สมุหราชมณเฑียรกราบบังคมทูลพระเจ้าจักราในเรื่องราชประเพณีที่พระเจ้าอยู่หัวควรจะมีพระมเหสี 365 องค์
ที่มา : ภาพยนตร์เรื่อง "พระเจ้าช้างเผือก"
วันฉัตรมงคล อันเป็นวันครบรอบการเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติของพระเจ้าแผ่นดิน นับเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางความปลื้มปิติแห่งมหาชน
นับแต่ตอนเช้า บรรดาข้าราชการและข้าราชสำนักรีบพากันมายังพระบรมมหาราชวังเพื่อถวายความจงรักภักดี และถวายพระพรแก่พระเจ้าแผ่นดินของตน ประตูพระราชวังเปิดกว้างเต็มที่ โดยมีทหารถือหอกและโล่ปิดทองยืนเรียงแถวตลอดแนวทางเดิน
แต่ละคนต่างแต่งกายโอ่อ่าสำหรับงานเฉลิมฉลองตามยศศักดิ์ของตน เสื้อผ้าอาภรณ์อันมีค่าทอด้วยไหมและปักดิ้นเงินและทอง หมวกแหลมที่ยอดเป็นประกาย เสื้อคลุมยาวทอเป็นลวดลายดอกไม้ด้วยด้ายสีทอง มีดาบพิธีเล่มโตพร้อมกับโล่เงางาม ด้ามดาบประดับด้วยอัญมณีอันมีค่า ทุกคนต่างยืนอยู่ในท้องพระโรงรอคอยเวลาอันเป็นอุดมมงคลฤกษ์ที่พระสงฆ์เป็นผู้กำหนดสำหรับพระราชพิธีสำคัญดังกล่าว
ท้องพระโรงที่พระเจ้าแผ่นดินจะเสด็จออกในฉลองพระองค์เต็มยศ ในการประกอบพระราชพิธี เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สูงใหญ่ มีเสารองรับประดับประดารอบด้านอย่างวิจิตรพิศดาร บริเวณภายในกว้างขวางพอที่จะบรรจุข้าราชสำนักทั้งหมดได้อย่างสบาย ขื่อแปรองรับหลังคาลงรักสีแดง ผนังรอบด้านเป็นภาพวาดเหตุการณ์สำคัญหรือเรื่องราวศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา
บรรดาข้าราชการต่างยืนรอเวลาจนกระทั่งเสียงสังข์ดังขึ้น ตามด้วยเสียงรัวของกลอง ภายในลานพระราชวัง เหล่าทหารทำท่าวันทยาวุธ เมื่อได้รับคำสั่ง สมุหราชพิธีกระแทกคทากระทบพื้นท้องพระโรงสามครั้ง และประกาศอัญเชิญการเสด็จออกของพระเจ้าแผ่นดิน
พระเจ้าจักราเสด็จออกโดยมีราชองครักษ์ติดตาม ก่อนเสด็จเข้าเขตท้องพระโรงทรงหยุดนิ่ง ณ พระทวารและทอดพระเนตรบรรดาผู้มาเฝ้าอยู่ครู่หนึ่ง พระองค์ทรงเป็นบุรุษที่สง่างาม ทรงเชี่ยวชาญในการใช้ศัตราวุธ พระองค์ปรากฏพระวรกายอย่างสง่างามน่าเกรงขาม พระเนตรดูแหลมคมราวกับจะหยั่งรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้ร่วมสนทนา
พระเจ้าจักราเป็นที่รู้จักอย่างดีด้วยพระปรีชา ในการมีพระราชโองการ ทรงเลือกใช้ถ้อยคำที่สามารถแสดงความคิดส่วนพระองค์ได้กระจ่างชัดและถูกต้อง ทำให้บรรดาผู้เข้าเฝ้าฯ มีความรู้สึกมั่นใจและแน่นอนในพระราชประสงค์
ณ เวลานี้พระเจ้าจักราทรงฉลองพระองค์อันแสดงถึงพระบารมีอันยิ่งใหญ่ ทรงสวมพระมหามงกุฎ ฉลองพระองค์เป็นผ้าอันระยับ ทับด้วยฉลองพระองค์ครุยปักทอดยาวลงมาถึงข้อพระบาท
พระเจ้าจักราเสด็จพระราชดำเนินไปอย่างช้า ๆ ระหว่างแถวของบรรดาข้าราชสำนักที่มาเฝ้า ทอดพระเนตรอันเปี่ยมด้วยพระเมตตาไปรอบ ๆ แล้วเสด็จขึ้น ณ บัลลังก์ทอง ประทับและทอดพระเนตรพระราชพิธี แท่นประทับด้านซ้ายของพระองค์อันเป็นที่ประทับของพระมเหสีเอกยังคงว่างอยู่ ทั้งนี้ เพราะพระเจ้าจักรายังมิได้ทรงมีพระประสงค์จะอภิเษกสมรสกับผู้ใด นับตั้งแต่เสด็จครองราชสมบัติมา
เมื่อพระเจ้าจักราประทับแล้ว พระบรมวงศานุวงศ์ก็ประทับด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเป็นที่นั่งของบรรดาอำมาตย์เสนาบดีและองคมนตรี
ขณะที่สมุหราชมณเฑียรเดินออกมาข้างหน้า ข้าราชสำนักผู้หนึ่งก็เริ่มอ่านโศลกพระราชพิธีของพระราชสำนัก ท่านสมุห์ฯ มีหน้าที่ให้สัญญาณการเริ่มพระราชพิธี และควบคุมให้เป็นไปตามขนบประเพณีแต่โบราณ เขาเปรียบเสมือนผู้พิทักษ์ ดูแลมรดกโบราณของการดำเนินพระราชพิธี เขาเป็นผู้ทะนุถนอมขนบธรรมเนียม พระราชประเพณี เพื่อถ่ายทอดให้แก่ยุวกษัตริย์ผู้ไม่ทรงสนพระทัยเรื่องนี้นัก แต่ก็เป็นหน้าที่ของพระมหากษัตริย์และพระองค์ ท่านก็ทรงสามารถประกอบพระราชกรณียกิจนี้ได้อย่างเต็มประทัยตามแบบฉบับโบราณกาล ที่พระมหากษัตริย์พระองค์อื่น ๆ ได้ทรงประกอบมา
ดังนั้น จึงไม่มีผู้ใดประหลาดใจเลย ที่ภายหลังจากบรรดาขุนนางและประชาชนได้กล่าวถวายพระพรแล้ว สมุหราชมณเฑียรก็กราบบังคมทูลพระเจ้าจักราด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นทางการ แต่หนักแน่นว่า
“ขอเดชะ พระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า ปรารถนาที่จะนำข่าวประเสริฐไปป่าวร้องให้ประชาราษฎร์ทราบอย่างทั่วถึงกันในวันนี้ว่า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จะทรงประกอบพระราชกรณียกิจเจริญรอยตามพระยุคลบาทของบรรพกษัตริย์ ข้าพระพุทธเจ้ามั่นใจเหลือเกินว่า ประชาราษฎร์ทั้งมวลจะต้องรู้สึกปลื้มปิติในข่าวมงคลอันนี้ ทั้งนี้เพราะนับแต่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติมาเป็นเวลาสามปีแล้ว ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมิได้ทรงปฏิบัติตามโบราณราชประเพณีเลย”
“ราชประเพณีอะไรกันที่ท่านอ้างถึง” พระเจ้าจักราทรงถาม
“ราชประเพณีที่พระเจ้าอยู่หัวควรจะมีพระมเหสี ๓๖๕ องค์ พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่มากไปหน่อยหรือ” ทรงตรัส
“ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ พระเจ้าหงสาเพื่อนบ้านของพระองค์ทรงทำลายสถิติแล้ว ทรงมีพระมเหสีถึง ๓๖๖ องค์แล้ว พ่ะย่ะค่ะ”
“๓๖๖ คน ! แต่ปีหนึ่งมันมีแค่ ๓๖๕ วันมิใช่หรือ?”
“พระเจ้าหงสาเป็นกษัตริย์ที่ชาญฉลาด พระองค์เพียงแค่ยกพระมเหสีองค์แรกให้อยู่ในตำแหน่งพระราชินีกิติมศักดิ์และสร้างที่ประทับให้เป็นการเฉพาะพร้อมกับพระราชทานพระราชทรัพย์ให้เป็นจำนวนมากเท่านั้นเอง พ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านดูเหมือนจะรอบรู้เรื่องราชประเพณีเหล่านี้ดีนะ” พระเจ้าจักราตรัส “ท่านไม่สามารถค้นหาวิธีใดวิธีหนึ่ง เพื่อเลี่ยงราชประเพณีนี้ได้ใช่ไหม? ข้าฯ จะได้ไม่ต้องมีมเหสีเลย”
“เป็นไปไม่ได้ พ่ะย่ะค่ะ เป็นไปไม่ได้ เรื่องมเหสีเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงกันไม่ได้ เป็นเรื่องที่จะขัดแย้งกับขนบธรรมเนียมโบราณและจะก่อให้เกิดการประท้วงในหมู่หญิงสาวได้ แม้แต่ขณะนี้พวกขันทีในวังที่คอยดูแลนางสนมอยู่ก็กำลังขู่จะประท้วงอยู่แล้ว พ่ะย่ะค่ะ”
“จริงหรือ….ด้วยสาเหตุอันใด ?”
“เพราะพวกเขาบ่นกันว่าไม่มีงานทำ เนื่องจากที่อยู่ของนางสนมไม่ได้ใช้เลย พ่ะย่ะค่ะ”
สมุหราชมณเฑียรถอนหายใจ และกล่าวต่อว่า
“หากใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ไม่มีพระราชประสงค์จะมีพระมเหสี ๓๖๕ องค์ในเวลาเดียวกันแล้วละก็ อาจจะทรงเลือกพระมเหสีองค์เดียวก่อนก็ได้ บัลลังก์จักได้ไม่ว่างเช่นเป็นอยู่ ในโอกาสนี้ข้าพระพุทธเจ้า จึงได้นำบรรดาบุตรีของขุนนางชั้นสูงมา เพื่อพระองค์จักได้ทอดพระเนตรชมพวกเธอฟ้อนรำ เพื่อให้ทรงเลือกได้ตามพระราชอัธยาศัย ข้าพระพุทธเจ้าขออ้อนวอนใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเพื่อประโยชน์แห่งความสงบสุขของบ้านเมือง พ่ะย่ะค่ะ”
“เอาล่ะๆ ตกลง” พระเจ้าจักราตรัส “หากเพื่อสันติสุขของบ้านเมืองนำพวกนางเหล่านั้นเข้ามาเถอะ”
“อะฮ้า” สมุหราชมณเฑียรอุทานขึ้นด้วยความดีใจ “นับว่าทรงพระปรีชามาก พ่ะย่ะค่ะ ข้าพระพุทธเจ้าจะนำหญิงงามเหล่านี้มาเบื้องพระพักตร์ บุตรีของข้าพระพุทธเจ้าก็มาฟ้อนรำด้วย เธอสวยมากทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายการแนะนำเป็นพิเศษแก่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท”
“ท่านสมุห์ฯ” พระเจ้าจักรากล่าวอย่างไม่สนพระทัยจริงจังนัก “ข้าฯ อยากจะดูการฟ้อนรำ….แต่ไม่สัญญาหรอกว่าจะทำตามราชประเพณีได้”
สมุหราชมณเฑียรถอนหายใจ พระอากัปกิริยาที่แสดงความไม่สนพระทัยของพระเจ้าจักราทำให้ท่านผิดหวังและเสียใจ นี่ถ้าเป็นสมัยที่ท่านยังหนุ่มอยู่ละก็…ท่านเริ่มให้สัญญาณแก่ขบวนการฟ้อนรำ
พระวิสูตรทางซ้ายเบิกออก สาวงามคนหนึ่งอายุราวสิบห้าปีปรากฎกายขึ้น รูปร่างของหญิงสาวงดงามยิ่ง ต้นคอเล็กระหงและไหล่ที่ลาดลงปราศจากตำหนิ กระดูกแขนข้อต่อที่ดูงดงามและอ่อนช้อย เธอมีผมสีดำและนัยน์ตาสีดำ ทำให้สาวงามนางนี้เป็นแบบแห่งความงามของหญิงไทยที่แท้จริง เธอเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าพันธุ์สตรีที่เป็นที่ติดตาตรึงใจแก่ผู้เดินทางจากต่างแดน ซึ่งนึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับสาวงามประหลาดเช่นนี้ในอาณาจักรไทย โดยปกติแล้วสาวงามลักษณะนี้หาดูได้ยาก จะพบได้ก็ในหมู่เกาะทางทะเลใต้นับแต่เกาะตาฮิติไปจรดหมู่เกาะฮาวาย
เธอเป็นผู้ฟ้อนนำหมู่ มีเพื่อน ๆ อยู่ข้างหลัง ต่างยิ้มและแสดงความตั้งใจเต็มที่
พวกคณะฟ้อนรำนี้ได้รับการคัดเลือกจากหญิงสาวที่มีใบหน้าตามแบบฉบับเป็นรูปไข่ ผมยาวเกล้าเป็นมวย นัยน์ตาที่สุกสกาว บั้นเอวอ่อนช้อย แขนแมนได้รับการฝึกฝนจนชำนาญนับตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก ดังนั้นหญิงสาวเหล่านี้จึงสามารถฟ้อนรำท่าทางต่าง ๆ ที่คนทั่วไปมิอาจทำได้
บรรดาสาวงามแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์อันมีค่า ผ้าไหมทอแสงระยับสลับกับเลื่อมประกายของเข็มขัดและแถบข้อมือประดับตกแต่งไว้อย่างวิจิตรบรรจง
พวกชาวฟ้อนรำมีความชำนาญยิ่งในการรำท่าต่าง ๆ อันวิจิตรพิสดาร ด้วยลีลาการฟ้อนรำหมู่ซึ่งเคลื่อนเป็นแถวเป็นแนวไปอย่างอ่อนช้อย สร้างความบันเทิงเริงรมย์แก่ผู้ชมที่มีจิตใจจดจ่อ
สมุหราชมณเฑียรจูงมือหญิงสาวผู้นำการฟ้อนรำมายังที่ประทับ
“อะแฮ้ม อะแฮ้ม”
“มีอะไรหรือ”
“ตามที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทรับสั่ง พ่ะย่ะค่ะ หญิงงามเหล่านี้บัดนี้ได้มาถึงแล้ว มีพระประสงค์จะให้พวกเขาฟ้อนรำได้หรือยัง พ่ะย่ะค่ะ“
“เอาเลย เอาเลย”
ท่านสมุห์ฯ ยิ้มอย่างประจบประแจง
“นี่คือ บุตรสาวข้าพระพุทธเจ้า พ่ะย่ะค่ะ…ชื่อว่า เรณู”
“อ้อ นี่หรือลูกสาวท่าน“ พระเจ้าจักราตรัส
“อือ…สวยมาก ไหนลองฟ้อนรำให้ข้าชมซิ”
เรณูผู้มีความงามเป็นเลิศถวายบังคมพระเจ้าจักราอย่างงดงามที่สุด กิริยาอ่อนช้อยน่ารักเสียจนดูเหมือนว่าเธอได้เริ่มต้นการฟ้อนรำแล้ว
“ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมีพระราชประสงค์จะทอดพระเนตรชุดร่ายรำใดเพคะ” เรณูกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานจับอารมณ์
“จะฟ้อนรำอะไรก็ได้ ตามใจ ฟ้อนรำเท่านั้นนะ” พระเจ้าจักราตอบ
"เรณู" บุตรสาวสมุหราชมณเฑียร พร้อมด้วยคณะนางรำฟ้อนรำอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าจักรา
ที่มา : ภาพยนตร์เรื่อง "พระเจ้าช้างเผือก"
เรณูพนมมือเข้าตามลักษณะแบบแผน ฝ่ามือประกบเข้าหากัน นิ้วมือและเล็บเรียวงอนจนราวกับจะจรดหลังมือ
วงปี่พาทย์ ประกอบด้วยระนาดและกลองที่มีเสียงทุ้มต่ำเป็นจังหวะในการร่ายรำอย่างเร้าใจ เสียงดนตรีให้จังหวะนำในการฟ้อนรำ เรณูยังคงร่ายรำต่อไปอย่างงดงาม ตามลักษณะการฟ้อนรำที่หาที่ติมิได้ในแบบฉบับของโบราณ อ่อนช้อยประดุจไผ่ต้องลม ลำแขนเรียวยาวได้สัดส่วน
นอกจากเสียงดนตรีและการฟ้อนรำ ภายในท้องพระโรงมีแต่ความเงียบสงัดและความร้อนระอุ แต่ผู้ชมการแสดงหาได้ไยดีกับความร้อนภายในไม่กลับชื่นชมกับบรรยากาศที่ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นบุหงาและเครื่องประทิ่นรอบกายหญิงสาว
ท่านสมุห์ฯ หรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง จิตใจเลื่อนลอยเข้าสู่ภวังค์และความฝันว่า…
ณ ที่ประทับข้างซ้ายที่ว่างอยู่ของพระเจ้าอยู่หัวมีบุคคลผู้หนึ่งได้นั่งอยู่ บุคคลนั้นๆ คือ เรณู ในชุดพระมเหสีมีมงกุฎสวมบนศรีษะ ใบหน้ามีรอยยิ้มอย่างสง่างาม
ท่านได้ยินว่า
“น้องรัก มีความสุขดีไหม” พระเจ้าจักรารับสั่ง หันพระองค์ไปทางพระมเหสีองค์ใหม่ พลางยื่นพระหัตถุ์ไปจับมือเล็กเรียวงามของพระนางที่พาดอยู่บนที่ท้าวแขนหุ้มทองของที่ประทับอย่างนิ่มนวล
“มีความสุขเหลือเกิน เพคะ“ เรณูตอบ “บิดาของหม่อนฉันก็มีความสุขอย่างมาก สวัสดีจ้ะ พ่อ”
“สวัสดีท่านพ่อ” พระเจ้าจักราตรัสตาม “เช้าวันนี้ ท่านรู้สึกสบายดีหรือ”
สมุหราชมณเฑียรผู้ลืมเหตุการณ์ปัจจุบันไปชั่วขณะ อยู่ในห้วงแห่งความฝันของตนอยู่ ตอบด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบาพลางโน้มตัวไปข้างหน้าว่า
“อรุณสวัสดิ์ พ่ะย่ะค่ะ ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกสบาย สบายมาก พ่ะย่ะค่ะ”
สมุหกลาโหมซึ่งนั่งข้าง ๆ เขาแทบไม่เชื่อหูที่ได้ยินท่านสมุหราชมณเฑียรพึมพำออกมาเช่นนั้นด้วยเหตุอันใดไม่ทราบ ทำไมจึงพูดกับตัวเองในระหว่างที่เข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน บ้าไปแล้วหรืออย่างไร สมุหกลาโหมใช้ข้อศอกดุนท่านสมุหราชมณเฑียรให้ตื่นจากภวังค์ และสำรวมมารยาทตามแบบแผนที่ถูกต้องในการเข้าเฝ้า
“อะไรกันนี่นะ“ สมุหราชมณเฑียร อ้าปากค้าง นัยน์ตาเบิกกว้าง
“อพิโธ่!” ที่ประทับว่างอยู่ และเรณูยังคงฟ้อนรำต่อไปตามแบบฉบับที่ฝึกฝนมา แต่พระเจ้าแผ่นดินอยู่ที่ไหนกัน พระเจ้าจักรากำลังทรงอ่านสาส์นฉบับหนึ่งอย่างใช้ความคิด สาส์นฉบับนี้พึ่งมีผู้มาถวายแก่พระองค์เมื่อสักครู่นี้เอง ทำให้ต้องทรงใช้ความคิดทั้งหมดอย่างหนัก
“โอ๊ะ มันเป็นเพียงแค่ความฝัน“ สมุหราชมณเฑียรคิดในใจ เป็นความฝันที่ดีแสนดีอะไรเช่นนี้แม้จะไม่เป็นความจริงเลยจนนิดเดียว
ช่วงเวลาผ่านไป…นักฟ้อนรำติดตามเรณูออกไป ดวงตาแทบจะเต็มไปด้วยน้ำตาที่ผิดหวังจากการไม่สนใจไยดีของพระเจ้าแผ่นดิน พวกชาวฟ้อนรำเดินกลับไปยังที่พักของตนเพื่อถอดเปลี่ยนชุดฟ้อนรำและชฎาที่สวม
พระเจ้าจักราวางฝ่าพระหัตถ์ลงบนพระนลาฎ และดูคล้ายกับว่าพระองค์เองก็เพิ่งตื่นบรรทมจากพระสุบิน
พระเจ้าจักราทรงแสดงท่าแปลกพระทัย
“เอ พวกฟ้อนรำไปไหนกันหมดนี่ ประท้วงกันหมดหรือ”
บรรดาข้าราชสำนักยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“หามิได้ พ่ะย่ะค่ะ พวกฟ้อนรำมิได้ประท้วง ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทต่างหากที่ทรงประท้วงไม่สนใจพวกนาง”
พระเจ้าจักราสั่นพระเศียร
เห็นได้ชัดว่าทรงไม่มีพระราชหฤทัยที่จะสนุกสนานกับคำพูดสนุกสนานอีก
พระเจ้าจักราทอดพระเนตรไปรอบๆ ท้องพระโรง ทรงจับจ้องที่เหล่าอำมาตย์ สังเกตุดูข้าราชสำนักและในขณะเดียวกันกำลังทรงใคร่ครวญ และครุ่นคิดตัดสินพระทัยอะไรบางอย่างอยู่
บรรดาข้าราชบริพารทั้งหลายต่างนิ่งเงียบ มีความรู้สึกเหมือนกับว่าจะต้องมีเรื่องราวร้ายแรงเกิดขึ้น
พระเจ้าจักราทรงยกพระหัตถ์ขึ้น พลางรับสั่งด้วยน้ำพระสุรเสียงที่มั่นคงน่าเกรงขาม ซึ่งดังกังวานในท่ามกลางความเงียบที่ปกคลุมท้องพระโรงอยู่
“ข้าฯ ขอบใจท่านสมุห์ฯ ที่ได้นำสาวงามออกมาฟ้อนรำ แต่เรื่องขนบธรรมเนียมเห็นจะต้องพักไว้ก่อนในตอนนี้ ด้วยว่าข้าฯ เพิ่งจะได้รับรายงานมาว่า กษัตริย์โมกุลผู้ยิ่งใหญ่ได้แผ่ขยายอำนาจมาถึงอินเดีย และเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับกษัตริย์หงสาเพื่อนบ้านเรานี่เอง ยิ่งไปกว่านั้น กษัตริย์หงสาเองกำลังเตรียมไพร่พลอย่างขะมักเขม้นสำหรับการสงคราม สำหรับบ้านเมืองของเรานับว่าอันตรายอยู่แค่เอื้อมเข้ามาทุกที”
สมุหราชมณเฑียรเบิกตากว้าง กิริยาของเขาแสดงออกถึงความปรามาสอย่างชัดเจน
“อันตรายอะไรหรือ พ่ะย่ะค่ะ”
“อันตรายจากกษัตริย์หงสาไงล่ะ บัดนี้พระองค์มีกษัตริย์โมกุลหนุนหลังอยู่ อาจจะเข้ามาขยี้เราเมื่อไรก็ได้”
“แต่ว่าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท” สมุหราชมณเฑียรแย้งขึ้น “อย่าทรงลืมว่า กษัตริย์หงสาเป็นมิตรกับเรา”
พระเจ้าจักราสั่นพระเศียรอย่างแข็งขัน
“มิตรภาพจะมีคุณค่าอะไร ถ้ามันเป็นอุปสรรคขวางกั้นความทะเยอทะยาน ท่านไม่เห็นหรือ ขณะนี้ จะเปรียบไป บ้านเมืองเราก็เหมือนเหยื่ออันโอชะของกษัตริย์หงสา กำลังไพร่พลของเราก็ยังไม่เข้มแข็งพอ เรามีม้าน้อยกว่าเขา แม้กระทั่งช้างก็ยังน้อยกว่า ดังนั้น แทนที่ท่านจะมอบหญิงงามให้ข้าฯ ๓๖๕ คน ท่านควรจะมอบช้างให้ข้าอีก ๓๖๕ เชือกจะดีกว่า คงจะทำให้กำลังของฝ่ายเราพอมีทางจะสู้กำลังของฝ่ายเขาได้ เรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีเก็บเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน ท่านจะว่าอย่างไร”
บรรดาเสนาบดีและที่ปรึกษาทั้งหลายฟังอย่างตั้งใจ ต่างพากันโค้งกายถวายความเคารพพระเจ้าจักราพร้อมกับพนมมือพร้อมกัน
“จริง พ่ะย่ะค่ะ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเห็นด้วยกับใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททุกประการพ่ะย่ะค่ะ“
แต่สมุหราชมณเฑียรยังไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ โดยเฉพาะใบหน้าแสดงความไม่เห็นด้วยออกมาอย่างชัดเจน เขาเดินไปยืนในหมู่เสนาบดี ส่งเสียงแสดงความเห็นอย่างไม่พอใจว่า
“สำหรับตัวข้าพระพุทธเจ้ากลับเห็นว่า หากใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะยอมรับสาวงามทั้ง ๓๖๕ คนไว้เป็นพระมเหสีแล้ว และนำพระมเหสีไปช่วยจับช้างด้วย ข้าพระพุทธเจ้าแน่ใจว่าจะได้ช้างมากกว่าจำนวนที่พระองค์พูดถึงสิบเท่าก็ได้ พ่ะย่ะค่ะ”
พระเจ้าจักราทรงยักพระอังสะเล็กน้อย
“ในเมื่อบรรดาเสนาบดีส่วนใหญ่ต่างเห็นชอบที่จะจับช้างก่อน เราก็ควรจะเตรียมให้พร้อมสำหรับการนั้น”
หมายเหตุ :
- อักขรวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ
บรรณานุกรม :
- ปรีดี พนมยงค์, ขนบธรรมเนียมที่พึงยึดถือ, พระเจ้าช้างเผือก (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก, ๒๕๔๒), น. ๖-๑๔.
อ่านนวนิยาย "พระเจ้าช้างเผือก" ในรูปแบบ E-Book ได้ที่นี่
สั่งซื้อนวนิยาย "พระเจ้าช้างเผือก The King Of The White Elephant" ได้ที่นี่