานดัดแปลงจากหนังเกาหลีเรื่อง “ Man in Love ”  เกี่ยวกับความรักระหว่างหนุ่มนักทวงหนี้กับสาวที่ต้องรับภาระที่พ่อสร้างเอาไว้ 

หากมองถึงบริษัทผู้สร้างและจัดจำหน่าย เนรมิตหนัง ฟิล์ม เป็นบริษัทค่อนข้างใหม่ที่มีบทบาทน่าจับตาในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ในปี 2567 หนัง 4 เรื่องของบริษัทมีความแตกต่างจนร่วมให้ภาพความหลากหลายที่น่าสนใจ นับแต่ “ แดนสาป ” หนังสยองขวัญของ ภานุ อารี “ วัยหนุ่ม 2544 ” ก้าวต่อเนื่องในแนวดราม่า-แอ็คชั่น จาก “ 4 Kings อาชีวะยุค 90 ” (2564) , “ 4 Kings 2 ” (2566) โดยผู้กำกับคนเดียวกันคือ พุฒิพงษ์ นาคทอง ที่ขยับโฟกัสจากแก๊งนักเรียนอาชีวะมาสู่แก๊งนักโทษหนุ่มในคุก / “ มอร์ริสัน ” ของ พุทธิพงษ์ อรุณเพ็ง (ผู้กำกับ “ กระเบนราหู ” ปี 2561) งานดราม่าเน้นบรรยากาศเล่าเรื่องทับซ้อนระหว่างปัจจุบันกับอดีตโยงกลับไปยุคสงครามเวียดนาม และที่อาจเรียกว่าเป็นความหลากหลายในหนังเรื่องเดียวก็คือ “ ตาคลี เจเนซิส ” ของ ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล การเดินทางข้ามเวลาที่เป็นทั้ง แอ็คชั่น-ดราม่า/ผจญภัย/ไซไฟ-แฟนตาซี โดยมีการสอดแทรกบริบททางการเมืองเป็นของแถม

ในการมองแบบเดียวกัน มูลนิธิ ซิเนม่า โอเอซิส คือผู้เล่นใหม่ที่โดดเด่นในปี 2567 จากการเผยแพร่หนัง 3 เรื่องของ สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์  ทั้งงานใหม่และงานเก่าที่เคยถูกห้ามฉายอยู่หลายปี ได้แก่ “ CSI: กรณีสวรรคต ” งานบันทึกเชิงสารคดี , “ คนกราบหมา ” ตลกร้ายแนวทดลองว่าด้วยลัทธิและความงมงาย  และ “ เช็คสเปียร์ต้องตาย ” งานดัดแปลง “ Macbeth ” ของ วิลเลี่ยม เช็คสเปียร์ ในแบบหนังซ้อนละครเวทีสะท้อนการช่วงชิงและคลั่งอำนาจของผู้นำ  หนังทั้ง 3 เรื่องถือได้ว่าเป็นหมายเหตุแห่งการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย  ทั้งในระบบการเซ็นเซอร์และการเปิดกว้างขึ้นในระดับหนึ่งของสังคมไทยโดยรวม

ทางฝั่งของสารคดี นอกจาก “ CSI กรณีสวรรคต ” (2567) ยังมีความหลากหลายในงานอย่าง “ รอวัน ” เรื่องของครอบครัวผู้อพยพชาวซูดานลี้ภัยอยู่ในประเทศไทย  “ อำนาจ ศรัทธา อนาคต ” สารคดีติดตามชีวิตของนักการเมืองและ พรรคอนาคตใหม่ ในช่วงก่อนและขณะเลือกตั้ง และ “ 5th Round สังเวียนมวยรอง ” real footage ในและนอกสังเวียนของนักมวย 4 รุ่น สิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับหนังเหล่านี้ รวมไปถึงงานนอกกระแสเชิงทดลองอย่าง “ ฝนเลือด ” และ “ มันดาลา ” คือการเข้าถึงอันเนื่องจากพื้นที่ฉายที่ยังคงจำกัด  แม้ในการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านมาจะมีโรงหนังขนาดเล็กที่เอื้อกับงานลักษณะนี้ เช่น House Cinema, Documentary Club และ Cinema Oasis เกิดขึ้นบ้างแล้วก็ตาม

ในแง่ของปริมาณ หนังตลกยังคงมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับหนังสยองขวัญและสยองขวัญปนตลก โดยมีผลงานที่น่าสนใจอย่าง  “ คุณชายน์ ” งานดัดแปลงละครเวที “ ชายกลาง เดอะมิวสิคัล ” ที่เปลี่ยนเส้นเรื่องจากละครเวทีมาเป็นละครจากทีวีได้อย่างแนบเนียน   “ มานะ แมน ” เรื่องราวขบขันปนความเจ็บปวดของหนุ่มนักผจญอุปสรรคชีวิต  “ ตำรวจแต่ง กำเนิดผู้พิทักษ์สันติหลุด ” หนังตลกในวิถีพื้นบ้านอีสาน เช่นเดียวกับ “ ผู้บ่าวนิกะห์ ” ที่จับเอาวิถีชาวมุสลิมมาบรรจบกัน รวมไปถึงงานอนิเมชั่นเรื่องเดียวของปี “ องครักษ์พิทักษ์เจี๊ยบ ”

โดยสรุป 2567 เป็นปีแห่งความสำเร็จทางรายได้และความหลากหลายในระดับหนึ่งของหนังไทย แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงมีคำถามเกี่ยวกับการเพิ่มพื้นที่เพิ่มโอกาส หรือการที่คนทำหนังรุ่นใหม่เข้าถึงการผลิตได้ง่ายขึ้นจากพัฒนาการของเทคโนโลยี่ แต่โอกาสเผยแพร่หรือโอกาสที่ผู้ชมจะเข้าถึงผลงานไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างเป็นสัดส่วนที่สมควร จากแนวทางของภาครัฐในส่วนการจัดการ Soft Power คำตอบต่อคำถามนี้น่าจะชัดเจนขึ้นในปี 2568

 

 

การจัดงานมอบ รางวัลภาพยนตร์ไทยยอดเยี่ยม ครั้งนี้ถูกออกแบบโดยผู้สนับสนุนหลักคือ กระทรวงวัฒนธรรม กรมส่งเสริมวัฒนธรรรม และ THACCA ภายใต้แนวคิดสร้างสรรค์ ‘ ลดการแข่งขัน เพิ่มการเฉลิมฉลอง ’ จึงต้องคำนึงถึงความบันเทิงเป็นโจทย์หลัก งานเปิด 18.00 น. ดนตรีนักร้องเต็มวงร่วมบรรเลงเพลงยุค 60-70-80-90 ได้อย่างไพเราะทั้งเพลงไทยและสากลตลอดงาน ชั่วโมงแรกผ่านไปในระหว่างแขกทยอยเข้างานและรับประทานอาหารเย็น หลังจากนั้นปล่อยเวทีว่างไว้ให้ได้พักและทักทายชั่วโมงกว่า ในบรรยากาศสบาย ๆ กระจายหลายกลุ่ม

จนเริ่มแจกรางวัลภาพยนตร์สั้น 10 ทีม เมื่อเวลาสองทุ่มกว่า แต่บริเวณด้านหน้าโถงทางเข้านักข่าวยังคงทำงานแข็งขันอย่างรู้คิวอยู่ที่ backdrop สัมภาษณ์ถ่ายรูปผู้ที่มาร่วมงานซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นทีมงาน ผู้สร้าง และหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งรัฐและเอกชน ยกเว้นดาราที่แสดงในทุกเรื่องไม่มีมาปรากฏตัว

ระหว่างเบรคคั่นช่วงวงดนตรีบรรเลงเพลงต่ออีกครึ่งชั่วโมง ก่อนเริ่มมอบรางวัลมีการฉายาวิดีโอ “ The Memoriam ตราไว้ในใจจำ ” รำลึกถึงดารานักร้องผู้ล่วงลับ ก่อนมอบ รางวัลภาพยนตร์ไทยแห่งปี 5 รางวัล ในเวลาสามทุ่มกว่า ตามด้วยการฉายภาพยนตร์พิเศษ “ รางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จ  ปัญญา นิ่มเจริญพงษ์ ” ก่อนประกาศผลรางวัล “ Grand JuryPrize ” ทั้ง 2 ประเภท เสร็จสิ้นพิธีทางการสี่ทุ่มครึ่ง งานเลี้ยงเลิกราสลายตัวตามข้อตกลงของสถานที่ ทิ้งไว้เพียงความภูมิใจ

จุดพิเศษของการประกาศผลรางวัลที่สร้างความแตกต่างจากธรรมเนียมนิยมคือ มีการจัดสร้างภาพยนตร์พิเศษโดยทีมงานมืออาชีพเพื่อมอบให้กับ ปัญญานิ่มเจริญพงษ์ ผู้ที่ได้รับ รางวัลเกียรติคุณแห่งความสำเร็จ  (Lifetime Achievement Award) นอกจากเจตนารมย์เพื่อการประกาศเกียรติคุณความสำเร็จแล้ว ภาพยนตร์เฉพาะกิจเรื่องนี้ยังมีเจตจำนงส่งต่อ ‘ อุดมการณ์ ’ ในการสร้างสรรค์งานผ่านบทสัมภาษณ์ ที่หมายมาดจุดประกาย ถ่ายทอด เพื่อการต่อยอดความฝันจากรุ่นสู่รุ่น ท่ามกลางบรรยากาศรวมญาติวงการภาพยนตร์ไทยทุกรุ่น และได้รับความสนใจจากคนรุ่นใหม่ไม่น้อยเลย โดยเฉพาะนักศึกษาวิชาภาพยนตร์ ศิลปะการแสดง และทีมสร้างสรรค์จากหลายสถาบันที่มาร่วมงาน

งานตัดต่อภาพยนตร์สั้นเวอร์ชันแรกได้ความยาว 22 นาที เวอร์ชันฉายในงาน 8 นาที[3] มี footage ที่สมบูรณ์ในเนื้อหาสามารถตัดต่อความยาวได้ 30 นาที หรือมากกว่า ไม่ต่างจากการถ่ายทำภาพยนตร์ทั่วไป ที่คนทำต้องตัดใจคัดทิ้งไปมากมายเพื่อให้ได้งานตามโจทย์ที่กำหนดไว้ ทีมงานผลิตคำนึงถึงหลายส่วนในภาพรวมของงานอันเป็นโจทย์ปัจจัยในเรื่องเวลา จึงทำให้ภาพยนตร์แห่งเกียรติยศหดลงไปมาก เหมือนไม่ได้ออกแบบงานวางแผนการร่วมกัน น่าเสียดายสาระสำคัญในรายละเอียดของประสบการณ์ทำงานร่วมระหว่างผู้กำกับ กับ ผู้กำกับภาพ ควรได้รับการเผยแพร่ ไม่ใช่เพียงแค่ยกย่องเชิดชู เพราะคุณูปการไม่ใช่เพียงผลงานอันทรงคุณค่าแค่น่าจดจำ แต่คือสิ่งนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ชีวิตอื่นได้อีกด้วย หากเกิดจากความช่วยเหลือร่วมมือของทุกฝ่าย น่าเสียดายเวลาที่หายไปในช่วง dead air หากให้เวลากับภาพยนตร์สั้นนานกว่านี้ อาจได้เวลาหลายนาทีที่มีประโยชน์ต่อเนื้อหาที่หายไป ไม่ต่างจากการทำงานของรัฐเพื่อพัฒนา ที่ต้องหันมา ‘ ออกแบบระบบนิเวศ ’ ร่วมกัน สร้างสรรค์โครงสร้างใหม่ที่ให้ความสำคัญกับ ‘ วิธี ’ มากกว่า ‘ พิธี ’  เพื่อให้คุ้มค่าสมกับที่ทุ่มเวลาเทพลังลงไป เพื่อความปลี่ยนแปลงใหม่จากการวางฐานรากที่มั่นคง สู่เจตจำนงร่วมกัน.

 

 

งานประกาศ “ รางวัลภาพยนตร์ไทยยอดเยี่ยม ” ครั้งที่ 33 ประจำปี 2567 เปิดให้ดาวน์โหลดสูจิบัตร ภายในประกอบด้วยข้อมูลรายชื่อภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัล  ภาพรวมของทุกรางวัลในปีนี้ รวมถึงเนื้อหาบทความจากชมรมวิจารณ์บันเทิง

ดาวน์โหลดได้ที่นี่: https://laughalotdesign.com/33rdBankokcriticsassemblybook/

 

 

ขอบพระคุณภาพและข้อมูลข่าว จาก ชมรมวิจารณ์บันเทิง

 

 


[1] Panya Doc 22 นาที, เสรี พงศ์นิธิ, สืบค้น 18 กันยายน 2568 https://youtu.be/NMQ3Guc46e0?si=g47Qq_I9X8q6fpEZ

[2] ยุติธรรมดับ สันติภาพมืด ‘ตากใบ’ ในใจผู้กำกับหนัง, ไทยรัฐออนไลน์ , สืบค้น 18 กันยายน 2568    https://www.thairath.co.th/news/local/2821897

[3] ประกาศมอบรางวัลภาพยนตร์ไทยยอดเยี่ยม ปี 2568 ชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 33 พ. 17 ก.ย 2568, นักข่าวพลเมือง Citizen Journalist, สืบค้น 20 กันยายน 2568,  https://youtu.be/UH8ghwkM6jw?si=7_PMHoemMdf5bk_C