พระเจ้าจักราทรงประทับ ณ ท้องพระโรง พระพักตร์เคร่งขรึมเนื่องจากพระองค์จะเสด็จออกให้เจ้าชายบุเรง ทูตพิเศษจากพระเจ้าหงสาเข้าเฝ้า เจ้าเพื่อนบ้านผู้เกเรประเทศนี้ต้องการอะไรจากเรานะ คงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่!
แม้กระนั้นก็ตาม พระเจ้าจักราทรงคิดว่า พระเจ้าหงสายังถวายพระเกียรติ โดยส่งทูตพิเศษมาถึงกรุงอโยธยา หากเป็นกษัตริย์โมกุลผู้ยิ่งใหญ่แล้ว บรรดาประมุขของอาณาจักรข้างเคียงต้องเดินทางไปเข้าเฝ้าถึงที่ประทับ เพื่อรับพระบัญชาจากพระองค์ บรรดาประมุขผู้โชคร้ายเหล่านั้นมักจะหลบเลี่ยงคำสั่ง เพราะลังเลใจอยู่ระหว่างอำนาจเผด็จการที่กำลังคุกคามประเทศกับความอดสูใจที่จะยอมหมอบราบคาบแก้วต่อกษัตริย์โมกุลผู้ยิ่งใหญ่
พระเจ้าจักราทรงครุ่นคิด และทำให้ทรงระลึกถึงวัจนะอันทรงค่าที่ว่า
“เจตนาที่ดีเป็นความดีอันประเสริฐสุด”[1] ความคิดดังกล่าวช่วยให้พระหทัยของพระองค์สงบเยือกเย็น เปรียบเสมือนกระแสธารอันชุ่มฉ่ำ ที่ช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานของนักเดินทางจากความร้อนระอุในคิมหันตฤดู
พระเจ้าจักราทรงมีบัญชาให้เบิกตัวทูตพิเศษเข้าสู่ท้องพระโรงได้
สมุหราชมณเฑียรประกาศ
“เจ้าชายบุเรง ทูตพิเศษจากพระเจ้าหงสา”
เจ้าชายบุเรงติดตามด้วยราชองครักษ์ ๒ นาย ทรงหยุดชั่วครู่ที่ธรณีประตูพลางกวาดพระเนตรดูท้องพระโรง ที่ประดับประดาตกแต่งไว้อย่างกลมกลืน ซึ่งเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นพระบารมีและพระเกียรติยศแห่งกษัตริย์จักรา ด้วยความพินิจพิเคราะห์
เจ้าชายบุเรงเสด็จเข้ามาภายในท้องพระโรง ในระหว่างแถวของข้าราชสำนัก องคมนตรี และเหล่าเสนามาตย์ ๒ แถว ด้วยพระอากัปกิริยาที่ดูหยิ่งยโสมากกว่าจะทรงความสูงศักดิ์
เจ้าชายบุเรงถวายความเคารพพระเจ้าจักราตามขนบธรรมเนียม แล้วตรัสว่า
“หม่อมฉัน ได้รับมอบหมายให้ถือพระราชสาส์นมาจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหงสา ผู้ทรงเป็นมหามิตรแห่งกษัตริย์โมกุลผู้ยิ่งใหญ่ ที่มีพระราชอำนาจยิ่ง พระเจ้าหงสาทรงปรารถนาช้างเผือกหนึ่งเชือกจากฝ่าพระบาท”
พระเจ้าจักราหาได้แสดงพระอาการหวั่นวิตกแต่อย่างใดไม่ พระองค์ทอดพระเนตรไปยังเจ้าชายบุเรงในท่ามกลางความเงียบ ในขณะที่เจ้าชายบุเรงดึงพระราชสาส์นซึ่งห่อด้วยภูษาอันมีค่าจากมือผู้ติดตามคนหนึ่ง มาถวายพระเจ้าจักรา
พระเจ้าจักราทรงเปิดดูพระราชสาส์น และทรงอ่านด้วยพระสุรเสียงอันดัง ในพระราชสาส์นปรากฏข้อความอย่างสั้น ๆ ได้ใจความครบถ้วนว่า พระเจ้าหงสาทรงได้รับทราบว่า กรุงอโยธยากำลังเร่งเตรียมพร้อมที่จะทำสงคราม การจับช้างเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งพระเจ้าจักราทรงได้ช้างเผือกมาเชือกหนึ่งย่อมเป็นข้อพิสูจน์อย่างแน่นอนถึงเจตนาที่จะก่อสงคราม พระเจ้ากรุงหงสาทราบดังนี้แล้ว จึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจำต้องประกาศยกเลิกสนธิสัญญาว่าด้วยการยุติข้อขัดแย้งโดยสันติวิธี แม้กระนั้น ความหวังที่จะรักษาสันติภาพก็หาได้สูญหายไปเสียทีเดียวไม่ หากพระเจ้าจักราจะส่งมอบช้างเผือกเชือกนั้นมาให้กรุงหงสาภายในเวลา ๓ วัน เพราะกรุงหงสามิได้ต้องการเอกราชและอิสรภาพของประเทศเพื่อนบ้านของตน แต่หากการขอร้องอย่างมีเหตุผลข้างต้นไม่ได้รับการสนองตอบด้วยดีแล้ว กรุงอโยธยาจักต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อผลที่ติดตามมา
พระเจ้าจักราทรงม้วนพระราชสาส์นอย่างช้า ๆ พลางทอดพระเนตรไปยังเหล่าอำมาตย์เสนาบดีของพระองค์ ทรงเห็นคนเหล่านั้นแสดงอากัปกิริยาโกรธจนตัวสั่น หน้าตาแดงก่ำ มือจับดาบข้างกายกันทุกคน
ปฏิกิริยาเช่นนี้เป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระเจ้าจักรายิ่งนัก ทรงลุกขึ้นด้วยพระอาการสง่าภาคภูมิ พระเนตรอันทรงอำนาจจับจ้องอยู่ที่ทูตพิเศษจากหงสา พลางมีพระดำรัสว่า
“จงกลับไปบอกเจ้าเหนือหัวของท่านว่า ข้าฯ เสียใจด้วยที่ไม่สามารถรับข้อเสนอเพื่อสันติภาพพร้อมคำขู่จะใช้กำลังของนายท่านได้”
เจ้าชายบุเรงกล่าวว่า
“หม่อมฉันขอให้ฝ่าพระบาททรงตริตรองให้ถี่ถ้วนในการให้คำตอบ ข้อเรียกร้องจากพระเจ้าหงสาเป็นข้อเสนอที่สมด้วยเหตุผล เพียงแต่ขอช้างเพียงเชือกเดียว”
“สิ่งที่นายของท่านต้องการ เป็นเกียรติภูมิของบ้านเมืองข้าฯ ทั้งหมด” พระเจ้าจักราทรงตรัสตอบด้วยพระสุรเสียงอันดัง “ช้างเผือกเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง หากพระเจ้าหงสาจะใช้กำลังเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่พระองค์ต้องการ จงบอกพระองค์ไปว่า ฝ่ายเราก็จะตอบโต้ด้วยกำลังเช่นกัน ท่านจงกลับไปได้แต่บัดนี้”
หมายเหตุ :
- อักขรวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ
บรรณานุกรม :
- ปรีดี พนมยงค์, คำขาด, พระเจ้าช้างเผือก (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก, ๒๕๔๒), น. ๓๙-๔๑.
อ่านนวนิยาย "พระเจ้าช้างเผือก" ในรูปแบบ E-Book ได้ที่นี่
สั่งซื้อนวนิยาย "พระเจ้าช้างเผือก The King Of The White Elephant" ได้ที่นี่
[1] คติพจน์ของสมาคมพุทธธรรมแห่งประเทศไทย