
พันตรี วิลาศ โอสถานนท์ ขณะให้สัมภาษณ์ ฟองสนาน จามรจันทร์ เมื่อต้นปี 2532
ที่มา : ที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพ พันตรีวิลาศ โอสถานนท์ ป.ม., ท.ช., ต.จ. ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน พุทธศักราช 2540
การประชาสัมพันธ์และข่าวสารของประเทศไทยเริ่มขึ้นอย่างเป็นระบบเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2476 ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตย จากหน่วยงาน "กองโฆษณาการ" ซึ่งมีฐานะเป็นหน่วยงานอิสระที่ขึ้นตรงต่อคณะรัฐมนตรี ได้รับการปรับปรุงขึ้นเป็น "สำนักงานโฆษณาการ" และยกฐานะขึ้นเป็น "กรมโฆษณาการ" เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2482 นับ
ว่าเป็นจุดหักเหสำคัญที่นำไปสู่การเปลี่ยนชื่อเป็น "กรมประชาสัมพันธ์" เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2495
บุคคลสำคัญที่ผลักดันให้หน่วยงานระดับ "สำนักงาน" ได้ยกฐานะขึ้นเป็น "กรม" คือ พ.ต.วิลาศ โอสถานนท์ เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้รับการบอกเล่าจากท่านผ่านผู้สื่อข่าวกรมประชาสัมพันธ์ นางฟองสนาน จามรจันทร์ ซึ่งมีโอกาสเข้าพบสัมภาษณ์ พ.ต.วิลาศ เมื่อต้นปี 2532 และได้นำมาลงพิมพ์ไว้ในหนังสือ 56 ปี กรมประชาสัมพันธ์ ดังนี้
ถาม
ช่วงที่ท่านเป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ใหม่ ๆ สภาพของกรมประชาสัมพันธ์สมัยนั้นเป็นยังไงคะ
พ.ต.วิลาศฯ
ผมเป็นอธิบดี เป็นหัวหน้ากองการโฆษณาในสมัยโน้น สมัยจอมพล ป. เป็นนายกรัฐมนตรี ผมเป็นทั้งโฆษก เขียนข่าวและประมวล ข่าวทั้งหมดก็เอาไปออกอากาศเอง เพราะโอกาสเช่นนั้นมันสะดวก ผมก็ไปโน๊ตเอามาแล้ว ก็มาให้พวกเราเขียนทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษพร้อมเล่าให้ฟัง และทำข่าวได้ดีมาก สมัยโน้นเป็นกอง
นะฮะไม่ได้เป็นกรมคนมีน้อย รายงานก็มีมากเข้ามากเข้า จนกระทั่งผมมารู้สึกว่าควรจะปรึกษากันใหม่ เราควรจะขยับให้มันเป็นกรมขึ้นโดยมีเจ้าหน้าที่ที่ได้ ในเวลานั้น ก.พ. ยังไม่ได้ตั้ง แต่ว่าก็มีเลขาธิการ เช่น คุณหลวงประดิษฐ์ เป็นเพื่อนนักเรียนกันมา สมัยนั้นเราก็คิดกันว่าทำยังไงดีเอาวิทยุกระจายเสียงเข้ามาอยู่กับกองการโฆษณาได้มาขยับขยายขึ้น ดังนั้นผู้คนจะไม่รู้จะไปติดต่อกับใคร มีเจ้าหน้าที่ไม่กี่คน เสร็จแล้วผมก็ติดต่อกับท่านจอมพล ป. เวลานั้นก็เปลี่ยนการปกครองมาด้วยกัน ก็ตั้งแต่วันแรกที่เป็นที่ไปเรียนทางทหารท่านก็แปลกใจ ที่ผมรู้จักคนทั้งที่อยู่กรมเกษตรตอนนั้นผมทำงานอยู่ที่กรมเกษตร ผมก็ไปรายงานตัววันนั้น คุณเป็นเกษตรได้ยังไง คุณเคยพบหลวงประดิษฐ์ที่อังกฤษใช่ไหม ผมก็บอกว่าใช่ ก็เราเคยถูกเขา อุปโลกน์เป็นผู้ก่อการตั้งแต่ผมเป็นนักเรียนอังกฤษอยู่ในลอนดอนและหลวงประดิษฐก็อยู่ในฝรั่งเศส เป็นนักเรียนเหมือนกันก็เลยรู้จักกันดีเพราะอยู่บ้านใกล้กันด้วยคือ แถวสีลม ทวี บุญยเกตุ ก็เป็นรุ่นเดียวกันด้วยที่อังกฤษ แต่ทวีไปพบกับหลวงประดิษฐ์และเป็นพวกเดียวกันมา ก็เรื่องจะเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทวี บุญยเกตุ เค้าก็มาชวนผม เสร็จแล้วกรมประชาสัมพันธ์ก็เกิดขึ้น ผมก็วิ่งเต้นขอคน เช่น คุณสุนทร ซึ่งตอนหลังเป็นรัฐมนตรีว่าการคลัง นั่นผมก็ขอมาจากกระทรวงธรรมการ ซึ่งตอนนั้นยังไม่เป็นกระทรวงศึกษาธิการผมก็ขอมาช่วย ผมก็ไปหาพระองค์วรรณ (กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์) ให้ท่านช่วยเพราะคนรู้จักท่านดี เพราะท่านเป็นเอกอัครราชทูตอยู่ที่ลอนดอน ผมเป็นนักเรียนผู้ใหญ่ท่านใช้สอยอยู่เป็นประจำ ผมมีอะไรก็ไปปรึกษาท่าน และท่านก็บอกว่า อีกคนหนึ่งที่คุณวิลาศควรจะไปปรึกษาก็คือ ขุนบรรหาญ เป็นรัฐมนตรีลอย แต่ดูแลเรื่องกิจการเงินมากเหลือเกิน เขารู้กันและเขาเป็นนักกฎหมายมือหนึ่งของเมืองไทยเวลานั้น แกรู้กฎหมายดี ก็เลยให้ความคิดเห็นอะไรต่ออะไรถูกต้องได้ปรึกษาพี่ขุนว่าเราจะจัดตั้งให้เป็นกรมขึ้นจะทำยังไง พี่ขุนนำระเบียบข้าราชการมาดูแล้วก็จัดแจงให้แกมีความรู้รอบตัวดีมาก
ในที่สุดก็ตั้งเป็นกรมประชาสัมพันธ์ได้โดยได้รับความช่วยเหลือจาก พลตรี กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ซึ่งทรงเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีในสมัยโน้น ผมก็ได้เป็นอธิบดีคนแรก ผมต้องไปสอบที่จะเป็นข้าราชการชั้นพิเศษ คณะรัฐมนตรีเป็นผู้สอบ ตอนนั้นเจ้าคุณพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านนั่งเป็นประธานคนที่เป็นกรรมการที่จะซักถามคนสำคัญที่สุดก็คือ คุณหลวงกาจสงคราม คุณหลวงกาจสงครามนี้ใคร ๆ ได้ยินชื่อท่านตอนนั้นก็กลัว เพราะเป็นคนที่เด็ดขาดมาก เขาเชิญคนที่จะเข้าไปสอบ 2 คน คือ เจ้าคุณสฤษดิการบรรจง ท่านเป็นนายช่างไฟฟ้า หลวงสามเสน เขาเชิญผมเข้าไปก่อน ผมก็เข้าไปคำนับแล้วนั่งลง จะต้องทำอะไรบ้างผมก็ยังไม่รู้ หลวงกาจสงครามพูดว่า "ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น นั่งเฉย ๆ เขาถามอะไรก็ตอบ"
ผมก็บอกว่า "ถ้าอย่างนั้นดี ถ้าไม่ถามมาก็ไม่ต้องตอบ"
คณะรัฐมนตรีหัวเราะกันแล้วพูดว่า "นี่ถึงจะพอ ๆ กัน"
หลวงกาจสงคราม พูดว่า "คุณวิลาศ ผมจะตั้งข้อสอบถามคุณละนะ สมมุติว่าห้องนี้มีคุณอยู่คนเดียว แล้วถ้ามันสีขาวหมดทั้งห้องคุณจะทำอย่างไร"
ตอนนั้นผมนึกด่าในใจ ถามข้อสอบบ้า ๆ อะไรอย่างนี้ ไหนว่าจะสอบเรื่องราชการ มาสอบเรื่องสีขาวสีดำ ผมก็ตอบว่า "ถ้าหากว่าเข้ามาในนี้ถ้าทุกอย่างขาวหมดผมต้องเป็นไอ้บ้าห้าร้อย"
คนในห้องหัวเราะ ตบมือกราว พูดว่า "ถูกไหมคุณหลวง"
หลวงกาจพูดว่า "ไอ้ตอนที่ห้าร้อย มันมากไปหน่อย ถ้าหากมันเป็นบ้าทุกคนมันเป็นบ้า ก็ถูก"
ตกลงผมสอบไล่ได้ ผมเองก็ไม่รู้ตัวว่าสอบไล่ได้แล้วผมยังนั่งนิ่งอยู่ เจ้าคุณพหลฯ บอกว่า "คุณวิลาศ คุณไปได้แล้ว เขาผ่านแล้วนะ สอบไล่ได้แล้ว"
ถาม
ตอนนั้นกรมประชาสัมพันธ์กระจายเสียงไปได้ทั่วประเทศไหมคะ
พ.ต.วิลาศฯ
ไม่ได้ทั่วประเทศแต่เราก็พยายามเหมือนกัน เพราะบางแห่งเขาสูงคลื่นไม่พอแต่เวลานั้นประชาชนก็ได้ฟังไม่ค่อยดี
ถาม
ท่านมีอะไรที่จะฝากถึงทายาทรุ่นหลังของกรมประชาสัมพันธ์ในเรื่องเกี่ยวกับการทำงานบ้างไหมคะ
พ.ต.วิลาศฯ
งานทำอยู่ดีแล้ว แต่ความคิดของผมนะ การทำข่าวที่ดี หรือแม้แต่การทำงานให้มีประสิทธิภาพก็ต้องมีการจดบันทึกหรือโน้ตเพื่อเอาไว้เตือนความทรงจำ อธิบดีงานเยอะ การมีบันทึกเป็นของดีและเวลาที่การบันทึกมีประโยชน์และดีจริง ๆ ควรจะปฏิบัติต่ออธิบดีให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา และต้องติดต่อตามข่าวให้ดี ยิ่งข่าวอาชญากรรมด้วยแล้ว ก็เป็นเรื่องน่าสนใจและการที่จะสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรีนั้น ไม่สมควรที่จะเอาไมค์ไปจ่อปากท่าน กรมประชาสัมพันธ์มีอยู่แล้วก็ควรเรียนเชิญ ท่านมาให้สัมภาษณ์ที่กรมและต่างคนต่างก็ป้อนคำถามได้ และยังจะมีการทำให้กรมมีชื่อเสียงขึ้นอีกด้วย และท่านมีข่าวอะไร ต้องการข่าวอะไรก็ให้มาประสานงาน ทางกรมประชาสัมพันธ์ดีที่สุด ดีกว่าเอาไมค์ไปจ่อปากท่านซึ่งทำให้ผู้ใหญ่เดินลำบากอีกด้วย

อาคารที่ทำการแรกของกรมประชาสัมพันธ์ ตั้งอยู่ที่ อาคารหัวมุมถนนราชดำเนินกลาง แขวงตลาดยอด เขตพระนคร
ที่มา : วิกิพีเดีย
ถาม
สภาพทางการเมืองทุกวันนี้เป็นยังไงท่านมองแล้วรู้สึกยังไงบ้างคะ
พ.ต.วิลาศฯ
ผมออกจากการเมืองมานานไม่ได้ติดตามผลคิดว่าไม่มีอะไรที่จะกังวลเลยเพราะทุกคนก็มีความรู้กันทั้งนั้น ดังนั้นเขา ก็คงต้องปรึกษากันก่อน
คุณก็รู้ว่าผมอยู่กองการโฆษณาเราต้องการมีดนตรีเพื่อจะมาสนับสนุนในกิจการงานของเรา คุณสุขุมบอกได้ทันที เอาเด็กของผมไปเลี้ยงให้ดีนะ ต้องดูแลให้ดีด้วย และผมก็ไปพบคุณพระศาส บุญทัน กระทรวงศึกษาธิการขอคุณสุนทรเพื่อจะมาช่วยกันทำงาน ท่านก็ตอบว่า ลื้อทำงานเก่งเอา ๆ ไปได้เลย แต่ต้องถามตัวเขาก่อนนะ ผมตอบไม่เป็นไรผมถามแล้วผมรับรองด้วย ถ้าเป็นชั้นโทไปอยู่ประชาสัมพันธ์ก็ต้องเป็นชั้นเอกแน่นอน ได้ดีแน่นอน เสร็จแล้วผมก็ไปหาคุณหลวงโกวิท (พ.ต.ควง อภัยวงศ์) อธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข ผมรู้จักเขาดีแล้วก็บอกขอคนให้ผมสักคนนะแล้วทางเจ้าหน้าที่ทางกรมไปรษณีย์ เขาถามว่าจะเอาไปทำไม กองการโฆษณานี้ผมจะตั้งขึ้นมาเป็นกรมนะสิ จึงมาขอเอาหลวงตันโกสัยได้ไหม เพราะเป็นนักเรียนอังกฤษรุ่นเดียวกันไปถามเจ้าตัวเขาสิ แล้วหลวงตันโกสัย ก็ตอบว่าไปสิไปอยู่ด้วยกันสิดี หลวงตันโกสัยเข้ามาถึงก็มาปรับปรุงการกระจายเสียง เพราะเขาเป็นช่างที่จบมาจากอังกฤษ ตกลงเวลานั้น ก่อนจะเป็นกรมได้เราก็ได้ผลดิบดี ทางภาษาอังกฤษก็ได้คนมา ผมต้องวิ่งกันใหญ่โตเพราะท่านจอมพล ป. ต้องการให้เป็นอย่างนั้น ในที่สุดก็เป็นกรมขึ้น
เวลานั้นคนที่จะมาเป็นอธิบดีก็ต้องสอบ เขามีข้อบังคับโดย ฯพณฯ รัฐมนตรีจะเป็นผู้สอบและผมเป็นอธิบดีต้องเข้ามาสอบให้ถูกต้อง เวลามีการประชุม ครม. ผมก็ไปนั่งด้วยแต่ผมนั่งทำข่าว ถ้าผมไม่ไปคุณวิโรจน์ก็ไปแทนเพราะเป็นรองอธิบดี เวลาผมไม่อยู่เขาก็ทำแทน ส่วนมากคนที่ทำงานร่วมกันในกรมประชาสัมพันธ์ก็เป็นพวกเดียวกันหมด เพราะเราได้คนที่อยากจะทำงานจริง ๆ การประสานงานกันดีที่สุดจึงมาเป็นกรมได้เร็วขึ้น
ถาม
ท่านเป็นอธิบดีอยู่กี่ปีคะ
พ.ต.วิลาศฯ
2 ปี แต่ผมเป็นหัวหน้ากองการโฆษณาอยู่ 2 ปี
ถาม
คนที่กรมมีกี่คนคะตอนที่เป็นกรมแล้วน่ะค่ะ
พ.ต.วิลาศฯ
คนที่กรมไม่ทราบว่ามีเท่าไหร่ แต่ข้าราชการช่วงนั้นมีประมาณ 100 กว่าคน แต่คนของกรมไม่พอกับงาน งานมีมากกระจายเสียงทำทั้งดนตรี ข่าว ทำหลายแผนกและยิ่งกว่านั้นของอะไรใหม่ ๆ เราคิดขึ้นใหม่ที่ทำยากลำบากมากถ้าไม่ได้คนช่วยกันทำ แต่ในสมัยนั้นทุกคนอยากจะทำงานอยากรับใช้ประเทศชาติ เมื่อเช่นนั้นก็ง่ายสำหรับหัวหน้ากอง หรืออธิบดี ที่ไปเรียกใครได้เลย แต่สมัยนี้มีคนเยอะแยะกว่าสมัยโน้น
ถาม
ช่วงหลังท่านติดตามงานของกรมประชาสัมพันธ์ไหมคะว่าผลงานเป็นยังไงบ้าง
พ.ต.วิลาศฯ
ไม่ค่อยได้ติดตามเพราะว่าผมออกจากราชการก็ไปทำกิจการค้าขายส่วนตัวไปอยู่บริษัทหลายบริษัทรวมทั้งบริษัทรัฐบาล โดยมีบริษัทเดินเรือทะเลและบริษัทไทยนิยมพาณิชย์จำกัด 2 บริษัท เป็นทุนของท่านจอมพล ป. นอกจากที่กรมประชาสัมพันธ์เขาขาดอะไรก็จะโทรศัพท์มาหาผม
ถาม
อยากให้ท่านพูดเรื่องอดีตบ้างค่ะ
พ.ต.วิลาศฯ
ตอนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2475 เป็นครั้งแรกที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ผมเป็นข้าหลวงพาณิชย์คนแรกของเมืองไทย ผมอยู่กระทรวงพาณิชย์สมัยนั้น เจ้าคุณพหลบอกไปอยู่เมืองจีนสักพักเถอะช่วยรัฐบาลขายข้าว ผมก็ไปเป็นข้าหลวงพาณิชย์อยู่หลายปี ผมเป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์คนแรก ผมเป็นสมาชิกสภาประเภทสองในชุดแรก เวลานั้นยังไม่มีสภาสูงมีแต่สภาผู้แทนประเภทสองแล้วตอนหลังจึงมีเลือกตั้ง ผมก็ลงสมัครผู้แทนชุดแรกของปีนั้น แข่งกับคุณหลวงโกวิท (นายควง อภัยวงศ์) พระยาพหล และหลวงประดิษฐ์ บอกว่าคุณวิลาศและคุณควงไปสมัครผู้แทน นี่เป็นตัวอย่างโต้กันกลางสนามหลวงเลย การที่มีประชาธิปไตยนี้มีการเลือกตั้งฟังเสียงข้างมากเป็นเรื่องดี เวลาต่อมาผมมาเป็นวุฒิสภาและได้รับเลือกตั้งเป็นประธานวุฒิสภาคนแรกอีก ผมโชคดี ผมโชคดีจริง ๆ ผมไม่ได้ว่าผมมีความสามารถ แต่ผมโชคดีจริง ๆ ผมเป็นคนแรกในศาลกลางเมือง ศาลกลางเมืองไม่เคยมีในเมืองไทยตอนที่ในหลวงอนันท์สวรรคต ตอนผมเป็นประธานวุฒิสภา ก็เอาผมเป็นผู้พิพากษาศาลกลางเมือง เพื่อจะสืบหาเรื่องอะไร ต่าง ๆ เกี่ยวข้องกรณีสวรรคต
ถาม
ตอนนั้นท่านเป็นรัฐมนตรีด้วยใช่หรือไม่คะ
พ.ต.วิลาศฯ
ในช่วงแรก ๆ ผมเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ไปช่วยคุณหลวงโกวิท (นายควง อภัยวงศ์) ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการฯ อยู่ก่อน ตอนนั้นมีงานที่จะต้องเซ็นตั้งสองโต๊ะยาว ๆ และอีกตอนหนึ่งในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์อยู่นั้น ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีลอย (Portfolio) และในตอนหลังผมเมื่อถูกโหวตให้พ้นจากประธานวุฒิสภา ซึ่งในสมัยนั้นประธานวุฒิสภาเป็นประธานรัฐสภาด้วย เมื่อโหวตให้ออกแล้ว ผมก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นเวลา 9 เดือน ก็ถูกรัฐประหารยึดอำนาจ
การที่ผมเป็นอะไรครั้งแรก ๆ ก็รู้สึกว่ามันได้ประโยชน์แก่ผมมาก เมื่อพูดถึงเรื่องการเมืองแล้ว ผมเห็นว่า “ทำไมถึงเวลานี้ อย่าให้เราเรียกได้ว่า ยามดีก็จะใช้ ยามไข้ก็ไม่รักษา” เวลานี้คุณรู้ไหมว่า ข้าราชการบำนาญ ไอ้ตอนที่เป็นหัวหน้ากองและได้บำนาญจนถึงขณะนี้ไม่พอเลย แม้จะไปจ้างคนงานมาทำงานก็ไม่พอ พวกได้บำนาญ 500 บาท 1,000 บาท กินอะไรคุณ ผมเป็นประธานวุฒิสภาจะเอาเงินเดือนไปจ้างคนรถก็ยังไม่พอเลยคุณ
เป็นข้าราชการบำนาญไม่ขึ้นบำนาญให้เลยเวลานี้มีสมาคมข้าราชการบำนาญ มีนายกฯ ด้วย มีเลขาธิการ มีอะไรหลายอย่าง ไม่เห็นช่วยเหลืออะไร[1]
หมายเหตุ :
- อักขรวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ
บรรณานุกรม :
- กรมประชาสัมพันธ์. พันตรี วิลาศ โอสถานนท์ กับการก่อตั้งกรมโฆษณาการ (กรมประชาสัมพันธ์ในปัจจุบัน). ใน ที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพ พันตรีวิลาศ โอสถานนท์ ป.ม., ท.ช., ต.จ. ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน พุทธศักราช 2540. [ม.ป.ท.] : งานโรงพิมพ์ ฝ่ายเผยแพร่ความรู้และบริการ กองวิชาการ กรมประชาสัมพันธ์; 2540.
[1] หนังสือ “56 ปี กรมประชาสัมพันธ์” 3 พฤษภาคม 2532 หน้า 67 - 71