ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) “เชษฐบุรุษ” นายกรัฐมนตรีไทยคนแรกที่มาจากการเลือกตั้ง

15
พฤศจิกายน
2568

พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) (พ.ศ. 2430 – 2490) นายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ของไทย
ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2476

 

(1)
เมื่อการเมืองไทยปีแรกๆ หลังการอภิวัฒน์ 2475 ยังอยู่ในภาวะ “ตึงจัด!”
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) จึงได้นายกรัฐมนตรีไทยคนแรก แต่ไม่ได้มาจากเลือกตั้ง

 

พระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) (พ.ศ. 2427 – 2491) นายกรัฐมนตรีคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

 

ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย  พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน ลำดับต่อไปจะเรียกสั้นๆ ว่า “พระยาพหลฯ”) อาจเป็นที่รู้จักในฐานะ “หนึ่งในสี่ทหารเสือคณะราษฎร” และหรือ “ผู้นำคณะราษฎร” ในการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475  และในฐานะที่ได้รับยกย่องเป็น “เชษฐบุรุษ” ของระบอบประชาธิปไตย ผู้มีชีวิตสมถะเรียบง่าย ไม่ยึดติดลาภยศตำแหน่ง เมื่อถึงเวลาก็ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งไปไม่ดื้อด้านขัดขวางคนรุ่นใหม่ จนถึงแก่อสัญกรรมไปเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490

ก่อนที่ปลายปีเดียวกันนั้น จะเกิดการรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 รัฐประหารที่มีผลเปลี่ยนรัฐไทยจากที่เคยยึดถืออุดมการณ์ระบอบประชาธิปไตยแบบคณะราษฎรมาสู่ระบอบเผด็จการขุนศึก กลุ่มนายทหารผนึกกำลังกับฝ่ายอนุรักษ์นิยม - กษัตริย์นิยม ปรีดี พนมยงค์ ถูกคุกคามจากฝ่ายรัฐประหารจนต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ กลุ่ม ส.ส. อีสานซึ่งเป็นฝ่ายปรีดีก็ถูกตามล่าล้างทำลายถึงขั้นอุ้มฆ่า-ลอบสังหาร แม้ว่าจอมพล ป. พิบูลสงคราม อดีตผู้นำคณะราษฎรจะได้รับเชิญมาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็เป็นเพียงสัญลักษณ์ไม่ได้มีอำนาจยึดโยงกับอุดมการณ์ระบอบคณะราษฎรเหมือนเช่นเมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 1     

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาประวัติการเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงระยะแรกเริ่มระบอบใหม่หลังการอภิวัฒน์ 2475 ถึงแม้ว่าผู้นำคณะราษฎรจะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก  แต่พระยาพหลฯ ก็ควรต้องนับเป็นนายกรัฐมนตรีไทยคนแรกที่มาจากการเลือกตั้ง คือเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างถูกต้องตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยเป็นคนแรก เพราะได้รับเลือกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดแรกเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2476 โดยที่สภาผู้แทนราษฎรที่โหวตให้พระยาพหลฯ เป็นนายกรัฐมนตรีในครั้งนั้น  ก็เป็น ส.ส. จากผลการเลือกตั้งครั้งแรกหลังอภิวัฒน์  เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 ตามรัฐธรรมนูญสมัยนั้นที่กำหนดให้ ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งมีสิทธิอำนาจโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี

เส้นทางการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งของไทยมิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เช่นเดียวกับการตั้งต้นของระบอบใหม่ที่เรียกกันตามศัพท์สมัยนั้นว่า “ระบอบกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ” (Constitution king) เมื่อแรกเริ่มอภิวัฒน์นั้นยังไม่มีตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งของราษฎร  ที่มาของผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ จึงได้มาจากการเลือกเฟ้นสรรหาโดยที่ประชุมของคณะผู้ก่อการ  สำหรับนายกรัฐมนตรี มีความพีคตรงที่ชื่อแรกที่เสนอกันว่าจะเชิญให้มาเป็นนั้นคือ “พระองค์เจ้าบวรเดช” ผู้ซึ่งก่อกบฏนำกำลังทหารจากหัวเมืองจะมายึดอำนาจเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2476

“พระองค์เจ้าบวรเดช” เป็นชื่อที่ถูกปัดตกไป เพราะหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ได้ออกเสียงคัดค้านอย่างหนักแน่น เพราะเห็นว่าพระองค์เจ้าบวรเดชนิยมระบอบเผด็จการทหารอำนาจนิยม  อีกทั้งยังเป็นเจ้านายในระบอบเก่า ข้อที่ว่าพระองค์เจ้าบวรเดชนิยมระบอบเผด็จการและบริหารอย่างเผด็จการได้รับการยืนยันจากอดีตลูกน้องเก่าในกองทัพที่กลายมาเป็นคณะราษฎร อาทิ พระยาทรงสุรเดช, พระยาฤทธิ์อัคเนย์, พระยาพหลพลพยุหเสนา และพันโทหลวงพิบูลสงคราม (จอมพล ป. พิบูลสงคราม ในเวลาต่อมา)

“พระองค์เจ้าบวรเดช” จึงถูกปัดตกไป ชวดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ทรงเคยคาดหวัง และทำให้ทรงโกรธเคืองหลวงประดิษฐ์มนูธรรมอย่างมาก  และนั่นก็เป็นเหตุปัจจัยหนึ่งเมื่อ “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” หรือ “สมุดปกเหลือง” ถูกกล่าวหาจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมว่าเป็นคอมมิวนิสต์ พระองค์เจ้าบวรเดชก็เห็นเป็นโอกาส นำกำลังทัพจากหัวเมืองบุกเข้ามายังพระนครในนาม “กองทัพสีน้ำเงิน”  โดยอ้างว่า คณะราษฎรเป็นคอมมิวนิสต์จะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ และนั่นก็เป็นจุดจบของพระองค์เจ้าบวรเดชกับพรรคพวก

เมื่อทราบข่าวว่ามีกองทัพจากหัวเมืองนำโดยเจ้านายในระบอบเก่า  ยกมาตั้งอยู่ดอนเมือง  จะมายึดอำนาจ ราษฎรทั้งในพระนครและหัวเมืองต่างออกมาแสดงตัวเป็นฝ่ายสนับสนุนคณะราษฎร คนหนุ่มฉกรรจ์ที่เป็นทหารกองเกินต่างมารายงานตัวเพื่อเข้าเป็นทหารทั้งที่ยังไม่ถึงกำหนดเวลา และเมื่อพระยาทรงสุรเดชปฏิเสธที่จะเป็นผู้บัญชาการสู้ศึกในครั้งนี้  หน้าที่ก็ตกเป็นของนายทหารชั้นลำดับถัดไปคือ “พันโทหลวงพิบูลสงคราม”   

คราวนี้ก็เกิดเป็น “มวยถูกคู่” เพราะพันโทหลวงพิบูลสงครามนั้นเป็นสมาชิกคณะราษฎรสายทหารมาตั้งแต่ชั้นก่อตั้งสมัยยังเรียนอยู่ฝรั่งเศส เกิดเป็นศึกระหว่างเจ้านายเก่ากับอดีตลูกน้องผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรง เข้าทำนอง “ไพร่รบนาย” หรือ “ราษฎรรบเจ้า” ผลปรากฏว่าฝ่ายคณะราษฎรชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด (ไม่แปลกใจเลยว่า “อนุสาวรีย์ปราบกบฏ” แยกวงเวียนบางเขน ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่บรรจุอัฐิผู้เสียชีวิตจากการสู้รบและเป็นอนุสรณ์ของสงครามครั้งนี้  จะเป็นที่เกลียดชังแก่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมยิ่งกว่าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งสร้างในยุคคณะราษฎรเหมือนกัน จนต้องทำให้สูญหายไปในท้ายที่สุด)   

แต่นอกเหนือจาก “พระองค์เจ้าบวรเดช” แล้ว ชื่อลำดับถัดมาที่ถูกเสนอให้ได้รับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก คือ “พระยามโนปกรณ์นิติธาดา” (ก้อน หุตะสิงห์) พีคไปอีกเหมือนกันตรงที่ผู้เสนอชื่อก็คือหลวงประดิษฐ์มนูธรรม  ด้วยเหตุผลว่าพระยามโนฯ เป็นข้าราชการฝ่ายพลเรือน ไม่ใช่เจ้า แต่มีสายสัมพันธ์อันดีกับฝ่ายอนุรักษ์นิยม อยู่ในเกณฑ์ที่จะสร้างความสมานฉันท์ประนีประนอมกันระหว่างฝ่ายคณะราษฎรกับคณะเจ้านายได้ ทว่าการเลือกพระยามโนฯ ผู้อยู่ข้างฝ่าย “เลือดน้ำเงิน” เป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงครั้งหนึ่งของคณะผู้ก่อการอภิวัฒน์ แต่ใครจะคาดคิดว่าพระยามโนฯ จะกระทำตนเป็นเหมือน “หยวนซือไข” ของจีน ที่เมื่อได้อำนาจหลังจากขบวนการเก๊กเหม็งโค่นราชวงศ์ชิงได้สำเร็จแล้ว จะกลับหวนคืนสู่ระบอบเก่า     

แทนที่พระยามโนฯ จะดำเนินการให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อเฟ้นหาผู้แทนราษฎรเข้ามาทำหน้าที่ในสภาตามระบอบประชาธิปไตย  ดังที่ได้มีการตกลงกันไว้กับคณะราษฎร  ปรากฏว่าพระยามโนฯ ก็กลับเป็นบุคคลแรกที่ก่อรัฐประหารล้มล้างระบอบประชาธิปไตย  โดยในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476  พระยามโนฯ ได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาปิดสภา พร้อมงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา และนายทหารฝ่ายคณะราษฎรก็รู้ข่าวมาระยะหนึ่งแล้วว่า  พระยามโนฯ มีแผนจะปลดนายทหารคณะราษฎรออกจากตำแหน่งคุมกำลัง

พระยาพหลฯ จึงได้นำกำลังมายึดอำนาจไปจากรัฐบาลพระยามโนฯ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476  พระยาพหลฯ ในฐานะหัวหน้าก่อการได้เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยแรก  โดยประกาศจะคืนอำนาจแก่ราษฎร  โดยจะจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป  แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือนถัดมา พระองค์เจ้าบวรเดชกับหลวงสิทธิสงครามก็ได้นำกำลังจากหัวเมืองบุกมาพระนคร  การเลือกตั้งจึงต้องเลื่อนออกไป

จนกระทั่งเมื่อฝ่ายกบฏบวรเดชพ่ายแพ้ราบคาบแล้ว  รัฐบาลพระยาพหลฯ จึงได้ประกาศจัดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นในวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 (สมัยนั้นยังเริ่มต้นปีใหม่ในเดือนเมษายน เดือนพฤศจิกายนจึงเป็นช่วงกลางปี) และการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 นี้เอง ถือเป็นการเลือกตั้งระดับชาติครั้งแรกนับแต่มีการอภิวัฒน์ 2475 เป็นต้นมา

การเลือกตั้งครั้งนี้ถือว่าเป็นจุดกำเนิดทำให้ได้เกิดมีมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่เรียกว่า “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” (ส.ส.) หรือที่จะเรียกกันอย่างกว้างๆ ในเวลาต่อมาว่า “นักการเมือง” และก็เป็นการเลือกตั้งที่ส่งผลทำให้เกิดการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีคนแรกจากการเลือกตั้งของราษฎร เมื่อผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งครั้งนั้นได้โหวตเลือกให้พระยาพหลฯ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกเป็นสมัยที่ 2             

 

(2)
10 สิงหาคม 2435 & “วัฒนธรรมการเลือกตั้ง” ก่อน 2475

 

พระยารัตนกุลอดุลยภักดี (จำรัส รัตนกุล) กำนันผู้ใหญ่บ้านคนแรกของไทยที่มาจากการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2435
ที่มา : Siam-Renaissance

 

ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย  การเลือกตั้งครั้งวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 ไม่ใช่การเลือกตั้งครั้งแรก ย้อนกลับไปเมื่อสมัยต้นรัชกาลที่ 5 ก็เคยมีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2435 จึงเกิดประเด็นปัญหาข้อถกเถียงในประวัติศาสตร์ว่า การเลือกตั้งครั้งไหนกันแน่ถือเป็นการเลือกตั้งครั้งแรก  ขึ้นกับว่ามีเกณฑ์อย่างไร ถ้าเป็นการเลือกตั้งระดับชาติเพื่อได้มาซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและนายกรัฐมนตรี  ก็ต้องถือว่าครั้งแรกนั้นคือวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476  แต่ถ้าว่ากันตามลำดับไทม์ไลน์และพฤติกรรมการเลือกตั้ง  ก็ต้องย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2435

แต่การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2435 นั้นเป็นการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น  เพื่อเลือกกำนันและผู้ใหญ่บ้าน ณ แขวงบางปะอิน จ.กรุงเก่า (อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ในปัจจุบัน) เป็นการเลือกตั้งภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปฏิรูปมณฑลเทศาภิบาลสมัยรัชกาลที่ 5  ที่จำต้องมีตัวแทนระดับหมู่บ้านและตำบล เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสอดคล้องกับการปฏิรูป วิธีการและรูปแบบที่ใช้แบบเดียวกับที่ชนชั้นนำได้ไปศึกษาดูงานมาจากประเทศอาณานิคมในสมัยนั้น  ภายใต้ระบอบอาณานิคมที่ปกครองโดยชาติตะวันตกในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เจ้าอาณานิคมจะยอมให้คนพื้นเมืองได้เลือกผู้นำของตนเองในระดับหมู่บ้านและตำบล เพื่อรับคำสั่งและประสานงานร่วมมือกับเจ้าอาณานิคมที่กุมอำนาจอยู่ที่ส่วนกลางอีกต่อหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จหลังจากที่ได้มีการทดลองจัดการเลือกตั้งที่แขวงบางปะอิน จ.กรุงเก่า ได้ขยายผลไปเป็นการจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นขึ้นทั่วประเทศในเวลาต่อมา นั่นหมายถึงว่าราษฎรตามหัวเมืองท้องถิ่นได้มีโอกาสสัมผัสกับรูปแบบวิธีการดำเนินการปกครองที่จะใช้ในระบอบประชาธิปไตยในเวลาต่อมา และนั่นก็คือการที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้สร้าง “หน่ออ่อน” ของระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาในขณะเดียวกันด้วย

ช่วงเวลาจากวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2435 ถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 นั้นเป็นเวลากว่า 41 ปี คือผ่านไปกว่า 1 ชั่วอายุคนแล้วที่ราษฎรได้สัมผัสและรู้จักการเลือกตั้ง แถมยังเป็นการรู้จักและสัมผัสในระดับหมู่บ้านในท้องถิ่นของตนเองอีกด้วย  ในแง่หนึ่งการเลือกตั้งครั้งแรกหลังการอภิวัฒน์ 2475 เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 นั้นไม่ใช่ของใหม่ที่ราษฎรโดยเฉพาะตามหัวเมืองไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย  พวกเขาต่างเคยเลือกตั้งผู้นำท้องถิ่นของตนเองมาแล้วทั้งสิ้นนั่นเอง   

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า “10 สิงหาคม พ.ศ. 2435” จะมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เช่นดังที่กล่าวมานี้ แต่ก็เป็นที่รับรู้กันแต่เพียงว่าเป็นวันที่มีกำนันผู้ใหญ่บ้านคนแรก  กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศให้วันที่ 10 สิงหาคม เป็น “วันกำนันผู้ใหญ่บ้าน” แต่ที่จริงแล้ว “10 สิงหาคม” เป็นสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับวัฒนธรรมการเลือกตั้งในประวัติศาสตร์สังคมไทยด้วย  ถึงจะยังไม่ใช่การเลือกตั้งผู้แทนราษฎรก็ตาม

น่าสังเกตว่าวิธีการอย่างการให้ราษฎรเลือกผู้ใหญ่บ้านขึ้นมา 1 คน จากนั้นให้ผู้บ้านแต่ละหมู่บ้านไปเลือกกำนันสำหรับว่าการตำบลขึ้นอีกต่อหนึ่งนี้  ก็เป็นรูปแบบวิธีการอย่างเดียวกับที่คณะราษฎรใช้ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 คือการใช้ราษฎรแต่ละจังหวัดเลือกผู้แทนของตนเอง จากนั้นให้ผู้แทนมาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่สภาอีกต่อหนึ่ง  และก็เป็นวิธีการที่ใช้กันสืบมาจนปัจจุบัน

สิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือแม้ว่าสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชจะมีการเลือกตั้ง แต่ก็ถูกทำให้เป็นเหมือน “ของเล่น” เพราะอำนาจแท้จริงยังคงขึ้นกับการแต่งตั้งจากผู้มีอำนาจในระบบเก่า อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นที่เกิดขึ้นที่อยุธยานี้ก็ได้ปลูกฝังสำนึกคิดบางอย่างแก่ราษฎร เมื่อถึงคราวต้องมีการเลือกตั้งทั่วไปในช่วงหลังเปลี่ยนระบอบการปกครอง ปรีดี พนมยงค์ และคณะราษฎรก็ไม่ได้เปลืองแรงในการอธิบายว่าการเลือกตั้งคืออะไร ในเมื่อราษฎรก็เคยเลือกกันอยู่ก่อนบ้างแล้วนั่นเอง  ต่างกันตรงที่คราวนี้ไม่ใช่แค่ “ของเล่น” (ของเจ้านายในระบอบเก่า) หากแต่เป็น “ของจริง” ที่จะกำหนดผู้ใช้อำนาจแทนราษฎร ซึ่งโดยหลักการถือเป็นผู้มีอำนาจอธิปไตยสูงสุดในทางการเมืองการปกครอง     

 

(3)
15 พฤศจิกายน 2476 & การเปิดศักราชระบอบใหม่ (อีกครั้ง)
การเลือกตั้งระดับชาติครั้งแรกหลังการอภิวัฒน์ 2475

 

ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งและราษฎรในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกของสยาม พ.ศ. 2476

 

ตามรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 รัฐสภาจะต้องประกอบด้วยสมาชิก 156 คน มาจากการแต่งตั้งโดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว 78 คน และมาจากการเลือกตั้งของประชาชอีกน 78 คน จากนั้นให้ผู้แทนราษฎรทั้ง 78 คน ที่ได้รับเลือกตั้งจากราษฎรมานี้ จะต้องมาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีอีกต่อหนึ่ง แล้วนายกรัฐมนตรีก็จะได้จัดตั้งรัฐบาลในลำดับชั้นต่อไป   

เวลานั้นสยามได้ยกเลิกการปกครองระบอบมณฑลเทศาภิบาลไปแล้ว จึงได้ให้แต่ละจังหวัดมีอำนาจปกครองระดับภูมิภาค  ตอนนั้นมีทั้งสิ้น 70 จังหวัด กำหนดอัตราประชากร 2 แสนคนต่อผู้แทนราษฎร 1 คน จังหวัดที่มีประชากรมากมีผู้แทนได้ 2 คน ได้แก่ เชียงใหม่, ร้อยเอ็ด, มหาสารคาม, นครราชสีมา เป็นต้น จังหวัดที่มีสิทธิมีผู้แทนได้ 3 คน คือ จังหวัดพระนคร (กรุงเทพมหานคร) และจังหวัดอุบลราชธานี

ตามข้อมูลรายงานการสำรวจสำมะโนประชากรในปีนั้น มีผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั่วประเทศทั้งสิ้น 4,278,231 คน มีผู้ออกมาใช้สิทธิทั้งสิ้น 1,773,532 คน คิดเป็นร้อยละ 41.45 ของประชากรทั้งหมด

ปรากฏว่าจังหวัดที่ติดอันดับมีผู้มาใช้สิทธิลงคะแนนเสียงมากที่สุดคือจังหวัดเพชรบุรี คิดเป็นร้อยละ 78.82 จังหวัดที่มีผู้ใช้สิทธิน้อยที่สุดคือ แม่ฮ่องสอน คิดเป็นร้อยละ 17.71 นั่นเพราะแม่ฮ่องสอนเวลานั้นยังเป็นแดนลี้ลับ  ประสบปัญหาการติดต่อคมนาคมกับส่วนกลางมาก

การที่จังหวัดในหัวเมืองอย่างเพชรบุรีติดอันดับมีผู้ออกมาใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งกันมากที่สุด และนอกจากเพชรบุรีก็ปรากฏว่าจังหวัดหัวเมืองอย่างปราจีนบุรี, ชลบุรี, ราชบุรี, พระนครศรีอยุธยา, นครสวรรค์, เชียงใหม่, ลำปาง, นครราชสีมา, ร้อยเอ็ด, มหาสารคาม, ขอนแก่น ล้วนต่างก็มีผู้ออกมาใช้สิทธิมากเป็นประวัติการณ์เช่นกัน ซึ่งก็สะท้อนอิทธิพลจากวัฒนธรรมการเลือกตั้งในท้องถิ่นที่ดำเนินมากว่า 4 ทศวรรษ ก่อนหน้าการอภิวัฒน์ 2475

สมัยนั้นยังไม่มีพรรคการเมืองที่จดทะเบียนเป็นทางการ  มีแต่การรวมกลุ่มทางการเมืองที่เรียกว่า “คณะ” เช่น “คณะราษฎร” ในขณะที่องค์กรจัดตั้งที่มีอายุยาวนานและมีขนาดใหญ่ที่สุดในสังคมไทยสยามเวลานั้นคือ “คณะคอมมิวนิสต์สยาม” ซึ่งได้เคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างลับๆ มาตั้งแต่ก่อน พ.ศ. 2475  ต่อมาได้พัฒนาขยายใหญ่มาเป็น “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย” (พคท.)

การมีพรรคการเมืองยังคงถูกมองในแง่ลบ  แม้แต่ในหมู่คณะราษฎร คณะราษฎรเองก็ไม่ถือว่าตนเองเป็นพรรคการเมือง  เช่นเดียวกับฝ่ายอนุรักษ์นิยม แต่ต่อมาฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็กลับเป็นกลุ่มการเมืองกลุ่มแรกๆ ที่จัดตั้งพรรคการเมืองแบบจดทะเบียนก่อตั้งเป็นทางการคือ “พรรคก้าวหน้า” หัวหน้าก่อตั้งคือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2488 ต่อมาเมื่อมีการก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ขึ้น กลุ่มอนุรักษ์นิยมก็ยุบพรรคก้าวหน้าแล้วไปรวมกับพรรคประชาธิปัตย์เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2489

ดังนั้น การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 ยังเป็นช่วงที่ยังไม่มีกฎหมายกำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะต้องสังกัดพรรคการเมือง และยังนายกรัฐมนตรีก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองหรือสังกัดพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่ง จึงเป็นการเลือกตั้งโดยผู้สมัครจะต้องลงรับสมัครเลือกตั้งในนามบุคคล  ไม่มีผู้ใดสังกัดพรรคการเมือง

ต่อเมื่อได้รับเลือกตั้งเข้าสภาแล้ว  ผู้แทนราษฎรมักจะรวมกลุ่มกันตามภูมิภาค จึงเกิดเป็น กลุ่ม ส.ส. อีสาน ส.ส. ภาคเหนือ ส.ส. ภาคใต้ เป็นต้น  ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งแรกนี้ได้เกิดมนุษย์พันธุ์ใหม่ในการเมืองไทยที่เรียกว่า “นักการเมือง” เป็นผู้มีชื่อเสียงทั้งที่มีชื่อเสียงในวงการต่างๆ อยู่ก่อนแล้ว และมีชื่อเสียงขึ้นมาหลังการเลือกตั้ง อาทิ นายเลียง ไชยกาล, นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์, นายโชติ คุ้มพันธุ์ เป็นต้น     

ถือได้ว่าการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 ได้เปิดศักราชใหม่ให้กับประวัติศาสตร์สังคมการเมืองไทย เป็นแบบอย่างแก่การเลือกตั้งทั่วประเทศในเวลาต่อมาสืบเนื่องจนถึงปัจจุบัน  เพียงแต่ว่าในอดีต ส.ว. ไม่มีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรี เพราะถือว่าไม่ใช่ตัวแทนของประชาชน ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เพราะโดยหลักการของระบอบประชาธิปไตยนายกรัฐมนตรีต้องเป็นตัวแทนจากประชาชน จะโดยการเลือกตั้งโดยตรงหรือการเลือกโดยอ้อมผ่านการโหวตของผู้แทนราษฎรอีกต่อหนึ่งก็ถือว่าเข้าหลักเกณฑ์ทั้งนั้น     

 

(4)
มติของ “สภาผู้แทนราษฎร 16 ธันวาคม 2476”
ที่มาของ “รัฐบาลคณะราษฎร” สมัยแรกเริ่ม

ถึงแม้ว่าเราไม่อาจจะทราบว่า ในใจของเหล่าผู้ทรงเกียรติที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ในหมู่ผู้แทนราษฎรชุดแรกของสยาม (สมัยนั้นยังใช้ชื่อประเทศว่า “ประเทศสยาม” เพิ่งเปลี่ยนมาใช้ “ประเทศไทย” ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม สมัยที่ 1) ที่ได้รับการเลือกตั้งจากราษฎรมาเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 นั้น เป็นอย่างไร ทำไมถึงโหวตให้พระยาพหลฯ เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกจากการเลือกตั้งไปด้วย

เมื่อมองดูสภาพความเป็นไปไปต่างๆ ในยุคสมัยนั้น  ก็พบว่าพระยาพหลฯ เวิร์คและเหมาะสมที่สุดแล้วในตอนนั้น เพราะถึงแม้ว่าภายในคณะราษฎรเองก็มี “ตัวเต็ง” อย่างหลวงประดิษฐ์มนูธรรม พระยาทรงสุรเดช พันโทหลวงพิบูลสงคราม แต่สองในสามคือหลวงประดิษฐ์มนูธรรมกับพันโทหลวงพิบูลสงคราม ต่างก็หลีกทางให้ “พี่ใหญ่” อย่างพระยาพหลฯ เพราะหากเป็นทั้งสองในเวลานั้นก็สุ่มเสี่ยงจะตกเป็นเป้าโจมตีแก่ฝ่ายคณะเจ้านาย

หลวงประดิษฐ์ฯ เพิ่งจะถูกหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ จนต้องลี้ภัยไปต่างแดนก่อนกลับเข้ามาอีกหลังพระยาพหลฯ ยึดอำนาจพระยามโนฯ และแม้จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนว่าหลวงประดิษฐ์ฯ มีแนวคิดเป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่ ผลออกมาว่า ไม่ ไปแล้วก็ตาม แต่ยังอาจถูกใช้เป็นประเด็นโจมตีจากฝ่ายคณะเจ้านายได้อีก เพราะเป็นการตั้งคณะกรรมการสอบสวนจากพวกเดียวกัน   

ในขณะที่หลวงพิบูลสงคราม ถึงแม้ไม่มีชนักปักหลังเหมือนหลวงประดิษฐ์ฯ แต่เนื่องจากเป็นผู้บัญชาการในศึกปราบกบฏบวรเดชที่ทำให้ฝ่ายคณะราษฎรชนะฝ่ายคณะเจ้านายในสมรภูมิที่รบกันอย่างเปิดเผย  ก็อาจทำให้ตกเป็นเป้าของฝ่ายตรงข้ามได้เช่นกัน  เพราะได้ก่อศัตรูอย่างลับๆ จากฝ่ายตรงข้ามที่ยังคงมีความรู้สึกเจ็บแค้นจากสงครามปราบกบฏ  หลวงพิบูลสงครามจึงหลบไปอยู่หลังฉากอย่างเงียบๆ รอจังหวะเข้ามามีบทบาทหน้าฉากในภายหน้า ซึ่งเป็นการวางบทบาทตัวเองได้อย่างเหมาะสม คาดว่าเป็นเพราะได้รับคำชี้แนะที่ดีและเหมาะสมจาก “หลังบ้าน” อย่างท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ภริยา

ก็เหลือตัวเลือกอยู่เพียงพระยาทรงสุรเดชกับพระยาพหลฯ พระยาทรงสุรเดชแสดงตัวแสวงหาอำนาจและมีท่าทีแข็งกร้าวเป็นปฏิปักษ์ต่อฝ่ายหลวงประดิษฐ์ฯ จนเกิดเป็นความแตกแยกกันระหว่างคณะราษฎรสายทหารบกกับสายพลเรือนและสายทหารเรือ  อีกทั้งการไม่ยอมรับหน้าที่ผู้บัญชาการปราบปรามกบฏบวรเดช ยังทำให้เกิดประเด็นข้อพิจารณาถึงจุดยืนและท่าทีของพระยาทรงสุรเดชเมื่อต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายอดีตเจ้านายในระบอบเก่า

ณ โมเมนต์นั้นผู้แทนราษฎรที่มาจากการจัดการเลือกตั้งทั่วไปของคณะราษฎร ย่อมเป็นผู้ที่มีความกระตือรือร้นต่อระบอบใหม่  ไม่ต้องการจะประนีประนอมกับระบอบเดิม จึงไม่ไว้ใจนายทหารที่มีท่าทีแข็งกร้าวอย่างพระยาทรงสุรเดช ผู้ซึ่งเป็นที่รับรู้กัน ณ ขณะนั้นว่าปฏิเสธเป็นผู้บัญชาการปราบปรามกบฏบวรเดช   

แต่ขณะเดียวกัน พระยาพหลฯ กลับมีคุณสมบัติที่ตรงกันข้ามกับพระยาทรงสุรเดชหลายประการ  ด้วยมีภาพลักษณ์เป็นนายทหารใสซื่อมือสะอาด  ไม่แสวงหาอำนาจลาภยศ ใช้ชีวิตอย่างสมถะเรียบง่าย และเป็นผู้นำที่เปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นของผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่เหมือนพระยาทรงสุรเดชกับพระองค์เจ้าบวรเดช  ที่มีบุคลิกค่อนไปทางเผด็จการอำนาจนิยมแบบทหารๆ มีท่าทีนิ่มนวล แต่ก็มั่นคงในหลักการ แถมยังเป็นทายาทของขุนทวยหาญรักษา (กิ่ม) ผู้อาจหาญเคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับเจ้านายในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชมาก่อน

เมื่อพิจารณาว่าภายในคณะราษฎรเวลานั้นได้เกิดรอยร้าวฉานขึ้นมาแล้วระหว่างสายทหารนำโดยพระยาทรงสุรเดช ฝ่ายหนึ่ง กับ สายพลเรือน นำโดยหลวงประดิษฐ์ฯ ซึ่งที่จริงฝ่ายนี้ไม่ได้อ่อนแอกว่าฝ่ายพระยาทรงสุรเดช  เพราะคณะราษฎรสายทหารเรือที่นำโดยหลวงศุภชลาศัย (บุง ศุภชลาศัย) หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ (ถวัลย์ ธารีสวัสดิ์) หลวงสินธุสงครามชัย (สินธุ์ กมลนาวิน) ต่างก็อยู่ข้างฝ่ายหลวงประดิษฐ์ฯ แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็นับถือพระยาพหลฯ เป็นพี่ใหญ่ ดังนั้นพระยาพหลฯ จึงอยู่ในฐานะที่จะประสานรอยร้าวภายในของคณะราษฎรได้ดีกว่าผู้อื่น   

นอกจากนี้ต้องไม่ลืมด้วยว่า  การเลือกตั้งครั้งวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ.2476 นั้นยังมีมิติเป็นการเลือกตั้งที่เกิดหลังการปราบกบฏวรเดช  เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ.2476 เมื่อนำกำลังเข้ามายึดทุ่งบางเขนและดอนเมืองได้แล้ว ฝ่ายพระองค์เจ้าบวรเดชได้ประกาศโจมตีคณะราษฎรไว้หลายอย่าง  และที่สำคัญได้ยื่นเงื่อนไขแก่รัฐบาลว่า  “ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญโดยแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การตั้งและถอดถอนคณะรัฐบาลต้องเป็นไปตามเสียงของหมู่มาก”

ดังนั้นหลังปราบกบฏบวรเดชลงได้แล้ว นอกจากคณะราษฎรจะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป เพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามใช้เป็นประเด็นมาโจมตีได้อีกแล้ว  สำหรับฝ่ายคณะราษฎรและเหล่าผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ ซึ่งบัดนั้นได้รับเลือกตั้งจากประชาชนเข้าสู่สภาเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น จำเป็นจะต้องได้ผู้นำที่เป็นหลักประกันว่าจะเป็นผู้นำที่รักษาไว้ซึ่งการเมืองการปกครองระบอบใหม่ ไม่ประนีประนอมกับฝ่ายคณะเจ้านายหรือมีแนวคิดจะถวายคืนพระราชอำนาจเหมือนอย่างพระยามโนฯ กับพระองค์เจ้าบวรเดช

จากเงื่อนไขดังกล่าวข้างต้น  ทั้งการเป็นผู้นำที่ภาพลักษณ์ดี  มาพร้อมคติพจน์ที่ว่า “ชาติเสือไว้ลาย ชาติชายต้องไว้ชื่อ” เป็นผู้สามารถจะเป็นผู้ประสานรอยร้าวระหว่างคณะราษฎรสายทหารบกกับสายพลเรือนและทหารเรือ อีกทั้งยังเป็นผู้ที่เชื่อมั่นได้ว่าจะไม่ประนีประนอมกับฝ่ายคณะเจ้านาย  ในเวลานั้นไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าพระยาพหลฯ ด้วยเหตุดังนั้นพระยาพหลฯ ก็เลยกลายเป็นนายกรัฐมนตรีไทยที่ได้รับการโหวตจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดแรก ให้เป็นนายกรัฐมนตรี  ซึ่งก็ทำให้พระยาพหลฯ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีของไทยคนแรกที่มาจากการเลือกตั้งไปตามข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญไปด้วย

และนั่นก็เป็นการเปิดศักราชใหม่นำมาสู่การมี “รัฐบาลคณะราษฎร” ที่ดำเนินการปกครองตามระบอบกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญเป็นสมัยแรก กรุยทางต่อมาสู่ยุครุ่งเรืองของผู้นำจากคณะราษฎรในสมัยต่อมาอย่างรัฐบาลภายใต้การนำของจอมพล ป. พิบูลสงคราม สมัยที่ 1 (พ.ศ.2481-2487)

 

(5)
“ชาติเสือไว้ลาย ชาติชายไว้ชื่อ”
อนุสรณ์พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) & นายกรัฐมนตรีผู้ไม่เป็นที่จดจำในฐานะนายกรัฐมนตรีคนแรกที่จากการเลือกตั้งของไทย

เมื่อสถานการณ์ความจำเป็นที่ต้องประสานรอยร้าวระหว่างคณะราษฎรด้วยกัน  และการไม่ประนีประนอมกับฝ่ายคณะเจ้านาย  ได้คลี่คลายไปแล้ว  การเมืองไทยในช่วงเริ่มทศวรรษ 2480 อำนาจของคณะราษฎรและระบอบใหม่ค่อนข้างมีเสถียรภาพมากขึ้นกว่าช่วง 5 ปีแรกหลังการอภิวัฒน์  จึงไม่จำเป็นต้องมี “พี่ใหญ่” (เชษฐบุรุษ) ที่จะช่วยถ่วงดุลย์และประคับประคองอีกต่อไป  พระยาพหลฯ ก็ยอมถอยฉากให้แก่รุ่นน้องที่มีความเหมาะสมกว่าอย่างหลวงพิบูลสงคราม จากนั้นไปบวชจำพรรษาอยู่วัดมหาธาตุบางเขน

เมื่อพระยาพหลฯ เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 ปรากฏว่าครอบครัวไม่มีเงินจัดฌาปนกิจศพ รัฐบาลจึงรับหน้าที่เป็นผู้จัดงานให้ ซึ่งเป็นสิ่งสะท้อนว่าในระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  พระยาพหลฯ นอกจากไม่ได้สะสมอำนาจบารมีส่วนตัวแล้ว ยังไม่ได้สะสมความมั่งคั่งร่ำรวยเหมือนอย่างนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่เป็นนายกจากการรัฐประหารในช่วงหลังมานี้   

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ได้มีการรื้อทำลายและเปลี่ยนชื่ออนุสรณ์สถานที่เกี่ยวกับคณะราษฎรไปเป็นอันมาก  เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว (2565) เว็บไซต์ประชาไท ได้นำเสนอรายงานเรื่อง “ส่อง 6 อนุสรณ์สถานพระยาพหลฯ 'ที่ยังคงอยู่-เปลี่ยนชื่อ-จากไป'” พบว่า ในจำนวนอนุสรณ์ของพระยาพหลฯ ทั้ง 6 อย่างนั้น มีชะตากรรมดังต่อไปนี้:

(1) “ถนนพหลโยธิน” ชื่อถนนสายกรุงเทพฯ-เชียงราย ระยะทางกว่า 1,007 กม. ที่ตั้งเป็นเกียรติแด่พระยาพหลฯ นั้นยังอยู่และใช้ชื่อตามเดิมนี้

(2) “ค่ายพหลโยธิน” ศูนย์การทหารปืนใหญ่ จ.ลพบุรี ชื่อที่ได้รับพระราชทานโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2495 เพื่อเป็นเกียรติแก่พระยาพหลฯ แต่เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2563 ได้มีประกาศจากสำนักนายกรัฐมนตรี ผ่านทางเวบไซต์ราชกิจจานุเบกษาให้เปลี่ยนชื่อ “ค่ายพหลโยธิน” เป็น “ค่ายภูมิพล” และยังได้มีการรื้อซุ้มประตูเก่าออกเปลี่ยนเป็นซุ้มใหม่แทน

(3) “อนุสาวรีย์พระยาพหลฯ” ณ ศูนย์การทหารปืนใหญ่ จ.ลพบุรี ปัจจุบันได้ถูกย้ายออกไปจากสถานที่ ไม่ทราบว่าถูกนำไปไว้ที่ใด

(4) “อนุสาวรีย์พระยาพหลฯ” ณ โรงพยาบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา จ.กาญจบุรี ปัจจุบันยังมีอยู่

(5) “อนุสาวรีย์พระยาพหลฯ” ณ โรงงานกระดาษ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ปัจจุบันยังมีอยู่ (เข้าใจว่าคือศาลพระยาพหลฯ ในโรงงานกระดาษดังกล่าวนี้)

(6) “อนุสาวรีย์พระยาพหลฯ” ณ โรงงานน้ำตาลไทย อ.เกาะคา จ.ลำปาง ปัจจุบันยังมีอยู่         

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าเสียดายว่าเกียรติยศอันหนึ่งที่เป็นของพระยาพหลฯ อย่างไม่เป็นกังขานั้นคือการได้เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งคนแรกในประวัติศาสตร์ไทย แต่พระยาพหลฯ กลับไม่เป็นที่รับรู้ในมุมนี้เท่าที่ควร ซึ่งที่จริงก็เข้าใจได้ เพราะนายกรัฐมนตรีของไทยส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย ส่วนใหญ่ได้ดำรงตำแหน่งนี้เนื่องจากผลพวงของการรัฐประหาร

อีกทั้งนายกรัฐมนตรีที่ได้อำนาจมาโดยมิชอบตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยในสังคมประเทศไทยยังอยู่ในตำแหน่งได้คราวละเป็นเวลานานๆ อีกด้วย สังคมไทยย่อมกระดากอายที่จะยกย่องพระยาพหลฯ ในเรื่องนี้เป็นธรรมดา ปัจจุบันเป็นอย่างไร อดีตก็ถูกรับรู้หรือทำให้เป็นแบบนั้นไปด้วย

แต่หากเรามองไปที่อนาคตที่ควรจะเป็นแล้ว เด็กเยาวชนของเราควรได้เรียนรู้ว่าเคยมีผู้นำที่เข้าสู่ตำแหน่งอย่างถูกต้องชอบธรรม และเป็นคนน่าเคารพยกย่องอยู่ด้วย ผู้นำที่ดีไม่ใช่จะต้องได้มาจากกระบวนการรัฐประหาร ไม่ได้มาจากวีรบุรุษของสงครามใด มาจากการเลือกตั้งของประชาชน         

 

อ้างอิง

  • กำพล จำปาพันธ์. “การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงการปกครองจาก ร.ศ.130 ถึง 2475” รัฐศาสตร์สาร. ปีที่ 26 ฉบับที่ 3 (2548), หน้า 80-239.
  • กำพล จำปาพันธ์. “การเมืองของการสมมตินามประเทศ: จากสยามและไทยกลายเป็นไทย (ระหว่างทศวรรษ 2430-2480)” วารสารอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. ปีที่ 26 ฉบับที่ 1 (มิถุนายน-พฤศจิกายน 2548), หน้า 58-148.
  • กุหลาบ สายประดิษฐ์. เบื้องหลังการปฏิวัติ 2475. กรุงเทพฯ: มิ่งมิตร, 2545.
  • ณัฐพล เมฆโสภณ และกิติยา อรอินท์. “ส่อง 6 อนุสรณ์สถานพระยาพหลฯ 'ที่ยังคงอยู่-เปลี่ยนชื่อ-จากไป'” https://prachatai.com/journal/2022/03/97914 (สืบค้นเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2566).
  • ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์. 2475 และ 1 ปีหลังการปฏิวัติ. กรุงเทพฯ: สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2543.
  • นิคม จารุมณี. “กบกบวรเดช พ.ศ.2476” วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2519.
  • ปฐมาวดี วิเชียรนิตย์. เลือดสีน้ำเงิน: ซ้ายไม่จริง ขวาไม่แท้ และประชาธิปไตยในอุดมคติ. กรุงเทพฯ: มติชน, 2561.
  • ประวัติของพลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา. พระนคร: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง, 2490 (งานพระราชทานเพลิงศพ พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ณ เมรุวัดเบญจมบพิตร วันที่ 17 เมษายน พ.ศ.2490).
  • ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์. รัฐสภาไทยในรอบ 42 ปี (2475-2517). กรุงเทพฯ: มูลนิธิธนาคารกรุงเทพฯ, 2526.
  • พรรณพร สินสวัสดิ์. ประวัติการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาไทย. กรุงเทพฯ: สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2548.
  • ส.พลายน้อย (สมบัติ พลายน้อย). พระยาพหลฯ นายกรัฐมนตรีไทยผู้ซื่อสัตย์. กรุงเทพฯ: มติชน, 2555.
  • สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ. แผนชิงชาติไทย: ว่าด้วยรัฐและการต่อต้านรัฐสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ครั้งที่สอง (พ.ศ.2491-2500). กรุงเทพฯ: 6 ตุลารำลึก, 2550.
  • สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ. สายธารประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย. กรุงเทพฯ: พี. เพรส., 2551.
  • อ. พิบูลสงคราม (อนันต์ พิบูลสงคราม). จอมพล ป. พิบูลสงคราม. กรุงเทพฯ: ตระกูลพิบูลสงคราม, 2540.
  • อนุสรณ์ครบรอบ 120 ปี พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) 29 มีนาคม 2550. กรุงเทพฯ: รุ่งเรืองวิริยะพัฒนาโรงพิมพ์, 2550. 

 


หมายเหตุ: บทความนี้ ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมจาก กำพล จำปาพันธ์. “ทำไม ‘พระยาพหลพลพยุหเสนา’ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีไทยคนแรกจากการเลือกตั้ง ในบรรยากาศยุคหลัง 2475” https://www.thepeople.co/history/the-legend/51663 (เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2566).