(1) บทนำและความสำคัญ
แม้ว่าแนวคิดความเชื่อเรื่องพระศรีอาริย์ (Maitreya) จะมีแพร่หลายในสยามและอุษาคเนย์มาช้านาน เพราะเป็นแนวคิดสายหนึ่งของโลกพุทธศาสนามาแต่เดิม แต่ก็เป็นที่เข้าใจกันดีว่าสังคมไทยเพิ่งจะตระหนักรู้ถึงความสำคัญของแนวคิดดังกล่าวนี้จนไปมีอิทธิพลต่อวิถีปฏิบัติในระดับชีวิตประจำวันเรื่อยไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในสังคมไทยสยาม ก็เมื่อเกิดเหตุการณ์กรณีขบถผู้มีบุญขึ้นที่อีสานเมื่อกลางทศวรรษ 2440
ดังที่ทราบกันดีว่า ครั้งเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีนโยบายปฏิรูปปรับเปลี่ยนระบบการปกครองจาก “จักรพรรดิราช” (Chakravartin) มาสู่ “สมบูรณาญาสิทธิราช” (Absolute monarchy) นำมาซึ่งการรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง สร้างความไม่พอใจให้แก่ชนชั้นนำและไพร่ราษฎรในท้องถิ่นเป็นอย่างมาก จนเกิดขบวนการต่อต้านรัฐครั้งใหญ่ขึ้นทั่วทุกภูมิภาค ในอีสานการต่อต้านอยู่ในรูปแบบที่เรียกว่า “ขบถผู้มีบุญ”
เนื่องจากขบถนี้ยังเป็นที่รับรู้กันในอีกแง่มุมว่าได้แรงบันดาลใจจากแนวคิดความเชื่อเรื่องพระศรีอาริย์ ฝ่ายชนชั้นนำสยามก็ตระหนักดีถึงขุมพลังบางอย่างของแนวคิดดังกล่าวนี้ที่มีในหมู่ไพร่ราษฎร จึงเลี่ยงไปนิยามเรียกขบถนี้ใหม่ว่า “ผีบุญ” ซึ่งเป็นคำพ้องเสียงและคู่กับคำว่า “ผีบ้า” (ในภาษาชาวอีสาน) คือ “ผีบุญผีบ้า” หรือ “ผีบ้าผีบุญ” ตามที่ชนชั้นนำสยามพยายามจะบอกว่าพวกที่มาก่อขบถในสมัยนั้นเป็นพวกบ้า เพี้ยน หลุดโลก ไม่ปกติ ทั้งที่ทั้งหมดล้วนเป็นปราชญ์ที่ผ่านการศึกษาในโลกพุทธศาสนาและเป็นผู้นำในระดับชุมชนของอีสานทั้งสิ้น[1]
แต่ถึงจะสร้างวาทกรรม “ผีบุญผีบ้า” ขึ้นมาให้ร้ายป้ายสีอย่างไร ก็ไม่ได้เป็นผลบิดเบือนความรับรู้ โดยที่ขบถผู้มีบุญอีสานแท้ที่จริงแล้วจะได้รับการผลักดันมาจากแนวคิดพระศรีอาริย์นี้จริงหรือไม่ และในอีสานเวลานั้น “ความเป็นผู้มีบุญ” ยังเกิดมีได้หลายทาง (จากตำนานพื้นบ้านก็ได้ จากเรื่องเล่าปรัมปราย่านที่เกิดมีผู้มีบุญนั้น จากตัวละครในวรรณกรรมท้องถิ่น จากรายนามผีบรรพชนที่ยังคงเป็นที่เคารพ หรือจากเทพปกรณัมในคติพุทธผสมพราหมณ์) ก็ตามที ไม่ใช่ประเด็น (ทั้งในที่นี้และในอดีตที่กำลังอภิปรายถึงในบทความนี้)
งานศึกษาการอภิวัฒน์ 2475 ที่ผ่านมา ไม่ได้ให้ภาพความสำคัญเกี่ยวข้องระหว่าง 2475 กับขบถผู้มีบุญอีสานแต่อย่างใดเลย ทั้งสองเหตุการณ์ถูกนำเสนออย่างแยกขาดต่อกัน ทั้งที่เป็นเหตุการณ์ใหญ่ เกิดขึ้นห่างกันเพียง 30 ปี (นับตั้งแต่ พ.ศ. 2445 จนถึง พ.ศ. 2475) ความขาดแคลนข้อมูลหลักฐานก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือการขาดมุมมองที่เห็นความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องที่จะใช้ได้ในการศึกษา ความจำกัดของมุมมองในที่นั้นเกิดจากการมีขอบเขตพรมแดนภูมิภาค เพราะเรื่องเกิดที่อีสาน เลยไม่คิดว่าเรื่องราวของพวกบ้านต่างจังหวัดไกลปืนเที่ยงขนาดนั้น จะมามีอิทธิพลอย่างใดต่อคนที่กรุงเทพฯ หรือแม้แต่ในภาคกลาง โดยเฉพาะต่อเหตุการณ์สำคัญอย่างการอภิวัฒน์ 2475 (ตอนหลังการขาดมุมมองแบบนี้ยิ่งปรากฏมากในกรณีการศึกษาประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519)
ข้อเสนอในที่นี้ก็คือขบถผู้มีบุญอีสานมีอิทธิพลต่อ 2475 ในแง่ที่จุดชนวนให้แก่แนวคิดพระศรีอาริย์ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผู้ต้องการเปลี่ยนแปลงในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชจะละเลยเพิกเฉยไม่รู้จักไม่ได้ เพราะมีอิทธิพลอยู่ในหมู่ไพร่ราษฎรตลอดจนชนชั้นนำท้องถิ่นอยู่ก่อนหน้าที่จะมีแนวคิดจากโลกตะวันตกสมัยใหม่อย่างเช่น เสรีนิยม, สาธารณรัฐนิยม, อนาคิสม์, มาร์กซิสม์, หรือแม้แต่แนวคิดขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมแบบใหม่ (ในช่วงหลังมานี้) เป็นต้น
(2) 2475 กับแนวคิดพระศรีอาริย์
งานของฉลอง สุนทราวาณิชย์, ชาร์ลส เอฟ. คายส์ (Charles F. Keyes), จอห์น บี. เมอร์ดอค (John B. Murdoch)[2] ต่างชี้ให้เห็นว่า การตีความแนวคิดพุทธศาสนาของชาวบ้านประชาชน มีความแตกต่างอย่างตรงกันข้ามกับที่ชนชั้นนำเผยแพร่และสนับสนุน เพราะลักษณะการเผยแผ่พุทธศาสนาในอดีตที่ต้องพึ่งพาเหล่าบรรดาปราชญ์ท้องถิ่นเป็นกระบอกเสียงให้อีกต่อหนึ่ง คนเหล่านี้มักเป็นปัญญาชนที่สนับสนุนผลประโยชน์ของท้องถิ่น เมื่อมีความขัดแย้งระหว่างส่วนกลางกับท้องถิ่น ประกอบกับการเผยแผ่พุทธศาสนายังต้องเป็นไปโดยการผสมผสานกับความเชื่อที่หลากหลายของท้องถิ่นซึ่งมีมาแต่เดิม จึงนำมาสู่ความแตกต่างจนบางครั้งก็ตรงกันข้ามกันระหว่างพุทธศาสนาแบบส่วนกลางกับแบบชาวบ้านในท้องถิ่น
พระศรีอาริย์ที่ปรากฏแพร่หลายในวรรณกรรมของไทยกลาง ไม่ว่าจะเป็นใน “ไตรภูมิพระร่วง” “ไตรภูมิพระมาลัย” “ไตรภูมิโลกวินิจฉัยกถา” “พระมาลัยคำหลวง” “พระมาลัยกลอนสวด” หรือแม้แต่ “พระสุตตันตปิฎก” ในพระไตรปิฎก ฯลฯ เดิมถูกนำเสนอเพื่อให้คนยอมรับความเหลื่อมล้ำต่ำสูงว่าเป็นผลกรรมมาจากอดีตชาติ แต่เช่นเดียวกับแนวคิดทั้งหลายที่เมื่อแพร่หลายสู่ชาวบ้านประชาชนในวงกว้างระยะหนึ่งแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะผูกขาดนิยามความหมายของเนื้อหาแนวคิด เพราะธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความแตกต่างหลากหลายทางความคิดกันได้เป็นปกติ ประกอบกับเงื่อนไขปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ก็ทำให้เกิดการนำเอาแนวคิดที่อยู่ในความรับรู้ของตนเองมาปรับใช้เพื่อประโยชน์ในการเคลื่อนไหว
พระศรีอาริย์ซึ่งถูกเล่าทั้งในรูปมุขปาฐะและวรรณกรรมลายลักษณ์อักษร มีภาพพจน์ที่แตกต่างตรงกันข้ามกับชนชั้นนำในปัจจุบัน จากเดิมที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์เพื่อไม่ให้คนคิดอยากทำการเปลี่ยนแปลง เพราะจะได้พบความเปลี่ยนแปลงก็ต่อเมื่อตายไปเกิดในยุคพระศรีอาริย์ ก็มาสู่ความคิดที่ว่าพระศรีอาริย์สามารถเกิดขึ้นได้ใน “โลกนี้” ไม่ต้องรอไปถึง “โลกหน้า” เมื่อผู้นำขบถในอีสานตั้งตัวในลักษณะอ้างเป็นพระศรีอาริย์ จึงไม่สำคัญว่าเขาผู้นั้นคือพระศรีอาริย์จริงหรือไม่ แต่สำคัญตรงที่เขาจะเป็นอย่างพระศรีอาริย์ได้แค่ไหน เช่นเดียวกับเมื่อจอมขมังเวทย์อย่าง “ญาณพิเชียร” อดีตมหาดเล็กหลวงอย่าง “ธรรมเถียร” หรือผู้นำลาวโคราชอย่าง “บุญกว้าง” ที่ต่างก็ตั้งตัวเป็นขบถในสมัยอยุธยา[3] ล้วนแต่ได้รับความสนับสนุนจากไพร่ราษฎรในฐานะ “ขบถผู้มีบุญ” แบบกึ่ง ๆ พระศรีอาริย์
เมื่อมีสัญญาณปรากฏชัดแจ้งว่า ชนชั้นนำปัจจุบันกำลังสิ้นบุญบารมีหรือมีเหตุการณ์วิปริตแปรปรวนอย่างใดเกิดขึ้น ชาวบ้านประชาชนที่เคยสวดท่องกันมาเกี่ยวกับการมาของยุคพระศรีอาริย์ ก็เห็นว่าเหตุการณ์วิปริตแปรปรวนดังกล่าวนั้นเป็นสัญญาณหรือนิมิตหมาย ผู้มีบุญจะมาเกิด แล้วทุกอย่างจึงจะกลับคืนสู่สภาวะปกติ ถ้าใครรอดพ้นวิกฤติไปจนถึงยุคดังกล่าวนี้จะพบแต่ความสุขสัมบูรณ์ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ลำบากยากจน มีแต่ความสุขความเจริญ
คนอีสานที่ถูกละเลยปล่อยทิ้งให้เผชิญภัยธรรมชาติ ฝนแล้งต่อเนื่อง ทำนาไม่ได้ผลมาหลายปี สัตว์พาหนะและสัตว์เลี้ยงล้มตาย ข้าวยากหมากแพง โรคระบาดที่สูญไปกลับแพร่หลายขึ้นมาใหม่ ก็เข้าใจไปว่าเป็นสัญญาณการเปลี่ยนผ่านจากยุคโกลาหลไปสู่ยุคพระศรีอาริย์ สภาพดังกล่าวนี้ในทศวรรษ 2440-2470 ที่จริงไม่ได้เกิดขึ้นแต่กับเฉพาะที่อีสาน เป็นสภาพที่ชาวนาในสยามกำลังเผชิญอยู่ทั่วไปเช่นกัน
ในการทำบุญอุทิศส่วนกุศล กรวดน้ำ สวดศพ ภาคอื่นก็มีธรรมเนียมการสวดอธิษฐานขอให้ไปเกิดในยุคพระศรีอาริย์ หรือขอให้ได้พบพระศรีอาริย์ เช่นเดียวกับชาวนาในภาคอีสาน เมื่อรับรู้กันดีว่า พระศรีอาริย์เป็นแรงบันดาลใจแก่ชาวนาและผู้ทุกข์ยาก วัดและพระภิกษุสงฆ์ที่เป็นปราชญ์ท้องถิ่นหลายแห่งจึงนิยมหล่อรูปพระศรีอาริย์ เป็นพระประธานในอุโบสถหรือประดิษฐานไว้ในมณฑปวิหารให้ผู้คนได้มาสักการะบูชา บางแห่งมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องการถือกำเนิดของพระพุทธเจ้าในภัทรกัปต่าง ๆ แล้วมักจบลงด้วยภัทรกัปของพระศรีอาริย์ เป็นต้น
ในอยุธยา วัดแห่งหนึ่งที่มีพระพุทธรูปพระศรีอาริย์เป็นหลักเป็นประธานของวัดและมีจิตรกรรมฝาผนังโบสถ์เล่าเรื่องพระศรีอาริย์ ที่โดดเด่นและสวยงามมาก ก็คือ “วัดพนมยงค์” ซึ่งเป็นวัดประจำตระกูลของผู้ก่อการอภิวัฒน์คนสำคัญอย่างปรีดี พนมยงค์ “พระศรีอาริย์วัดพนมยงค์” (ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในศาลามนต์ธนภรณ์ของวัด) นี้เป็นอะไรที่สะกิดใจผู้เขียนเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่เลย ที่วัดพนมยงค์เป็นวัดพระศรีอาริย์แล้วยุคพระศรีอาริย์จะไปปรากฏในลายลักษณ์อักษรที่เกี่ยวข้องกับการอภิวัฒน์ 2475
ปรีดี พนมยงค์ ผู้ก่อการอภิวัฒน์ 2475 ก็เป็นผู้หนึ่งที่ตระหนักดีในเรื่องนี้ ทั้งเรื่องสภาพชีวิตชาวนาและอิทธิพลแนวคิดพระศรีอาริย์ ดังจะเห็นได้จาก “พระศรีอาริย์” หรือ “ยุคศรีอาริยะ” ไปปรากฏเป็นเหตุผลสร้างความชอบธรรมให้แก่การอภิวัฒน์ 2475 ผ่าน “ประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1” และปรีดียังขยายความอีกทีใน “สมุดปกเหลือง” หรือ “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” อีกด้วย
(3) ความเชื่อเรื่อง “พระศรีอาริย์” กับการอภิวัฒน์ 2475
ใน “ประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1” ซึ่งรู้กันภายหลังว่าผู้เขียนคือ ปรีดี พนมยงค์ ได้กล่าวถึง “ศรีอาริยะ” เอาไว้ในความท้ายประกาศดังกล่าวดังนี้:
“ราษฎรทั้งหลายจงพร้อมใจกันช่วยคณะราษฎรให้ทำกิจอันจะคงอยู่ชั่วดินฟ้านี้ให้สำเร็จ คณะราษฎรขอให้ทุกคนที่มิได้ร่วมมือเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลกษัตริย์เหนือกฎหมายพึงตั้งตนอยู่ในความสงบและตั้งหน้าทำมาหากิน อย่าทำการใด ๆ อันเป็นการขัดขวางต่อคณะราษฎร การที่ราษฎรช่วยคณะราษฎรนี้ เท่ากับราษฎรช่วยประเทศและช่วยตัวราษฎร บุตร หลาน เหลน ของตนเอง ประเทศจะมีความเป็นเอกราชอย่างพร้อมบริบูรณ์ ราษฎรจะได้รับความปลอดภัย ทุกคนจะต้องมีงานทำไม่ต้องอดตาย ทุกคนจะมีสิทธิเสมอกัน และมีเสรีภาพพ้นจากการเป็นไพร่ เป็นข้า เป็นทาสพวกเจ้า หมดสมัยที่เจ้าจะทำนาบนหลังราษฎร สิ่งที่ทุกคนพึงปรารถนาคือ ความสุขความเจริญอย่างประเสริฐซึ่งเรียกเป็นศัพท์ว่า “ศรีอาริยะ” นั้น ก็จะพึงบังเกิดขึ้นแก่ราษฎรถ้วนหน้า”[4]
ต่อมา ใน “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” ปรีดี พนมยงค์ ได้อธิบายขยายความเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำว่า “ศรีอาริยะ” ที่ได้กล่าวถึงไว้ใน “ประกาศคณะราษฎร” ก่อนหน้านั้น โดยใน “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” ปรีดีได้กล่าวถึงการสร้างยุคแห่งความสุขสัมบูรณ์ที่เรียกว่า “ยุคศรีอาริยะ” นั้น สามารถเกิดขึ้นเป็นจริงได้จากการดำเนินการตามแผนเศรษฐกิจโดยรัฐบาลจะเป็นผู้ประกอบการเศรษฐกิจเองไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก ดังความต่อไปนี้:
“ก็เมื่อการที่รัฐบาลประกอบเศรษฐกิจเสียเองเช่นนี้ เป็นการที่ทำให้วัตถุที่ประสงค์ทั้ง 6 ประการของคณะราษฎรได้สำเร็จไปตามที่ได้ประกาศแก่ราษฎรไว้แล้ว สิ่งที่ราษฎรทุกคนพึงปรารถนาคือความสุขความเจริญอย่างประเสริฐซึ่งเรียกกัน เป็นศัพท์ว่า ศรีอริยะ ก็จะพึงบังเกิดแก่ราษฎรโดยถ้วนหน้า ไฉนเล่าพวกเราที่ได้พร้อมใจกันไขประตูเปิดช่องทางให้แก่ราษฎรแล้ว จะรี ๆ รอ ๆ ไม่นำราษฎรต่อไปให้ถึงต้นกัลปพฤกษ์ ซึ่งราษฎรจะได้เก็บผลเอาจากต้นไม้นั้น คือผลแห่งความสุขความเจริญดังที่ได้มีพุทธทำนายกล่าวไว้ในเรื่องศาสนาพระศรีอารย์ ในเรื่องนี้ผู้ถือศาสนาทุกคน ในการทำบุญปรารถนาจะประสพศาสนาพระศรีอารย์แม้ในการสาบานในโรงศาลก็ดี ในการพิธีใด ๆ ก็ดี ก็อ้างกันแต่ว่าเมื่อซื่อสัตย์หรือให้การไปตามจริงแล้ว ก็ให้ประสพพบศาสนาพระศรีอารย์ ก็เมื่อบัดนี้เราจะดำเนินวิถีไปสู่อริยะสมัย แต่ก็ยังมีบุคคลที่จะถอยหลังเข้าคลอง ซึ่งถอยหนัก ๆ เข้าก็จะกลับไปสู่สมัยก่อนพุทธกาล คือเมื่อ ๒๔๗๕ ปีที่ล่วงมาแล้ว”[5]
คุณูปการอย่างหนึ่งของเอกสาร “ประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1” กับ “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” สำหรับในที่นี้ก็คือการแปลความความเชื่อเรื่องพระศรีอาริย์มาสู่รูปธรรมและในทางปฏิบัติ ไม่ใช่เพียงความเชื่อเลื่อนลอยปรากฏในคัมภีร์ทางศาสนาเหมือนอย่างแต่ก่อน แต่ปรีดี พนมยงค์ ได้แสดงให้เห็นว่า สังคม/ยุคแบบในความเชื่อพระศรีอาริย์นั้นสามารถบรรลุผลเป็นจริงได้ หาใช่เป็นจินตนาการเพ้อฝัน และโดยไม่ต้องรอตายไปเกิดในชาติหน้าถึงจะได้พบ
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ถูกบิดเบือนไปโดยการกล่าวหาว่าปรีดีมีแนวความคิดแบบคอมมิวนิสต์ เพราะแนวคิดพระศรีอาริย์กับคอมมิวนิสต์มีเป้าหมายปลายทางคล้ายคลึงกัน คือการไปให้ถึงยุคที่ผู้คนมีความสุขสัมบูรณ์ ทั้ง ๆ ที่เป็นแนวคิดที่มีมาในสังคมไทยสยามแต่เดิม แต่ด้วยเพราะต้องการกำจัดอิทธิพลของคณะผู้ก่อการ ตลอดจนความไม่พอใจต่อประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1 ที่มีอยู่ก่อนหน้าที่จะมีการนำเสนอเค้าโครงการเศรษฐกิจ ทำให้เค้าโครงการเศรษฐกิจถูกตีตกไป และถูกนำไปขยายผลในทางใส่ร้ายป้ายสีต่อผู้ก่อการปีกก้าวหน้าว่าเป็นผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์[6] จนลุกลามขยายใหญ่โตไปเป็นการก่อรัฐประหารครั้งแรกโดยพระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476
ผลจากการใส่ร้ายป้ายสีครั้งนั้นทำให้ปรีดี พนมยงค์ ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศเป็นครั้งแรก ก่อนจะกลับมาหลังจากเมื่อพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) กับนายพันเอกหลวงพิบูลสงคราม (จอมพล ป. พิบูลสงคราม ในเวลาต่อมา) ได้นำกำลังทหารมายึดอำนาจคืนไปจากกลุ่มพระยามโนปกรณ์นิติธาดา เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 ฟื้นระบอบประชาธิปไตยขึ้นอีกครั้งหลังจากถูกกลุ่มพระยามโนปกรณ์นิติธาดาพยายามจะถวายคืนพระราชอำนาจ[7] แต่ฝ่ายกษัตริย์นิยมก็ยังไม่ยอมแพ้ ได้ไปรวบรวมกำลังทหารมาสู้รบกับฝ่ายรัฐบาล จนเป็นเหตุการณ์สงครามกลางเมืองที่เรียกว่า “การปราบขบถบวรเดช” เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2476
ถึงแม้ว่าบทสรุปของความขัดแย้งและการต่อสู้กันระหว่างฝ่ายคณะราษฎรกับกลุ่มกษัตริย์นิยมในสมัยนั้น ฝ่ายคณะราษฎรได้รับชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และปรีดี พนมยงค์ ได้กลับเข้าประเทศ แต่ก็น่าเสียดายที่ “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” ก็ไม่ได้ถูกนำกลับมาใช้เป็นนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลคณะราษฎรแต่อย่างใดเลย เป็นอันว่าแผนการสร้างสังคมยุคพระศรีอาริย์ที่เป็นเนื้อหาหลักของเอกสาร “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” นั้นก็มีอันต้องถูกพับไปด้วย ถึงแม้ว่าในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จะได้มีการจัดทำโครงการเศรษฐกิจของรัฐแบบขนานใหญ่ที่เรียกว่า “แผนสังคมเศรษฐกิจแห่งชาติ” แต่นั่นก็คนละเรื่องกับ “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” ที่ปรีดีเคยเสนอไว้ และยิ่งเป็นคนละเรื่องเมื่อพิจารณาว่า เค้าโครงการเศรษฐกิจของปรีดีนั้นอาจหาญถึงขั้นกล้าเคลมว่าเป็นแผนการใหญ่เพื่อสร้างสังคมยุคพระศรีอาริย์ ขณะที่ “แผนสังคมเศรษฐกิจแห่งชาติ” ของรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ เป็นเพียงแผนการพัฒนาเพื่อปราบปรามขบวนการคอมมิวนิสต์ในชนบท
การพูด/เขียนถึงพระศรีอาริย์ มาถูกทำให้กลายเป็นเรื่องของการนำเสนอแนวคิดแบบสตาลิน ไปได้อย่างไร ในเมื่อโจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin) ผู้นำสหภาพโซเวียตสมัยนั้น ไม่เคยพูดถึงพระศรีอาริย์ และอาจไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า คนไทยสยามมีแนวคิดแบบนี้อยู่ในสังคมมาตั้งแต่ก่อนหน้าคาร์ล มาร์กซ์ หรือนักมาร์กซิสต์คนไหน ๆ จะเกิดด้วยซ้ำ เพียงแต่เป็นแนวคิดที่ถูกนำเอาไปเปรียบเทียบแล้วสรุปว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกันไปอย่างผิดฝาผิดตัว
(4) การประกาศศาสนาพระศรีอาริย์ & การอภิวัฒน์ 2475 ในอีกมุมหนึ่ง
ไม่เพียงแต่ในหมู่ฝ่ายขวาที่ต้องมีจุดยืนแอนตี้เค้าโครงการเศรษฐกิจ ตลอดจนแผนการปฏิรูปอื่นใดก็ตามที่จะนำไปสู่ระบอบประชาธิปไตยเสรีแบบที่คณะราษฎรได้ประกาศไว้ ในหมู่ฝ่ายซ้ายเองก็มอง “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” ในลักษณะเหยียดว่าเป็นการนำเสนอแบบ “ซ้ายจัด” “ซ้ายไร้เดียงสา” หรือ “ซ้ายตกขอบ” นำไปสู่วิกฤติการณ์ทางการเมืองสร้างความไม่พอใจแก่กลุ่มกษัตริย์นิยม จนเกิดการรัฐประหารโดยพระยามโนปกรณ์นิติธาดาและสงครามกลางเมืองกับฝ่ายพระองค์เจ้าบวรเดชเมื่อ พ.ศ. 2476 เป็นต้น แต่ที่จริงข้อวิจารณ์นี้ออกจะเป็นการแสดง “ความฉลาดหลังเหตุการณ์” อยู่มาก โดยเฉพาะอย่างในภายหลังได้มีการเสนอว่า “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” ของปรีดีนี้ก่อให้เกิด “ความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์”[8]
แต่ไม่ใช่สำหรับกรณีของนักคิดนักเขียนนาม “นายผี” (อัศนี พลจันทร) ในบทกวี “นกเขาขัน” ตีพิมพ์ใน “สยามสมัย” ปีที่ 4 ฉบับที่ 192 (15 มกราคม 2494) นายผีแสดงความเสียดายที่ “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” ไม่ได้ถูกรื้อฟื้นกลับมาอีก เพราะเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อชาวนามาก นายผีเชื่อว่าชาวนาและประชาชนคนรายได้น้อยจะได้รับความช่วยเหลือให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หากมีการนำเอา “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” มาใช้ปฏิบัติ อีกทั้งนายผียังเชื่อมั่นว่า “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” นี้เป็นแผนดำเนินงานเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ปฏิบัติได้จริง ใกล้เคียงกับระบบรัฐสวัสดิการที่ปฏิบัติกันในประเทศที่เจริญแล้ว
นายผีเป็นนักคิดนักเขียนผู้หนึ่งที่เคยมีโอกาสได้อ่าน “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” อย่างละเอียดถี่ถ้วนแน่นอน เพราะยังได้นำเอาส่วนที่เป็นแก่นแกนของ “เค้าโครงฯ” ไปนิยามการอภิวัฒน์ 2475 ใหม่ และนั่นก็ทำให้นายผีมีจุดยืนต่อ 2475 ต่างจากนักคิดฝ่ายซ้ายคนอื่น ๆ ซึ่งมักมองเหตุการณ์ดังกล่าวนี้เป็นเพียง “รัฐประหารของชนชั้นกระฎุมพี”[9] ดังจะเห็นได้จากที่บทกวี “การประกาศศาสนาพระศรีอารย์” ตีพิมพ์ครั้งแรกใน “สยามนิกร” ฉบับวันที่ 29 กันยายน 2489 นิยาม 2475 ว่าเป็นการประกาศศาสนาพระศรีอาริย์ ดังความต่อไปนี้:
“ผีป่าถลาโห่ร้อง เต้นหรับ
เราพระศรีอารยอัน เอกลัน
เร็วสูเร่งขยับ มายอบ
สุขสู่ทุกผู้พัน ทุกขผยอง
พระศรีอารยแอบจ้อง จับตา ลปัตรแฮ
แหวกม่านอันมัวหมอง หมู่ไข้
สูเอยอกสูอา ดูรอ่อน อยู่ฤา
ยาอย่าแรงรู้ใช้ ช่วยตน
มองพระว่าพระช้า หมดฉัน ทะรา
เราจะตายทายทน ไป่ได้
มองผีป่าถลาถลัน เร็วพ่อ
ชอบช่วยเร็วร้องให้ เร่งหา
ผีป่าถลาโห่ร้อง เต้นหรับ
รำรอเรารักษา ที่เส้น
เผลอผีรี่ล้วงตับ กินต่อ ไตฮา
พระสวดเพลงเศร้าเต้น แต่ผี”
(5) ปรีดี พนมยงค์ & “พระศรีอาริย์” ในอยุธยา
อย่างไรก็ตาม ที่จัดเป็นความ “ตลกที่ขำไม่ออก” ก็คือปัญญาชนนักเขียนคนสำคัญแรก ๆ ที่ชี้ชวนให้คนคิดเห็นกันไปว่า แนวคิดพระศรีอาริย์กับคอมมิวนิสต์นั้นเหมือนกันจนเป็นเรื่องเดียวกันไปคือ “อัศวพาหุ” แต่ “อัศวพาหุ” คงต้องการเพียงแสดงให้เห็นว่า แนวคิดสังคมนิยมคอมมิวนิสต์นั้นไม่มีอะไรใหม่ ไทยสยามมีแนวคิดแบบนี้อยู่ก่อนแล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นประเด็นที่สัมพันธ์กับการสร้างภาพลักษณ์และเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระศรีอาริย์ในอีกมุมหนึ่ง เป็นพระศรีอาริย์ในมุมแบบชนชั้นนำสยาม
ยิ่งตลกมากขึ้นไปอีก เมื่อพิจารณาว่า นักคิดนักเขียนฝ่ายซ้ายอย่างเช่น นายผี (อัศนี พลจันทร) หรืออย่างจิตร ภูมิศักดิ์ ต่างก็เห็นร่วมกับ “อัศวพาหุ” ในประเด็นที่ว่า ความเชื่อเรื่องพระศรีอาริย์ก็เป็นแนวคิดแบบสังคมนิยมประเภทหนึ่ง เป็นสังคมนิยมที่มีมาก่อนหน้ามาร์กซิสต์ เพราะความใฝ่ฝันถึงโลกในอุดมคติเป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ในทุกพื้นที่และทุกยุคสมัย แน่นอนว่ามีความแตกต่างกันในรายละเอียดของความคิดฝันดังกล่าว
เมื่อรวมความทั้งหมดนี้แล้ว ก็เข้าใจได้ว่าทำไมชนชั้นนำสยามสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งคงได้อ่านพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่แล้ว (อัศวพาหุ) มาด้วยกันทั้งนั้น จึงพากันลงความเห็นสรุปว่า การนำเสนอแผนงานที่จะสร้างสังคมพระศรีอาริย์ของปรีดี พนมยงค์ ตามที่ปรากฏใน “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” นั้น เป็นแผนงานอย่างเดียวกับการสร้างระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ไม่มีทางที่ “อัศวพาหุ” จะทราบว่าผลงานของพระองค์ในอีกรัชกาลต่อมานั้นจะส่งอิทธิพลมากจนถึงกับสกัดกั้นการมาของยุคพระศรีอาริย์แบบนั้นได้
ที่เป็นเช่นนั้นส่วนหนึ่งก็เพราะมองประวัติและบทบาทของปรีดี พนมยงค์ ผู้เขียนเค้าโครงการที่จะนำไปสู่สังคมพระศรีอาริย์ครั้งนั้น อย่างแยกขาดจากชีวิตวัยเยาว์ที่อยุธยากรุงเก่า มองกันแค่หลังจากไปเรียนต่อต่างประเทศแล้ว จึงคิดเห็นกันไปว่าปรีดีได้นำเอาแนวคิดฝรั่งหัวรุนแรงมาใช้โดยแอบอ้างพระศรีอาริย์ บทความนี้จะชี้ให้เห็นว่าแท้ที่จริงแล้วรัฐบุรุษอาวุโสท่านรู้จักพระศรีอาริย์เป็นอย่างดีอยู่ก่อนหน้าที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศแล้วต่างหาก ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจที่มาและสาระสำคัญจริง ๆ ของ “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” ในอีกมุมหนึ่ง สถานที่บ่มเพาะให้ท่านผู้นี้รู้จักพระศรีอาริย์ไม่ใช่ที่ไหนไกลอื่น เป็นวัดในชุมชนบ้านเกิดของท่านเอง คือ ทั้งวัดพนมยงค์ กับ วัดศาลาปูน ที่อยุธยา
(6) “พระศรีอาริย์อยุธยา” & การเมืองไทยสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช
พระศรีอาริย์ในมุมแบบชนชั้นนำสยามเป็นอย่างไรนั้น เป็นอีกเรื่องที่ยังไม่มีใครเขียนหรือแสดงให้เห็นหรอก แต่เราจะสังเกตเห็นได้จากที่วัดชุมพลนิกายาราม อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 4 ก็เป็นวัดที่มีพระพุทธรูปนามว่า “พระศรีอาริยเมตไตรย” หรือที่ชาวบ้านนิยมเรียกกันว่า “หลวงพ่อพระศรีอาริย์” เช่นเดียวกับวัดพนมยงค์ แต่เก่ากว่าพระศรีอาริย์วัดพนมยงค์ แต่สามารถเปรียบเทียบกันได้ เพราะถึงแม้จะได้รับการเรียกขานอย่างเคารพยกย่องกันในท้องถิ่นว่า “พระศรีอาริย์” คำเดียวกัน แต่ความหมายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ด้วยรูปลักษณะเป็นแบบเดียวกัน เป็นเหตุให้มีการเรียกพระพุทธรูปทรงเครื่องแบบเดียวกับวัดชุมพลฯ บางปะอิน เป็น “พระศรีอาริย์” ไปด้วย คือพระพุทธรูปองค์ประดิษฐานอยู่ภายในวิหารทรงธรรมของวัดใหม่ประชุมพล อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา แต่เมื่อมีผู้เชี่ยวชาญเป็นนักวิชาการประวัติศาสตร์โบราณคดีมาชี้ให้เห็นว่าพระพุทธรูปองค์นี้มีอายุเก่าไปกว่าสมัยรัชกาลที่ 4 จึงเป็นเหตุให้เปลี่ยนไปเรียกชื่อตามวิหารว่า “หลวงพ่อทรงธรรม” แทน
พระศรีอาริย์แบบวัดชุมพลฯ ติดพระราชวังบางปะอิน เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องแบบกษัตริย์เต็มพระยศ ผิดกับพระศรีอาริย์แบบวัดพนมยงค์ที่นุ่งห่มครองผ้าจีวรธรรมดา ไม่มีมงกุฎประดับพระเศียร นั่นเพราะตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เป็นอย่างน้อย ชนชั้นนำสยามได้สร้างความเชื่อหนึ่งเผยแพร่ไปในหมู่ไพร่ราษฎรตามหัวเมืองว่า พระมหากษัตริย์สยามก็คือ “พระศรีอาริย์ในโลกนี้” นั่นเอง แต่นั่นก็ไม่เพียงพอแก่ความน่าเชื่อถือ จึงเกิดการสร้างพระพุทธรูปพระศรีอาริย์ขึ้นอีกแบบในหมู่ราษฎร ไม่ใช่แต่เฉพาะที่วัดพนมยงค์ ในอยุธยา ยังมีอีก 2 วัดเป็นอย่างน้อยที่จะพบพระพุทธรูปแบบนี้ได้ คือ ที่วัดศาลาปูน ใกล้ชิดติดกับวัดพนมยงค์ และเป็นวัดที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับชีวิตวัยเยาว์ของปรีดี พนมยงค์ ด้วยเช่นเดียวกับวัดพนมยงค์ เพราะโรงเรียนชั้นประถมที่ปรีดีได้เข้าศึกษานั้นคือ “โรงเรียนวัดศาลาปูน”
ปัจจุบันโรงเรียนวัดศาลาปูนแห่งนี้ เหลือเป็นอาคารร้างริมคลองเมือง กึ่งกลางระหว่างวัดศาลาปูนกับวัดพรหมนิวาส (วัดขุนยวน) คนละแห่งกับโรงเรียนเทศบาลวัดศาลาปูนที่ริมฝั่งถนนตรงข้ามทางเข้าทั้งสองวัดนี้ พระศรีอาริย์ของวัดศาลาปูนปัจจุบันกำลังเป็นที่โด่งดังในแวดวงสายมู เพราะมีรูปอักขระยันต์อยู่ตรงพระกร (แขน) ชาวบ้านนิยมเรียกว่า “พระแขนลาย” หรือ “หลวงพ่อแขนลาย” เป็นพระพุทธรูปขนาดเล็ก แต่ชาวบ้านเชื่อถือกันมาก เคยเก็บไว้ในวิหารเงียบ ๆ ลั่นดาลปิดประตูไว้ นาน ๆ มีผู้รู้เพียงไม่กี่คน ที่ไปขอไหว้ขอถ่ายรูป เจ้าอาวาสท่านก็จึงอนุญาต แต่ปัจจุบันเปิดให้เข้าชมสักการะได้ตลอด ผู้คนจึงเดินทางไปชมและสักการะกันอย่างล้นหลาม ทำให้วัดที่เคยเงียบเหงา กลับมาคึกคัก กระทั่งเกิดมีตลาดขายสินค้าท้องถิ่นให้แก่นักท่องเที่ยว แต่โรงเรียนวัดศาลาปูนเดิมก็ยังคงเป็นอาคารร้าง น่าจะมีคนขอเช่าจากเทศบาลไปทำประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใด จะเป็นในรูปพิพิธภัณฑ์นำเสนอเรื่องราวของปรีดี พนมยงค์ และการศึกษาชั้นประถมแต่ก่อนในอยุธยากรุงเก่า ถ้าได้แบบนั้นก็จะยิ่งถือว่าดีเลิศประเสริฐศรีทีเดียว
อีกวัดหนึ่งในอยุธยาที่มีพระพุทธรูปพระศรีอาริย์ คือที่วัดแจ้ง อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งถึงแม้จะอยู่อำเภอด้านนอกเกาะเมือง แต่ก็ไม่ถือว่าไกลจากเกาะเมืองอยุธยาเท่าไรนัก ยิ่งหากยึดตามแนวเส้นคมนาคมลำน้ำโบราณด้วยแล้ว ก็ไม่กี่กม. แม้พระศรีอาริย์ที่นี่จะไม่เป็นที่รู้จักกันนักในหมู่คนภายนอก แต่สำหรับชาวบางบาลและอยุธยาแล้ว หลวงพ่อพระศรีอาริย์ที่นี่ก็มีเรื่องเล่าและเป็นขวัญกำลังใจแก่ชาวนาและผู้ทุกข์ยากในอยุธยามาไม่น้อยเช่นกัน
“พระศรีอาริยเมตไตรย” หรือ “หลวงพ่อพระศรีอาริย์” วัดแจ้ง บางบาล ก็เคยถูกนำไปไว้ภายในอุโบสถปิดประตูไว้เงียบ ๆ เช่นกัน เพราะเหตุว่ามีช่วงหนึ่ง (ช่วงเดียวกับที่เกิดเหตุคนร้ายลอบขโมยพระศรีอาริย์วัดศาลาปูน แต่ไปไม่รอด ต้องทิ้งพระเอาตัวรอดหลบหนีไป) พระพุทธรูปพระศรีอาริย์ตกเป็นที่หมายปองแก่เหล่านักล่าสมบัติ อย่างกับมีดีมานด์ความต้องการจากที่ไหนไม่รู้ ปัจจุบันหลวงพ่อพระศรีอาริย์วัดแจ้งบางบาล ได้เปิดให้ประชาชนสามารถแวะเวียนไปเยี่ยมชมและสักการะได้ปกติ มีการสร้างมณฑปสำหรับเป็นที่ประดิษฐานให้โดยเฉพาะ
อย่างไรก็ตาม ในบรรดาพระพุทธรูปพระศรีอาริย์ทั้ง ๔ แห่งในอยุธยา (วัดชุมพลนิกายาราม อ.บางปะอิน, วัดพนมยงค์ อ.พระนครศรีอยุธยา, วัดศาลาปูน อ.พระนครศรีอยุธยา, วัดแจ้ง อ.บางบาล) องค์ที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดและจัดว่างดงามที่สุด คงต้องยกให้องค์ที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดพนมยงค์ การเป็นวัดที่มีพระพุทธรูปพระศรีอาริย์ประดิษฐานอยู่ ยังนำมาสู่การวาดภาพจิตรกรรมภายในอุโบสถเล่าเรื่องพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ คือ “พระกกุสันโธ” (พระพุทธเจ้าองค์ที่ 1), “พระโกนาคมโน” (พระพุทธเจ้าองค์ที่ 2), “พระกัสสปะ” (พระพุทธเจ้าองค์ที่ 3), “พระสมณโคดม” (พระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 หรือก็คือเจ้าชายสิทธัตถะ พระพุทธเจ้าในภัทรกัปป์ปัจจุบัน) และ “พระศรีอาริยเมตไตรย” (พระพุทธเจ้าในอนาคต)
ถึงแม้ว่าจิตรกรรมฝาผนังภายในโบสถ์วัดพนมยงค์นี้จะเพิ่งวาดภายหลัง เมื่อมีการบูรณปฏิสังขรณ์โบสถ์เมื่อไม่นานมานี้ แต่ทว่าการวาดภาพจิตรกรรมเล่าเรื่องพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ โดยมีศูนย์กลางเป็นภาพพระศรีอาริย์ ก็นับว่าเข้ากับความเป็นวัดที่ประดิษฐานของพระศรีอาริย์วัดพนมยงค์เป็นอย่างดี
ในภูมิภาคอื่น คติพระพุทธเจ้า 5 พระองค์นี้ยังนำมาสู่การสร้างรอยพระพุทธบาท 4 รอย เพื่อเป็นหมุดหมาย ไม่มีรอยที่ 5 เพราะรอยที่ 5 นั้นถือว่าพระศรีอาริย์ยังไม่มาเกิด กรณีรอยพระพุทธบาท 4 รอย ที่ประดิษฐานอยู่ภายในมณฑปชั้นบนของปราสาทนครหลวง อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ก็ถือเป็นคติอย่างเดียวกันนี้ เพียงแต่เป็นรอยพระพุทธบาทที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 ก่อนที่จะมีการสร้างมณฑปครอบในสมัยรัชกาลที่ 5
นอกจากนี้ในภาคกลาง พระพุทธรูปพระศรีอาริย์ที่ได้รับความนิยมจากประชาชนทั้งในและนอกพื้นที่มาก ยังมีพระศรีอาริย์ที่วัดไลย์ อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี สมัยรัชกาลที่ 5 เดิมประดิษฐานอยู่ภายในวิหารเก้าห้องของวัด เมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้วิหารเหลือแต่ซาก แต่พระพุทธรูปองค์นี้กลับรอดมีเพียงพระพักตร์ที่ชำรุดเสียหาย ชาวบ้านยิ่งเกิดความรู้สึกเคารพศรัทธาในปาฏิหาริย์ ช่วงนั้นเป็นช่วงเดียวกับที่เกิดเหตุการณ์ปราบปรามขบถผู้มีบุญที่อีสาน ราชสำนักรัชกาลที่ 5 ไม่ไว้วางใจ จึงให้นำพระศรีอาริย์วัดไลย์ไปไว้ที่กรุงเทพฯ โดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อนำไปซ่อมแซมพระพักตร์ที่เสียหายนั้น
แต่ไม่นานก็ต้องส่งกลับคืนวัดไลย์ เพราะชาวบ้านประชาชนไม่พอใจที่ซ่อมพระพักตร์เสร็จแล้วแต่ทางการกลับไม่ยอมส่งคืนวัด จึงส่งเสียงประท้วงไปยังกรุงเทพฯ ต่อเนื่อง จนกระทั่งรัชกาลที่ 5 ต้องยอมส่งกลับคืนไปให้แก่ทางวัด เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่อยู่ในแวดวงพระ ๆ วัด ๆ สมัยโน้น ข้อน่าสังเกตก็คือพระพุทธรูปพระศรีอาริย์ 3 องค์ (คือที่วัดพนมยงค์ วัดศาลาปูน และวัดแจ้ง อ.บางบาล) ต่างก็มีพระพักตร์คล้ายพระศรีอาริย์วัดไลย์ และดูเหมือนจะสร้างขึ้นภายใต้คติเดียวกันแต่ต่างบริบทเวลา ยกเว้นกรณีของวัดชุมพลนิกายาราม อ.บางปะอิน ซึ่งเข้าใจได้ เพราะพระพุทธรูปพระศรีอาริย์กรณีวัดชุมพลนิกายาราม สร้างโดยช่างหลวงจากกรุงเทพฯ ขณะที่วัดไลย์ วัดพนมยงค์ วัดศาลาปูน วัดแจ้งบางบาล เป็นฝีมือช่างท้องถิ่นอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับผู้เขียน เห็นว่าการสร้างพระพุทธรูปมีคติเบื้องหลังกำกับอยู่เสมอ ไม่ได้สร้างขึ้นอย่างลอย ๆ อยากจะให้เป็นแบบใดก็ได้ และการสร้างพระพุทธรูปแบบใดขึ้นที่ใดก็ตาม เป็นสิ่งสะท้อนลักษณะความเคารพเชื่อถือของประชาชนในท้องถิ่นนั้น ๆ อยู่พอสมควร ไม่เหมือนทุกวันนี้ ที่วัดพุทธพาณิชย์มีกำลังทรัพย์มากอาจจะสามารถสร้างพระพุทธรูปอย่างใดให้ใครที่ไหนมากราบไหว้และบริจาคก็ได้ทั้งนั้น
ได้กล่าวแล้วว่า แนวคิดพระศรีอาริย์มีอิทธิพลในต่อไพร่ราษฎรตามหัวเมืองภาคกลางในช่วงก่อนหน้าการอภิวัฒน์ 2475 มาระยะหนึ่งแล้ว โดยมีจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่ส่งผลมาจนถึง 2475 ก็คือกรณีขบถผู้มีบุญอีสาน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่จุดชนวนให้ผู้คนตื่นตัว (หรือถ้าพูดตามภาษาปัจจุบันก็ตรงกับคำว่า “ตาสว่าง” ได้) กับแนวคิดเรื่องยุคพระศรีอาริย์ ในเมื่อคณะราษฎรเสนอว่าจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเพื่อนำไปสู่สังคมใหม่ที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ก็จึงง่ายที่จะอธิบายเกี่ยวโยงไปถึงว่าสังคมใหม่ที่ว่านี้ก็คือสังคมแบบยุคพระศรีอาริย์ที่มีอยู่ในความเชื่อของราษฎรเวลานั้น และนี่เองเป็นสิ่งที่ผู้เขียนเห็นว่า ทำให้คนอีสานต่างขานรับการอภิวัฒน์ 2475 กันมาก
ในปี พ.ศ. 2525 เมื่อให้สัมภาษณ์แก่ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และคณะ ปรีดี พนมยงค์ ก็ยังได้กล่าวถึงเรื่องนี้เอาไว้ ซึ่งสะท้อนว่าในช่วงบั้นปลายชีวิตนั้นปรีดียังคงมีความทรงจำต่อเรื่องนี้อย่างแจ่มชัด ดังเช่นในคำให้สัมภาษณ์ดังกล่าว ปรีดีได้ระบุถึงความเกี่ยวข้องระหว่างแนวคิดพระศรีอาริย์ ขบถผู้มีบุญอีสาน และ 2475 ดังนี้:
“เรื่องพระศรีอาริย์นั้น ในสมัยก่อนเปลี่ยนวิธีพระ “บอกศักราช” จากแบบเดิมมาเป็นแบบใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๖ (ซึ่งใช้ต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้) นั้น ชาวนาและพุทธศาสนิกไทยได้ฟังพระบอกศักราช โดยเริ่มต้นเท่าที่ผม (ปรีดี พนมยงค์) ระลึกเค้าความได้ว่า “ศิริศุภมัสดุ พระพุทธสาสนายุกาล นับจำเดิมแต่องค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าสู่ปรินิพพานแล้วเท่านั้น ๆ พรรษา” ในตอนท้ายของการบอกศักราชนั้น พระได้บอกคำนวณว่า “ปีจะยังมาอีกกี่ปี เดือนจะยังมาอีกกี่เดือน วันจะมาอีกกี่วัน ศาสนาขององค์พระทรงธรรม์ก็จะครบจำนวนถ้วน 5000 พรรษา” หมายความว่า เป็นเวลาอีกเท่าใดจะถึงศาสนาพระศรีอาริย์อันเป็นสิ่งที่ชาวพุทธปรารถนายิ่งนัก
ส่วนเรื่องทางอีสานก็มีเรื่องที่ทางราชการสมัยเก่าเรียกว่า “ผีบุญผีบ้า” ไม่ใช่หรือ ซึ่งบางพรรค (หมายถึงพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย) โฆษณาชักจูงให้มีผู้เชื่อว่าเป็น “ขบถชาวนา” เพราะในประเทศจีนเคยมีขบวนการชาวนาต่อสู้เจ้าที่ดิน บางพรรคจึงเสาะหาขบวนการชาวนาไทยทำนองเดียวกับชาวนาจีนขึ้นมาบ้าง ผมขอให้คุณศึกษาประวัติศาสตร์ดินแดนภาคอีสานให้ถูกต้อง คุณก็จะทราบได้ว่าดินแดนนี้ส่วนใหญ่ของภาคอีสานที่มีชนเชื้อชาติลาวอยู่เป็นส่วนมากนั้น เคยขึ้นกับกรุงศรีสัตนาคนหุตก่อนขึ้นกับไทย เมื่อประมาณ 90-100 ปีมาแล้ว มีขบวนการที่ทางราชการสมัยนั้นเรียกว่า “ผีบุญผีบ้า” แต่ที่จริงเขาเป็นชาวชนบทอีสานที่ไม่ชอบระบอบการปกครองที่ส่งคนไปจากกรุงเทพฯ”[10]
“ระบอบการปกครองที่ส่งคนไปจากกรุงเทพฯ” ที่ปรีดีกล่าวถึงในที่นั้น จะเป็นอะไรที่ไหนไกลอื่นไปได้ล่ะ ถ้าไม่ใช่การเมืองและสังคมไทยสยามภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช!!!
(7) การกำหนดอายุ (Dating) พระศรีอาริย์วัดพนมยงค์
ปัญหาต่อมาเมื่อต้องพิจารณาเรื่องนี้ก็คือ พระพุทธรูปพระศรีอาริย์อย่างวัดพนมยงค์ วัดศาลาปูน และวัดแจ้งบางบาล มีอยู่ในสมัยปรีดี พนมยงค์ หรือไม่ ถ้าถามคนในท้องถิ่น เขาก็มักจะบอกว่าเป็นพระพุทธรูปมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ซึ่งนั่นก็หมายความว่าจะต้องมีอยู่ในสมัยปรีดี พนมยงค์ ด้วยแน่นอน แต่ทุกสิ่งอย่างลองถ้าเป็นของที่ดูโบราณ ๆ แล้ว ในอยุธยาเป็นต้องยกให้เป็นของมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตลอด ซึ่งก็เข้าใจได้ เพราะเป็นยุคประวัติศาสตร์สำคัญ ของอย่างใดถ้าเป็นของมีมาจากยุคนั้นแล้วก็จะยิ่งเป็นของสำคัญควรค่าแก่การทำนุบำรุงรักษา สร้างมูลค่า และเป็นเครื่องนำพาให้ผู้คนมานิยมสักการะมากขึ้นไปอีกเป็นธรรมดา แต่ในทางวิชาการ เราจะลากทุกสิ่งอย่างไปเป็นของกรุงศรีอยุธยาไม่ได้
พระพุทธรูปพระศรีอาริย์นี้เนื่องจากไม่เคยมีงานศึกษาทางประวัติศาสตร์โบราณคดีกันอย่างจริงจัง ที่ผ่านมาจึงยังไม่มีข้อเสนอเกี่ยวกับการกำหนดอายุ (Dating) ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับโบราณวัตถุอย่างใดก็ตาม ถ้าไม่มีหลักฐานลายลักษณ์อักษรก็ต้องอาศัยวิธีการศึกษาเปรียบเทียบวิวัฒนาการรูปแบบศิลปกรรม (Art pattern methodology)
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า พระพุทธรูปพระศรีอาริย์ทั้งสามข้างต้นมีพุทธลักษณะคล้ายคลึงกับที่วัดไลย์มาก กรณีวัดไลย์ มีความเชื่อว่าเป็นพระพุทธรูปเก่าถึงสมัยสุโขทัย แต่พระพักตร์ที่เห็นในปัจจุบันนี้เป็นผลจากการบูรณะในสมัยรัชกาลที่ 5 ถึงแม้พระพักตร์ตลอดพุทธลักษณะอย่างอื่นจะคล้ายคลึงกัน แต่จะสรุปว่าสร้างขึ้นมาในยุคเดียวกันก็ไม่ได้อีก เพราะคนรุ่นหลังที่มีเทคโนโลยีมีความรู้เชิงช่าง มีเครื่องมือต่าง ๆ ก็สามารถสร้างของเลียนแบบของเก่าได้เป็นปกติ พระพักตร์ที่คล้ายคลึงกันแถมยังมีชื่อเรียกเดียวกัน (คือพระศรีอาริย์) ก็น่าเชื่อว่า พระศรีอาริย์อยุธยาทั้งสามองค์ คงได้รับอิทธิพลทางด้านรูปแบบมาจากวัดไลย์ อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี แต่ไม่ได้สร้างในยุคเดียวกับพระศรีอาริย์วัดไลย์ สร้างทีหลัง แล้วเป็นช่วงไหน ในระหว่างสมัยรัชกาลที่ 5 ถึง 2475?
เรายังไม่จนปัญญาสำหรับเรื่องนี้ไปเสียทีเดียว เดิมผู้เขียนไม่กล้าเขียนเรื่องนี้ เพราะไม่ทราบอายุที่แน่นอนของพระศรีอาริย์วัดพนมยงค์ เคยค้นดูข้อมูลจากหลายแหล่ง ทั้งจากกรมการศาสนา กรมศิลปากร ตลอดจนผู้รู้ในท้องถิ่น เที่ยวสืบเสาะเยี่ยมชมพระพุทธรูปพระศรีอาริย์ที่ต่าง ๆ มากมายหลายแห่ง ก็พบแต่ความล้มเหลว ไม่สามารถนำมาใช้พิจารณากำหนดอายุให้แก่พระศรีอาริย์วัดพนมยงค์ได้
แต่ไม่นานมานี้เมื่อผู้เขียนได้ไปเยี่ยมชมของในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ซึ่งที่จริงก็เคยไปมาหลายครั้ง เคยจัดกิจกรรมพานักศึกษาไปเยี่ยมชมด้วยซ้ำ แต่ของสำคัญที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้รับบริจาคมาจากวัดโบสถ์อินทร์บุรี อย่างพระพุทธรูปพระศรีอาริย์กับพระมาลัย ได้เคลื่อนย้ายไปจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ เสียเป็นเวลานาน เพิ่งจะได้ย้ายกลับไปอินทร์บุรีเมื่อไม่นานมานี้
เมื่อผู้เขียนได้รับคำชี้ชวนจากมิตรสหายชาวสิงห์บุรี ไปชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้อีกครั้ง พระพุทธรูปทั้งสองที่มีชื่อเรียกกันในท้องถิ่นมาแต่เดิมว่า “พระศรีอาริย์” กับ “พระมาลัย” ได้ให้ความกระจ่างแก่ผู้เขียน ทำให้ผู้เขียนสามารถนำเอารูปแบบพระพุทธรูปที่นี่มาใช้กำหนดอายุให้แก่พระศรีอาริย์วัดพนมยงค์ได้เป็นมั่นคง
ไม่เพียงแต่ด้านอายุเท่านั้น ด้านรูปแบบที่พระพุทธรูปลักษณะนี้ในบางท้องถิ่น โดยเฉพาะแถบภาคเหนือและภาคเหนือตอนล่าง ราษฎรมักนิยมเรียกกันว่า “พระมาลัย” (บางแห่งเขียน “พระมาไลย”) แต่พระพุทธรูปรูปแบบเดียวกันนี้ในภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคใต้ตอนบน มักมีชื่อเรียกกันว่า “พระศรีอาริย์” หรือ “พระศรีอาริยเมตไตรย”
แต่กรณีพระศรีอาริย์กับพระมาลัยที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอินทร์บุรี (เดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดโบสถ์ อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี) ช่วยให้เห็นการสร้างพระพุทธรูปทั้งสองแบบนี้แตกต่างกันอย่างไร ถึงแม้ทั้งสององค์จะแต่งกายด้วยเครื่องจีวรธรรมดา ไม่ได้สวมเครื่องทรงแบบกษัตริย์ และต่างก็อยู่ในท่วงท่าแบบนั่งขัดสมาธิพระกรซ้ายถือตาลปัตรด้วยกันทั้งคู่ แต่ตาลปัตรของพระศรีอาริย์ จะเป็นแบบกลวงเห็นพระพักตร์มีลวดลายที่เส้นรอบวง ส่วนตาลปัตรของพระมาลัยจะเป็นแบบใบไผ่ปิด หากมองตรง ๆ ตาลปัตรนี้จะปิดพระพักตร์ของพระมาลัยพอดี อีกอย่างพระมาลัยยังมีบาตรห้อยอยู่ด้านหลัง ขณะที่พระศรีอาริย์ไม่มี
เรารู้ว่าพระพุทธรูปพระศรีอาริย์กับพระมาลัยแบบที่พบที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอินทร์บุรีนี้ เป็นพระพุทธรูปที่มีแบบแผนการสร้างและส่งผลไปมีอิทธิพลต่อการสร้างพระพุทธรูปรูปแบบนี้ที่อื่นด้วย นอกเหนือจากที่อยุธยา ก็คือเรายังพบพระพุทธรูปแบบเดียวกันนี้ทั้งสองรูปคู่กัน (คือพระศรีอาริย์กับพระมาลัย) อยู่ที่วัดเทวราชกุญชร (วัดสมอแครง) กรุงเทพฯ ข้างหอสมุดแห่งชาติเทเวศน์ เป็นวัดคู่กับวัดราชาธิวาส (วัดสมอราย) ที่ให้กำเนิดธรรมยุติกนิกาย
โชคดีที่พระศรีอาริย์วัดพนมยงค์ยังเหลือตาลปัตร และรูปลักษณะก็แบบเดียวกับพระศรีอาริย์ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอินทร์บุรี เหมือนกันทุกอย่างทุกประการ ต่างกันที่ขนาด พระศรีอาริย์วัดพนมยงค์มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย (กะด้วยสายตา) ที่สำคัญทั้งพระศรีอาริย์และพระมาลัยที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอินทร์บุรี มีศักราชระบุถึงปีสร้างไว้ที่ฐานชุกชี คือ พ.ศ. 2470
เรายังรู้ได้อีกว่า พ.ศ. 2470 มีการสร้างพระพุทธรูปตามความเชื่อพระศรีอาริย์แบบเดียวกันนี้ที่ไม่ใช่ในอยุธยาและลพบุรีอีก คือมีที่วัดกลาง อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ด้วยเช่นกัน ถึงแม้ตัวพระพุทธรูปพระศรีอาริย์วัดกลาง บางปลาม้า ได้สูญหายไปแล้ว เหลือแต่วิหารที่เราทราบจากหน้าบันว่าเป็นวิหารที่ประดิษฐานพระศรีอาริย์ เพราะเขียนไว้ที่หน้าบันวิหาร และยังได้ระบุศักราชไว้ด้วยว่า สร้าง พ.ศ. 2470 แต่ตัวพระพุทธรูปประธานภายในวิหารปัจจุบันเป็นพระพุทธรูปแบบอื่นไม่ใช่พระศรีอาริย์
ก็เป็นอันสรุปได้ว่าใน พ.ศ. 2470 นั้น ได้มีการสร้างพระพุทธรูปพระศรีอาริย์กันในภาคกลางแพร่หลายอย่างน้อยใน 4 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ ที่วัดเทวราชกุญชร, สิงห์บุรีที่วัดโบสถ์ อ.อินทร์บุรี, อยุธยาที่วัดพนมยงค์ วัดศาลาปูน และวัดแจ้ง อ.บางบาล จะเห็นได้ว่าอยุธยาเป็นจังหวัดที่มีพระพุทธรูปแบบนี้มากที่สุด และก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พระพุทธรูปพระศรีอาริย์วัดพนมยงค์นี้มีอยู่ในสมัยปรีดี พนมยงค์ เพียงแต่อาจมีอิทธิพลต่อปรีดีแบบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
เพราะเหตุใด ทำไม จึงมีการสร้างพระพุทธรูปพระศรีอาริย์กันมากในภาคกลางในทศวรรษ 2470 จะเกี่ยวข้องกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในสมัยรัฐบาลพระปกเกล้าฯ หรือไม่ หรือเพราะชาวนาในภาคกลางสมัยนั้นเผชิญปัญหาอย่างใด เนื่องจากเราทราบกันดีว่าพระศรีอาริย์เป็นพระพุทธรูปซึ่งเป็นขวัญกำลังใจและแรงบันดาลใจแก่ชาวนาโดยเฉพาะ ยังไม่อาจจะทราบได้แน่ชัด และนั่นก็ไม่ใช่วัตถุประสงค์สำหรับบทความนี้
ในที่นี้ผู้เขียนต้องการจะพิสูจน์ให้เห็นเพียงว่า การที่วัดประจำตระกูลของผู้ก่อการคนสำคัญอย่างปรีดี พนมยงค์ เป็นวัดที่มีความเชื่อเรื่องพระศรีอาริย์ ส่งผลให้แนวคิดพระศรีอาริย์ไปข้องเกี่ยวกับการอภิวัฒน์ 2475 ได้อย่างไร และพระศรีอาริย์ วัดพนมยงค์ที่แม้แต่ปรีดี พนมยงค์ เองก็ไม่ได้กล่าวถึงนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่ในยุคสมัยของปรีดี พนมยงค์ หรือไม่ อย่างไร
(8) บทสรุปและส่งท้าย
การอภิวัฒน์ 2475 เกิดจากหลายแนวคิดและหลายสาเหตุที่มารวมกัน แนวคิดหนึ่งซึ่งมีอิทธิพลแพร่หลายตามหัวเมืองท้องถิ่น ไม่เฉพาะในภาคอีสาน ก็คือแนวคิดความเชื่อเรื่องพระศรีอาริย์ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่การศึกษาประวัติศาสตร์ 2475 ที่ผ่านมา ไม่ได้ให้ความสำคัญกับแนวคิดมากเท่าที่ควร เราจึงยังไม่รู้อีกหลายสิ่งอย่างที่ควรจะได้รู้กันไปนานนมแล้ว ณ ขณะปัจจุบันนี้
มุมมองแบบกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลาง ซึ่งมีอิทธิพลต่องานเขียนทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับ 2475 เป็นอันมากนั้น ทำให้องค์ความรู้เกี่ยวกับ 2475 ยังคงอยู่ในสภาพบกพร่องอีกมหาศาล เราแทบไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของผู้คนในต่างจังหวัด กลายเป็นว่า “ประวัติศาสตร์นิพนธ์ 2475” ที่ควรเป็นประวัติศาสตร์ของการให้ภาพความเคลื่อนไหวของประชาชนที่สมบูรณ์ที่สุด กลับเป็นแค่ประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ ในปีเดียวนั้น พวกเขาหลงลืมข้อเท็จจริงบางอย่างแม้กระทั่งว่าผู้ก่อการอภิวัฒน์ส่วนใหญ่เป็นคนต่างจังหวัดหรือมีภูมิหลังเป็น “เด็กบ้านนอก” (ไม่ไกลจากคอกนา) ทั้งสิ้น
ถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานลายลักษณ์อักษรกล่าวถึงศักราชแรกสร้างพระพุทธรูปพระศรีอาริย์วัดพนมยงค์ แต่จากการศึกษาด้วยวิธีการเปรียบเทียบวิวัฒนาการรูปแบบศิลปกรรม ก็ช่วยให้ทราบได้ว่า เป็นพระพุทธรูปที่มีอยู่ในสมัยปรีดี พนมยงค์ หรือก็คือก่อนการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ด้วยเป็นแน่
ไม่น่าเป็นเรื่องบังเอิญที่วัดประจำตระกูล วัดชื่อเดียวกับนามสกุลตัวเอง เป็นวัดที่มีพระพุทธรูปสำคัญอย่างพระศรีอาริย์ประดิษฐานอยู่เป็นขวัญกำลังใจแก่ชาวนาในละแวกย่านอยุธยา แล้วคำว่า “ศรีอาริยะ” หรือ “ยุคพระศรีอาริย์” ก็มาปรากฏในเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ของการอภิวัฒน์ 2475 อย่างเช่น “ประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1” กับ “เค้าโครงการเศรษฐกิจ”
เรายังทราบอีกว่า รุ่นบิดาของปรีดี คือ นายเสียง พนมยงค์ ได้ไปบุกเบิกการทำนาที่ย่านอุทัยและวังน้อย นายเสียงอาจเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้เกิดการสร้างพระพุทธรูปพระศรีอาริย์ขึ้นที่วัดพนมยงค์ ทุกเหตุการณ์เล็ก ๆ ที่ดูไม่สลักสำคัญอะไร และไม่มีบันทึกไว้เป็นหลักฐานลายลักษณ์อักษร อาจเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่า จะส่งผลอิทธิพลใหญ่หลวง ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา วิชาประวัติศาสตร์ถึงได้สำคัญเพราะมันช่วยให้เราเห็นสิ่งเหล่านี้ด้วย
ผู้ประพันธ์วรรณกรรมเล่าเรื่องพระศรีอาริย์ในสมัยอยุธยาจนถึงต้นรัตนโกสินทร์ อาจจะไม่ทราบว่าผลงานของตนจะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการขบถต่อต้านรัฐครั้งใหญ่ ในเมื่อพวกเขาประพันธ์ผลงานเหล่านี้ด้วยอารมณ์คิดว่าเพื่อให้เป็นวรรณกรรมเฉลิมพระเกียรติ อวดชนชั้นนำเป็นผู้นำที่โลกรอคอย แต่ขณะเดียวกัน มุมมองในเชิงเปรียบเทียบระหว่างแนวคิดพระศรีอาริย์กับแนวสังคมนิยมเพ้อฝัน (Utopia) ในแบบที่ “อัศวพาหุ” เคยอภิปรายไว้ ก็กลับกลายเป็น “สัมพันธบท” (Intertextual) ต่อกรณีการแอนตี้เค้าโครงการเศรษฐกิจที่นำเสนอแผนการเป็นรูปธรรมในการไปถึงซึ่งสังคมแบบยุคพระศรีอาริย์ ในอีกรัชกาลต่อมา
พวกขบถผู้มีบุญอีสานก็ไม่มีทางที่จะล่วงรู้ว่า พวกตนจะไปมีอิทธิพลอะไรต่อชาวนาที่อยุธยากรุงเก่า และคนกรุงเก่ารุ่นนายเสียง พนมยงค์ ที่สร้างพระพุทธรูปพระศรีอาริย์ไว้ที่วัดของตน ก็คงไม่ทราบว่าพระศรีอาริย์จะไปปรากฏอยู่ในเอกสารสำคัญของการเปลี่ยนแปลงอย่าง 2475 สิ่งที่เรียกว่า “การกระทำทางประวัติศาสตร์” (Historical action) นั้นไม่ใช่สิ่งที่ตัวผู้กระทำการจะล่วงรู้หรือคาดการณ์ได้ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมา
กรณีแนวคิดพระศรีอาริย์ยังเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด สำหรับการที่เผยแพร่แนวคิดอย่างใดก็ตามเพื่อการครอบงำผู้คนให้เชื่องหรือจงรักภักดี แต่ท้ายที่สุดแล้วแนวคิดชุดเดียวกันนั่นแหละ เมื่อผ่านพ้นช่วงเวลาหนึ่งไปสู่อีกช่วงหนึ่ง บริบทเงื่อนไขเปลี่ยน ผู้คนก็อาจตีความแนวคิดนั้นไปอีกเป็นอีกแบบอย่างตรงกันข้ามกันได้เป็นปกติ เพราะความคิดของคนเป็นสิ่งที่แม้มีจำมีอำนาจแค่ไหนก็ตาม ก็ควบคุมไม่ได้จริง ๆ หรอก (นะขอรับ !?!)
เชิงอรรถ
[1] เรื่องนี้ผู้เขียนเคยอภิปรายไว้ในวิทยานิพนธ์ปริญญาโทของผู้เขียน และเสนอให้กลับไปใช้คำว่า “ผู้มีบุญ” แทน “ผีบุญ” ถ้าเราจะให้เกียรติแก่คนเหล่านั้นดู กำพล จำปาพันธ์. “ข่าเจือง: กบฏผู้มีบุญในพระราชอาณาเขตสยาม พ.ศ. 2415-2436” วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต (อ.ม.) ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2552; ปรับปรุงตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์เมืองโบราณใน กำพล จำปาพันธ์. ข่าเจือง: ขบวนการผู้มีบุญหลังสถาปนาพระราชอาณาเขตสยาม-ล้านซ้าง. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, 2555.
[2] เดิมผลงานของทั้งสามท่านนี้อยู่ในรูปภาษาอังกฤษ ต่อมาได้มีการแปลถอดความเป็นภาษาไทยแล้วตีพิมพ์เผยแพร่ไว้ใน พรเพ็ญ ฮั่นตระกูล และอัจฉราพร กมุทพิสมัย (บก.). ความเชื่อเรื่องพระศรีอาริย์และกบฏผู้มีบุญในสังคมไทย. กรุงเทพฯ: สร้างสรรค์, 2527.
[3] ดูการศึกษากรณีขบถผู้มีบุญในสมัยอยุธยาใน ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. อยุธยา: ประวัติศาสตร์และการเมือง. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2542.
[4] ในที่นี้ใช้ฉบับเผยแพร่โดยสถาบันปรีดี พนมยงค์ ใน “ประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1” https://pridi.or.th/th/libraries/1583202126
[5] ในที่นี้ใช้ฉบับเผยแพร่โดยสถาบันปรีดี พนมยงค์ ใน “ร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจ” https://pridi.or.th/th/libraries/1583466113
[6] ดูข้อถกเถียงและความขัดแย้งระหว่างฝ่ายคณะราษฎรกับพระปกเกล้าฯ ใน สุพจน์ ด่านตระกูล. พระปกเกล้าฯ กับ คณะราษฎร. กรุงเทพฯ สถาบันวิทยาศาสตร์สังคม, 2544.
[7] ดูรายละเอียดใน ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์. 2475 และ 1 ปีหลังการปฏิวัติ. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2543.
[8] ผู้ที่เสนอมุมมองแบบนี้คนหนึ่งก็คือ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ในหนังสือรวมบทความชื่อ “ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง”
[9] ผู้เขียนเคยอธิบายเรื่องนี้ไว้อย่างละเอียดใน กำพล จำปาพันธ์. “ปรีดี พนมยงค์, ม.ธ.ก., กรณีสวรรคต และรัฐประหาร 2490 ในทัศนะของ “นายผี” (อัศนี พลจันทร)” https://pridi.or.th/th/content/2025/10/2666 (เผยแพร่เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568).
[10] ฉัตรทิพย์ นาถสุภา (ผู้สัมภาษณ์). ประสบการณ์และความเห็นบางประการของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์. (กรุงเทพฯ: คณะกรรมการดำเนินงานโครงการฉลอง 100 ปี ชาตกาลของปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส, 2543), หน้า 46-47.