ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
ศิลปะ-วัฒนธรรม

เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ 2568 (Bangkok International Film Festival 2025)

27
ตุลาคม
2568

 

 

16 ปี ในฐานะ เวทีแห่งภาพยนตร์และวัฒนธรรมร่วมสมัยของเอเชีย

เทศกาลภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “ เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพมหานคร 2568 ” Bangkok International Film Festival 2025 (BKKIFF 2025) ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงวัฒนธรรม กรมส่งเสริมวัฒนธรรม และ THACCA (Thailand Creative Culture Agency) หลังจากห่างหายไปนานกว่า 16 ปี ที่ล้มลุกคลุกคลานผ่านทุกบททดสอบแล้ว ล่าสุด BKKIFF 2025 ก็กลับมาอย่างสมศักดิ์ศรี แถลงข่าวเปิดตัว นำความภาคภูมิใจให้คนไทยอีกครั้งเมื่อ วันที่ 18 สิงหาคม 2568 [1] พร้อมพิธีเปิดงานอย่างอลังการในฐานะเวทีแห่งภาพยนตร์และวัฒนธรรมร่วมสมัยของเอเชีย เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 ด้วยการแสดงพิเศษจากครูเล็ก ภัทราวดี มีชูธน ตัวแทนนักแสดงไทย พร้อมเปิดรอบปฐมทัศน์โลกของ “ ธี่หยด 3 ” และยังคงเนืองแน่นด้วยภาพยนตร์คุณภาพทั้งไทยและนานาชาติตลอด 19 วัน เมื่อ 27 กันยายน - 15 ตุลาคม 2568 คัดสรรค์ภาพยนตร์คุณภาพนานาชาติหลากหลายแนว เพื่อให้คนรักหนังทุกสถานะได้เปิดประสบการณ์ในการชมภาพยนตร์สาย Main Competition รวมถึง โปรแกรมพิเศษ Retrospective ของผู้กำกับระดับตำนาน หลากหลายกิจกรรมนำความรู้ให้ได้ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองกับผู้กำกับระดับโลก และนักแสดงชื่อดังอย่างใกล้ชิด โปรแกรมฉายแบบดาวกระจาย 5 จุด ในโรงภาพยนตร์ย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพฯ จัดฉายพร้อมกันกว่า 200 เรื่องจาก 40 ประเทศ ทั้งภาพยนตร์ขนาดยาว - สั้น แอนิเมชัน  สารคดี รวมถึงโปรแกรมการประกวดที่คัดสรรอย่างพิถีพิถัน เพื่อสะท้อนมุมมองใหม่ ๆ แรงบันดาลใจจากผู้กำกับรุ่นใหญ่และผู้สร้างสรรค์รุ่นใหม่จากทั่วโลก ด้วยมุ่งมั่นร่วมปั้นระเทศไทยให้เป็น ‘ เมืองหลวงแห่งภาพยนตร์ ’ บนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือหมุดหมายสร้างชาติประกาศชัยด้วยกลไกของการจัดงาน ‘ เทศกาล ’ ผ่าน ‘ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ยุคใหม่ ’

 

 

Soft Power : Power in Collaboration

แม้ว่าคณะรัฐบาลจะเปลี่ยนผู้บริหาร แต่ด้านนโยบายแห่งชาติต้องสามารถต่อเนื่อง นพ. สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดงาน เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ 2025 กล่าวถึงจุดประสงค์และเจตจำนงค์ที่คงมั่นสร้างสรรค์ระยะยาว เพื่อก้าวใหม่ของภาพยนตร์ไทยสู่เวทีโลก

“ เพราะอุตสาหกรรมภาพยนตร์คือหนึ่งในหัวใจของ Soft Power  ที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราว วิถีชีวิต วัฒนธรรม ตลอดจนความคิดสร้างสรรค์ของไทยสู่สายตาชาวโลกได้อย่างทรงพลัง กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม และ THACCA จึงร่วมกันผลักดันให้เกิดเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ 2568 ภายใต้แนวคิด Power in Collaboration เพื่อสื่อถึงแนวทางการทำงาน ที่ต้องอาศัยพลังจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ศิลปิน ผู้สร้างสรรค์ และประชาชนทุกคน

“เรามุ่งมั่นยกระดับกรุงเทพมหานครสู่การเป็นศูนย์กลางภาพยนตร์และวัฒนธรรมร่วมสมัยของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้เป็นพื้นที่สำคัญที่จะเชื่อมโยงบุคคลากรในอุตสาหกรรมภาพยนตร์จากทั่วโลก ทั้งผู้สร้างภาพยนตร์และนักลงทุนมาเจอกัน เพื่อสร้างเครือข่ายต่อยอดโอกาสทางธุรกิจสำหรับนักสร้างสรรค์ของไทย

และที่สำคัญเราต้องการสร้างเวทีให้คนไทยได้พัฒนาทักษะ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และร่วมงานกับผู้สร้างภาพยนตร์จากทั่วโลก เพื่อขับเคลื่อนมาตรฐานการผลิต และขยายโอกาสทางธุรกิจของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยในระยะยาว เป็นการบูรณาการความร่วมมือ แลกเปลี่ยนความรู้และการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา พร้อมทั้งส่งเสริมศิลปินและผู้ประกอบการภาพยนตร์ของไทยให้สามารถเข้าถึงตลาดและเวทีระดับนานาชาติได้มากขึ้น การสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยให้เติบโตสู่ตลาดโลกเป็นการผลักดัน ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ และวัฒนธรรมสร้างสรรค์ของประเทศไทยออกไปสู่สากล ” นพ. สุรพงษ์ ยืนยัน

 

 

การฟื้นคืนครั้งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงการกลับมาของเทศกาลภาพยนตร์เท่านั้น หากยังเป็นการร่วมกันสร้างระบบนิเวศของภาพยนตร์ไทย ตั้งแต่รากฐานของการบ่มเพาะคนทำงาน ไปจนถึงการผลักดันสู่การยอมรับในระดับนานาชาติ

 

นโยบายและแนวทางในการสร้าง 
“ ระบบนิเวศภาพยนตร์ไทย ” ในสามมิติ

* ต้นน้ำ - มุ่งเน้นการพัฒนาคน นักแสดง นักเขียน ช่างภาพ ผู้กำกับ และศิลปินเบื้องหลังทุกแขนง ผู้ใช้จินตนาการและวิสัยทัศน์ปลุกภาพยนตร์ให้มีชีวิต

* กลางน้ำ - วางรากฐานที่มั่นคง ทั้งเงินทุน ทรัพยากร เสรีภาพทางความคิดสร้างสรรค์ โรงภาพยนตร์อิสระขนาดเล็ก และนโยบายที่เอื้อต่อการร่วมมือกับนานาชาติ เช่น มาตรการคืนเงินลงทุน 30% (Cash Rebate) ที่เปิดประตูสู่ความร่วมมือกับทั่วโลก

* ปลายน้ำ - ผลักดันให้ภาพยนตร์ไทยก้าวออกไปสู่คานส์ เบอร์ลิน เวนิส นิวยอร์ก ปูซาน และอีกนับไม่ถ้วน เพื่อให้เรื่องราวของเรามีที่ยืนบนเวทีโลก

นพ.สุรพงษ์ กล่าวย้ำจุดยืนว่า การกลับมาในปีนี้อาจยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ขอให้มองว่านี่คือการเริ่มต้น และเป็นคำมั่นที่จะพัฒนาและยกระดับเทศกาลให้แข็งแรงยิ่งขึ้นในทุก ๆ ปี เพื่อให้เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ เป็นการประกาศบทใหม่ของภาพยนตร์ไทย บทที่ไม่ใช่เพียงของประเทศไทย แต่เป็นของโลกภาพยนตร์ทั้งมวล ดังนั้น Bangkok International Film Festival จึงไม่ใช่เพียงการเฉลิมฉลองภาพยนตร์ แต่ยังเป็นพื้นที่แห่งการแลกเปลี่ยน เป็นตลาดแห่งจินตนาการ และเป็นสะพานทางวัฒนธรรมเชื่อมโยงนานาประเทศเข้าหากัน กรุงเทพฯ เมืองแห่งชีวิตชีวาและความหลากหลาย จะกลับมาเป็น “ จุดตัดของความคิดสร้างสรรค์” อีกครั้ง ที่ซึ่งตะวันออกและตะวันตก ประเพณีและนวัตกรรมมาบรรจบกันอย่างกลมกลืน

 

 

ตลาดหนัง (Talad Nang) 

หนึ่งใน HIGHLIGHT ใหม่ของ BKKIFF 2025 คือ  “ ตลาดหนัง  ” (Talad Nang) ไม่ใช่ของใหม่ในตลาดโลก แต่คือความใหม่ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติไทย ตลาดหนัง เปิดพื้นที่ให้ผู้สร้าง ผู้จัดจำหน่าย นักลงทุน มาพบปะเพื่อต่อยอดโอกาสทางธุรกิจภาพยนตร์และซีรีส์ระดับนานาชาติ กิจกรรมภายในงานประกอบด้วยการออกบูธจากผู้ผลิตและผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยกว่า 50 บริษัท เวทีสัมมนาเชิงลึกจากผู้ซื้อภาพยนตร์นานาชาติ กิจกรรม Master Class จากผู้กำกับและนักแสดงระดับโลก กิจกรรมประกวดภาพยนตร์สั้น รวมถึงกิจกรรม Asian Project Pitching และ Thai Project Pitching ที่เปิดให้ผู้ผลิต content ได้นำเสนอโปรเจกต์ต่อผู้ลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำไปต่อยอดสร้างสรรค์ผลงานของตัวเอง เปิดโอกาสให้ผู้สร้างหนังไทยเจรจาธุรกิจกับนักลงทุนระดับโลก ร่วมกันสำรวจระบบนิเวศภาพยนตร์ไทย 3 มิติ [2] ที่มุ่งพัฒนาคน วางรากฐานที่มั่นคง และผลักดันภาพยนตร์ไทยไปสู่เวทีนานาชาติ นอกจากโปรแกรมการฉายภาพยนตร์หลากหลายแล้ว BKKIFF 2025 ยังแน่นด้วยกิจกรรมสร้างสรรค์องค์ความรู้ที่ถือเป็น หัวใจของอุตสาหกรรมและเทศกาลภาพยนตร์ อาทิ

  • ตลาดหนังนานาชาติ (Film Market) ศูนย์กลางการพบปะของผู้สร้าง ผู้จัดจำหน่าย และนักลงทุนกว่า 50 บริษัท เพื่อเปิดโอกาสทางธุรกิจระดับภูมิภาคและระดับโลก
  • เวทีสัมมนาและมาสเตอร์คลาส จากผู้กำกับ นักแสดง และผู้เชี่ยวชาญระดับแถวหน้าร่วมถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ตรงสู่คนทำหนังไทย
  • การประกวดภาพยนตร์สั้น เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงพลังสร้างสรรค์และแนวคิดร่วมสมัย
  • เชื่อมโยงธุรกิจสร้างสรรค์ ที่ต่อยอดจากภาพยนตร์ไปสู่ธุรกิจอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร และบริการทางวัฒนธรรม สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการปรากฏตัวของผู้สร้างกับนักแสดงระดับโลก ฯลฯ ที่มาร่วมเทศกาลและพบปะแฟนภาพยนตร์อย่างใกล้ชิด
  • Asian Project Pitching และ Thai Project Pitching เวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้สร้างนำเสนอโปรเจกต์ต่อผู้ลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ

 

 

การคัดเลือกภาพยนตร์คือหัวใจสำคัญของเทศกาล ยังคงเป็นผู้เชี่ยวชาญ ดรสะรณ โกวิทวณิชชา อนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านภาพยนตร์ ละคร ซีรีส์ สารคดี และแอนิเมชัน และ ผู้อำนวยการ เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพมหานคร 2568  (BKKIFF 2025)กล่าวว่า “ หัวใจสำคัญของ BKKIFF 2025 คือการสร้างเวทีที่ทำให้ภาพยนตร์ไม่ใช่เพียงความบันเทิง แต่เป็นพลังในการเปิดมุมมอง สร้างบทสนทนาทางสังคม และต่อยอดสู่การเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม ทั้งในเชิงวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และความร่วมมือระหว่างประเทศ เราต้องการให้ BKKIFF เป็นเทศกาลที่ทุกคนรอคอย และกลายเป็นหมุดหมายสำคัญของโลกภาพยนตร์เอเชีย เป้าหมายสูงสุดคือการยกระดับมาตรฐานสู่ระดับเดียวกับเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติชั้นนำของโลก โดยอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ที่รักในศิลปะภาพยนตร์ทุกภาคส่วน

Concept ของงานคิดกันหลายอย่างอยากให้เกี่ยวกับศิลปะเพราะภาพยนตร์เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ดังนั้นสิ่งที่นึกถึงคือพระสุรัศวดีที่เป็น Key Art ของงาน เป็นเทพแห่งศิลปะที่ช่วยอำนวยพรให้กับศิลปิน รวมถึงภาพยนตร์ไทยให้เจริญรุ่งเรือง ส่งเสริมใหคนทยมีปัญญากว้างไกลเพื่อพัฒนาประเทศชาติ มีหลายปัจจัยในการคัดเลือกภาพยนตร์ เกณฑ์การพิจารณามุ่งให้หลากหลายโดยมองคุณภาพของงานเป็นหลัก เนื้อหามีคุณค่าทางศิลปะ วัฒนะธรรม ส่งเสริมความหลากผ่านหลายประเด็นครับ ”

 

 

พิมพกา โตวิระ Executive Director

ปัจจุบันการทำเทศกาลภาพยนตร์ไม่ใช่แค่การดูหนังที่คนดูมาสนุกมีความสุข เรียนรู้ภาพยนตร์จากทั่วโลกเท่านั้น สิ่งที่เราพยายามทำคือสร้างให้เกิดความเคลื่อนไหวในอุตสาหกรรมที่เรียกว่า “ ตลาดหนัง ” ที่มีบูธจากคนไทยกว่า 50 บริษัท International Buyer - Porducer- Distributor อีกประมาณ 50 คน ที่ให้ความสนใจมาก กิจกรรมมี Talk - Master Class จากคนที่ทำตลาดหนังในเมืองคานส์มาหลายปีที่จะมาพูดเรื่องมุมมองของภาพยนตร์ในปัจจุบัน อันนี้น่าสนใจสำรับคนที่ต้องการจะเข้าไปในแวดวงอุตสาหกรรมาพยนตร์ จะได้เข้าใจว่าสิ่งที่เราควรจะมีคืออะไรบ้าง หรือแม้กระทั่งโปรเจ็กต์ตลาดหนังที่มีการ Pithching ของ Asian Project - Thai Project แม้ใครไม่เข้ารอบก็จะได้รู้ว่าการ Pithching ต้องทำยังไง เรียนรู้เพื่อทำงานในอนาคต ใครเข้ารอบมีรางวัลพิเศษจากสถานทูตฝรั่งเศสมอบให้กับโครงการที่สามารถ Co Production กับฝรั่งเศสได้ (โฟกัสเฉพาะไทยกับอาเซียน) มีการประกวดทั้งหนังยาว และหนังสั้นที่เป็นการส่งเสริมคนทำหนังรุ่นใหม่ อยากให้ทุกคนมองว่า ‘ เทศกาลภาพยนตร์ ’ คือการสนับสนุนส่งเสริม ‘ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ ’ เราอยากให้อุตสาหกรรมเคลื่อนไหวไปพร้อม ๆ กับการดูหนังด้วยค่ะ

ครั้งนี้เป็นปีแรกที่เราทำ ‘ ตลาดหนัง ’ มีมากกกว่า 50 บูธ เพื่อให้เกิดการพบปะพูดคุยระหว่าง International กับคนไทย ดูว่าเกิดผลอะไรเราจะได้ปรับเปลี่ยนเพื่อการทำงานร่วมกันได้ยังไง ขณะเดียวกันก็มี sectionในการเสวนาสำหรับคนไทยด้วย มีหนังไทยเยอะมากที่ฉายใน Thai Panorama เราพยายามดึงให้คนไทยมาพบะกับคนทำหนังนานาชาติเพื่อที่ว่าถ้าเขาอยากจะกลับมาจะได้คุยกันเพิ่มเติม อยากให้เป็นพื้นที่ที่ต่างชาติมาแล้วประทับใจกลับมาทำหนังร่วมกับเรา เปิดให้คนไทยทุกรุ่นสามารถเข้าถึงเครือข่ายความร่วมมือระดับนานาชาติ พยายามเปิดทำให้เป็น Case Study สำหรับคนรุ่นใหม่รวมทั้งนักศึกษาสามารถเข้าร่วมได้ในทุกส่วน

การผลักดันภาพยนตร์ไทยสู่เวทีโลกต้องมองว่าอาจจะใช้เวลาต้องใจเย็น ๆ แต่ว่าการ Networking ระหว่างกันสำคัญ เพราะโลกปัจจุบัน Global Collaboration สามารถส่งต่อกันได้ในอนาคต อยากให้ทุกคนเข้าใจว่าในตลาดต่างประเทศใช้ระบบ  Networking เป็นหลัก ทำยังไงให้   Networking ของเราแข็งแรงพอที่จะทำงานกันต่อไปได้ แล้วการมาเจอกันในเมืองไทยเป็นพื้นที่ที่ดีมาก เพราะเรามีศักยภาพที่สูงมากทั้งในส่วน production และ service ทำให้เรามีโอกาสพัฒนา Networking  ได้ค่ะ ” 

 

 

ภาพยนตร์ประกวดแบ่งเป็น 4 สาขา

1. สาขาภาพยนตร์นานาชาติ (International Competition) เป็น Main Competition ประกวดภาพยนตร์นานาชาติ ชิงรางวัลสูงสุด 15,000 USD 

โปรแกรมประกวดสำหรับภาพยนตร์นานาชาติ ตัดสินโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากนานาชาติ 5 ท่าน ได้แก่

- Vimukthi Jayasundara

- Ming-Jung Kuo

- Anocha Suwichakornpong (อโนชา สุวิชากรพงศ์)

- Kiki Fung

- Kongdej Jaturanrasamee (คงเดช จาตุรันต์รัศมี)

 

2.  สาขาภาพยนตร์จากผู้กำกับหน้าใหม่ (New Voices)  

 สำหรับผู้กำกับเอเชียรุ่นใหม่ที่กำกับภาพยนตร์เป็นเรื่องแรก หรือเรื่องที่ 2-3 ชิงรางวัล 5,000 USD    

คณะกรรมการ 3 ท่าน ได้แก่

- Tony Bui

- Kamila Andini

- Soros Sukhum (โสฬส สุขุม)

 

3. สาขาภาพยนตร์สั้น รางวัลพระสุรัสวดี ( Golden Doll Awards )

จากผู้กำกับรุ่นใหม่ในเอเชีย (Asian Short Film Competition) ประกวดภาพยนตร์สั้นเอเชีย ชิง Asian Short Film Grand Prix 5,000 USD และ Short Film Audience Award 2,000 USD

 

คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากนานาชาติจำนวน 3 ท่าน ได้แก่

- Woo Ming Jin

- Mattie Do

- Sompot Chidgasornpongse (สมพจน์ ชิตเกษรพงศ์)

 

ทั้งสามสาขาได้รับเกียรติจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 11 ท่าน ร่วมตัดสินการประกวดภาพยนตร์ครั้งนี้ ได้แก่ คงเดช จาตุรันต์รัศมี, อโนชา สุวิชากรพงศ์, วิมุคธี ชยสุนทารา, โสฬส สุขุม, คามิลา อันดินี, โทนี่ บุย, สมพจน์ ชิตเกสรพงศ์, วูหมิงจิน, แมตตี้ โด

4. สาขาภาพยนตร์ไทย (Thai Panorama) ทั้งที่ฉายแล้วและยังไม่ฉาย เป็นการประกวดเพื่อชิงรางวัล Thai Panorama Audience Award รางวัล 5,000 USD “Audience Choice Award” โดยผู้เข้าชมในแต่ละรอบฉายของภาพยนตร์ไทยที่เข้าประกวดจะมีสิทธิร่วมลงคะแนนให้กับภาพยนตร์เพื่อนำมาประมวลผลตัดสิน

 

 

รางวัลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ 2568 
BKKIFF 2025 AWARD

** สาขาภาพยนตร์นานาชาติ International Competition **

รางวัล Bangkok Grand Prix : “ Dry Leaf ” 
กำกับโดย Alexandre Koberidze (Ger-Geo)

รางวัลพิเศษจากคณะกรรมการ (Special Jury Prize) 
“ Sound Of Falling ” กำกับโดย Mascha Schilinski (Ger-Fr)

รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม (Best Director Award) : Pedro Pinho 
จาก “ I Only Rest In The Storm ”

Special Jury Prize : “ Sound of Falling ”

 

** New Voices Competition **

รางวัล New Voices 
“ Secret Of A Mountain Serpent ” กำกับโดย Nidhi Saxena (อินเดีย)

รางวัลชมเชย Special Mention : “ Hair, Paper, Water ” 
กำกับโดย Nicolas Graux และ Truong Minh Quy (Bel-Viet)

 

** Asian Short Films Competition **

การประกวดภาพยนตร์สั้น รางวัลพระสุรัสวดี ( Golden Doll Awards )

ภาพยนตร์สั้นเอเชียยอดเยี่ยม Best Asian Short Film Award 
“ Attock ” กำกับโดย Awais Gohar (ปากีสถาน)

“ Delay ” กำกับโดย Wang Han-Xuan (จีน-สหรัฐอเมริกา)

รางวัลชมเชย Special Mention 
“ Grandma Nai Who Played Favorites ” 
กำกับโดย Chheongkeo (กัมพูชา-ฝรั่งเศส-สหรัฐอเมริกา)

 

** รางวัล Thai Panorama Audience Award **

“ Dream ”  กำกับโดย Paul Spurrier

 

photo : BKKIFF 2025 : รางวัล Thai Panorama Audience Award 
“ Dream ”  กำกับโดย Paul Spurrier

 

รางวัล Asian Project Pitching , Thai Project Pitching 
และ The France Embassy x Purin Film

ภายในงาน BKKIFF2025 เป็นปีแรกที่จัดให้มี “ ตลาดหนัง Talad Nang ” และ Project Pitching ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ปีนี้ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 1- 4 ตุลาคม 2568 ณศูนย์การค้า CONSIAM กรุงเทพมหานคร 10 ประเทศเข้าร่วมโครงการประกวดรวมกว่า 150 โปรเจ็กต์ 

ได้จัดให้มีการมอบรางวัล Asian Project Pitching , Thai Project Pitching และ The France Embassy x Purin Film จากการนำเสนอโครงการเพื่อชิงเงินรางวัลรวมกว่า 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ และรางวัลพิเศษจาก The France Embassy x Purin Film Fund 8,000 ดอลลาร์สหรัฐ และโอกาสในการร่วมสร้างภาพยนต์กับฝรั่งเศสต่อไป

 

photo : th.ambafrance.org 
เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย เป็นประธานมอบรางวัล French Embassy x Purin Film Fund[3] เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงการภาพยนตร์ที่มีศักยภาพ จากประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์การค้าไอคอนสยาม

 

“ Asian Project Pitching - BKKIFF 2025 ” [4] คัดสรร 10 โปรเจกต์ เข้าร่วม Asian Project Pitching ในปีนี้ โดยแต่ละโปรเจกต์ได้นำเสนอโครงการต่อหน้าคณะกรรมการ Buyer, Distribution, Producer จากนานาชาติ เพื่อชิงเงินรางวัลชนะเลิศ 10,000 USD รางวัลรองชนะเลิศ 5,000 USD และได้สิทธิ์เข้าร่วม Workshop, Business Matching และ Networking French ได้แก่

- A place to stay

- Another story About love and hope

- Build to order

- Child uninvited

- My missing half

- Pech

- The Chameleon Woman

- To leave to stay

- 2038

- Unholy

รางวัลพิเศษจาก French Embassy x Purin Film Fund Prize.  กรรมการได้ตัดสินใจแบ่งรางวัล “ The French Embassy x Purin Award ” ออกเป็น 2 รางวัล ให้กับ Thai Project Pitching และอีกรางวัลให้กับ Asian Project Pitching มอบโดยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ สำหรับโครงการที่มีศักยภาพจะได้โอกาสร่วมทุนกับฝรั่งเศสมากที่สุด โดยผู้ชนะได้รับเงินรางวัลรวม 8,000 Euro

กรรมการ

Tran Thi Bich Ngoc  (Vietnam)

Jérémy Segay  (France)

Aditya Assarat  (Thailand)

  • รางวัล Thai Project Pitching มอบให้กับเรื่อง “ ดาหลากาลี ”  โดย ผู้กำกับ ชานนท์ ตรีเนตร และโปรดิวเซอร์ ณจรี รัตนเจียเจริญ ด้วยกรรมการต้องการสนับสนุนการสร้างสรรค์งานอนิเมชันขนาดยาวของไทย โดยมองเห็นถึงน้ำเสียงทางศิลปะที่ชัดเจนและสุนทรียศาสตร์ที่โดดเด่นของผู้สร้าง รางวัลยังสะท้อนความมุ่งมั่นของสถานทูตในการสนับสนุนการเติบโตของวงการอนิเมชันไทย และเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับระบบนิเวศของวงการหนังฝรั่งเศส รวมทั้งวงการหนังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • รางวัล Asian Project Pitching มอบให้กับเรื่อง “ Build to Order ” จากสิงคโปร์โดย ผู้กำกับ Huang Junxiang โปรดิวเซอร์ Sam Chua Weishi กรรมการมองเห็นแนวทางที่สดใหม่และประเด็นที่เข้ากับยุคสมัย นำเสนอปัญหาที่คนหนุ่มสาวในเมืองใหญ่ของเอเชียต่างต้องเผชิญหน้า น้ำเสียงเสียดสี ผสมผสานกับความตลก-ดรามา ทำให้โปรเจคท์นี้สามารถเข้าถึงคนดูในวงกว้างได้ อันเป็นสิ่งที่กรรมการอยากสนับสนุน

 

Thai Project Pitching กรรมการ

1.อมราพร แผ่นดินทอง

2.เกรียงไกร วชิรธรรมพร

3.ปิยะกานต์ บุญประเสริฐ

 

Grand Prize

กรรมการ มอบรางวัลให้ โปรเจกต์ เรื่อง “ ด้วยรักและปลาทู ” โดยผู้กำกับ ชนสรณ์ มาเขียว โปรดิวเซอร์ จินนะ คงมา เพราะเป็นไอเดียที่ concept แข็งแรง น่ารัก และน่าจะ relate กับคนดูได้ง่าย สำหรับคนทำหนังสามารถมองเห็น passion ที่ชัดเจน และสำหรับผู้ชม ไม่ว่าคุณจะเป็นทาสแมวหรือไม่ แต่อย่างน้อย เชื่อว่า จะมองเห็นตัวเองหรือคนใกล้ตัวในตัวละครที่เป็นสมาชิกในครอบครัวคนใดคนหนึ่งในเรื่องแน่ๆ เรื่องนี้มีความง่ายและความเป็นมนุษย์ในหนัง

 

Asian Project Pitching คณะกรรมการ

  1.  Yongyoot Thongkongtoon
  2. Jin Ong
  3. Kris Ong

 

Grand Prize ได้แก่เรื่อง Unholy

By the Director Reza Fahriyansyah and the Producer Amerta Kusuma

 

พลังของโปรเจกต์นี้มาจากวิสัยทัศน์ที่กล้าหาญแต่อ่อนไหวต่อเรื่องราวภายใน theme ที่ว่าด้วยเพศสภาพ แรงปราถนา ความรัก มิตรภาพ อาจมีหนังเรื่องอื่นเคยพูดถึงมาก่อน แต่ไม่ใช่ในโลกจำเพาะแบบในหนังเรื่องนี้ รางวัลนี้ให้กับการเล่าเรื่องที่แข็งแรง เต็มไปด้วยความรู้สึก และด้วยความหวังว่าหนังที่สร้างเสร็จจะสามารถเปิดบทสนทนาให้กับประเด็นต้องห้าม  กรรมการขอมอบรางวัลชนะเลิศให้กับ

 

รางวัลรองชนะเลิศ (Runner up prize) ได้แก่เรื่อง “ Pech ”

By the Director Kumar Producer Sudhanshu

เป็นเรื่องราวในโปรเจกต์นี้ว่าด้วยความไม่เท่าเทียม ความยากจน และความสิ้นหวัง แต่สิ่งที่โดดเด่นออกมาจริงๆ แล้วคือความรู้สึกพรึงเพริดและความสดใสร่าเริงกรรมการรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและความเป็นมนุษย์โลกของความไร้เดียงสาของเด็กที่ขัดแย้งกับความเป็นจริงของผู้ใหญ่ กรรมการเห็นความสามารถของเรื่องในการสั่นสะเทือนหัวใจผู้ชมในโลกที่เต็มไปด้วยปัญหา

 

photo : ณเดชน์ คูกิมิยะ :  ธี่หยด 3  (DEATH WHISPERER 3)

 

Opening Film : DEATH WHISPERER 3

BKKIFF 2025 คัดภาพยนตร์กว่า 200 เรื่อง จัดกระจายรอบฉายในโรงภาพยนตร์ 6 แห่ง ได้แก่ พารากอน ซีนีเพล็กซ์, เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า เซ็นทรัลเวิลด์, เอส เอฟ ซีเนม่า เอ็มบีเค เซ็นเตอร์, เฮ้าส์ สามย่าน, เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ สุขุมวิท เอกมัย และ ลิโด้ คอนเน็คท์ ที่น่าชื่นชมคือ Thai Showcase ที่รวบรวมผลงานเด่นของผู้กำกับไทยร่วมสมัย ตอกย้ำพลังสร้างสรรค์ของวงการภาพยนตร์ไทยที่กำลังจะก้าวไกลสู่เวทีโลกอีกด้วย ได้คัดเลือกภาพยนตร์ “ ธี่หยด 3 ” ให้เกียรติเป็น ‘ หนังเปิดเทศกาล ’ (Opening Film) โดยจัดฉายรอบปฐมทัศน์ในพิธีเปิดอลังการเมื่อ วันที่ 29 กันยายน 2568 ณ โรงภาพยนตร์ ไอคอน ซีเนคอนิค ไอคอนสยาม

“ ธี่หยด 3 ” (DEATH WHISPERER 3) ผลงาน Major Join Film และ BEC WORLD จากการกำกับของ ณฤทธิ์ ยุวบูรณ์ ภาพยนตร์มหากาพย์ไทยไตรภาคแอ็คชันสยองขวัญตามแบบฉบับของ Mass movie ถ่ายทอดเรื่องราวบทใหม่ของ ครอบครัวตัว ย. เมื่อ ยี่ น้องสาวคนเล็กของบ้านถูกผีจับตัวไป ทำให้ ยักษ์ และจ่าปพันธ์ต้องออกเดินทางเพื่อตามหายี่กลับมาก่อนที่เรื่องเลวร้ายจะเกิดขึ้น แต่การเดินทางครั้งนี้จะพาพวกเขาไปผจญกับจุดเริ่มต้นของความสยองเกินคาดเดาบนเส้นทางสุดลึกลับและอันตราย ฉายเพียง 3 สัปดาห์แรกทำสถิติกวาดรายได้รวมทั่วประเทศถึง 428 ล้านบาท (เริ่มฉาย 1 ตุลาคม 2568) คุณภาพงานสร้างสะท้อนศักยภาพวงการภาพยนตร์ไทยที่สามารถส่งเสริมผลักดันสู่เวทีโลก และเป็นการตอกย้ำบทบาทของประเทศไทยในฐานะ ศูนย์กลางภาพยนตร์แห่งอาเซียน

 

 

โปรแกรมฉายพิเศษที่สะท้อนความหลากหลายของโลกภาพยนตร์

• Canvas สำหรับแอนิเมชันระดับนานาชาติ

• Reel of The World สารคดีจากทั่วโลก

• Multicolor หนังร่วมสมัยที่นำเสนอประเด็นใหม่ๆ

• Retrospective ย้อนชมผลงานของ หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล

• โปรแกรม Ryusuke Hamaguchi ผู้กำกับรางวัลออสการ์

• Bangkok Midnight หนังสยองขวัญและทริลเลอร์สำหรับคอหนังสายเข้ม

โปรแกรมพิเศษ Retrospective จัดฉายภาพยนตร์ผลงานของ หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล 8 เรื่อง จาก หอภาพยนตร์ไทย ในฐานะประเทศเจ้าภาพผู้จัดงาน นับเป็นการประกาศศักยภาพของภาพยนตร์ไทยอย่างสมศักด์ศรี  ท่านมุ้ย ประสูติเมื่อ วันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2485 ทรงศึกษาที่มหาวิทยาลัย UCLA สหรัฐอเมริกา วิชาเอกด้านธรณีวิทยา และวิชาโทด้านภาพยนตร์ ทรงเป็นผู้บุกเบิกการสร้างภาพยนตร์ไทยด้วยเทคนิคและเนื้อหาที่ ‘ ก้าวหน้า ’ ตั้งแต่เรื่องแรกที่ทรงกำกับ คือ “ มันมากับความมืด ” ฉายในปี 2514 และเป็นที่ยอมรับในวงกว้างอย่างท่วมท้นทั้งประเทศในเรื่องที่ 2 “ เขาชื่อกานต์ ”  ในปี 2516 กล่าวถึงอุดมการณ์ของหนุ่มสาวและเปิดโปงปัญหาทุจริต ส่งผลให้พระองค์กลายเป็นหนึ่งในคนทำหนัง ‘ คลื่นลูกใหม่ ’ ของวงการภาพยนตร์ไทย ในบริบทของสังคมที่เริ่มเกิดการตื่นรู้ นำไปสู่จุดเปลี่ยนของประเทศจากเหตุการณ์ทางการเมืองเมื่อ 14 ตุลาคม 2516 ภาพยนตร์เรื่องที่สาม “ เทพธิดาโรงแรม ”  ปี 2517 เป็นเรื่องแรกที่ทรงสร้างในนาม บริษัทพร้อมมิตรภาพยนตร์ ของพระองค์เอง ซึ่งได้นำภาพเหตุการณ์ 14 ตุลา มหาวิปโยค ที่ทรงบันทึกไว้ด้วยพระองค์เองเข้ามาเป็นฉากหลัง นำมาซึ่งจุดเด่นที่เป็นอัตลักษณ์ของ ท่านมุ้ย คือหัวใจของผลงานที่เปี่ยมอุดมการณ์ทางการเมือง แต่สามารถเข้าถึงมวลชนได้ทุกกลุ่ม ให้ความสำคัญกับ คนตัวเล็กของสังคม เป็นกระบอกเสียงในการต่อสู้กับอำนาจและบัญหาความเหลื่อมล้ำ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง กลายเป็นเอกลักษณ์ของผู้กำกับภาพยนตร์ไทยรุ่นใหม่หัวก้าวหน้า ที่ส่งต่อแนวทางให้กับรุ่นหลังด้วย  ท่านมุ้ยมีผลงานเด่นตลอดพระชนม์ชีพ จึงได้รับการยอมรับอย่างสูงจากผู้ชมและบุคคลในวงการภาพยนตร์ไทยและต่างประเทศ     

ผลงานที่โดดเด่นที่ถูกคัดมาเป็นตัวแทนของยุคสมัย ภาพยนตร์ไทย และ วัฒนธรรมทย ใน เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ปีนี้ 8 เรื่อง ได้แก่ มันมากับความมืด (ปี 2514) , เขาชื่อกานต์ (ปี 2516) , เทพธิดาโรงแรม ( ปี 2517) , นางแบบมหาภัย (ปี 2519) , กาม (ปี 2521) , ถ้าเธอยังมีรัก (ปี 2524) , มือปืน (ปี 2526) และ คนเลี้ยงช้าง (ปี 2533) ล้วนตำราวิชาภาพยนตร์ที่คนไทยภูมิใจในความเป็น ‘ อมตะ ’ ที่ยังทันสมัยอยู่เสมอ และเชื่อมโยงถึงปัจจุบันได้ด้วยตัวช่วยที่นำสมัยไม่แพ้ภาพยนตร์คือผู้แสดงที่ได้ชื่อว่า นางเอกหัวก้าวหน้าแห่งยุค ภัทราวดี ศรีไตรรัตน์ (ครูเล็ก ภัทราวดี มีชูธน) ที่ยังคงเป็นดาวเด่นประดับฟ้ามาทุกยุคจนถึงปัจจุบัน กว่าครึ่งศตวรรษของชีวิตที่เป็นนักแสดง ครู ผู้กำกับ ฯลฯ ทั้งภาพยนตร์และละครเวทีไทย งานนี้ครูเล็กมาร่วมเสวนาถึงความเป็น “ นางแบบมหาภัย ” ที่ลำ้สมัยแห่งยุค

 

 

photo :  เสวนาเปิดตำนานหนังไทยล้ำยุค : ครูเล็ก ภัทราวดี และ ชลิดา เอื้อบำรุง

 

BKKIFF 2025 เปิดตำนานหนังไทยล้ำยุค ครูเล็ก ภัทราวดี และ ชลิดา เอื้อบำรุงจิต เผยเบื้องหลังบูรณะ “ นางแบบมหาภัย ” ในวาระเชิดชู ม.จ. ชาตรีเฉลิม ยุคล

เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ 2025 (BKKIFF 2025) ได้จัดโปรแกรม Retrospective ม.จ. ชาตรีเฉลิม ยุคล เพื่อเฉลิมฉลองเส้นทางกว่า 50 ปีในวงการภาพยนตร์ไทย โดยมีกิจกรรม Q&A หลังชมภาพยนตร์เรื่อง “ นางแบบมหาภัย ” (2519) สุดพิเศษที่ได้ ครูเล็ก ภัทราวดี มีชูธน และ คุณชลิดา เอื้อบำรุงจิต ผู้อำนวยการหอภาพยนตร์ มาร่วมเผยเสน่ห์ที่เหนือกาลเวลาของภาพยนตร์ และเบื้องหลังการบูรณะผลงานอันล้ำค่านี้

ครูเล็ก ภัทราวดี มีชูธน ย้อนรำลึกถึงความกล้าหาญในการบุกเบิกของ หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล (ท่านมุ้ย) ที่ตัดสินใจยกกองถ่ายไปถ่ายทำถึงประเทศอังกฤษ ซึ่งแทบไม่ค่อยมีภาพยนตร์ไทยเรื่องใดทำมาก่อนในยุคนั้น

ครูเล็กยังกล่าวว่า “ นางแบบมหาภัย ” ให้กลิ่นอายที่ล้ำหน้าก่อนกาล ทั้งในด้านพล็อตเรื่อง รูปแบบการถ่ายทำ และสไตล์ภาพยนตร์ ที่แม้จะกลับมาชมในปัจจุบันก็ยังคงมีความใหม่ล้ำสมัย และเนื้อเรื่องยังสามารถเชื่อมโยงกับประเด็นในสังคมปัจจุบันได้

โดยการทำงานร่วมกับท่านมุ้ย เป็นการถ่ายทำอย่างยาวนานและเต็มคิวเวลา เพื่อ Push the limit ของทั้งนักแสดง และกระบวนการสร้างภาพยนตร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านมุ้ยให้ความสำคัญ

ความท้าทายของ ‘ สองภาษา ’ และ  ‘ Sound on Film ’

ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความท้าทายอย่างมากในการบันทึกเสียง เนื่องจากใช้เทคนิค Sound on Film (บันทึกเสียงลงบนฟิล์มโดยตรง) และเป็นภาพยนตร์ Bilingual (สองภาษา) ทำให้นักแสดงต้องเผชิญกับความยากในการพูดภาษาอังกฤษ และออกเสียงสำเนียงต่าง ๆ ให้ชัดเจนจริง ๆ อย่างไรก็ตาม การแสดงและบทพูดถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างไพเราะลื่นไหลในท้ายที่สุด

ภารกิจสุดหิน การบูรณะฟิล์มชุดเดียวที่เหลืออยู่

ชลิดา เอื้อบำรุงจิต ผู้อำนวยการหอภาพยนตร์ ได้เผยถึงความยากลำบากในการบูรณะฟิล์มประวัติศาสตร์ชุดนี้ ความท้าทายของการบูรณะ ชลิดา กล่าวว่า องค์ประกอบด้านเส้นเสียงมักจะเสียก่อนองค์ประกอบด้านภาพ ในภาพยนตร์เก่า ๆ ทำให้ภารกิจการบูรณะมีความท้าทายอย่างยิ่งในการค้นหากระบวนการที่ทำให้ทุกองค์ประกอบกลับมาสมบูรณ์ที่สุด

โดยเฉพาะปัญหาด้านเสียง ฟิล์มที่ค้นพบในปัจจุบันเป็นฟิล์มชุดเดียวที่เหลืออยู่ และมีปัญหาเสียงไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะเสียงในช่วง 10 นาทีสุดท้าย ที่ขาดหายไป เนื่องจากฟิล์มเนกาทิฟเสียงเสื่อมสภาพ

แต่แม้จะยากลำบาก แต่หอภาพยนตร์เล็งเห็นว่า นางแบบมหาภัย มีความน่าสนใจอย่างยิ่งทั้งในด้านภาพและเนื้อเรื่องที่หาได้ยากในภาพยนตร์ไทยยุคนั้น จึงถือเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ถูกบูรณะ และนำกลับมาฉายสู่สายตาผู้ชม

 

 

“ Orwell: 2+2=5 ” เข้าชิง สารคดียอดเยี่ยม CCA

หนึ่งในหนังสารคดีโดดเด่นที่จัดฉายใน BKKIFF 2025 คือ  “ Orwell: 2+2=5 ” ผลงานร่วมสร้างระหว่างฝรั่งเศสกับอเมริกา “ Orwell: 2+2=5 ” หนังเปิดเรื่องด้วยคนสอง generation ปู่กับหลานรุ่นเด็กเล็กคุยกัน ปู่ตั้งคำถามว่า 2+2 เป็นเท่าไหร่? คือการตั้งคำถามถึงคนยุคใหม่ พร้อมอธิบายรายละเอียดที่มาของ “ ลัทธิ Orwell: 2+2=5 ” ที่มีต้นกำเนิดจากรัสเซีย ผ่านสารคดีที่มีรูปแบบการเล่าเรื่องที่ทันสมัยคนยุคใหม่ชอบ   ล่าสุด สมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ ในสหรัฐอเมริกา (Critics Choice Association: CCA) ประกาศรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลสารคดี Critics Choice Documentary Awards [5] ประจำปี 2025 เรื่องที่ได้เข้าชิงสูงสุดก็คือ “ Orwell: 2+2=5 ”  ของค่าย Neon (ฉายรอบปฐมทัศน์โลกที่  เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2568) ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงถึง 7 สาขา รวมถึง ภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม  นอกจากนี้ “ Orwell: 2+2=5 ” ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอื่น ๆ ได้แก่ ราอูล เพ็ก สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม (Best Director), อเล็กซานดรา สเตราส์ สาขาตัดต่อยอดเยี่ยม (Best Editing) , อเล็กซี ไอกุย สาขาดนตรีประกอบยอดเยี่ยม (Best Score), บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best Narration) เขียนบทโดย จอร์จ ออร์เวลล์, ดัดแปลงเป็นบทาพยนตร์โดย ราอูล เพ็ก, Performed by Damian Lewis และรางวัล Best Archival Documentary, and Best Political Documentary) ผู้ที่ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติ Critics Choice Award 2025 คือ เคน เบิร์นส์ ผู้กำกับ-โปรดิวเซอร์สารคดีระดับตำนาน เจ้าของผลงานซีรี่ส์ “ The Vietnam War ”  จะประกาศผลรางวัล วันที่ 9 พฤศจิกายน 2568

“ Orwell: 2+2=5 ” เป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ ราอูล เพค (ผู้กำกับที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ และได้รับรางวัลบาฟต้า จากเรื่อง “ I Am Not Your Negro ” ได้นำนวนิยายดิสโทเปียในศตวรรษที่ 20 (รุ่นเดียวกับ “ Animal Farm” ) อายุ 76 ปี เรื่อง “ 1984 ” ผลงานเล่มสุดท้าย ของ จอร์จ ออร์เวลล์ มาเป็นแกนหลักของเรื่อง “ Orwell: 2+2=5 ” เพื่อถ่ายทอดอัตชีวประวัติผสมผสานกับแก่นแท้ทางปัญญาอย่างมีชีวิตชีวาของนักเขียน ที่ได้วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของ จักรวรรดิ อำนาจ ระบบเผด็จการ ผ่านสถานการณ์ทางการเมืองช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อีกครั้ง ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เห็นได้ชัด ด้วยมุมมองที่ลึกซึ้งและไม่เคยตกยุค นำเสนอการวิเคราะห์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับลัทธิเผด็จการและเงื่อนไขทางสังคมที่เอื้ออำนวยให้เกิด “ ลัทธิ Orwell: 2+2=5 ” [6](ชื่อเรื่องได้มาจากความเท็จทางคณิตศาสตร์ที่ออร์เวลล์ไม่ได้เป็นผู้คิดค้นขึ้น แต่เป็นตัวอย่างของการที่มนุษย์ถูกตั้งโปรแกรมให้เชื่อว่า ‘คำโกหกคือความจริง’) จึงเป็นที่มาของสารคดีที่เข้มข้น ร้อนแรง และตรงไปตรงมา แต่ว่าสามารถสนุกกับเหตุการณ์ เพราะเป็นงานที่เจาะลึกถึงวิธีคิดและข้อโต้แย้งของออร์เวลล์ ซึ่งมีผลส่องสว่างให้กับภูมิรัฐศาสตร์โลกตลอดศตวรรษ

 

photo : www.amazon.it

 

“ 1984 ” ของ จอร์จ ออร์เวลล์  (George Orwell  นักเขียนชาวอังกฤษผู้แหวกกฎเกณฑ์และไม่ยอมใคร เพื่อขัดขวางสัญญาณของอัลกอริทึมที่ไร้การควบคุม ในนามของเสรีภาพส่วนบุคคล) ตีพิมพ์ในปี 1949 หนึ่งปีก่อนที่ออร์เวลล์จะเสียชีวิตด้วยวัณโรค ซึ่งเขาติดเชื้อมาขณะเขียนเรื่อง “ Orwell: 2+2=5 ” [7]  คือเรื่องราวของพลเมืองธรรมดาผู้ซื่อสัตย์ในสังคมแห่งอนาคต วินสตัน สมิธ ผู้ซึ่งรับหน้าที่เขียนประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่ตามอำเภอใจของรัฐบาลเผด็จการของประเทศ แม้ในขณะที่เขากำลังเก็บงำความฝันอันลึกล้ำเกี่ยวกับการก่อกบฏ นั่นทำให้เขากลายเป็น "อาชญากรทางความคิด" เพียงหนึ่งเดียวในคำกล่าวอันน่าหวาดหวั่นมากมายที่ออร์เวลล์บัญญัติขึ้นในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งนำไปสู่การจับกุมและการอบรมสั่งสอนอย่างโหดร้ายที่เขาได้รับ

 

photo : MASTERCLASS - Make your film go international! : Jérôme D. Paillard

 

กิจกรรมการเสวนา รายงานโดย BKKIFF 2025

Jérôme D. Paillard เผยกลยุทธ์พาภาพยนตร์สู่สากล ใน Masterclass ที่ BKKIFF 2025

ในกิจกรรม MASTERCLASS - Make your film go international! โดย Jérôme D. Paillard ผู้เชี่ยวชาญด้านเทศกาลและตลาดภาพยนตร์ระดับโลก ได้ชี้ให้เห็นถึงภูมิทัศน์ของตลาดภาพยนตร์ที่กำลังจะเปลี่ยนไป

Jérôme D. Paillard ระบุอย่างชัดเจนว่า ตลาดภาพยนตร์ในรูปแบบเดิม ๆ กำลังจะตายจากไป เขาจึงแนะนำให้ผู้สร้างภาพยนตร์ควรจะโฟกัสไปที่ระบบของเทศกาลภาพยนตร์ต่าง ๆ แทน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและการรับรู้ในระดับสากล

นอกจากนี้ การเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วโลก อาจไม่ใช่ตัววัดความสำเร็จเดียวอีกต่อไป Platform Streaming คือทางรอดที่ทรงพลังในการเผยแพร่ผลงานสู่ผู้ชมทั่วโลกอย่างรวดเร็ว

Jérôme D. Paillard ยังเน้นย้ำเพิ่มเติมว่า ทฤษฎี Long Tail เป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างมูลค่าและรายได้ต่อเนื่องให้กับภาพยนตร์นอกเหนือจากรายได้ในโรงฉาย ดังนั้น การโปรโมทหน้าหนังในช่วงแรกของการฉายในโรงภาพยนตร์จึงสำคัญมาก เพราะมีผลต่อการรับรู้เมื่อภาพยนตร์ไปอยู่บนแพลตฟอร์ม Streaming ในภายหลัง

นอกจากนี้ เขามองว่าการเกิดเทศกาลภาพยนตร์เฉพาะด้านหรือเฉพาะพื้นที่ เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะช่วยให้ผู้สร้างสามารถ ผลักดันผลงานได้ตรงจุดมากขึ้น

ในส่วนของการพาภาพยนตร์ไปสู่ตลาดสากล Jérôme D. Paillard ย้ำเตือนว่า แม้การไปสากลจะช่วยในเรื่องการหาเงินทุน แต่ต้องอย่าไปมองว่าการตลาดต่างประเทศคือเรื่องที่สำคัญที่สุด ผู้สร้างต้องตัดสินใจให้แน่ชัดว่าภาพยนตร์เรื่องนั้น ๆ เหมาะสมที่จะอยู่ในตลาดไทย หรือจะไปตลาดต่างประเทศ

เพราะบางครั้งภาพยนตร์ที่มีนักแสดงหรือเรื่องราวที่ท้องถิ่นมากเกินไป อาจไม่ดึงดูดหรือทำให้ผู้ชมต่างชาติไม่เข้าใจ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดผลตอบรับไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้นการเลือกตลาดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับภาพยนตร์แต่ละเรื่องจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

 

photo : Roundtable: Movie: The Next Chapter

 

photo : Roundtable: Movie: The Next Chapter

 

หนังจะเป็นยังไงต่อไป? ผู้เชี่ยวชาญชี้ทิศทาง ‘ โรงหนัง-สตรีมมิ่ง ’ ต้องเสริมกัน เพื่อสนับสนุนคนทำหนังแห่งยุค

ประเด็นร้อนที่วงการภาพยนตร์ต้องเผชิญถูกนำมาถกกันอย่างเข้มข้นใน Roundtable: Movie: The Next Chapter ณ เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ 2025 (BKKIFF 2025) โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายบทบาท ทั้งผู้สร้าง ผู้จัดจำหน่าย นักแสดง และตัวแทนจากเอเชีย มาร่วมหาคำตอบว่า อุตสาหกรรมจะเดินหน้าไปในทิศทางใดในวันที่การดูหนังง่ายเพียงแค่ ‘ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ’

คุณภาพคือหัวใจ ไม่ว่าจะฉายที่ไหน ‘ หนังก็คือหนัง ’

ศิวโรจณ์ คงสกุล ผู้กำกับ ยืนยันว่าไม่ว่าผลงานจะฉายในโรงภาพยนตร์หรือสตรีมมิ่ง รูปแบบการทำงานของเขายังคงเหมือนเดิม คือการทุ่มเทให้กับงานสร้างที่ดีที่สุด เช่น การเลือกใช้กล้องและไมค์คุณภาพดี และการกำกับที่ใช้เวลาเต็มที่ เพราะมองว่าภาพยนตร์ยังต้องใช้องค์ประกอบเดิม ๆ ในการสร้างสรรค์

Jin Ong โปรดิวเซอร์และผู้กำกับชาวมาเลเซีย มองว่า สื่อก็ยังคงเป็นสื่อ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือวิธีการทำงานกับสื่อเหล่านั้น โดยเน้นย้ำว่าสำหรับคนทำภาพยนตร์แล้ว ความสำคัญคือจะทำอย่างไรให้ผู้ชมสามารถดื่มด่ำไปกับผลงานของคุณได้มากที่สุด

Super Filmmaker ” ทักษะที่ผู้กำกับยุคใหม่ต้องมี

การเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมนั้นสร้างความท้าทายใหม่ ๆ ให้กับคนทำงานเบื้องหลัง โดยเฉพาะผู้กำกับ

เอกลักญ กรรณศรณ์ Director & Managing Director จาก BrandThink ชี้ว่า ผู้กำกับในปัจจุบันต้องเป็น “ Super Filmmaker ” คือต้องทำได้หลายอย่าง ทั้งเข้าใจสื่อหลายแบบ เข้าใจในผลงานของตนเองอย่างถ่องแท้ เข้าใจการตลาด และเข้าใจนายทุน เพื่อมองเห็น Insight ในมุมที่คาดไม่ถึง เพราะภาพยนตร์ในปัจจุบันถูกยกให้เป็น “ Experience ” ที่เฉพาะเจาะจง ไม่ใช่แค่ “ Lifestyle ” แบบการไปออกเดทเหมือนในอดีตแล้ว เขายังผลักดันให้ผลงานอยู่ในพื้นที่ที่ควบคู่ทั้งในโรงภาพยนตร์และในสตรีมมิ่งไปพร้อม ๆ กัน

โรงหนัง-สตรีมมิ่ง การต่อยอดที่ไม่ใช่การแข่งขัน

ผู้ร่วมเสวนาหลายท่านเห็นตรงกันว่า การมาถึงของสตรีมมิ่งไม่ใช่ด้านลบ แต่เป็นการสร้างโอกาส

Kris Ong นักเขียนบทฯ จากสิงคโปร์ ชี้ว่า เราไม่ควรไปมองสตรีมมิ่งเป็นด้านลบ เพราะทั้งสองช่องทาง คือ โรงภาพยนตร์และสตรีมมิ่ง ล้วนมีฐานผู้ชมที่เฉพาะตัว และผลงานที่เกิดขึ้นในแต่ละช่องทางจึงเป็นการ ต่อยอดกันและกัน เพื่อทำให้ผลงานเติบโต

ภูมิภัทร ถาวรศิริ นักแสดงและเลขาฯ สมาคมนักแสดงฯ มองว่าปัจจุบัน Culture ในประเทศไทยใหญ่กว่าโรงภาพยนตร์ การเข้าโรงหนังมีความเป็น Cult เฉพาะตัวมากขึ้น แต่เขายังเชื่อว่า การรับชมภาพเคลื่อนไหวที่ให้ประสบการณ์ดีที่สุดยังไงก็ควรจะต้องเป็นในโรงภาพยนตร์

ความอยู่รอดและอำนาจต่อรองของคนทำหนังตัวเล็ก

สุภาพ หริมเทพาธิป ผู้ก่อตั้ง Doc Club & Pub มองว่า ภาพยนตร์จะยังคงอยู่ต่อไปได้เป็นร้อยปี เพราะเคยเผชิญความท้าทายมาโดยตลอด สตรีมมิ่งมีไว้เพื่อให้ Filmmaker เกิดความท้าทาย ในการพาผลงานไปฟันฝ่าตามช่องทางต่าง ๆ

อย่างไรก็ตาม สุภาพ ชี้ว่าบุคคลที่น่าเป็นห่วงคือ คนทำภาพยนตร์ตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ จึงเสนอแนะให้วงการต้องหาทางเพื่อให้คนกลุ่มนี้ เกิดอำนาจต่อรองได้มากขึ้น เช่น อาจต้องมีการกำหนดสัดส่วนร่วมกันว่า จะไม่ให้ผลงานชิ้นใดชิ้นหนึ่งครองพื้นที่มากเกินไป วิธีการนี้จะช่วยสนับสนุนให้ภาพยนตร์แต่ละเรื่องมีความสำคัญเท่า ๆ กัน และช่วยให้คนทำภาพยนตร์รายย่อยสามารถมีเรี่ยวแรงในการผลิตผลงานต่อ ๆ ไปได้

 

photo : Masterclass : One Film After Another : A Conversation with Davika Hoorne

 

ส่วนเสวนาใน Masterclass ใหม่-ดาวิกา โฮร์เน ได้มาเปิดเผยถึงหลักแนวคิดและเทคนิคการแสดงเชิงลึก ที่ผลักดันให้เธอก้าวขึ้นมาเป็นนักแสดงระดับสากล ‘ เครื่องมือ ’ สร้างตัวละคร ใหม่-ดาวิกา เน้นย้ำว่า การ Workshop ก่อนถ่ายทำ คืออาวุธสำคัญที่ช่วยให้เธอรับมือกับบทบาทที่ซับซ้อนได้ นอกจากนี้ เธอยังเผย Tools ส่วนตัวที่ใช้ในการเข้าถึงตัวละครอย่างลึกซึ้ง เช่น การใช้ดนตรีเพื่อปรับอารมณ์และเซ็ตมู้ดก่อนเข้าฉาก, การจินตนาการรายละเอียดของตัวละครอย่างถี่ถ้วน ทั้งลักษณะและรูปแบบการใช้ชีวิต, การควบคุมจังหวะการหายใจและการใช้เสียง คือกุญแจสำคัญในการถ่ายทอดอารมณ์ รวมถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เธอเน้นย้ำคือ ความเชื่อที่ว่าตัวละครที่ได้รับบทนั้น มีเลือดเนื้อ มีตัวตนอยู่จริง ไม่ใช่แค่ตัวละครในบทเท่านั้น

ความท้าทายระดับ ‘ มิลลิเมตร’ และการสลับโหมด

ดาวิกายังพูดถึง ‘ การแสดงแบบระดับมิลลิเมตร ’ หรือการต้องเล่นหลายเทคเพื่อดึง ‘ ความเป็น Magical ’ ของนักแสดงออกมาซึ่งเธอมองว่าเป็นทักษะที่นักแสดงควรเตรียมพร้อมอยู่เสมอ อีกความท้าทายคือการสลับรูปแบบการแสดงระหว่าง งานละครกับงานภาพยนตร์ ซึ่งทั้งสองแขนงมีความแตกต่างกันอย่างมากในวิธีการถ่ายทอดอารมณ์

ก้าวสู่สากล ภาษาและการ ‘ ทุ่มสุดตัว ’ 

สำหรับโอกาสระดับโลก ใหม่-ดาวิกา แนะนำว่า ทักษะด้านภาษา คือแต้มต่อที่ดีที่สุด และนักแสดงไทยควรเตรียมฝีมือให้พร้อมเพราะโอกาสที่จะได้แสดงในภาพยนตร์ต่างประเทศเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และย้ำว่าการทำงานกับต่างประเทศนั้นต้อง ‘ ทุ่มสุดตัว ’ และ แสดงความสามารถออกมาให้เขาเห็นอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นการพิสูจน์ตัวเอง เพราะไม่สามารถ Play Safe ได้เหมือนการทำงานบางชิ้นในประเทศ

ภารกิจส่วนตัว สนับสนุนพลังหญิง

ปิดท้ายด้วยความมุ่งมั่นส่วนตัวของเธอ ต้องการสนับสนุนบทบาทที่ให้ความสำคัญกับผู้หญิง เพื่อเป็นกระบอกเสียงและสะท้อนภาพของเพศหญิงในสังคม ผ่านบริบทของตัวละครและเนื้อเรื่องที่เธอเลือก

 

photo : ผู้กำกับ Tetsuichirô Tsuta : Black Ox 

 

Black Ox

ฉากหลังของภาพยนตร์อยู่ในช่วง ยุคเมจิ (Meiji Period) ศตวรรษที่ 19 ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประเทศกำลังก้าวเข้าสู่ความทันสมัย และการรับเอาอารยธรรมตะวันตกอย่างขนานใหญ่

ตัวเอกของเรื่องคือ ชายชาวนา เขาคืออดีตนายพราน และผู้เก็บของป่าที่หันมาใช้ชีวิตแบบเกษตรกรรมในชุมชนบนภูเขาอันโดดเดี่ยว เขาใช้ชีวิตตามวิถีดั้งเดิม โดยมีวัวเป็นเพื่อนคู่ใจของเขาในวันที่ชีวิตต้องผันแปรไปตามฤดูกาล

โครงสร้างของภาพยนตร์ได้รับแรงบันดาลใจโดยตรงจาก "ภาพวาดสิบภาพของการเลี้ยงวัว" (Ten Ox Herding Pictures) ซึ่งเป็นชุดภาพวาดและบทกวีในพุทธนิกายเซนที่แสดงถึง "เส้นทางสู่การตื่นรู้" และการบรรลุธรรม ชายชาวนาและวัวจึงไม่ได้เป็นเพียงมนุษย์กับสัตว์ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการค้นหาตัวตนและการกลับคืนสู่ธรรมชาติภายใน

ภาพยนตร์ยังสร้างความฮือฮา ด้วยเทคนิคการถ่ายทำที่ทะเยอทะยาน โดยมีการใช้ฟิล์ม 35 มม. ขาวดำ เป็นหลักเพื่อถ่ายทอดภาพชีวิตอันดั้งเดิมที่เรียบง่าย รวมถึงมีบางช่วงของเรื่องได้เปลี่ยนไปใช้ฟิล์ม 70 มม. สี ที่มีความละเอียดสูงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ญี่ปุ่น เพื่อแสดงภาพโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ผลลัพธ์คือภาพที่มีความคมชัดสูง สวยงาม และน่าตกตะลึง

ดนตรีประกอบของภาพยตร์ประพันธ์โดย Ryuichi Sakamoto ตำนานนักดนตรีผู้ล่วงลับ ซึ่งยิ่งเพิ่มความสำคัญและความซาบซึ้งให้กับภาพยนตร์ การผสมผสานของภาพที่สงบแต่ทรงพลัง กับดนตรีที่ล้ำลึก ทำให้ Black Ox เป็นประสบการณ์ทางศิลปะอย่างแท้จริง

ปรัชญาเซนสู่จอภาพยนตร์ - ผู้กำกับ Tetsuichirô Tsuta เผยว่า “ Black Ox ” คือการค้นพบตัวเองใหม่ผ่านธรรมชาติ เซนและธรรมชาติ คือสัญญะของการหวนคืน Tetsuichirô Tsuta เล่าว่า ภาพยนตร์ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก "ภาพวาดสิบภาพของการเลี้ยงวัว" (Ten Ox Herding Pictures) ซึ่งเป็นสัญญะในปรัชญาเซนเกี่ยวกับการ ‘ ค้นพบตัวเองใหม่ ’ โดยใช้วัวเป็นสัญลักษณ์ในการขัดเกลาจิตวิญญาณ

‘ วัวคือสัญญะ ’ ผู้กำกับตีความประเด็นนี้ ผ่านการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ โดยกล่าวถึงการที่ร่างกายสลายไป ก็เป็นเสมือนการแสดงว่ามนุษย์ได้หวนกลับคืนสู่ธรรมชาติ ตามขนบรูปแบบเดิม

ยุคเมจิ (Meiji Period) การต้องเปลี่ยนแปลงของคนญี่ปุ่น เซ็ตติ้งของภาพยนตร์เกิดขึ้นใน ยุคเมจิ ซึ่งเป็นยุคที่อิทธิพลตะวันตกเริ่มเข้ามา และมุมมองของคนญี่ปุ่นเริ่มเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยสะท้อนผ่านตัวละครหลักที่รับบทโดย Lee Kang-sheng ตัวละครของเขา ซึ่งใช้ชีวิตบนเขา เริ่มค่อย ๆ สูญเสียสัญชาตญาณดิบ เนื่องจากการที่อารยธรรมเริ่มรุกรานเข้ามา และเขาต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมและอารยธรรมเหล่านั้น

ผู้กำกับเลือกถ่ายทำที่ เมืองมิโยชิ จังหวัดโทคุชิมะ ที่เป็นบ้านเกิดของเขา และต้องมีการสร้างตัวบ้านและที่ทำนาขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เข้ากับยุคเมจิสำหรับการถ่ายทำโดยเฉพาะการกำกับที่ให้อิสระ ความไว้วางใจในนักแสดง Tsuta เลือกใช้แนวทางการกำกับที่ให้อิสระกับนักแสดงอย่างมาก โดย คุณ Lee Kang-sheng แทบไม่ได้รับบรีฟรูปแบบการแสดง จากผู้กำกับเลย สิ่งที่คุณ Lee Kang-sheng ได้รับมีเพียงแค่ ข้อมูลเบื้องหลัง, ประวัติข้อมูลตัวละคร, และทิศทางของบทแบบคร่าว ๆ เท่านั้น เพื่อให้เขาเป็นคนตีความตัวละคร และอิมโพรไวส์การแสดงไปเองตลอดทั้งเรื่อง

ผู้กำกับยังกล่าวชื่นชมคุณ Lee Kang-sheng ว่าเป็นผู้ที่มีทักษะทางกายภาพและการแสดงทางอารมณ์สูงมาก ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากในวงการการแสดง

สำหรับการทำงานร่วมกับวัวที่ชื่อ ฟุคุโยะ  วัวที่ผ่านการฝึกฝนผู้กำกับเผยว่า เธอไม่ใช่วัวที่ไว้ใช้สำหรับการแสดง แต่เป็นวัวแม่พันธุ์สายพันธุ์คุโรเกะวากิว ที่ผ่านการแคสติ้ง เพราะเป็นวัวที่ดูสงบนิ่งและเชื่องที่สุด ซึ่งหลังจากได้รับการคัดเลือกแล้ว ก็ได้ทำการฝึกฝนการแสดงให้กับฟุคุโยะ อีกประมาณ 3 เดือน ความท้าทายคือ การถ่ายทำฉากนอกสถานที่ ซึ่งผู้กำกับจะตั้งกล้องถ่ายค้างไว้ ปล่อยให้คุณ Lee Kang-sheng และวัวเข้าฉากด้วยกันไปเรื่อย ๆ โดยผู้กำกับจะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าการแสดงและสิ่งที่จะเกิดขึ้นแต่ละคัทจะออกมาเป็นแบบไหน เพราะบทภาพยนตร์มีแค่รายการสถานที่ และองค์ประกอบแบบคร่าว ๆ ระบุไว้เท่านั้น

 

photo : ผู้กำกับ Vimukthi Jayasundara : Spying Stars

 

Spying Stars

ผู้กำกับ Vimukthi Jayasundara แชร์ไอเดียเบื้องหลัง “ Spying Stars ” ภาพยนตร์แห่งการไว้ทุกข์ในโลกยุคเทคโนโลยี 

การไว้ทุกข์ในยุคโรคระบาด ภาพยนตร์ที่มาจากความรู้สึกส่วนตัว

Vimukthi Jayasundara เผยว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้มีที่มาจากการสูญเสียที่ลึกซึ้ง โดยหลัก ๆ คือต้องการจะสื่อถึงความโศกเศร้า และการหาทางรักษา

การทำภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเหมือนการได้ อุทิศให้แก่พ่อของเขาที่จากไป รวมถึงเรื่องราวในช่วงเวลาที่มีโรคระบาด โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 โดยเป็นความเศร้าที่เขายังคงนึกถึงเสมอมา

ผู้กำกับยังชี้ให้เห็นว่า ในช่วงยุคที่มีโรคระบาด เทคโนโลยีก็ได้เข้ามามีผลในความสัมพันธ์ของมนุษย์มากขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้

ไซไฟที่สะท้อนชีวิตจริง โรคระบาดในภาพของเทคโนโลยี

เหตุผลในการวางเซ็ตติ้งภาพยนตร์ให้เป็นแบบ ไซไฟผสมกับการไว้ทุกข์ เป็นเพราะผู้กำกับมองว่าทุกอย่างในชีวิตปัจจุบันของเรามีความเกี่ยวโยงกับเทคโนโลยี

เขามองว่าหากเทคโนโลยีอยู่กับเรามากไป ก็จะเป็นเหมือนโรคร้ายได้ ดังนั้นในภาพยนตร์จึงได้มีโรคที่เปรียบดั่งกับเป็นตัวแทนของเทคโนโลยี ซึ่งทำให้แม้จะเป็นภาพยนตร์ไซไฟ แต่ก็ยังคงเป็นไซไฟที่ใกล้เคียงกับชีวิตที่พวกเราอาศัยอยู่ Jayasundara ตั้งข้อสังเกตว่า มนุษย์พูดถึงการไปพิชิตอวกาศบ่อยขึ้นในยุคหลัง แต่กลับยิ่งห่างไกลจากธรรมชาติใกล้ตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นความย้อนแย้งที่น่าสนใจในการสำรวจ

ผู้กำกับยังแสดงความเชื่อมั่นว่า ผู้ชมเมืองไทยจะสามารถอินกับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ไม่ยาก เนื่องจากไทยและศรีลังกานั้นมีความคล้ายคลึงกันหลายอย่างในด้านศาสนา

เช่น การทำพิธีเพื่อไว้ทุกข์ และ การยอมรับคนที่ตายจากไปแล้วให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในเสี้ยวชีวิตของเรา ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ทั้งสองประเทศมีความเข้าใจร่วมกัน

 

photo : ผู้กำกับ Trương Minh Quý : ภาพยนตร์ “ Hair, Paper, Water…”

 

Hair, Paper, Water… 

ภาพยนตร์เรื่อง “ Hair, Paper, Water…” กำกับโดย Nicolas Graux, Truong Minh Quy ได้รับรางวัล Special Mention ถ่ายทอดวิถีชีวิตของคนตัวเล็กกับศรัทธาผ่าน คุณยาย ที่ยังคงยึดมั่นในแนวทางการดำเนินชีวิตที่กำลังจะสูญหายไป ทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมและความจำเป็นในการส่งต่อเรื่องเล่าไปยังคนรุ่นหลัง  หนังสามารถจับภาพความสวยงามความเบาหวิวของความทรงจำ ภาษา และประเพณีของกลุ่มชาติพันธ์ุที่ใกล้จะสูญหายไปกับกาลเวลา

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการนำเสนอภาพที่ใกล้ชิดและอ่อนโยนของ หญิงชราจากหมู่บ้านชนบท เธอเกิดในถ้ำเมื่อกว่า 60 ปีก่อน และปัจจุบันอาศัยอยู่ในหมู่บ้านกับลูกหลานมากมาย แก่นกลางของเรื่องคือชีวิตประจำวันอันแสนเรียบง่ายของเธอ  และการพยายามส่งต่อภาษาของชนกลุ่มน้อยที่กำลังเผชิญหน้ากับความเสี่ยงที่จะสูญหายไปตลอดกาล

ภาพยนตร์เรื่องนี้บันทึกช่วงเวลาสั้น ๆ ในชีวิตประจำวันของ คุณหญิงเห่า ทั้งความฝันที่เธอเห็นแม่ผู้ล่วงลับเรียกให้เธอกลับบ้าน (กลับสู่ถ้ำที่เป็นบ้านเดิม) การเก็บพืชสมุนไพร และการใช้ชีวิตตามจังหวะของธรรมชาติ การสนทนาระหว่างเธอกับหลานชายจึงกลายเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่าง ‘ โลกใบเก่า ’ แห่งถ้ำและธรรมชาติ กับ ‘ โลกใบใหม่ ’ แห่งความทันสมัยที่กำลังคืบคลานเข้ามา

ภาพยนตร์ถ่ายทำด้วยกล้อง Bolex แบบวินเทจบน ฟิล์ม 16 มม. ซึ่งให้ภาพที่มีพื้นผิว (textured) สูง และความละเอียดที่นุ่มนวลอย่างเป็นเอกลักษณ์ “ Hair, Paper, Water…” เป็นผลงานที่ได้กระแสตอบรับว่า เป็นผลงานที่ก้าวข้ามขอบเขตระหว่างสารคดีและฟิคชั่นได้อย่างสง่างาม มันไม่ใช่แค่การบันทึกชีวิตจริง แต่เป็น ‘ ตำนานเทพนิยายที่ไม่ใช่นิยาย ’ ที่เล่าเรื่องราวของหมอพื้นบ้าน และภาษาที่ใกล้จะตายด้วยความแม่นยำเชิงบทกวี

“ Hair, Paper, Water…”  จากฟิล์ม 16 มม. สู่บทกวีแห่งสายน้ำ ผู้กำกับ Trương Minh Quý เผยเบื้องหลังความท้าทายและการทดลองในภาพยนตร์   คือความใกล้ชิดที่สร้างความจริง Trương Minh Quý เล่าว่าการทำงานกับ คุณย่า ซึ่งเป็นตัวละครหลักในเรื่องนั้นเป็นไปด้วยความสนิทสนม เพราะมีการติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ ทำให้การถ่ายทำเหมือนได้เจอกับญาติครอบครัวคนสนิท ความใกล้ชิดนี้จึงถ่ายทอดผ่านภาพยนตร์ออกมาอย่างสมจริงและเป็นกันเอง ผู้กำกับไม่ได้มองคุณย่าเป็นเพียงแค่ Subject แต่เป็น ‘ นักแสดงที่ถ่ายทอดชีวิตจริง ’ ทำให้วิธีการกำกับไม่เน้นการจำกัดกรอบมากเกินไปตามรูปแบบสารคดีทั่วไป

Trương Minh Quý เลือกใช้พื้นที่ ชายแดนเวียดนาม-กัมพูชา ที่ตนเองได้เคยไปใช้ชีวิตอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งเขาพบว่าพื้นที่นั้นมักจะสะท้อนความอยุติธรรมอยู่เสมอ ประกอบกับความชอบส่วนตัวใน ธรรมชาติความเขียวขจีต่างๆ ทำให้เขาตัดสินใจหยิบยกองค์ประกอบเหล่านั้นมาใช้ถ่ายทอดในภาพยนตร์

ข้อจำกัดที่กลายเป็นศิลปะ ฟิล์มวินเทจ และความเป็นบทกวี ผู้กำกับเผยถึงที่มาของการตัดต่อภาพยนตร์ที่ออกมามีความเป็น Poetic หรือบทกวีสูงมาก ซึ่งเกิดจากข้อจำกัดของเทคนิคที่ใช้ในการถ่ายทำ ภาพยนตร์ถ่ายทำด้วย กล้อง Bolex แบบวินเทจ บนฟิล์ม 16 มม. ซึ่งถ่ายได้แค่ ทีละ 30 วินาที ไม่สามารถถ่ายยาวได้ ทำให้แต่ละฟุตเทจที่ได้ออกมามีความแยกส่วน ซึ่งข้อจำกัดนี้กลับกลายเป็นที่มาของการตัดต่อที่เป็นศิลปะที่น่าสนใจ

Trương Minh Quý เผยว่าความท้าทายอย่างมาก คือการทำงานด้านเสียง โดยมีไอเดียว่า อยากให้เสียงที่ถ่ายทอดออกมาในภาพยนตร์นั้นมีความต่อเนื่อง ไหลลื่นเหมือนสายน้ำ ซึ่งเสียงที่อัดมาจากหน้ากองถ่ายนั้นมีทั้งความยาวที่ยาวมาก และอัดเสียงกันมาเยอะมาก แต่เสียงในหลาย ๆ ช่วงก็ดังและจอแจมาก จนไม่สามารถใช้ได้ทั้งหมด ทำให้ต้องมีการสร้างเสียง Foley ขึ้นมาใหม่ (เสียงประดิษฐ์ที่คิดทำขึ้นมาเลียนเสียงจริงแต่โดดเด่นออกมาชัดเจน เพื่อสื่อสารรายละเอียดของเนื้อหาในภาพยนตร์) รวมถึงมีการใช้เสียงที่ไม่ได้ตรงตามช่วงเวลาที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์จริง ๆ เช่น ใช้เสียงของคนละวัน ใช้เสียงของคนละช่วงเวลา มาสลับใช้ เพื่อเป็นการทดลองในการนำเสนอ ชื่อเรื่องและปรัชญาการทำงาน

ผู้กำกับเล่าถึงที่มาของชื่อ “ Hair, Paper, Water… ” ซึ่งถูกเปลี่ยนจากชื่อเดิมอย่าง “ Underground Water ” ซึ่งชื่อเก่านั้นดูเป็นชื่อที่สามัญเกินไป การเปลี่ยนชื่อนี้ ยังเพื่อให้ช่วยสื่อไปถึงโครงสร้างในแต่ละช่วงของภาพยนตร์ได้อย่างชัดเจน

ท้ายที่สุด ปรัชญาในการทำงานของเขาคือ เลี่ยงการควบคุมไม่ให้มีมากเกินไป และต้องการให้ทุกอย่าง ‘ go with the flow ’ หรือปล่อยให้สิ่งที่ถ่ายทำมาดำเนินเรื่องไปตามที่มี ซึ่งเป็นทั้งการทดลอง และก่อให้เกิดการตีความที่หลากหลาย ตามมุมมอง ทัศนคติ ที่ผู้ชมมีต่อภาพยนตร์

 

 

 

Where the Night Stands Still

เรื่องราวเน้นไปที่ Lilia หญิงชาวฟิลิปปินส์ผู้ทำงานเป็นแม่บ้านในอิตาลีมานานหลายปี ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เมื่อเธอได้รับมรดกเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ จาก Madam Patrizia เจ้านายผู้ล่วงลับอย่างไม่คาดฝัน Lilia กลายเป็นเจ้าของทรัพย์สินอย่างถูกกฎหมาย ทำให้เธอเลื่อนสถานะจากผู้อพยพที่ถ่อมตัว ไปเป็นเจ้าของที่ดินอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เรื่องราวเริ่มเข้มข้นขึ้นเมื่อ Manny น้องชาย และ Rosa น้องสาวของลิเลีย ซึ่งเป็นแรงงานในอิตาลีเช่นกัน เดินทางมาเยี่ยมเธอที่คฤหาสน์หลังใหม่ การพบกันของสามพี่น้องที่ไม่ลงรอยกันมานานนี้ ได้ขุดคุ้ยความขุ่นเคืองในอดีต และความห่างเหินที่สั่งสมหมักหมมมาหลายปีในต่างแดนให้ประทุออกมา

ผู้กำกับ Liryc Dela Cruz เลือกถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดในโทน ขาว-ดำ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่สไตล์ แต่เป็นเครื่องมือในการเพิ่มมิติทางอารมณ์ และความรู้สึกของการรำพึงรำพัน ภาพขาว-ดำสร้างบรรยากาศที่เคร่งขรึมและชวนให้ครุ่นคิด ทำให้เห็นชัดถึงเงาของการพลัดถิ่น และความรู้สึกที่ไม่ลงรอยกับสถานที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ งานภาพที่ประณีตนี้ถูกเปรียบเทียบว่า เป็นการผสมผสานระหว่าง สัจนิยมใหม่ของอิตาลี (Italian Neorealism) และ ภาพยนตร์เชิงกวีของฟิลิปปินส์ (Filipino Lyric Cinema) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากผู้กำกับรุ่นพี่อย่าง Lav Diaz โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ลักษณะช็อตภาพที่นิ่ง และการเล่นกับความลึกของพื้นที่และเงาต่าง ๆ

 

photo : BKKIFF 2025 ;  Liryc Dela Cruz : Where the Night Stands Still

 

ผู้กำกับ Liryc Dela Cruz เปิดไอเดีย “ Where the Night Stands Still ” คือการสำรวจชนชั้น และการพลัดถิ่นผ่านรอยร้าวในครอบครัว

การพลัดถิ่นคือการเปลี่ยนผ่านทางชนชั้น

ผู้กำกับ Liryc Dela Cruz เน้นย้ำว่าเขาไม่ได้มองการพลัดถิ่นเป็นเพียงการย้ายที่อยู่ แต่เป็นการ ‘ เปลี่ยนผ่านทางชนชั้นและมุมมองต่อชีวิต ’ ซึ่งเป็นแกนหลักของเรื่องราว

วิลล่า สัญญะของความรู้สึกเป็นเจ้าของ

ภาพยนตร์เล่าถึงพี่น้องชาวฟิลิปปินส์สามคนที่ทำงานเป็นแรงงานในครัวเรือนในอิตาลี ได้กลับมารวมตัวกันในวิลล่าที่พี่สาวคนหนึ่งได้รับมรดกมา

Dela Cruz ตั้งคำถามว่า การได้รับมรดกที่เป็นทรัพย์สินขนาดใหญ่จากชาวอิตาลีนั้นมีความหมายอย่างไร มันเปลี่ยนมุมมองและ สถานะทางชนชั้น ของพวกเขาในดินแดนนั้นได้อย่างไร ดังนั้น วิลล่า จึงถูกใช้เป็นอุปกรณ์สำคัญในการพูดถึง ‘ การต่อสู้ทางชนชั้น ’ และ ‘ ความรู้สึกของการเป็นเจ้าของ ’ ในฐานะผู้อพยพ

งานศิลปะที่มาจากชีวิตจริง ประสบการณ์แรงงานในครัวเรือน

Dela Cruz เปิดเผยว่า งานภาพยนตร์เรื่องนี้ของเขาไม่ได้มาจากสมมติฐาน แต่มาจาก ประสบการณ์ชีวิตที่แท้จริงของเขาเอง เพราะเคยทำงานกับครอบครัวในอิตาลี ซึ่งทำให้กระบวนการถ่ายทำมีความลื่นไหล และเป็นไปตามธรรมชาติอย่างมาก เพราะเขาและนักแสดงมีความไว้วางใจกันผ่านงานศิลปะ และงานชุมชนร่วมกันมาก่อน

รอยร้าวในครอบครัว ผลสะท้อนของประวัติศาสตร์แห่งการกดขี่

ภาพยนตร์ใช้ความรัดกุมในการแสดงอารมณ์ ซึ่งท้าทายในการดึงเอาความตึงเครียด ความริษยา ความอิจฉา และความแค้น ที่ฝังอยู่ภายในซึ่งตัวละครมีต่อพี่น้องออกมา

Dela Cruz ยังชี้ให้เห็นว่า พลวัตความขัดแย้งในครอบครัวนั้นสามารถมองเห็นได้ว่าเป็น ‘ หน้าต่างสู่ประสบการณ์ของผู้อพยพ ’ ซึ่งสิ่งที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าคือ การที่ความขัดแย้งนี้สะท้อนถึง ‘ ผลกระทบของประวัติศาสตร์แห่งการกดขี่ ’ ที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน โดยมีรากฐานมาจากความแตกแยกภายในครอบครัวนั่นเอง

พลังของการเปลี่ยนผ่าน คุณค่าที่ยิ่งใหญ่ของภาพยนตร์

ท้ายที่สุด ผู้กำกับ Liryc Dela Cruz เชื่อในคุณค่าของการเปลี่ยนผ่าน และพลังการเปลี่ยนแปลงของภาพยนตร์ ในการนำผู้คนมารวมกัน และเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขา แม้เขาจะยอมรับว่า ภาพยนตร์ไม่สามารถเปลี่ยนโลกได้ทั้งหมด ก็ตาม

 

photo : ผู้กำกับ Fujimoto : Lost Land

 

photo : ผู้กำกับ Fujimoto และ ผู้อำนวยการสร้าง Karimuddin : Lost Land

 

Lost Land (2025)

เสียงจากแผ่นดินที่ถูกลืม “ Lost Land ” หนังภาษาโรฮิงญาเรื่องแรก จากผู้กำกับ Akio Fujimoto และผู้อำนวยการสร้าง Sujauddin Karimuddin ส่งต่อความหวังสู่ผู้ชมทั่วโลก

แรงขับเคลื่อนจากประเด็นต้องห้าม เพื่อทำลายกำแพงความเงียบ

ผู้กำกับ Akio Fujimoto เล่าว่า แรงจูงใจในการสร้างภาพยนตร์มาจากประสบการณ์ส่วนตัวในประเทศพม่ากว่า 10 ปี ทำให้เขารับรู้ และประหลาดใจว่าประเด็นชาวโรฮิงญากลายเป็นเรื่องต้องห้าม ความเงียบงันนี้เป็นแรงขับเคลื่อนให้เขาตัดสินใจทำภาพยนตร์เรื่องนี้ เพื่อให้คนทั่วโลก รับรู้ถึงประเด็นนี้และตระหนักว่าปัญหานี้มีอยู่จริงในที่สุด

การกำกับที่ต้องไว้เนื้อเชื่อใจกัน

ทีมงานเผชิญกับความท้าทายในการถ่ายทำกับนักแสดงที่เป็นชาวโรฮิงญาแท้ ๆ โดยส่วนใหญ่เป็นเด็กและคนงานก่อสร้าง ซึ่งไม่ใช่นักแสดงมืออาชีพและอ่านหนังสือไม่ออก

ผู้กำกับ คุณ Fujimoto จึงต้องกำกับการแสดงด้วยการใช้ลักษณะของท่าทางเป็นหลัก ส่วนด้านการพูดสื่อสาร Sujauddin Karimuddin ผู้เป็นผู้อำนวยการสร้าง และเคยเป็นอาจารย์ ได้ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยแปลและสื่อสารกับนักแสดง ทำให้การสร้างความเข้าใจ และความไว้เนื้อเชื่อใจในกองถ่ายเป็นไปอย่างราบรื่น

ภาพยนตร์ยังเผชิญกับความท้าทายกับข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ กับระยะเวลาถ่ายทำเพียง 1 เดือนครึ่ง โดยต้องรักษาบรรยากาศในกองถ่ายให้ง่ายต่อการถ่ายทำ ไม่ให้เหล่านักแสดงที่เป็นเด็กลำบาก

กระบอกเสียงแห่งความหวัง สะท้อนเรื่องจริงของชุมชน

ผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างเผยว่า วิธีการคัดเลือกนักแสดง คือการติดต่อหัวหน้าชุมชนของชาวโรฮิงญา โดยผู้เข้าร่วมแสดงส่วนใหญ่จะรับรู้แค่การแสดงในส่วนของตนเองเท่านั้น เพื่อให้ง่ายต่อการทำงาน หลังจากที่ชมภาพยนตร์จบ เหล่าผู้แสดงทุกคนตื่นเต้นและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้น เพราะพวกเขาต้องการให้ประเด็นของตนได้รับการพูดถึง และกล่าวว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เหมือนเป็นการสะท้อนตัวตน และเรื่องราวที่พวกเขาต้องเผชิญได้เป็นอย่างดี

ผู้กำกับ Fujimoto และ ผู้อำนวยการสร้าง Karimuddin ยังย้ำว่า ใจความสำคัญของภาพยนตร์คือการพูดถึง ‘ ความหวัง ’ ในการที่จะได้กลับบ้าน ที่เป็นแผ่นดินแม่ หรือ แผ่นดินเกิด และมีเป้าหมายสูงสุดคือการเป็น กระบอกเสียงสำคัญให้กับชาวโรฮิงญาและบุคคลไร้รัฐ พร้อมทั้งยังหวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ชม ออกไปค้นหาข่าว, ข้อมูล หรือความจริง ว่าอะไรคือมูลเหตุเบื้องหลังของโศกนาฏกรรมนี้

หนังเล่าถึงการเดินทางสุดอันตรายของสองพี่น้องชาวโรฮิงญา คือ Somira วัย 9 ขวบ และ Shafi วัย 4 ขวบ ที่ต้องอำลาค่ายผู้ลี้ภัยในบังกลาเทศเพื่อเริ่มต้นภารกิจที่ยิ่งใหญ่เกินตัว ด้วยการเดินทางที่เสี่ยงภัยเพื่อตามหาครอบครัวที่พลัดพรากและไปให้ถึงประเทศมาเลเซีย โดยมีความหวังอันริบหรี่ว่าจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ แม้จะไม่รู้แน่ชัดว่าจุดหมายปลายทางจะเป็นเช่นไรก็ตาม

หนึ่งในความสำคัญภาพยนตร์เรื่องนี้ คือการเป็นภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกที่ใช้ ภาษาโรฮิงญา (Rohingya) ในการถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมด ทำให้เป็นบันทึกทางวัฒนธรรมและภาษาที่หาได้ยากยิ่ง ด้านผู้กำกับ Akio Fujimoto ใช้แนวทางการสร้างภาพยนตร์ที่ผสมผสานระหว่างเรื่องแต่ง (Fiction) และสารคดี (Documentary) อย่างกลมกลืน เป็นการนำเสนอภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นกลางและเยือกเย็น ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนกำลัง 'ร่วมเดินทาง' ไปกับเด็กๆ ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย ตั้งแต่การข้ามพรมแดน การสูญเสีย และความหวาดกลัว

 

photo : Chie Hayakawa ผู้กำกับ “ Renoir ”

 

“ Renoir ”

สำรวจปรัชญาชีวิตและความตาย Chie Hayakawa ผู้กำกับ “ Renoir ” (2025) เผยแก่นแท้ความเจ็บปวดมนุษย์ และแรงบันดาลใจจากศิลปินระดับโลก

ภายหลังการฉายภาพยนตร์ลุ่มลึกกินใจอย่าง “ Renoir ” เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ 2025 (BKKIFF 2025) ได้จัดกิจกรรม Q&A สุดพิเศษกับผู้กำกับชาวญี่ปุ่น Chie Hayakawa เพื่อเจาะลึกถึงเบื้องหลังแรงบันดาลใจและปรัชญาที่ขับเคลื่อนงานสร้างสรรค์นี้

ตั้งคำถามถึงการมีชีวิต : แก่นแท้ของความเจ็บปวด

Chie Hayakawa เผยว่าแก่นของภาพยนตร์ “ Renoir ” มาจากการตั้งคำถามเชิงปรัชญาว่า “ ความเจ็บปวดของมนุษย์เป็นสิ่งที่เข้าใจได้จริงหรือไม่? ” และ “ การตายของความตายนั้นมีความรู้สึกอย่างไร? ” ไม่ว่าจะเป็น การตายที่โดดเดี่ยว หรือการทิ้งความรู้สึกบางอย่างไว้แก่โลก ซึ่งเป็นประเด็นที่เธอสนใจและสำรวจมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ในผลงานก่อนหน้า “ Plan 75 ” (2022) มาจนถึงเรื่องล่าสุดนี้

มุมมองของเด็กหญิง: การเล่าเรื่องผ่านตัวละครหลักที่เป็นเด็กหญิง มีที่มาจากการที่ผู้กำกับต้องการถ่ายทอดตั้งแต่ ความอิสระ ความใสซื่อ ไปจนถึงความแปลกแยก ในมุมมองของเด็กที่ต้องการแค่ใครบางคนทำการเปิดใจ เข้าใจในตัวตน และความรู้สึกของพวกเขา ท่ามกลางความน่ากลัวที่มีอยู่ของสิ่งรอบตัว

อิทธิพลของศิลปะ: จาก Impressionism สู่ภาษาภาพยนตร์

ชื่อภาพยนตร์ “ Renoir ” ถูกตั้งขึ้นเพื่ออ้างอิงถึง Pierre-Auguste Renoir จิตรกรหัวหอกสำคัญของกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสม์ โดยผู้กำกับได้นำภาพวาดของ Renoir เข้ามาไว้ในภาพยนตร์ เพื่อเป็น ตัวแทนสื่อไปถึงชีวิตของตัวละครเอกที่เป็นเด็กหญิง

การใช้สีเชื่อมโยงศิลปิน: คุณ Hayakawa มีความตั้งใจที่จะใช้โทนสีต่าง ๆ มากมาย ใส่ไว้ในทุกองค์ประกอบของภาพยนตร์ (เสื้อผ้า, ฉากหลัง, พร็อพ) ซึ่งเป็นการนำความเป็นเอกลักษณ์ ด้านการใช้สีของเหล่าจิตรกร มาเชื่อมโยงผ่านภาษาภาพยนตร์อย่างชัดเจน

แรงบันดาลใจจากผลงานคลาสสิก

เธอยังเผยถึงแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ขึ้นหิ้งที่สำรวจประเด็นการมีชีวิตอยู่คล้ายกันอย่าง “ Wings of Desire” (1987) ของ Wim Wenders ไปจนถึงภาพยนตร์ที่มีอิทธิพลต่อการทำงานอย่างมากคือ “ Moving ” (1993) ของผู้กำกับ Shinji Sōmai ซึ่งเป็นผู้กำกับสำคัญแห่งวงการภาพยนตร์ญี่ปุ่น

การทำงานของ DREAMTEAM

ในส่วนของการทำงานเบื้องหลัง Hayakawa เผยว่า เธอแทบจะยกทีมงานในหลายตำแหน่งที่เคยทำงานร่วมกับเธอใน “ Plan 75 ” ให้มาทำงานด้วยกันอีกครั้งใน “  Renoir ” ต่อ โดยให้เหตุผลว่า ทีมงานเหล่านั้นเหมือนเป็นดรีมทีมที่มีความเชื่อใจ และเข้าใจรูปแบบการทำงานของกันและกันเป็นอย่างดี

 

 

ปิดท้าย เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ 2568 (BKKIFF 2025) อย่างงดงามด้วย Art Movie เรื่อง “KOKUHO”  ฉายในเทศกาลที่โรงภาพยนตร์ House Samyan และได้รับเกียรติฉายในพิธีปิดเทศกาลที่ SF WORLD CINEMA เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568  ผลงานจากประเทศญี่ปุ่นที่ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์ว่า เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่ทรงคุณค่าที่สุดในรอบหลายปี กำกับโดย Lee Sang-il ผู้กำกับเชื้อสายเกาหลีที่ตีแผ่โลกเบื้องหลังศิลปะการแสดง คาบูกิ ถ่ายทอดจิตวิญญาณของศิลปินชั้นครูและสะท้อนอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นได้อย่างลึกซึ้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จทั้งในสายประกวดและสร้างปรากฏการณ์ ทำเงินกว่า 10,000 ล้านเยน (ราว 2,150 ล้านบาท) คือตัวอย่างของ Soft Poer อย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน

 

photo : Patravadi Mejudhon : Grand Opening BKKIFF 2025

 

ผลรางวัลที่ประกาศออกมาใน 4 สาขา ที่จัดประกวด ยืนยันมุมมองของกรรมการและนโยบายสนับสนุนภาพยนตร์คุณภาพ (Art Movie) แม้หลายเรื่องเด่นจะผ่านเทศกาลอื่นมาก่อนแล้วอย่างนางงามหลายเวที แต่หลายเรื่องเด่นอีกเช่นกันที่เปิดตัวฉายเป็นครั้งแรกใน BKKIFF 2025 และที่สำคัญคือ ภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลชัดเจนว่าผ่านการคัดเลือกด้วย ‘ แว่น ของศิลปิน ’ ที่ ‘ จัดงานเทศกาลศิลปะ ’ อย่างคนที่จัดเจนในศาสตร์แขนงนี้ ที่ให้ความสำคัญกับเนื้อหาซึ่งมุ่งสื่อสารด้วยภาษาภาพยนตร์เป็นหลัก อาทิ “ Dry Leaf ” ที่ถ่ายด้วยโทรศัพท์มือถือ หรือ “ Hair, Paper, Water ” ฯลฯ  ถ่ายทำด้วยกล้อง Bolex แบบวินเทจด้วยฟิล์ม 16 มม. ล้วนมีลักษณะเฉพาะภายใต้คุณสมบัติของ ‘ ภาพ ’ ซึ่งไม่จัดอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ ‘ สมบูรณ์ ’ ตามแนวนิยมของภาพยนตร์ในตลาดกระแสหลัก แต่ชัดเจนใน theme ที่เป็นกระจกสะท้อนเทคนิคการเล่าเรื่องราวของมนุษยชาติด้วยศิลปะภาพยนตร์ใน ‘ แนวมนุษย์นิยม ’ อย่างสมบูรณ์

BKKIFF 2025 ตั้งจุดหมายให้ประเทศไทยเป็น ‘ จุดเริ่มต้นของโอกาสใหม่ ’ และ  ‘ จุดเริ่มต้นของการเชื่อมโยง ’ ที่จะทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์เป็นกำลังสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และเชื่อมโยงกับธุรกิจบริการหลายแขนง อันจะนำมาซึ่งการสร้างความหมุนเวียนทางเศรษฐกิจและเสริมภาพลักษณ์ให้ประเทศไทย การจัดงานครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นแรงขับเคลื่อนให้วงการภาพยนตร์ไทยแข็งแกร่งขึ้น แต่ยังเป็นโอกาสที่นักแสดง ผู้กำกับ และทีมงานเบื้องหลังไทยจะได้แสดงศักยภาพต่อสายตานานาชาติ สร้างเครือข่ายใหม่ และต่อยอดสู่การร่วมสร้างภาพยนตร์กับต่างประเทศในอนาคต  และกรุงเทพฯ เป็น “เมืองแห่งภาพยนตร์” ที่รวมทั้งความฝัน ความคิดสร้างสรรค์ และโอกาสครั้งใหม่ของคนทำหนังทุกรุ่นจากทั่วโลก BKKIFF 2025 จึงไม่ใช่แค่การกลับมา แต่คือการประกาศศักดาของประเทศไทย ในฐานะศูนย์กลางวัฒนธรรมและภาพยนตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย

 

 

ขอบพระคุณ ภาพและข้อมูลข่าว โดย เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ BKKIFF 2025 
 


[1] แถลงข่าวเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพมหานคร 2568, https://youtu.be/C74mFyIVqss?si=-qpor8M5UMvA6R2l 

[2] ระบบนิเวศภาพยนตร์ไทย 3 มิติ, https://youtu.be/krwThtcvi3w?si=c5PCeiS-MYGFxLPf 

[4]  Asian Project Pitching - BKKIFF 2025, https://www.facebook.com/share/p/1CKCwbZZFz/

[5] เปิดเผยรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัล Critics Choice Documentary Awards ประจำปีครั้งที่ 10, https://www.criticschoice.com/2025/10/14/nominations-unveiled-for-the-tenth-annual-critics-choice-documentary-awards/ 

[7] Raoul Peck’s Brilliant Orwell: 2+2=5 Is the Boldest Documentary Anyone Could Make Right Now, https://time.com/7285352/raoul-peck-orwell-documentary-review/