ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
เกร็ดประวัติศาสตร์

จำกัด พลางกูร : คณะกู้ชาติ ก่อนร่วมกับเสรีไทย

30
ตุลาคม
2568

 

จำกัด พลางกูร (พ.ศ. 2457 – 2486)

 

วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2568 นี้ เป็นวันครบรอบวาระ 111 ปี ชาตกาลนายจำกัด พลางกูร ปัญญาชนสังคมนิยมหนุ่มแห่งยุค ทูตเสรีไทยรายแรก ผู้บุกเบิกโลกภายนอกในดินแดนจีน เพื่อขยายหนทางร่วมมือกับสัมพันธมิตรทั้งจีน อังกฤษ และอเมริกา ผ่านการเจรจาต่อรอง ผ่านสารพัดเล่ห์เหลี่ยมอย่างลำบากยากเย็น กว่าที่จำกัด พลางกูรจะสามารถพิสูจน์ตัวเองได้ว่า เป็นผู้แทนขบวนการเสรีไทยในประเทศ จนได้พบกับผู้นำจีน ทูตอังกฤษ และอเมริกา รวมถึงผู้แทนเสรีไทยนอกประเทศ

ทว่าน้อยคนในประเทศนี้ ที่จะรับรู้เรื่องราวรับใช้ชาติของจำกัด พลางกูร ในนาม “คณะกู้ชาติ” ในระยะ 3 เดือนแรกที่สงครามโลกครั้งที่ 2 เข้าประเทศไทย (ประมาณธันวาคม 2484 - มีนาคม 2485) ก่อนจะรวมตัวกับขบวนการเสรีไทยสายในประเทศ ภายใต้นายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

เรื่องราวของ “คณะกู้ชาติ” โดยนายจำกัด พลางกูร ร่วมกับนายเตียง ศิริขันธ์ ปรากฏอยู่ในหนังสือ “X.O. Group เรื่องราวในขบวนเสรีไทย” โดยนายฉันทนา (นายมาลัย ชูพินิจ) และในบันทึกที่เชื่อว่าเป็นของนายเตียง ศิริขันธ์ ซึ่งถูกค้นพบในเอกสารหอจดหมายเหตุแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NARA) นับเป็นคุณูปการของพันเอก ดร.สรศักดิ์ งามขจรกุลกิจ อดีตอาจารย์ประจำส่วนวิชาประวัติศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ที่อุตสาหะเดินทางค้นคว้าเอกสารสำคัญจาก NARA จนพบบันทึกฉบับนี้ และได้ให้รายละเอียดเสรีไทยหลายประเด็นที่ไม่เคยรับรู้มาก่อน รวมทั้งเรื่องราวการทำงานอันยากลำบากของ “คณะกู้ชาติ” และขบวนการเสรีไทยในประเทศ

ทั้งในโอกาสครบรอบ 111 ปี ชาตกาล และครบรอบ 80 ปี วันสันติภาพไทย จึงจะขอนำเสนอเรื่องราว “คณะกู้ชาติ” ของนายจำกัด พลางกูร และมิตรสหาย ก่อนจะรวมกับขบวนการเสรีไทยภายในประเทศ ภายใต้นายปรีดี พนมยงค์

1. จำกัด - เตียง สหายต่างถิ่นผู้คงแก่เรียน

 

เตียง ศิริขันธ์ (พ.ศ. 2452 - 2495)

 

ในการเล่าถึงกำเนิดคณะกู้ชาติ จำเป็นจะต้องปูพื้นภูมิหลังของบุคคลสำคัญ ทั้งนายจำกัด พลางกูร ผู้มีวาระครบรอบชาตกาลในวันนี้ และภูมิหลังนายเตียง ศิริขันธ์ สหายสนิทผู้ร่วมคณะกู้ชาติ

นายจำกัด พลางกูร เกิดเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2457 ในครอบครัวนักการศึกษา คือพระยาผดุงพิทยาเสริม (กำจัด พลางกูร) ผู้เป็นบิดา จำกัดสำเร็จการศึกษาที่โรงเรียนวัดบวรนิเวศ และโรงเรียนเทพศิรินทร์ ก่อนเข้าเรียนต่อที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำกัดสามารถสอบได้ที่ 1 ของประเทศไทย จึงได้รับทุนกระทรวงธรรมการไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2474 แล้วเข้าศึกษาที่โรงเรียน Bromsgrove School เมือง Worcestershire และมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ภาควิชาปรัชญาการเมืองและเศรษฐศาสตร์ จนได้รับปริญญาตรีเกียรตินิยม (B.A. Hons.) เมื่อปี พ.ศ. 2481 ครั้นกลับมาถึงประเทศสยามในชั้นแรกได้รับราชการในกระทรวงธรรมการ (ศึกษาธิการ) แต่ไม่นานได้ถูกให้ออกจากราชการ เพราะมีความคิดและข้อเขียนต่อต้านนายพันเอก หลวงพิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นจำกัดจึงได้ก่อตั้งโรงเรียนดรุโณทยาน ร่วมกับนางฉลบชลัยย์ พลางกูร ผู้เป็นภรรยา และรับเป็นวิทยากรบรรยาย เป็นครูพิเศษโรงเรียนกวดวิชา ระหว่างนี้มีผลงานหนังสือเล่มคือ “ปรัชญาสยามใหม่”

บุคลิกของจำกัดเป็นผู้คงแก่เรียน หมกมุ่นในการศึกษา ขบคิด และถกเถียงวิชาการการเมือง ปรัชญา ประวัติศาสตร์ ยึดถือในอุดมคติประชาธิปไตยและสังคมนิยม แต่มักจะไม่ได้สนใจการแต่งตัวหรือตัดผม หลายคนอาจดูแคลนจำกัดว่าเป็นผู้ที่หมกมุ่นฟุ้งซ่านในวิชาการ บุคลิกเสื้อผ้าหน้าผมรุงรัง ฟุ้งซ่านหมกมุ่นแต่ด้านตำราวิชาการ

นายเตียง ศิริขันธ์ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2452 ในครอบครัวนายฮ้อยผู้มีฐานะและเครือข่ายพ่อค้าข้าราชการในจังหวัดสกลนครและอีสานเหนือ เตียงได้รับการศึกษาที่โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล โรงเรียนวัดบวรนิเวศ พระนคร ต่อมาได้รับทุนศึกษาต่อที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้รับประกาศนียบัตรประโยคครูมัธยมรุ่นแรกของคณะ (พ.ศ. 2473) หลังจากนั้นนายเตียงได้รับราชการครูโรงเรียนมัธยมหองและโรงเรียนอุดรพิทยานุกูล พร้อมได้เขียนหนังสือชุด “เพื่อนครู” ตำราการสอนนักเรียน แต่งหนังสือทางการเมืองเรื่อง “หัวใจปฏิวัติในฝรั่งเศส” ร่วมกับจำรัส สุขุมวัฒนะ ต่อมาลาออกจากงานครู เพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนครหลายสมัย ตั้งแต่ พ.ศ. 2480 - 2495

ผู้แทนเตียง ศิริขันธ์ได้เกิดความใกล้ชิดสนิทสนมกับเพื่อนผู้แทนราษฎรกลุ่มหนึ่ง เช่น นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ (อุบลราชธานี) นายเลียง ไชยกาล (อุบลราชธานี) นายถวิล อุดล (ร้อยเอ็ด) นายพึ่ง ศรีจันทร์ (อุตรดิตถ์) นายจำลอง ดาวเรือง (มหาสารคาม) นายทอง กันทาธรรม (แพร่) ด้วยเพื่อนผู้แทนกลุ่มนี้ต่างมีอุดมการณ์ประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการ ในสภาพการณ์ที่ พ.อ. หลวงพิบูลสงคราม ผู้นำคณะราษฎรสายทหารบกได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ผู้ทรงอำนาจทางทหาร และมีแนวโน้มจะควบอำนาจเผด็จการยิ่งขึ้น จึงมักมีบทบาทในการเป็นฝ่ายค้าน ตรวจสอบรัฐบาลอย่างแข็งขัน จนถึงกับเป็นดาวสภาที่โดดเด่น และเป็นศัตรูอันดับต้นของหลวงพิบูลสงคราม

2. เพื่อนเรียน เพื่อนถกเถียง

ทั้งจำกัด พลางกูร และเตียง ศิริขันธ์ได้ร่วมเรียนที่โรงเรียนฝึกหัดครูวัดบวรนิเวศ หลักสูตรประกาศนียบัตรประโยคครูประถมและมีความสนใจวิชาการต่าง ๆ ชอบการค้นคว้า แลกเปลี่ยน ถกถามความรู้ต่าง ๆ อีกทั้งมีอุดมคติประชาธิปไตยและสังคมนิยมตรงกัน ในเวลาต่อมาทั้งจำกัดและเตียงได้ศึกษาต่อที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ต่างชั้นปีการศึกษา ภายหลังจากที่จำกัดกลับจากศึกษาที่อังกฤษและเตียงเข้ารับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรแล้ว จำกัดและเตียงยังคงคบหา แลกเปลี่ยนความรู้ และอยู่เคียงข้างกันเสมอ

แม้เพื่อนนักการเมืองหรือเพื่อนครูหลายคนของเตียง เช่น นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายเลียง ไชยกาล นายถวิล อุดล และนายจำลอง ดาวเรือง เป็นต้น จะไม่ชอบใจและไม่เชื่อถือจำกัดด้วยบุคลิกของจำกัด ถวิล อุดลถึงกับออกปากว่า “จำกัดเป็นบุคคลที่พระสติเกินพระปัญญา” ทั้งที่นักการเมืองกลุ่มนี้จะมีอุดมคติประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการร่วมกัน ครั้งหนึ่งเพื่อนกลุ่มนี้ได้โยนเหรียญเศษสตางค์ใส่เตียงและจำกัดที่กำลังเดินด้วยกัน แล้วกระซิบข้างหูเตียงให้พาจำกัดไปตัดผมเสีย แต่เตียงยังคงเป็นเพื่อนเคียงข้างจำกัดอยู่เสมอ

ทั้งจำกัดและเตียงยังคงไปมาหาสู่และเพิ่มความสนิทสนมยิ่งขึ้น ถกเถียงเรื่องต่าง ๆ อย่างเข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะประเด็นการเมืองที่มีแนวโน้มจะผันแปรไปในทางเผด็จการ หลังจากที่หลวงพิบูลสงครามครองอำนาจ และสถานการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเข้าใกล้ประเทศไทยมากขึ้น โดยทั้งสองคิดวางแผนที่จะหาหนทางคัดค้านและโค่นล้มรัฐบาลหลวงพิบูลสงคราม ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียด้วยซ้ำ หลายประเด็นที่เตียงเสนอในสภาผู้แทนมาจากการถกเถียงกับจำกัด

3. สองสหาย คิดการใหญ่ต้านญี่ปุ่น

เมื่อกองทัพญี่ปุ่นบุกประเทศไทยในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 นับเป็นภาวะโกลาหลครั้งใหญ่ ที่ประชาชนชาวไทยต่างตกใจ เสียใจ และเศร้าสลดใจ ในสถานะของประเทศชาติ เตียง ศิริขันธ์ได้รีบเดินทางด้วยเครื่องบินโดยสารเข้าพระนคร ได้พบปะเพื่อนผู้แทนราษฎรหลายคน ซึ่งปรารภความเป็นไปของประเทศชาติอย่างเศร้าสลดใจ ในช่วงเวลานั้นเองที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ยินยอมให้กองทัพญี่ปุ่นเดินทัพผ่านดินแดนไทย ทำสัญญาไมตรีไทย - ญี่ปุ่น

ที่สำคัญจำกัดและเตียงได้พบกัน เมื่อปรึกษาแล้วเห็นตรงกันว่า จะต้องตั้งคณะกู้ชาติเพื่อต่อสู้กับญี่ปุ่น ในชั้นแรกมีความตั้งใจพากันหลบหนีไปพม่าเพื่อเข้าร่วมอังกฤษต่อสู้ญี่ปุ่นได้อย่างเปิดเผย ทว่าทุนทรัพย์ของทั้งจำกัดและเตียงไม่มีเพียงพอ แล้วปรากฏว่ากองทัพญี่ปุ่นสามารถยึดชายแดนไทย - พม่าได้อย่างรวดเร็ว โอกาสที่จะหลบหนีไปพม่าจึงหมดสิ้นไป จากนั้นทั้งสองเริ่มคิดอ่านในการต่อต้านญี่ปุ่นจากภายในประเทศ ด้วยการตั้งกองโจรและเป็นไส้ศึกสืบข่าวฝ่ายสัมพันธมิตร หาสมัครพรรคพวกร่วมพลพรรคต่อต้านญี่ปุ่น รวมทั้งเชื้อเชิญผู้ใหญ่บ้านเมืองร่วมนำขบวนการ และหาหนทางล้มรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่จะเป็นอุปสรรคใหญ่ในการกำจัดขบวนการต่อต้านฝ่ายต่าง ๆ

ทั้งจำกัด พลางกูร และเตียง ศิริขันธ์ได้ตั้งวัตถุประสงค์สำคัญแก่งานของคณะกู้ชาติ ดังนี้

  1. ทำลายล้างลัทธิเผด็จการ โดยเฉพาะในประเทศไทย
  2. ฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์
  3. กอบกู้ประเทศชาติ จากการยึดครองของญี่ปุ่น และการครอบงำของจอมพล ป. พิบูลสงคราม

4. เลียบเคียงเพื่อนฝูง หยั่งเสียงมวลชน

อย่างไรก็ตาม ลำพังเพียงนายจำกัด พลางกูร และนายเตียง ศิริขันธ์ ย่อมไม่อาจสร้างคณะต่อต้านภายในประเทศได้ จึงพยายามแสวงหาพรรคพวกเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ที่จะเป็นทั้งผู้วางแผนและขุมกำลังประชาชน โดยวางแผนว่า จำกัดจะเข้าหาผู้ใหญ่ เพื่อนครูอาจารย์ และเพื่อนนักเรียนนอก ส่วนนายเตียงจะหาสมัครพรรคพวกผู้แทนราษฎร มวลชนครู และชาวบ้านภาคชนบท

ตัวอย่าง นายเตียงกับนายจำกัดได้จัดพบปะสังสรรค์เพื่อนเป็นครั้งคราว ที่บ้านของจำกัด ทั้งเพื่อนผู้แทนราษฎร เพื่อนครูอาจารย์ ฯลฯ มีทั้งการเลี้ยงน้ำชา การเล่นแบตมินตัน กีฬา และเกมต่าง ๆ การชวนคุยถึงสถานการณ์ชาติบ้านเมือง แบบทีเล่นทีจริง เมื่อเสร็จสิ้นงานสังสรรค์ จำกัดและเตียงจึงประเมินจากเพื่อนที่มาร่วมสังสรรค์ ว่าผู้ใดพร้อมร่วมงานกู้ชาติมากน้อยเพียงใด นอกจากงานสังสรรค์ก็จะมีการเยี่ยมบ้านมิตรสหาย ในขณะที่เตียงได้ไปเยี่ยมเพื่อนครูในจังหวัดสกลนคร

จากกิจกรรมเหล่านี้ จำกัดและเตียงจึงได้สมัครพรรคพวกกำลังสำคัญของคณะกู้ชาติขึ้นมา เช่น เรือโท นายแพทย์ โกเมศ เครือตราชู แห่งกรมแพทย์ทหารเรือ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ สส. อุบลราชธานี นายถวิล อุดล สส. ร้อยเอ็ด นายจำลอง ดาวเรือง สส. มหาสารคาม นายสวัสดิ์ ตราชู คหบดีสกลนคร นายละเอียด อภิวาทนะศิริ กำนันตำบลโนนหอม และนายสหัส กาญจนพังคะ ศึกษาธิการจังหวัดสกลนคร เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ในการแสวงหาพรรคพวกไม่ได้มีความราบรื่นเสมอไป ในชั้นต้นสงคราม เพื่อนนายจำกัดและนายเตียงไม่น้อย กลับเชื่อว่าฝ่ายสัมพันธมิตรจะพ่ายแพ้ เพราะเห็นถึงความคืบหน้ารวดเร็วของฝ่ายอักษะ โดยเฉพาะการรุกคืบของญี่ปุ่นในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์อย่างรวดเร็ว ซึ่งในช่วงปี พ.ศ. 2484 - 2485 จำกัดและเตียงไม่อาจโน้มน้าวคนเหล่านี้ได้ จนกระทั่งกระแสสงครามเปลี่ยนแปลงทิศทางในที่สุด

ทว่าในระยะนี้เอง แม้จำกัดจะได้สนิทสนมกับเพื่อนฝูงที่ร่วมงานใต้ดินกันมา แต่เพื่อนเก่าบางคนกลับต้องห่างเหินกันไป ด้วยมีเวลาให้เขาเหล่านั้นน้อยลง หรือด้วยสถานการณ์สงครามที่ทำให้การสังสรรค์น้อยลง บางรายอาจโกรธเคือง เพราะปรารถนาดี เช่น นายประยูร วิญญรัตน์ ซึ่งไปมาหาสู่กับจำกัดเป็นประจำ จะหางานประจำที่ธนาคารแห่งประเทศไทยให้จำกัดได้ทำ เพราะเห็นว่าจำกัดมีรายได้น้อย แต่ข้อเสนอนี้จะเป็นอุปสรรคต่อการทำงานใต้ดิน ที่ต้องพรางพฤติกรรมของตน จำกัดจึงปฏิเสธอ้างว่าชอบงานอิสระ ส่งผลให้ประยูรโกรธและไม่มาหาจำกัดอีก จำกัดจึงได้ห่างเพื่อนฝูงนอกขบวนการใต้ดิน ทำให้เป็นการง่ายสำหรับการอำพรางภารกิจในอนาคต

5. ขายรถขายที่ กู้หนี้ยืมสิน หาเงินกู้ชาติ

ปฏิบัติงานใหญ่ เช่น งานใต้ดิน “กู้ชาติ” จะต้องใช้เงินจำนวนมาก ลำพังเฉพาะตัวของจำกัด พลางกูร และเตียง ศิริขันธ์ ไม่ใช่นักธุรกิจใหญ่ ที่มีทุนทรัพย์ส่วนตัวมหาศาล และไม่ได้เป็นรัฐมนตรีหรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ผู้มีอำนาจหน้าที่ในงบประมาณแผ่นดิน จำกัดมีรายได้จากโรงเรียนดรุโณทยานและค่าตอบแทนบรรยาย ส่วนเตียงลำพังมีเพียงเงินเดือนผู้แทนราษฎร และรายได้รับเหมาทำเส้นทางในอีสานบางส่วน ก่อนสงครามทั้งสองยังต้องหยิบยืมเงินทองกันและกันเป็นบางครั้ง จึงจะต้องหาเงินใช้ ซึ่งในระยะที่รวดเร็วนี้ จะต้องหาเงินด้วยการขายทรัพย์สินที่มีอยู่ และการกู้เงิน

ในการนี้จำกัดตัดสินใจขายรถยนต์ส่วนตัว และที่ดินบางแห่ง เตียงได้นำเอาสัมปทานค้ำประกันทำทางกู้ธนาคาร 2 ครั้ง (ตามคำแนะนำของ ดร.เดือน บุนนาค) ได้เงินกู้มาครั้งละ 8,000 บาท และเคยขอซื้อที่ดินจากลูกศิษย์ คือ สนั่น ปัทมะมิน (ภายหลังเป็นศาสตราจารย์) ใกล้กับโรงเรียนเกษตรศาสตร์ (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) ในลักษณะที่นายสนั่นโอนที่ดินแก่นายเตียงแบบให้เปล่าโดยเสน่หา แล้วนายเตียงนำที่ดินไปจำนองกับธนาคารเอเชีย จนได้เงินมาจ่ายนายสนั่น และเงินที่เหลือไว้สำหรับงานกู้ชาติ ต่อมาได้นำที่ดินตำบลสามเสนไปจำนำกับธนาคารไทยพาณิชย์ ด้วยความช่วยเหลือของนายเล้ง ศรีสมวงศ์ ผู้จัดการใหญ่ อีกทั้งได้กู้เงินจากนายทุนในจังหวัดสกลนครอีกด้วย เช่น นายหุ้นชวน เจ้าของโรงสีที่สว่างแดนดิน และนายชุม พ่อค้าชาวสกลนคร

6. อาจารย์เอาด้วย

ในการปฏิบัติงานใต้ดินอย่างไรก็ตาม เพียงจำกัด พลางกูร เตียง ศิริขันธ์ เพื่อน สส. เพื่อนครู ฯลฯ ย่อมยังไม่ใช่กำลังที่จะมีอำนาจบารมีในการขยายฐานขบวนการต่อต้านในระดับประเทศ สามารถต่อสู้กับอุปสรรคใหญ่ ทั้งกองทัพญี่ปุ่นและรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ จำเป็นที่จะต้องมีผู้ใหญ่ในประเทศที่มีบารมีทัดเทียมกับจอมพล ป. พิบูลสงคราม มาเป็นผู้นำขบวนการ

จากการที่จำกัด พลางกูรได้เข้าพบพูดคุยกับบุคคลสำคัญของบ้านเมือง เพื่อหวังให้เป็นผู้นำ จำกัดได้มีโอกาสพบกับนายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ รัชกาลที่ 8 ซึ่งจำกัดเคยได้แวะสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ตั้งแต่ก่อนสงคราม ในระยะเริ่มสงครามปรีดีและจำกัดได้แลกเปลี่ยนสถานการณ์สงคราม

ในระยะนี้ที่นายปรีดี พนมยงค์ได้เริ่มงานขบวนการเสรีไทยในประเทศ ร่วมกับบุคคลในคณะราษฎรบางท่าน ข้าราชการส่วนหนึ่ง และชุดบุคลากรมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เช่น นายทวี บุณยเกตุ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ดร.ดิเรก ชัยนาม เอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงโตเกียว หลวงบรรณกรโกวิท (เปา จักกะพาก) อธิบดีกรมศุลกากร ดร.วิจิตร ลุลิตานนท์ เลขาธิการมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เจ้าวงศ์ แสนสิริพันธ์ ผู้แทนราษฎรจังหวัดแพร่ และนายชาญ บุนนาค ช่างเสียงอิสระ เป็นต้น

โดยการดำเนินงานของเสรีไทยในประเทศระยะนี้ ได้แก่ การรบวรวมข่าวสารสงครามทั้งในและนอกประเทศ การคุ้มครองเชลยศึกและบุคคลชาติสัมพันธมิตรที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์ฯ ให้พ้นมือทหารญี่ปุ่น การเตรียมการล้มรัฐบาลพิบูลสงคราม และการแสวงหาหนทางติดต่อต่างประเทศ ฯลฯ

โดยภาพจำทางประวัติศาสตร์ทั่วไปในปัจจุบัน เรามักจะเข้าใจว่า นายปรีดี พนมยงค์ นายจำกัด พลางกูร นายเตียง ศิริขันธ์ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ฯลฯ คือกลุ่มบุคคลที่มีความแนบแน่นใกล้ชิดทางอุดมการณ์ประชาธิปไตยสายสังคมนิยม เสมือนว่ามีความสนิทสนม หรือเข้าใจว่าเป็นคณะราษฎรด้วยกันมา ตั้งแต่คราวปฏิวัติสยาม 2475 ทว่าจากบันทึกของนายเตียง ศิริขันธ์ ปรากฏว่าทั้งเตียง ศิริขันธ์ และพรรคพวก สส. สายอีสาน ต่างไม่เคยรู้จักนายปรีดี พนมยงค์มาก่อนเลย เตียงถึงกับเคยเตือนจำกัดให้ระวังตัวเมื่อเข้าพบนายปรีดี อย่าได้เปิดเผยแผนการทั้งหมด เพราะในเวลานั้นทั้งจำกัดและเตียงยังไม่รู้จักนายปรีดีมากพอ

ในที่สุดจำกัด เตียง และพรรคพวกต่างก็ตกผลึกกันได้ว่า ปรีดีมีแนวคิดยุทธศาสตร์สงครามตรงกัน และมีอุดมการณ์ประชาธิปไตย ปรารถนามุ่งมั่นต่อคนยากจน จึงได้ตกลงใจรวมคณะกู้ชาติกับขบวนการเสรีไทย ภายใต้การนำของปรีดี พนมยงค์ นับแต่นั้นปรีดีจึงได้รู้จักและใกล้ชิดกับเตียง ศิริขันธ์ และบรรดาผู้แทนราษฎรสายอีสานเพื่อนเตียงมากยิ่งขึ้น

มีนักวิชาการประมาณการว่า คณะกู้ชาติภายใต้นายจำกัด พลางกูร และนายเตียง ศิริขันธ์ใช้เวลาประมาณ 1 - 2 เดือน หลังจากญี่ปุ่นบุกไทย จึงได้รวมตัวคณะกู้ชาติกับขบวนการเสรีไทยในประเทศ ภายใต้ผู้สำเร็จราชการปรีดี พนมยงค์ เมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2485

7. ต้องล้มรัฐบาลจอมพล

 

จอมพล ป. พิบูลสงคราม (พ.ศ. 2440 – 2507)

 

ในสายตาของนายปรีดี พนมยงค์ นายจำกัด พลางกูร นายเตียง ศิริขันธ์ และผู้นำเสรีไทยในประเทศท่านอื่น ๆ พบว่าอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการปฏิบัติงานขบวนการเสรีไทยในประเทศ และคณะต่อต้านอื่น ๆ ในระยะตอนต้นของสงคราม (พ.ศ. 2484 - 2486) นั่นคือรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งมีกลไกตำรวจภายใต้พลตำรวจเอก อดุล อดุลเดชจรัส อธิบดีกรมตำรวจ ที่ควบคุม ติดตาม และจับกุมคณะต่อต้านต่าง ๆ อย่างรุนแรง และยังเห็นว่ารัฐบาลพิบูลสงครามดำเนินงานนโยบายมหามิตรของญี่ปุ่น อีกทั้งจอมพล ป.พิบูลสงครามและอธิบดีอดุลมีพฤติกรรมเผด็จการมาตั้งแต่ก่อนสงคราม ทว่าสิ่งที่แตกต่างคือ จอมพลเป็นมิตรกับญี่ปุ่นอย่างชัดเจน หากแต่นายพลอดุลกลับมีท่าทีต่อต้านญี่ปุ่นอย่างแข็งขัน

แล้วหากรัฐบาลใหม่ในประเทศ อยู่ในอิทธิพลของขบวนการเสรีไทย การปฏิบัติงานของขบวนการต่อต้านญี่ปุ่น จะประสบผลขยายวงได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น

(อย่างไรก็ตามหากอ่านคำให้การของ พล.ต.อ. อดุล อดุลเดชจรัสในศาลอาชญากรสงคราม จะอธิบายว่า การจับกุมขัดขวางคณะต่อต้านต่าง ๆ ในช่วงต้นสงคราม เป็นไปเพื่อการปกป้องคนไทยเหล่านี้ ไม่ให้ตกอยู่ในมือทหารญี่ปุ่น ที่มักลงโทษคนไทยอย่างทารุณ หากคณะต่อต้านกลุ่มใดไม่ได้อยู่ในการเพ่งเล็งของญี่ปุ่น อธิบดีอดุลจะปล่อยให้ดำเนินการตามแผนงานต่อไปได้)

(ในขณะที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม และหลวงวิจิตรวาทการได้บันทึกชี้แจงสื่อในช่วงหลังสงครามเพิ่งยุติไว้ว่า นโยบายผูกมิตรญี่ปุ่นและการประกาศสงครามเป็นไปเพื่อการป้องกันประเทศถูกทำลาย และให้ไทยมีสถานะทัดเทียมที่จะป้องกันไม่ให้ญี่ปุ่นเอาเปรียบและเบียดเบียนชีวิตทรัพย์สินคนไทย รวมทั้งชีวิตทรัพย์สินชาติสัมพันธมิตรในไทย เพื่อการชำระสะสางหลังสงคราม)

ดังนั้นผู้นำเสรีไทยในประเทศจึงเห็นว่า จำเป็นจะต้องโค่นล้มรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เพื่อขจัดอุปสรรคในการปฏิบัติงานต่อต้านญี่ปุ่น และอาจต้องทำให้นายพลอดุลเดชจรัสไม่ขัดขวางการล้มรัฐบาลพิบูลสงครามและงานต่อต้านญี่ปุ่น หรืออาจเชิญชวนร่วมงานต่อต้านญี่ปุ่นได้ในที่สุด

ในช่วงปีเริ่มต้นสงคราม พ.ศ. 2484 - 2485 แม้ประชาชนไทยจะเศร้าสลดและไม่พอใจ ในการที่กองทัพญี่ปุ่นบุกเข้าประเทศไทย แต่สถานะของจอมพลพิบูลสงครามยังมีเสถียรภาพ คุมอำนาจทหารตำรวจ ข้าราชการพลเรือน การเมือง คะแนนนิยมยังไม่เสื่อมมากนัก ยังคงมีภาพลักษณ์วีรบุรุษของชาติจากกรณีพิพาทอินโดจีน แม้จะยินยอมให้กองทัพญี่ปุ่นเดินทัพผ่านแดนไทย ผูกมิตรชาติศัตรู ทั้งนี้มีผู้แทนราษฎรและประชาชนไทยไม่น้อยยังเห็นว่า จอมพลพิบูลสงครามทำถูกแล้วที่ไม่ต่อสู้จนประเทศแหลกสลาย

ในการจะล้มรัฐบาลพิบูลสงครามในห้วงระยะปีต้นสงครามจึงเป็นการยาก อย่างไรก็ตามคณะเสรีไทยยังคงต้องดำเนินการล้มรัฐบาล เพื่อให้การดำเนินงานขบวนการต่อต้านต่อไป ด้วยการชี้แจงให้ผู้แทนราษฎร เพื่อนฝูง และประชาชนทั่วไป ให้เห็นถึงสถานะสงครามที่อักษะจะต้องพ่ายแพ้ ความผิดพลาดของรัฐบาล เตรียมการตั้งกระทู้ถาม และการตั้งญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในสภาผู้แทนราษฎร

มีข้อมูลที่นายจำกัด พลางกูร และเพื่อนนักการเมืองสายอีสานได้รวบรวม สรุปถึงพฤติการทางการเมืองที่จอมพล ป. พิบูลสงครามจะทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ เช่น การกดขี่ศาสนาคริสต์คาทอลิกและอิสลาม การแสดงอำนาจเหนือพระมหากษัตริย์ การบิดเบือนเจตนารมย์รัฐธรรมนูญในการควบคุมสภาผู้แทน เช่น การยืดเวลาบทเฉพาะกาลให้คง สส. ประเภท 2 (สส. แต่งตั้งจากรัฐบาล ตามรัฐธรรมนูญฉบับ 2475) การมอบเงินบำรุงท้องที่ติดสินบน สส. ทำให้สถาบันนิติบัญญัติอยู่ภายใต้ฝ่ายบริหาร (ในทางปฏิบัติ)

นอกจากนี้ยังมีประเด็น การซื้อทองคำสำรองของชาติโดยนายกรัฐมนตรี (เพื่อใช้ในราชการลับ) การใช้เงินของนายกรัฐมนตรี ในการให้รางวัลหรือเงินขวัญถุงส่วนตัวแก่ผู้น้อย (เช่น งานแต่งงาน งานวันเกิด) ที่ดูเหมือนว่าเกินจำนวนเงินเดือนประจำตำแหน่ง จนสงสัยว่านายกรัฐมนตรีกำลังจะเบียดบังเงินงบประมาณของชาติ การหาข้อมูลรายงานกองทัพอากาศไทย (อาจเป็นประเด็นภัยทางอากาศซึ่งไทยไม่อาจต้านทานได้) รวมทั้งความพยายามสร้างอนุสรณ์แก่ตนเอง เช่น การให้ชื่อ “พิบูล” ตามสถานที่สาธารณประโยชน์ (โรงเรียน ถนน สะพาน นิคม โดยเฉพาะในจังหวัดลพบุรี)

เฉพาะนายจำกัด พลางกูร และนายเตียง ศิริขันธ์ ที่ได้ตกผลึกความคิดว่า จากพฤติการณ์ของจอมพล ป. พิบูลสงครามผู้นี้ เป็นไปเพื่อประโยชน์ตนเอง ที่จะรวบอำนาจเผด็จการ ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รัฐธรรมนูญ และระบอบประชาธิปไตย จนไม่ควรจะเห็นใจใด ๆ ทั้งสิ้น

ในช่วงปี พ.ศ. 2485 - 2486 นี้ ทั้งจำกัด เตียง ทองอินทร์ ถวิล จำลอง และ สส. ร่วมอุดมการณ์ท่านอื่น ๆ ได้นำข้อมูลเหล่านี้ตั้งกระทู้ถามหรือตั้งญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลายครั้งที่เตียงไม่สามารถอภิปรายด้วยตัวเอง เพราะถูกประธานสภาและผู้นำรัฐบาลเพ่งเล็ง จึงอาศัยเพื่อนผู้แทนราษฎรดำเนินงานแทน ซึ่งรับความร่วมมือด้วยดี

อย่างไรก็ตามในระยะช่วงปีครึ่งแรกของสงคราม เสรีไทยในประเทศยังไม่ประสบความสำเร็จในการล้มรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม จอมพลเคยทำเอกสารกราบบังคมทูลลาออกต่อคณะผู้สำเร็จราชการฯ และต่อประธานสภาผู้แทน แต่ไม่ยอมลาออกจริง ในการอภิปรายหลายครั้งต่อ ๆ มา ผู้แทนราษฎรเสียงส่วนมากยังคงลงคะแนนไว้วางใจรัฐบาล ตำรวจสันติบาลยังคงติดตามสอดส่องผู้แทนราษฎรอยู่โดยตลอด และเมื่อผู้สำเร็จราชการปรีดี พนมยงค์ ได้ดำเนินการเบื้องหลัง เพื่อผลักดันนายควง อภัยวงศ์ นายทองเปลว ชลภูมิ และนายทวี บุณยเกตุ เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรและรองประธานสภาตามลำดับ ในการเปิดสมัยประชุมสภา พ.ศ. 2486 เพื่อสะดวกในการล้มรัฐบาลจอมพลพิบูลสงคราม แต่ดำเนินการไม่สำเร็จ เพราะจอมพลได้ใช้อำนาจยับยั้งการตั้งประธานและรองประธานสภา

แม้กระนั้นเมื่อสถานการณ์สงครามคืบหน้าขึ้นมา ปรากฏว่าคนไทยทั้ง ตำรวจ ข้าราชการ ทหาร ประชาชนจำนวนมาก ไม่พอใจทหารญี่ปุ่น จนหลายรายถึงกับเกลียดชัง เพราะทหารญี่ปุ่นในประเทศไทยจำนวนมากที่วางอำนาจเหนือคนไทย ยึดสถานที่สำคัญของไทยใช้งานไปหลายแห่ง กว้านซื้อสินค้าและใช้บริการเดินทางได้ก่อนคนไทย ในขณะที่ประชาชนไม่น้อยเสื่อมความนิยมในตัวจอมพลพิบูลสงคราม เมื่อบ้านเมืองเผชิญการโจมตีทางอากาศ และการเกณฑ์แรงงานสร้างเส้นทางย้ายเมืองหลวงไปเพชรบูรณ์ จึงเป็นสัญญาณที่คนไทยจำนวนไม่น้อยพร้อมจะต่อสู้ขับไล่กองทัพญี่ปุ่น และเพิกเฉยต่อการล้มรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามในอนาคต

8. ไปจีน ลาจากชั่วนิรันดร์

 

ภาพถ่ายสุดท้ายของจำกัด พลางกูร ถ่ายที่กุ้ยหลิน วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2486
ที่มา : หนังสือ "เพื่อชาติ เพื่อ humanity : ภารกิจของวีรบุรุษเสรีไทย จำกัด พลางกูร ในการเจรจากับพันธมิตร"
โดย ฉัตรทิพย์ นาถสุภา

รอไม่ได้แล้ว

ในแผนการเดิมผู้นำเสรีไทยในประเทศวางไว้ว่าจะต้องล้มรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามเสียก่อน แล้วจึงจะติดต่อชาติสัมพันธมิตร แต่ปรากฏว่าในช่วงปี พ.ศ. 2485 - 2486 ยังล้มรัฐบาลไม่สำเร็จ ผู้นำเสรีไทยในประเทศ โดยเฉพาะนายปรีดี พนมยงค์ก็พิจารณาว่า ในการติดต่อชาติสัมพันธมิตรนั้นไม่อาจรอต่อไปได้แล้ว จึงตกลงใจให้นายจำกัด พลางกูรเดินทางไปประเทศจีน ในฐานะเลขาธิการเสรีไทย เพื่อเปิดช่องทางในการติดต่อชาติสัมพันธมิตร ทั้งจีน อเมริกา และอังกฤษ นายหลุย พนมยงค์ น้องชายของปรีดีได้จัดหาล่าม คือ นายไพศาล ตระกูลี้ และได้ช่วยทำหนังสือถึงนาย ที.วี. ซุง รัฐมนตรีสำคัญในรัฐบาลจอมพล เจียงไคเช็ก ผู้นำจีนในยามสงคราม โดยซุงเป็นผู้ซึ่งคุ้นเคยกับหลุยดี

สำรวจทาง อำพรางเหตุ

ก่อนจะเดินทาง เสรีไทยในประเทศได้วางแผนเลือกเส้นทาง โดยให้เดินทางผ่านภาคอีสาน ข้ามฝั่งแม่น้ำโขงผ่านอินโดจีนฝรั่งเศส (ลาวและเวียดนามในปัจจุบัน) ผ่านเข้าประเทศจีน ในระยะประมาณครึ่งหลังปี พ.ศ. 2485 เตียง ศิริขันธ์รับมอบหมายจากผู้นำเสรีไทยสำรวจเส้นทาง โดยจะต้องอำพรางสาเหตุที่แท้จริงให้แนบเนียน ด้วยนายเตียงเป็นชาวสกลนคร คุ้นเคยพื้นที่ภาคอีสานตอนบน ทั้งภูมิประเทศ เส้นทาง และผู้คน

ด้านเส้นทางในภาคอีสานเหนือและบ้านเมืองริมน้ำโขง เป็นเส้นทางที่เตียงคุ้นเคยอยู่แล้ว แต่เส้นทางจากริมน้ำโขงข้ามไปฝั่งเวียดนาม จนไปประเทศจีน เตียงจึงได้ข้ามน้ำโขงด้านจังหวัดนครพนมไปที่เมืองท่าแขกฝั่งลาว ครั้งแรก ๆ เตียงข้ามฟากค้างคืน 2 - 3 วัน (โดยติดสินบนเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศส) ครั้งหลัง ๆ เตียงข้ามฟากในฐานะพ่อค้าขายส่งน้ำตาลทรายแดงให้แก่โรงงานต้มกลั่นสุราของเถ้าแก่หลีฟุก และเถ้าแก่กังฮวด ผู้ซึ่งคุ้นเคยสนิทสนมกับนายเตียง ด้วยเป็นพ่อค้ามาก่อน และจากการพบปะกับเถ้าแก่ผู้นี้ต่อเนื่อง เตียงจึงได้รับรู้เส้นทางเดินทางไปฮานอย ไฮฟอง ก่อนเข้าประเทศจีน

อำลาที่ฝั่งโขง

อย่างไรก็ตามกว่าที่จำกัดจะได้เดินทาง ก็ล่วงเข้าวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 แล้ว นายจำกัด พลางกูรได้ไปพร้อมกับนายไพศาล ตระกูลลี้ ล่ามภาษาจีนที่จะไปพร้อมกับจำกัด และนางฉลบชลัยย์ พลางกูร ภรรยาที่จะมาส่ง คณะนี้เดินทางด้วยรถไฟโดยแวะค้างคืนที่นครราชสีมา แล้วไปต่อที่ขอนแก่น จำกัดพบกับเตียงตามนัดหมายลับที่จังหวัดนี้ (นัดหมายผ่านการเดินจดหมายของนายเสรี นวลมณี หลานชายของเตียง ที่ส่งไปช่วยงานบ้านจำกัด รวมทั้งงานใต้ดิน) เตียงประหลาดใจที่จำกัดพาฉลบชลัยย์เดินทางมาด้วย

คณะเดินทางด้วยรถไฟต่อไปจนถึงอุดรธานีในวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2486 จากนั้นคณะจึงเดินทางด้วยรถบัสโดยสารมุ่งหน้าสู่เมืองนครพนม แวะที่สว่างแดนดินที่บ้านครูครอง จันดาวงศ์ คณะได้หยุดพักทานข้าวต้ม แล้วจึงเดินทางไปต่อ อย่างไรก็ตามในระหว่างการเดินทาง รถบัสเครื่องยนต์เสียต้องหยุดบ่อย ๆ จึงแวะพักบ้านนายเตียงที่สกลนคร นายเตียงต้องโกหกคนที่บ้านว่า คณะนี้จะรีบไปซื้อขายที่ท่าแขก ปรากฏว่าคณะญาตินายเตียงขอเดินทางไปด้วย รวมทั้งนางนิวาสน์ ศิริขันธ์ ภรรยาของเตียง ซึ่งนายเตียงจำต้องอนุญาต ไม่อาจปฏิเสธ เพราะไม่มีเหตุผลขัดข้องนำมาอ้างได้ และอาจเป็นเรื่องดีหากว่ามีคนเต็มรถบัส เพื่อพรางสภาพไม่ให้ตามรถโล่งเกินไปจนน่าสงสัย แล้วรถบัสได้เดินทางต่อไปถึงจังหวัดนครพนม โดยคณะพักในตัวเมือง 1 คืน หลวงปริวรรตวรวิจิตร์ (จันทร์ เจริญชัย) ข้าหลวงประจำจังหวัด ผู้ที่เตียงเคารพนับถือได้ทำเอกสารข้ามแดนอย่างถูกต้องแก่คณะเดินทาง โดยเข้าใจว่าเป็นคณะท่องเที่ยวทั่วไป

รุ่งขึ้นวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2486 เฉพาะนายจำกัด นายเตียง นางฉลบชลัยย์ และนางนิวาสน์ได้ลงเรือจ้างข้ามน้ำโขงไปที่เมืองท่าแขก คณะทำทีเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวในเมืองท่าแขก จนถึงเวลาเย็นคณะจะต้องแยกกัน โดยจำกัด พลางกูร และไพศาล ตระกูลลี้ผู้เป็นล่าม จะได้เดินทางต่อไปยังประเทศจีน ส่วนคณะที่เหลือจะข้ามน้ำโขงกลับไทย ทั้งนายเตียง และนางนิวาสน์ ศิริขันธ์ได้มอบสมบัติมีค่า ทั้งแหวน เครื่องเพชรที่ติดตัว มอบให้จำกัดเป็นทุนส่วนหนึ่ง

ก่อนจะจากกัน จำกัดได้ส่งทุกคนลงเรือข้ามฟากกลับแดนไทย ฉลบชลัยย์อยู่ข้างซ้าย เตียงอยู่ข้างขวาของจำกัด จำกัดพูดกับเตียงด้วยน้ำเสียงระเริงคึกคัก ว่าเขาเองเป็นนักผจญภัย อย่าได้เป็นห่วงจนเกินไป และปลอบใจเตียงว่า อย่าได้เสียใจที่ไม่ได้ร่วมเดินทางครั้งนี้ ต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่ของตน เตียงกล่าวตอบจำกัดว่า ขอให้จำกัดอดทนให้มาก เพราะการปฏิบัติงานที่จำกัดไม่เคยทำมาก่อน จำกัดกับฉลบชลัยย์ได้ร่ำลากันด้วยความอาลัย จำกัดจับมือฉลบชลัยย์บีบเบาๆ และ พูดว่า “อยู่ดี ๆ นะ” ทั้งสองไม่อาจพูดความในใจต่อกันได้ จนเตียงต้องเบือนหน้าหนี เมื่อทั้งหมดลงเรือแล้ว จึงได้โบกมือลาจำกัดที่อยู่บนฝั่งเมืองท่าแขก จำกัดกล่าวกับเตียงว่า “ช่วยดูฉลบด้วยนะ ไอ แอม อะ แมน ออฟ เดสตินี” ในเรือทั้งฉลบชลัยย์และนิวาสน์ต่างร่ำไห้ เตียงแม้น้ำตาไม่ไหลออกมา แต่มีความรู้สึกจุกในลำคอ ต่างฝ่ายต่างมีความหวังว่าจะได้พบกันในอีก 6 - 8 เดือนข้างหน้า

ทว่าความหวังนั้นกลับไม่เป็นจริง ถึงแม้ว่านายจำกัด พลางกูรจะเดินทางถึงนครหลวงจุงกิงสำเร็จ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2486 หากจำกัดได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2486 ที่โรงพยาบาลในนครหลวงจุงกิง หลังจากเผชิญเล่ห์กลทางการทูตอันซับซ้อน ในบรรดาชาติสัมพันธมิตร

9. ดอกผลจากจุดเริ่มต้น

แม้ในระยะที่นายจำกัด พลางกูรได้ถึงแก่กรรมปลายปี พ.ศ. 2486 งานของขบวนการเสรีไทยยังไม่เป็นรูปร่างขึ้นมา การประสานระหว่างไทยกับชาติสัมพันธมิตร (จีน อังกฤษ อเมริกา) ยังไม่ชัดเจน ในขณะที่รัฐบาลพิบูลสงครามยังคงอยู่ หากจำกัดได้อาศัยตนเองเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ถึงการมีอยู่จริงของขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นในประเทศไทย ที่มีเจตน์จำนงชัดเจนเพื่อเอกราชของชาติและสันติภาพ จำกัดได้พบทั้งผู้นำประเทศจีนคือ จอมพล เจียงไคเช็ก พลโท ไต้ลี่ เจ้ากรมข่าวกรองทหาร ผู้แทนการทูต และการทหารฝ่ายอังกฤษและอเมริกา รวมทั้งได้พบกับเสรีไทยสายอเมริกาและอังกฤษ จนได้ขยายผลความร่วมมือจนปีสุดท้ายของสงคราม

ที่สำคัญในปีต่อมา พ.ศ. 2487 เมื่อกระแสสงครามแสดงให้เห็นความพ่ายแพ้ของฝ่ายอักษะ และความนิยมในตัวจอมพลพิบูลสงครามตกต่ำถึงขีดสุด ในที่สุดรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามจึงลาออก หลังจากฝ่ายรัฐบาลแพ้เสียงในสภา จากการเสนอกฎหมายพระราชบัญญัตินครบาลเพชรบูรณ์ และพุทธบุรีมณฑลสระบุรี โดยสภาตั้งรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ ซึ่งมีรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญ นายตำรวจทหาร ข้าราชการพลเรือนผู้ใหญ่เข้าร่วมขบวนการเสรีไทย ขบวนการใต้ดินต่อต้านจึงขยายวงได้ทุกภูมิภาคในประเทศ ทั้งในมวลชน ชุมชนชนบท ศาลากลางจังหวัด โรงพักตำรวจ กรมกองทหาร พร้อมด้วยการประสานงานทางทหารและการทูตกับฝ่ายสัมพันธมิตรและเสรีไทยนอกประเทศ

ปัญหาด้านการเงินได้รับการแก้ไข โดยที่มีงบประมาณประเทศ จากกระทรวงต่าง ๆ ที่เข้าร่วมในการปฏิบัติงานใต้ดิน สำหรับกองทหารเสรีไทยสายอเมริกาได้ใช้ทุนสำรองของรัฐบาล ซึ่งฝากไว้ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.

เตียง ศิริขันธ์ มิตรคู่คิดของจำกัดผู้ริเริ่มคณะกู้ชาติ ได้เป็นหัวหน้าใหญ่เสรีไทยสกลนคร และเป็นแกนนำขยายงานเสรีไทยฝั่งอีสาน ทั้งสกลนคร นครพนม อุดรธานี หนองคาย มหาสารคาม และอุบลราชธานี รวมทั้งเป็นกัลยาณมิตรของนายปรีดี พนมยงค์ ทั้งในทางส่วนตัวและในทางการเมือง

จากคุณงานความดีของจำกัด จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศทหารเป็น พันตรี จำกัด พลางกูร และรับงานบำเพ็ญกุศลอัฐิในพระบรมราชานุเคราะห์ และจารึกชื่อที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

10. ส่งท้าย

จากเรื่องราวของจำกัด พลางกูร ที่ได้เริ่มต้นคณะกู้ชาติ พร้อมมิตรคู่คิดเช่นเตียง ศิริขันธ์ โดยมีเป้าหมายในการกอบกู้ประเทศ และฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์ โดยเป็นกลุ่มของ 2 สหายที่ปราศจากอำนาจ อิทธิพล หรือบารมีใด ๆ แต่หากด้วยความมุ่งมั่นชัดเจน มีลำดับแผนการณ์ จนถึงกับทำให้ผู้นำทรงบารมีแห่งยุค คือ นายปรีดี พนมยงค์มีความประทับใจ ร่วมมือกับจำกัดและเตียงอย่างใกล้ชิด รวมคณะกู้ชาติไปเป็นฟันเฟืองสำคัญของขบวนการเสรีไทย ทั้งที่ปรีดี จำกัด และเตียงต่างไม่เคยร่วมงานใหญ่ใกล้ชิดกันมาก่อน และต่างทุ่มเท ยอมเสียสละด้วยความกล้าหาญ จนขบวนการเสรีไทยประสบผลสำเร็จในการรักษาเอกราชอธิปไตยของประเทศไทย ที่ไม่ใช่ชาติแพ้สงครามในที่สุด จนถึงทุกวันนี้

กล่าวเฉพาะนายจำกัด พลางกูร ได้พลิกจากนักอุดมคติ ผู้ถูกให้ออกจากราชการ ผู้ที่มีสถานะล้มลุกคลุกคลาน ผู้ที่ถูกดูหมิ่นว่า “พระสติเกินพระปัญญา” เป็นนักวิชาการฟุ้งซ่านบุคลิกไม่น่าเชื่อถือ

กระทั่งจำกัดกลับกลายเป็นบุคคลสำคัญ ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้นำเช่นนายปรีดี พนมยงค์ ในภารกิจใต้ดินต่อต้านญี่ปุ่น อันซับซ้อนหนักหนาสาหัส และเป็นความลับสุดยอด จนได้เป็นวีรบุรุษ ที่ชาติสัมพันธมิตรและคนไทยต้องยอมรับ หลังจากที่จำกัดได้ตายจากไปแล้ว ทั้งนี้ด้วยความมั่นคงในอุดมการณ์ และความรอบรู้ของจำกัดเอง

จากเป้าหมายของคณะกู้ชาติ…

ประเทศไทยในปัจจุบันนี้ ยังคงเป็นประเทศที่มีเอกราชและอธิปไตยสมบูรณ์

หากประเทศไทยในปัจจุบันนี้เช่นกัน มีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แล้วหรือไม่ ?


เอกสารอ้างอิง :

- ฉลบชลัยย์ พลางกูร. ชีวิตรัก “เพื่อชาติ เพื่อ humanity. ใน ๗๓ ปี วันสันติภาพไทย: ผู้ปิดทองใต้ฐานพระ. กรุงเทพฯ: สยามปริทัศน์, ๒๕๖๑.

- ฉัตรทิพย์ นาถสุภา. เพื่อชาติ เพื่อ humanity : ภารกิจของวีรบุรุษเสรีไทย จำกัด พลางกูร ในการเจรจากับสัมพันธมิตร. กรุงเทพฯ : สร้างสรรค์, 2549

- เตียง ศิริขันธ์. บันทึกของนายเตียง ศิริขันธ์ ฉบับพิมพ์ตามต้นฉบับ. จากแฟ้มเอกสารลับที่สุด : เผย”ข้อมูลใหม่”ทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ของหอจดหมายเหตุแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา (NARA) โดย พันเอก ดร.สรศักดิ์ งามขจรกุลกิจ. กรุงเทพฯ: สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ, 2564.

- นายฉันทนา (มาลัย ชูพินิจ). X.O.Group เรื่องในขบวนเสรีไทย. ฉบับอีบุ๊คส์โดย meb, ม.ป.ป.