พระเจ้าช้างเผือก ผลงานภาพยนตร์อันลือเลื่องของนายปรีดี พนมยงค์ มักได้รับการเล่าแจ้งแถลงขานผ่านหลากหลายแง่มุมเสมอๆ ผมเองก็เคยเขียนถึงมาแล้วบ่อยหน ทว่า ในครานี้จะลองนำเสนอเนื้อหาที่ดูเหมือนยังมิค่อยปรากฏใครเอ่ยอ้างเท่าไหร่ นั่นคือแนะนำให้คุณผู้อ่านทำความรู้จัก "ช่างแต่งหน้านักแสดงประจำกองถ่ายภาพยนตร์" เรื่องดังกล่าว
ต้นทศวรรษ 2480 สงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อตัวทางทวีปยุโรปและเริ่มขยายขอบเขตแพร่ลามสู่ฝั่งเอเชีย แม้จะยังไม่เยี่ยมกรายมาถึงเมืองไทย ห้วงยามนั้นกระแสชาตินิยมและการสร้างชาติกำลังพรั่งพรูพร้อมๆ กลิ่นอายแนวคิดสันติภาพค่อยๆ อวลกรุ่น ขณะที่นายกรัฐมนตรีหลวงพิบูลสงคราม และหลวงวิจิตรวาทการ อธิบดีกรมศิลปากร อาศัยศิลปวัฒนธรรมส่งเสริมเชิดชูลัทธิชาตินิยม เห็นได้จากสื่อบันเทิงที่ผลิตออกมาในรูปแบบบทละครและภาพยนตร์หลายเรื่องนับแต่ปี พ.ศ. 2482
ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเยี่ยงนายปรีดีได้พยายามถ่ายทอดประเด็นสันติภาพผ่าน พระเจ้าช้างเผือก ปรารถนาให้เป็นเครื่องมือนำเสนอภาพลักษณ์สังคมไทยต่อสายตานานาชาติ เริ่มจากลงมือเขียนบทภาษาอังกฤษขึ้นเองชื่อว่า The King of the White Elephant แล้วนำมาจัดสร้างภาพยนตร์เสียงขาว-ดำ ฟิล์ม 35 มม. โดยบริษัทปรีดีภาพยนตร์ นายปรีดีเป็นผู้อำนายการสร้าง สัณห์ วสุธารเป็นผู้กำกับ ถ่ายภาพโดยประสาท สุขุม ลำดับภาพโดยบำรุง แนวพานิช กำกับศิลป์โดยหม่อมเจ้ายาใจ จิตรพงศ์ บันทึกเสียงโดยชาญ บุนนาค และพระเจนดุริยางค์ทำดนตรีประกอบโดยนำทำนองเพลง ‘สายสมร’ สมัยสมเด็จพระนารายณ์ที่พบในงานเขียนของลาลูแบร์ 2 ท่อนมาต่อเติม
นักแสดงคัดเลือกมาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักเรียนเตรียมธรรมศาสตร์ (ต.ม.ธ.ก.) นักเรียนกรุงเทพคริสเตียน มีนักแสดงกิตติมศักดิ์ทั้งข้าราชการกระทรวง กรมกองต่างๆ และอาจารย์โรงเรียนอัสสัมชัญ นักแสดงนำหลักๆ ได้แก่ เรณู กฤตยากร สวมบทบาทพระเจ้าจักรา, ไพลิน นิลเสน หรือไอรีน สาวสวยลูกครึ่งเชื้อสายเดนมาร์ก สวมบทบาทนางเอกชื่อเรณู และประดับ ระบิลวงศ์ สวมบทบาทพระเจ้าหงสา
ภาพยนตร์ถ่ายทำกันตอนกลางคืนและวันอาทิตย์ เพราะเป็นช่วงเวลาว่างของผู้ร่วมแสดง ฉากไหนที่จะถ่ายทำในโรงถ่ายกองทัพอากาศทุ่งมหาเมฆก็ถ่ายตอนกลางคืน ฉากไหนที่จะถ่ายกลางแจ้งก็ถ่ายวันอาทิตย์ บางฉากถ่ายทำที่ปราสาทเทพบิดรในวังหลวงและวัดพระแก้ว พระยาเทวาธิราช เจ้ากรมพระราชพิธี สำนักพระราชวังมาช่วยคอยดูแล ส่วนฉากฝูงช้างหลายเชือกตระการตา เดินทางไปถ่ายทำที่จังหวัดแพร่ เนื่องจากเจ้าวงศ์ แสนศิริพันธุ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสนิทสนมกับนายปรีดี
การถ่ายทำกินเวลานานหลายเดือน หากในที่สุดสามารถนำ พระเจ้าช้างเผือก ออกฉายครั้งแรกเมื่อวันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2484 ณ ศาลาเฉลิมกรุง มิหนำซ้ำ ในวันเดียวกันยังจัดฉายที่โรงภาพยนตร์ในสิงคโปร์ และนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา
อย่างที่เกริ่นตอนแรก อีกข้อมูลที่ไม่ค่อยมีใครหยิบยกมาขยายความ คงมิพ้นเรื่องการแต่งหน้านักแสดงในกองถ่ายภาพยนตร์ ทั้งๆที่น่าสนใจไม่เบาทีเดียว
สุรัยยา (เบ็ญโส๊ะ) สุไลมาน ผู้ศึกษาประเด็นแนวคิดสันติวิธีของนายปรีดีผ่านภาพยนตร์ พระเจ้าช้างเผือก เคยสัมภาษณ์ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยานายปรีดี เมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2540 เวลา 09.00 น.-11.00 น. ณ บ้านซอยสวนพลู กรุงเทพมหานคร ตอนหนึ่งสุรัยยาถามเกี่ยวกับการที่ท่านผู้หญิงช่วยแต่งหน้านักแสดง ซึ่งได้รับคำตอบ “โอย! แต่งหน้าตัวประกอบนะคะ” และเปิดเผยต่อว่า “...คนแต่งหน้าชั้นหนึ่งนี่ ท่านขุนชำนาญ อินทุโสภณ พ่อของอาจารย์จันทร์แจ่ม ที่ใช้นามปากกา ‘ตุลจันทร์’ นะคะ คุณพ่อเขาเป็นคนช่วยแต่งหน้าตัวสำคัญๆก็ท่านขุนชำนาญนี่แหละ...”
นั่นชวนให้ผมนึกสงสัย ท่านขุนชำนาญคือใคร?
ชีวิตของขุนชำนาญ หรือนายชำนาญ อินทุโศภน คล้ายคลึงกับชีวิตนายปรีดีอยู่หลายประการ เป็นคนกรุงเก่า พระนครศรีอยุธยาเฉกเช่นเดียวกัน เกิดปี พ.ศ. 2443 เหมือนกัน แต่วันที่ 16 สิงหาคม ณ เรือนแพจอดริมแม่น้ำแควป่าสักย่านตลาดท้องน้ำตรงข้ามวังจันทร์เกษม ทั้งนายฉายและนางยิ้มผู้บิดามารดามีเชื้อสายจีน นายชำนาญตอนเด็กๆ จึงชื่อจีนว่า “เทียนหลุย”
นายฉายประกอบอาชีพใช้เรือกลไฟรับจ้างโยงเรือบรรทุกสินค้าจากกรุงเทพฯ ขึ้นไปกรุงเก่า และโยงเรือกลับจากกรุงเก่าลงมากรุงเทพฯ ส่วนนางยิ้มขายของจิปาถะจำพวกหนังสือ ใบลาน ดินสอพอง ใบตองแห้ง และใบจากมวนบุหรี่
"เทียนหลุย" หัดอ่านและเขียนหนังสือที่บ้าน ก่อนจะเข้าศึกษาโรงเรียนตัวอย่างมณฑลกรุงเก่า จนสอบไล่ได้ชั้นมัธยมปีที่ 5 อันเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียนใน พ.ศ. 2454 จึงออกมาช่วยมารดาค้าขาย เนื่องจากบิดาเสียชีวิตไปตั้งแต่ พ.ศ. 2450 พร้อมหัดพูดภาษาแต้จิ๋วกับพ่อค้าจีนจอดเรือขายมะพร้าวข้างเรือนแพ
สามปีต่อมามีโอกาสได้ไปศึกษาต่อโรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก พระนคร เพราะภรรยาผู้พิพากษาศาลมณฑลอยุธยาร้องขอนางยิ้มให้ช่วยส่งตัวไปเรียนเป็นเพื่อนลูกชายของตน เทียนหลุยเป็นนักเรียนแผนกภาษาอังกฤษและเป็นนักเรียนประจำกินนอนที่นั่น ครั้นสอบไล่ได้ชั้น Standard II แล้ว พอปี พ.ศ. 2459 นางยิ้มได้ส่งให้เข้าศึกษาโรงเรียนราชวิทยาลัย ตำบลบางขวาง นนทบุรี ด้วยการสนับสนุนจากข้าราชการกระทรวงยุติธรรมผู้หนึ่ง
ระหว่างเรียน เขาเล่นกีฬาต่างๆ ทั้งฟุตบอล แบดมินตัน สคว๊อชแร็กเกต ตะกร้อ หมากรุกไทย หมากรุกฝรั่ง และเพาะกล้าม รวมถึงร่วมกิจกรรมบันเทิงทั้งดนตรี ละครพูด ลิเก และการแสดงอื่นๆ ดังในปี พ.ศ. 2460 ทางโรงเรียนจัดให้นักเรียนแสดงละครพูดภาษาอังกฤษและภาษาไทยถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ในโอกาสเสด็จพระราชทานประกาศนียบัตรและรางวัล
เทียนหลุยได้รับหน้าที่เป็นผู้จัดสร้างฉากละครและตัวแสดงละครทั้งสองเรื่อง รวมถึงได้รับอบรมการแต่งหน้าละครเจ้าหน้าที่ซึ่งราชสำนักส่งมาด้วย
ล่วง พ.ศ. 2461 เทียนหลุยเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “ชำนาญ” และเริ่มใช้นามสกุล “อินทุโศภน” ซึ่งรัชกาลที่ 6 พระราชทานให้ญาติฝ่ายบิดาที่ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่
นายชำนาญสอบไล่ได้ชั้น 8 ชั้นสูงสุดของโรงเรียนในปี พ.ศ. 2462 ก็เข้ารับราชการกรมบัญชาการกลางมหาดเล็กและเป็นพลเสือป่าราชนาวี สมัครเข้าศึกษาวิชากฎหมายในโรงเรียนกฎหมายของกระทรวงยุติธรรมตั้งแต่ พ.ศ. 2463-2465 ทว่าระหว่างเรียนสอบตกหลายครั้ง จึงรับราชการประจำกองบัญชาการกลางมหาดเล็กและย้ายไปกรมปลัดบัญชีมหาดเล็ก จนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “ขุนชำนาญวรกิจ” ในปี พ.ศ. 2466
ผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกที่แพร่มาถึงเมืองไทย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงใช้นโยบายดุลข้าราชการออก และ ลดเงินเดือนข้าราชการ นายชำนาญเป็นคนหนึ่งที่พ้นจากราชการราชสำนักในปี พ.ศ. 2469 อย่างไรก็ดี เขาสมัครเข้ารับราชการตำแหน่งผู้ช่วยสมุห์บัญชีกองบัญชี กรมรถไฟแผ่นดิน เพราะขณะนั้นทางกรมฯ กำลังต้องการคนไปช่วยสะสางบัญชีที่โรงไฟฟ้าสามเสน
พ.ศ. 2470 ขุนชำนาญโอนย้ายไปรับราชการเป็นผู้ช่วยสมุห์บัญชี กรมไปรษณีย์โทรเลขเรื่อยมากระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 หัวหน้าแผนกธนาณัติ กองบัญชีกรมไปรษณีย์โทรเลขเข้าร่วมการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ไม่มีเวลาปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าแผนกได้ ทางราชการจึงสั่งให้นายชำนาญรักษาการในตำแหน่งหัวหน้าแผนกธนาณัติอยู่เกือบสองปี จึงได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าแผนกธนาณัติในปี พ.ศ. 2477 และมาได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการกรม กรมไปรษณีย์โทรเลขในปี พ.ศ. 2484
แสดงว่าตอนขุนชำนาญไปช่วยเป็นช่างแต่งหน้านักแสดงประจำกองถ่ายภาพยนตร์ พระเจ้าช้างเผือก เขาน่าจะยังเป็นหัวหน้าแผนกธนาณัติ กองบัญชี กรมไปรษณีย์โทรเลข
ขุนชำนาญเคยเดินทางไปดูงานบัญชีไปรษณีย์โทรเลข ณ นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลียในปี พ.ศ. 2471 และอีกราวสิบปีต่อมา ก็ไปประชุมสากลไปรษณีย์ครั้งที่ 11 ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา
กลางเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2484 มีการประกาศตั้งกระทรวงคมนาคม ขุนชำนาญได้รับคำสั่งให้ทำหน้าที่หัวหน้ากองกลาง กระทรวงคมนาคม และได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนี้ต่อไปนับแต่เดือนพฤศจิกายนปีนั้น
ปี พ.ศ. 2485 ทางราชการประกาศให้ข้าราชการลาออกจากบรรดาศักดิ์ได้ ขุนชำนาญใคร่ครวญว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและปลัดกระทรวงลาออกจากบรรดาศักดิ์ จึงลาออกด้วย แล้วมาใช้นามว่า "นายชำนาญ อินทุโศภน"
การแต่งหน้าในสังคมไทยยุคแรกๆ โดยเฉพาะการแต่งหน้าของผู้หญิง เพิ่งเกิดขึ้นด้วยการริเริ่มของ “พวกน้ำเค็ม” หรือ “สาวน้ำเค็ม” ซึ่งหมายถึงกลุ่มคนที่เคยเดินทางไปต่างประเทศมาแล้ว เพราะได้นำเครื่องสำอางติดมือกลับมาจากเมืองนอก และจะแต่งหน้าก็ต่อเมื่อต้องไปงานราตรีสโมสรในวงสังคมชาวต่างชาติตอนเวลากลางคืนเท่านั้น โดย “ถอนคิ้วนิด ทาปากหน่อย และทาแก้มน้อยๆ...” ลักษณะค่านิยมเช่นนี้น่าจะแพร่หลายนับแต่ช่วงทศวรรษ 2450-2460 ซึ่งตรงกับห้วงเวลาที่นายชำนาญ อินทุโศภน เป็นนักเรียนโรงเรียนราชวิทยาลัย และผ่านการอบรมแต่งหน้าละครจากเจ้าหน้าที่ราชสำนัก ทำให้มีฝีมือในด้านนี้จนมาช่วยแต่งหน้านักแสดงในกองถ่ายภาพยนตร์ช่วงต้นทศวรรษ 2480 ได้
ภายหลัง พระเจ้าช้างเผือก ออกฉายไปได้ 8 เดือน เงื้อมเงาสงครามโลกครั้งที่ 2 แผ่เข้ามาครอบคลุมเมืองไทยเนื่องจากกองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกเข้ายึดครองหลายพื้นที่ มิเว้นกระทั่งเมืองหลวงเยี่ยงกรุงเทพมหานคร กระนั้น แนวคิดที่ถ่ายทอดผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้ใช่จะเสื่อมคลายสูญสลายไปหมดสิ้น ถึงแม้ตกอยู่ในสภาวะสงคราม แต่คนไทยยังใฝ่ฝันและพยายามต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอิสรภาพและสันติภาพอย่างภาคภูมิ ดังเคลื่อนไหวออกมาในรูปโฉม "ขบวนการเสรีไทย"
ช่างแต่งหน้าและการแต่งหน้านักแสดงประจำกองถ่าย มองผาดเผินอาจดูเป็นเพียงบทบาทเล็กๆ น้อยๆ ที่ประกอบเสริมและเอื้ออำนวยความยิ่งใหญ่อลังการให้กับภาพยนตร์ แต่ก็สะท้อนถึงความร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือเกื้อกูลกันคนละนิดคนละหน่อยที่จะมุ่งนำเสนอภาพลักษณ์ ‘สันติภาพ’ ของเมืองไทยไปสู่สายตาชาวโลก
หนังไทยดีๆ ควรค่าแก่การเก็บไว้เป็นที่ระลึก
สั่งซื้อ DVD พระเจ้าช้างเผือก The King Of The White Elephant ได้ที่
https://shop.pridi.or.th/th/product/652716/product-652716
เอกสารอ้างอิง
- ชาญวิทย์ เกษตรศิริและวาณี สำราญเวทย์, “ภาพยนตร์ไทยกับการ “สร้างชาติ”: เลือดทหารไทย, พระเจ้าช้างเผือก, บ้านไร่นาเรา,” วารสารธรรมศาสตร์ 19, ฉ. 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2536), 96-100
- ทิพย์วัลย์ ประยูรสุข (บรรณาธิการ). ภาพยนตรานุกรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ พ.ศ. ๒๔๗๐-๒๔๙๙. นครปฐม: หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน), 2557
- นายชำนาญ อินทุโศภน กับตำนานของเฮโรโดตัส. ม.ป.ท.: รุ่งศิลป์การพิมพ์, 2534
- ปรีดี พนมยงค์. พระเจ้าช้างเผือก. กรุงเทพฯ : สมาคมธรรมศาสตร์ นครลอสแองเจอลิส สหรัฐอเมริกา, 2533
- ลาวัณย์ โชตามระ. เล่าเรื่องของไทย. กรุงเทพฯ: คลังวิทยา, 2509
- สุรัยยา (เบ็ญโส๊ะ) สุไลมาน. กระบวนทัศน์สันติวิธีของปรีดี พนมยงค์? กรณีศึกษาเรื่อง พระเจ้าช้างเผือก. กรุงเทพฯ: คณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปี ชาตกาลนายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ภาคเอกชน, 2544
- Barmé, Scot. Woman, Man, Bangkok: Love, Sex, and Popular culture in Thailand. Chiang Mai: Silkworm, 2002.