ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
บทบาท-ผลงาน

พระเจ้าช้างเผือก ตอนที่ 4 : พระเจ้าจักราผู้รักสันติ

16
ตุลาคม
2568

พระเจ้าจักราเสด็จกลับที่ประทับ ที่นั่นไม่ปรากฏความหรูหราโอ่โถงแม้แต่น้อย ทรงมีพระหทัยโปรดความเรียบง่าย ไม่โปรดดำเนินชีวิตที่ฟุ่มเฟือยแวดล้อมไปด้วยสิ่งต่าง ๆ ซึ่งล้วนเป็นอนิจจังอันเป็นอุปสรรคขวางกั้นมิให้มนุษย์เข้าถึงชีวทัศน์แห่งการไม่ยึดมั่นถือมั่น

สิ่งโปรดปรานของพระองค์คือ ตู้กระจกเก็บหนังสือโบราณที่เขียนขึ้นด้วยลายมือลงน้ำมันชักเงาทรงสูงและแคบแบบเดียวกับตัวโบสถ์ ซึ่งทำขึ้นเป็นพิเศษโดยช่างแกะไม้และช่างตกแต่งภายในพระราชสำนัก เพื่อเก็บเอกสารซึ่งทรงคุณค่ามากเสียจนต้องทรงอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก

เอกสารเหล่านี้บันทึกภาษิตโบราณและคำสอนของพระพุทธองค์ คำสอนเหล่านี้กล่าวถึงคุณประโยชน์ที่ขาดมิได้ของการสร้างสันติภาพ ซึ่งเป็นหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ต่อประชาราษฎร์ของพระองค์ คำสอนในเอกสารสรรเสริญการเคารพต่อธรรมะ ซึ่งในที่สุดย่อมชนะการใช้กำลังของมนุษย์ที่ชั่วร้ายได้เสมอ

พระเจ้าจักราทรงไตร่ตรองถึงความรับผิดชอบของพระองค์ต่อประชาราษฎร์ หน้าที่ในการรักษาสันติภาพนั้นย่อมจะต้องได้รับการพิจารณาควบคู่กับความรับผิดชอบในการป้องกันเอกราชของบ้านเมืองในกรณีที่มีการโจมตีแบบทรยศหักหลัง ใช่แล้ว มันเป็นปัญหาคู่โลกมาแต่ดั้งเดิม สันติภาพอย่างมีเกียรติเท่านั้นที่คู่ควรกับชื่อของมัน

พระเจ้าจักราทรงเปิดตู้กระจกเก็บเอกสารและทรงหยิบหนังสือออกมาฉบับหนึ่ง

หนังสือนั้นเป็นเรื่องรามเกียรติ์ภาคไทย ที่กล่าวถึงท้าวมาลีวราชผู้ทรงตัดสินให้ทศกัณฐ์เจ้ากรุงลงกาคืนนางสีดาให้แก่พระราม ทศกัณฐ์ดื้อดึงไม่ยอมรับคำตัดสินและเลือกที่จะทำสงคราม และแล้วก็พบกับความปราชัยในที่สุด พระเจ้าจักราทรงรำพึงอยู่ในพระทัยว่า สำหรับผู้ที่หลงในความยิ่งใหญ่อันว่างเปล่าโดยมิได้ยึดหลักธรรมะอันเป็นอมตะในที่สุดก็ย่อมวินาศไปเช่นทศกัณฐ์นั่นเอง

 

ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตอน “ท้าวมาลีวราชว่าความ”
โดยมี “ท้าวมาลีวราช” หรือ “ท้าวมาลีวัคคพรหม” เป็นประธาน
ที่มา : Wikipedia

 

ในตู้กระจกเก็บหนังสือโบราณนั้น ยังมีเรื่องของพระเจ้าอโศกมหาราชกษัตริย์แห่งฮินดูผู้ทรงมีพระนามบรรลือไปไกล ผู้บำเพ็ญพระองค์เป็นแบบอย่างแห่งคุณธรรมความดีตามหลักพุทธศาสนา หนังสือเหล่านี้ประมวลจารึกของพระองค์ที่โปรดให้สลักไว้ตามแผ่นหินและถ้ำต่าง ๆ

พระเจ้าจักรารำลึกถึงพระประวัติของพระเจ้าอโศกมหาราชด้วยความซาบซึ้ง เนื่องด้วยพระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงยกทัพไปบุกประเทศกลิงค์ แล้วทรงประจักษ์ด้วยพระองค์เองถึงความเหี้ยมโหดแห่งสงคราม จนได้ทรงประกาศยุติการทำสงคราม และอุทิศชีวิตพระองค์เองให้กับชัยชนะแห่งธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และด้วยแบบอย่างแห่งการมีศรัทธาปสาทะต่อพระมหาปัญญา (สัมภติ) นี่เองที่พระเจ้าจักราประสงค์จะดำเนินรอยตาม ซึ่งแม้ว่าจะยังทรงประพฤติมิได้แต่ก็ทรงมีกุศลเจตนาที่จะเข้าถึงซึ่งธรรมจริยาอันเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความสุขทั้งมวลของผู้คนและมนุษยชาติ

 

พระเจ้าอโศกมหาราช
ที่มา : Timeless History

 

พระเจ้าจักราทรงหยิบหนังสือที่คุ้นเคยขึ้นมาพิจารณาอีกเล่มหนึ่ง ทรงอ่านบทวัจนะของโกตถิตะด้วยสุรเสียงเบา ๆ

“ผู้ใดก็ตามที่รักความสงบและสันติ ไม่ลุ่มหลงต่อทางโลก สามารถเปล่งปัญญามนต์อันเร้นลับ ด้วยจิตที่ปราศจากอสาระ”

“ผู้ใดปราศจากอารมณ์ ย่อมสลัดความชั่วร้ายไปได้”

“เปรียบดังใบไม้ในป่าซึ่งปลิดปลิวไปด้วยแรงลม”

ในเวลาเดียวกันนั้นเองมีเสียงเบา ๆ ดังมาจากใต้ระเบียงที่มีชายคาอันล้อมรอบห้อง ซึ่งทำให้ผู้ที่อยู่ที่นั้นรู้สึกเหมือนกับอยู่ท่ามกลางที่แจ้ง แต่ก็ยังสามารถสัมผัสความเย็นของสายลมโชยอันแผ่วเบาได้ ทั้งนี้เพราะหลังคาต่ำของพระตำหนักบดบังแสงอาทิตย์ไว้

ที่ประตูทางเข้าร่างในเสื้อคลุมยาวสีเหลือง ปรากฏอยู่อย่างเงียบเชียบประดุจภูต เสียงฝีเท้าอันเปล่าเปลือยของผู้นั้นมิได้ดังไปกว่าฝีเท้าของแมว

พระเจ้าจักราทรงเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรด้วยสีพระพักตร์ที่มีความปิติ พลางแย้มพระโอษฐ์ เพราะทรงจำได้ดีว่าบุรุษนี้คือ อาสนะภิกขุ พระอาจารย์ที่พระองค์ทรงเคารพนั่นเอง พระอาสนะภิกขุยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์ด้วยความสงบเสงี่ยมตามสมณสารูป ติดตามด้วยลูกศิษย์คนหนึ่งซึ่งถือตาลปัตรหมอบอยู่เบื้องหลัง พระเจ้าจักราทรงนมัสการพระภิกษุซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนในการสืบทอดคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

ทั้งสองใช้เวลาสนทนาเกี่ยวกับคำสอนภาษาบาลีอยู่เสมอ บุรุษทั้งสองมีความเชี่ยวชาญในภาษาบาลีโบราณในพระไตรปิฎกเป็นอย่างดี บางครั้งสนทนากันเรื่องระเบียบวินัยสงฆ์ ซึ่งอยู่ในส่วนแรกของพระไตรปิฎกคือ พระวินัยอันเป็นกฎที่พระสงฆ์ทุกรูปจักต้องปฏิบัติตามเพื่อปกป้องตนจากบาปอกุศล บางครั้งก็สนทนาเกี่ยวกับส่วนที่สองของพระไตรปิฎกคือ พระสูตร อันเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งสาวกผู้เชื่อในพระองค์ได้อนุรักษ์ไว้สืบต่อกันมา ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าจักราและอาสนะภิกขุยังได้เจริญรอยตามสังฆบิดรแต่กาลก่อนด้วยการศึกษาส่วนที่สามของพระไตรปิฎก คือพระอภิธรรม ซึ่งว่าด้วยข้อถกเถียงทางอภิปรัชญาของพุทธศาสนา ซึ่งมีความลุ่มลึก สลับซับซ้อนและชั้นเชิงของสำนวนโวหารที่แม้เทพเจ้ากรีกก็คงปรารถนาจะเรียนรู้

พระเจ้าจักราทรงนิมนต์ให้พระภิกษุนั่งบนเสื่อซึ่งพระองค์ทรงประทับขัดสมาธิอยู่ ทรงถอนหายใจลึก ๆ ก่อนตรัสว่า

“ท่านผู้มีความสุขอันแท้จริงคือพระภิกษุผู้ละทิ้งหมดแล้วซึ่งทรัพย์สมบัติในโลก มีชีวิตอยู่ด้วยการบิณฑบาตจากพุทธศาสนิกชนที่เลื่อมใสศรัทธา ภิกษุมีความสุขอันแท้จริงเพราะไม่มีพันธะต่อสิ่งใด พร้อมกับเพิ่มพูนปัญญาญาณยิ่งขึ้นทีละน้อยทุกวัน ๆ”

อาสนะภิกขุยิ้มอย่างใจดี “ดูกร มหาบพิตร ภิกษุทุกรูป มิใช่ว่าจะสามารถมุ่งไปสู่หนทางอันชันและยากลำบากซึ่งนำไปสู่สถานะอันสูงส่งแห่งพระโพธิสัตว์ ผู้ที่มีดวงหทัยเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตาต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง”

“ความรักเช่นนี้เกิดขึ้นได้จริงหรือ” พระเจ้าจักราถาม “เมื่อบุคคลเช่นพระเจ้าแผ่นดินซึ่งมีภารกิจในการนำประเทศชาติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปกป้องบ้านเมืองจากอริราชศัตรูที่ต้องการเข้ามาทำลาย พระเจ้าแผ่นดินจะมอบความรักให้กับศัตรูของบ้านเมืองได้อย่างไร จะไม่เป็นการทรยศต่อประชาราษฎร์หรือ”

“พระโพธิสัตว์” พระภิกขุตอบ “ผู้เปี่ยมด้วยเมตตาและกรุณาธรรมเปรียบเสมือนดอกบัวบริสุทธิ์ซึ่งผุดเหนือโคลนตมโดยปราศจากมลทิน อาตมาพยายามอยู่เสมอที่จะชี้ให้มหาบพิตรเห็นสภาวะอันเปี่ยมด้วยความสุขของพระโพธิสัตว์จากคำสอนที่อาตมาให้ไว้กับมหาบพิตร หากมหาบพิตรลองนำมาเพื่อเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตเพื่อนำพระองค์ไปสู่ความปิติสุขอันแท้จริง พระพุทธองค์นั้นเป็นบุคคลที่หาได้ยาก สูงส่ง และสมบูรณ์ไปทุกอย่าง เกินกว่ามนุษย์ธรรมดาเช่นเรา ๆ จะปรารถนาหรือหวังให้ทัดเทียมได้”

“เป็นจริงดังนั้นพระคุณเจ้า” พระเจ้าจักราทรงเห็นชอบด้วย “พระเจ้าแผ่นดินจักต้องแสดงให้ประชาราษฎร์ประจักษ์ถึงคุณความดีของพระองค์ว่ามิได้ทรงหมกมุ่นอยู่กับความสุขส่วนพระองค์และทรงมีขันติธรรมอย่างยอดเยี่ยม ทรงเป็นเหมือนกับดอกบัวที่ผุดเหนือโคลนตม พระเจ้าแผ่นดินจักต้องแสดงให้ประชาราษฎร์ประจักษ์ว่าทรงสามารถสละประโยชน์สุขส่วนตัว เพื่อประโยชน์สุขส่วนรวมเพื่อแสดงว่าพระองค์สมควรจะเป็นผู้นำสูงสุดด้านจิตใจของพสกนิกร ตัวหม่อมฉันเองก็หวังอยู่เสมอว่าจะสามารถบำเพ็ญตนในฐานะอันพิเศษนี้ได้”

“ความต้องการของมหาบพิตรนั้นประเสริฐแล้ว” พระภิกขุกล่าว

“ขอให้มหาบพิตรจงทรงพระเจริญขึ้นเป็นตรีคูณ การกระทำเช่นว่าย่อมอยู่ในพระปรีชาสามารถ เพราะพระเจ้าแผ่นดินเองก็เป็นบุคคลพิเศษในมนุษย์ทั้งหลายอยู่แล้ว ต่างกันแต่ว่ากษัตริย์พระองค์ใดเล่าที่จะทรงรู้ ต้องพระประสงค์และสามารถบำเพ็ญกรณียกิจดังว่านี้ได้สำเร็จ”

“หวังว่าหม่อมฉันจะสามารถล่วงรู้ว่าจะทำอย่างไร มีความต้องการที่จะทำ และสามารถทำได้สำเร็จ อาศัยคุณธรรมความดีแห่งพระพุทธองค์ และแรงดลใจสนับสนุนจากคำสอนของพระคุณเจ้า”

พระภิกขุหยุดนิ่งครุ่นคิดชั่วขณะ

“การกระทำอันมิใช่ธรรมดาเช่นนี้ จักต้องมีกำลังใจอันแรงกล้ากว่าปกติเพื่อปกป้องผู้อื่น แต่ในขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นการกระทำอันกอปรด้วยเมตตาจิตหรือการให้อภัยซึ่งผู้สูงส่งคอยปฏิบัติต่อประชาชนของตน บางทีวันหนึ่งข้างหน้าโอกาสที่จะกระทำได้อาจจะมีมาถึงพระองค์”

“ขอให้วันนั้นใกล้เข้ามาเร็ว ๆ เถิด” พระเจ้าจักราทรงกล่าวอย่างจริงจัง

“ใครเล่าจะรู้ได้” พระภิกขุตอบ “มหาบพิตรไม่ทรงทราบเหมือนที่อาตมาทราบดอกหรือว่า พระธรรมกล่าวไว้ว่าอย่างไรในเรื่องของเหตุและผลซึ่งเกี่ยวโยงกันเป็นลูกโซ่ (ปฏิจจสมุปบาท) อาณาจักรแห่งความทุกข์นั้นแวดล้อมตัวเรา และเราได้ย่างเข้าสู่อาณาจักรแห่งความทุกข์นี้โดยผ่านการเกิดซึ่งทำให้เราอุบัติตัวตนขึ้นมาและทำให้เราหลงยึดติดอยู่กับโลก ผู้ใดเล่าจะทราบได้ โดยที่มหาบพิตรเองก็ไม่ทราบ ว่าในขณะนี้ โซ่ตรวนแห่งเหตุและผลมิได้ก่อให้เกิดโอกาสที่มหาบพิตรจะบำเพ็ญกรณียกิจอันพิเศษนั้น ใครกันจะสามารถทราบถึงผลกระทบของระลอกคลื่นซึ่งเกิดขึ้นจากก้อนหินที่หล่นลงในทะเลสาบอันไกลโพ้นออกไปเมื่อวันวาน อาตมาเชื่อว่าระลอกน้ำเล็ก ๆ เหล่านี้อยู่ล้อมรอบตัวเราตลอดเวลา เพียงแต่เรายังไม่ได้สังเกตเห็นมันเท่านั้น”

“คำตอบของพระคุณเจ้าช่างชาญฉลาด และฉับไวเสียนี่กระไร” พระเจ้าจักรากล่าว โดยนำคำพูดนี้มาจากพระเจ้ามิลินท์ ซึ่งมีพระราชดำรัสตอบต่อพระนาคเสน[1]  “หากพระพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์อยู่ พระองค์ท่านคงจะชื่นชอบกับคำตอบของพระคุณเจ้าเป็นแน่ หม่อมฉันจะนำเอาวัจนะอันทรงปัญญาล้ำลึกของพระคุณเจ้าไปเพ่งพิจารณา หม่อมฉันรู้สึกสบายใจขึ้นเสมอภายหลังจากที่ได้สนทนากับพระคุณเจ้า”

 

พระยามิลินท์ (Menander I) มีพระราชปุจฉาต่อพระนาคเสน อันเป็นที่มาของ “มิลินทปัญหา”
ที่มา : Wikipedia

 

พระเจ้าจักราทรงลุกขึ้น

“หากพระคุณเจ้าจักให้เกียรติแก่หม่อมฉัน โดยอยู่ต่อไปอีกสักครู่พระคุณเจ้าจักได้เห็นบางสิ่งบางอย่างที่น่าสนใจ… ขณะนี้ก็ได้เวลาสี่นาฬิกายามเช้าแล้ว[2] หม่อมฉันจะออกรับพ่อค้าฝรั่ง[3] ซึ่งมาโดยเรือรูปร่างประหลาด เราคงจะได้ข่าวคราวเกี่ยวกับนานาประเทศในแดนไกล”

เรือประหลาดลำนั้นคือเรือโปรตุเกส[4]  ซึ่งได้เดินทางมาถึงสี่สัปดาห์ที่แล้วและได้แล่นขึ้นมาตามแม่น้ำถึงกรุงอโยธยา

พระเจ้าจักราทรงให้สัญญาณแก่มหาดเล็ก เพื่อตีฆ้องเป็นการบอกว่าเวลาเข้าเฝ้าได้มาถึงแล้ว

อุทยานเต็มไปด้วยผู้คนที่สนใจใคร่รู้แน่นขนัด ในเวลาต่อมาผู้มีเกียรติจำนวนมากมายทยอยกันขึ้นบันไดวัง สมุหราชมณเฑียรปรากฏกายขึ้นพร้อมกับสหายของเขา คือสมุหกลาโหม ทหารยามเข้ารักษาการณ์ประจำที่ตามทวารมิให้ใครล่วงล้ำเข้ามาจากนั้นทุกคนก็เข้าประจำที่เรียบร้อยเพื่อรอพระเจ้าแผ่นดิน

พระเจ้าจักราเสด็จออกประทับบนบัลลังก์ขนาดใหญ่ที่แกะสลักอย่างวิจิตร ประดับด้วยทองและลงน้ำมันเงาสีแดง ทรงทอดพระเนตรบรรดาเสนาบดี จากนั้นทรงให้สัญญาณ สมุหราชมณเฑียรเดินมาเบื้องพระพักตร์ พร้อมด้วยนักเดินเรือชาวต่างชาติหนึ่งนาย ขนาบข้างด้วยคนรับใช้ชาวมาเลย์สองสามคนถือเครื่องราชบรรณาการ

กัปตันฝรั่งเป็นคนร่างเล็ก ผอม ใบหน้ารูปไข่ คล้ำ มีเครายาวแหลมและหนวดเฟิ้มห้อยลงมาราวกับภาพของอัลบูเคอร์ค และวาสโก ดา กามาในสมัยนั้น กัปตันถือหมวกสามมุมทรงต่ำแลดูแข็งทื่อไว้ในมือ และถึงแม้ว่าอากาศจะร้อนก็ยังสวมเสื้อคลุมตามระเบียบพิธีที่มีแขนเปิดกว้าง และข้อมือเสื้อยาวมาถึงนิ้วมือ

ชาวโปรตุเกสซึ่งมีความคุ้นเคยกับขนบธรรมเนียมท้องถิ่นอยู่แล้ว ได้แสดงความเคารพด้วยการย่อเข่า ๓ ครั้ง และสั่งให้ถวายเครื่องราชบรรณาการทันที โดยมีลูก

ครึ่งยุโรปกับเอเชียคนหนึ่งที่เคยเดินทางไปกับเรือโปรตุเกสในทะเลซุนดาเป็นล่ามให้

ในบรรดาเครื่องราชบรรณาการ มีฉลองพระองค์ ๒ ชุดที่ทำจากผ้าราคาแพงงดงามจากอินเดีย และสินค้าไหมจากเปอร์เซีย พ่อค้าชาวโปรตุเกสนับได้ว่าเป็นนักการทูตที่ดี เพราะเขายังมีห่อของบางส่วนทิ้งไว้ด้านนอก เพื่อเตรียมมอบให้ขุนนางแห่งราชสำนักซึ่งจะต้องไปพบในตอนหลัง

ตามหลักพิธีการทูต พระเจ้าแผ่นดินจะไม่ทรงตอบขอบใจ แต่จะทรงแสดงความยินดีที่ชาวต่างชาติสามารถเดินทางมาถึงโดยสวัสดิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากการเดินทางอันเหน็ดเหนื่อยและยาวนาน และจะทรงแสดงความสนใจเกี่ยวกับรายละเอียดบางประการในการเดินทาง

พ่อค้าน้อมกายถวายความเคารพ

“ขอเดชะฯ ข้าพระพุทธเจ้ามากับเรือสำเภาที่กำลังจะไปยังป้อมแห่งมะละกา พวกข้าพระพุทธเจ้าออกเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนในตะวันตกตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม…”

“เดือนห้า” ล่ามอธิบายตามปฏิทินจันทรคติของไทย

“จากนั้นไม่นาน พวกข้าพระพุทธเจ้าต้องประสบกับลมพายุซึ่งจำต้องลดใบเรือลงจนเหลือใบเดียว และรอจนกว่าลมพายุจะเปลี่ยนทิศทาง ซึ่งก็กินเวลาหลายวัน จนพวกข้าพระพุทธเจ้าเริ่มเห็นลมอ่อนกำลังลงเมื่อขณะที่เรือกำลังเข้าสู่ทะเลที่อุ่นกว่าแถบฝั่งของอาฟริกา และพวกข้าพระพุทธเจ้าได้หยุดทิ้งสมอเรือบนหมู่เกาะแห่งหนึ่ง ทะเลมีคลื่นมากจนถึงท่าเรือที่เมืองเคป พวกข้าพระพุทธเจ้าไปถึงเมื่อตอนปลายเดือนพฤษภาคม ภายหลังจากเดินทางมาได้ ๓ เดือน” 

“อย่างนั้นเหรอ” พระเจ้าจักราทรงกล่าว “เมืองเคปนี้อยู่ตรงปลายสุดของอาฟริกาใช่หรือไม่”

“ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” พวกข้าพระพุทธเจ้าพักผ่อนที่นั่นหนึ่งสัปดาห์ ตอนขากลับออกจากเมืองเคปพวกข้าพระพุทธเจ้ามุ่งมาตามทิศตะวันออกเฉียงใต้เพราะจะต้องวกขึ้นไปทางเหนือในภายหลัง เพื่อไปเกาะชวาโดยไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกา ซึ่งน่ากลัวมากสำหรับนักเดินเรือทะเล ในช่วงแรกสงบแต่ไปได้ไม่นานก็ต้องพบกับลมพายุที่ร้ายแรงมาก พวกข้าพระพุทธเจ้าต้องอยู่กับสภาพอย่างนั้นถึงเกือบเดือนหนึ่ง และต้องอดทนอย่างมาก เพื่อจับทิศทางลมจากตะวันตกซึ่งจำเป็นสำหรับพวกข้าพระพุทธเจ้า ภายหลังจากที่เราออกจากเมืองเคปได้หกสัปดาห์ก็มาถึงบริเวณที่อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้น ทำให้พวกข้าพระพุทธเจ้าทราบได้ว่าได้มาถึงหมู่เกาะในแถบเมืองร้อนแล้ว พ่ะย่ะค่ะ”

“พวกท่านไม่เคยพานพบเรือสำเภาอื่น ๆ เลยหรือ” พระเจ้าจักราทรงถาม

“น้อยมาก พ่ะย่ะค่ะ” กัปตันตอบ “มีพบที่ท่าเรือเมืองเคปบ้าง แต่ในช่วงเดินทางหลังจากนั้นก็ไม่ใคร่พบเรืออื่นเลย แต่เมื่อเข้าเขตเกาะก็เป็นธรรมดาที่ต้องพบพวกเรือมาเลย์หรือเรือสำเภาจากจีน ใกล้ ๆ เกาะในบริเวณเส้นรุ้งแถบนี้ มีเรือที่เรียกว่าเรือรบขนาดเล็กเต็มไปหมด ซึ่งพบกับเรือข้าพระพุทธเจ้าครั้งหนึ่ง เมื่อตอนที่เรือข้าพระพุทธเจ้าเข้าใกล้เกาะชวาซึ่งเป็นเวลาเกือบสองเดือน ภายหลังจากที่ออกเดินทางมาจากเมืองเคป จากนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเดินทางต่อไปยังเขตจัดตั้งของโปรตุเกส ซึ่งข้าพระพุทธเจ้ามีกิจการค้าขายอยู่ปีหนึ่งมาแล้ว ก่อนที่จะลงเรือลำนี้ที่ท่าเรือมะละกา มาถึงราชอาณาจักรของพระองค์ พ่ะย่ะค่ะ”

พระเจ้าจักราทรงผงกพระเศียร

“หมายความว่า พวกท่านต้องใช้เวลาประมาณครึ่งปีในการเดินทางจากเมืองท่านมายังเมืองเรา”

“ถูกต้องแล้ว พ่ะย่ะค่ะ”

“พวกท่านชาวฝรั่งเป็นพวกที่ชอบการแสวงโชค พวกเราได้ทราบข่าวโปรตุเกสโจมตีประเทศเพื่อนบ้านในระยะเวลาสองสามปีที่ผ่านมา พวกฝรั่งเขาต่อสู้กันเองด้วยความเหี้ยมกระหายเหมือนกันหรือนี่”

“เป็นเช่นนั้น พ่ะย่ะค่ะ” พ่อค้าทูลตอบ “พวกเขาเป็นพวกชอบการต่อสู้อยู่แล้ว ในศตวรรษที่แล้วสงครามระหว่างกษัตริย์ฝรั่งเศสกับกษัตริย์อังกฤษนั้นยืดเยื้อมาเป็นเวลาไม่น้อยไปกว่าหนึ่งร้อยปีพ่ะย่ะค่ะ”

“อ้อ” พระเจ้าจักราทรงถอนหายใจ

“ถ้าเช่นนั้นบ้านเมืองเราก็มิใช่แห่งเดียวซินะ ที่มีความบ้าในการอยากทำสงคราม ทำไมกษัตริย์เหล่านี้จึงอยากทำสงครามบ่อย ๆ ไม่คิดสงสารประชาชนของตนบ้างหรือ บอกเรามาซิว่าใครเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”

“ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท” ชาวโปรตุเกสทูลตอบ “ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือกษัตริย์โปรตุเกส พ่ะย่ะค่ะ พระองค์มีกองทหารฝึกฝนอย่างดีมากมาย และมีเรือรบมากมายนับไม่ถ้วน จะทรงเห็นได้ว่า พระเจ้าแผ่นดินโปรตุเกสเป็นพระองค์เดียวที่ส่งประชาชนของพระองค์มายังบ้านเมืองของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเพื่อส่งเสริมการค้า และรักษาความสัมพันธ์อันดีอย่างสม่ำเสมอกับคนท้องถิ่น พ่ะย่ะค่ะ”

“เป็นความจริง” พระเจ้าจักรากล่าว พลางชำเลืองมายังเหล่าเสนาอำมาตย์ของพระองค์

“พวกท่านไม่ทราบเรื่องนี้กันหรือ”

สมุหราชมณเฑียร กราบบังคมทูล

“ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทลองถามฝรั่งเขาดูว่า พระเจ้าอยู่หัวโปรตุเกสทรงมีพระมเหสีกี่พระองค์ซิ พ่ะย่ะค่ะ”

ล่ามแปลคำถามให้ชาวโปรตุเกส

“มีเพียงพระองค์เดียว พ่ะย่ะค่ะ” ชาวโปรตุเกสทูลตอบ “ในประเทศตะวันตก กษัตริย์มีมเหสีได้เพียงพระองค์เดียว เพราะศาสนาห้ามไว้ไม่ให้มีมากกว่าหนึ่ง ยกเว้นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งได้รับสมญาว่า สุลต่านแห่งรัฐอิสลามที่สามารถมีมเหสีได้ ๔ คน รวมทั้งนางสนมอื่น ๆ ทั้งนี้เพราะศาสนาอิสลามอนุญาตไว้ สวรรค์ของผู้ชายอิสลามยังประกอบด้วยสาวงามนัยน์ตาเหมือนกวาง ซึ่งพระคัมภีร์กุรอ่านสัญญาแก่ศรัทธาชนว่าจะได้พบสาวงามเหล่านั้นในปรโลก”

“วิเศษยิ่ง” สมุหราชมณเฑียรกล่าว “หากข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้มีวาสนาได้เป็นพุทธศาสนิกชนแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าอยากจะเป็นอิสลามิกชน พ่ะย่ะค่ะ”

กัปตันสาธยายต่อ

“ในขณะเดียวกัน กษัตริย์แห่งโปรตุเกส พระเจ้าอยู่หัวของข้าพระพุทธเจ้าส่งเสริมการค้าในดินแดนที่พระอาทิตย์อัสดง พระองค์คงจะทรงทราบดีแล้วกระมังว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีการค้นพบเส้นทางใหม่ไปสู่อินเดีย แทนที่จะเดินทางจากยุโรปไปทางตะวันออกเหมือนเมื่อก่อน”

“ข้าฯ ได้ทราบมาเหมือนกัน” พระเจ้าจักรากล่าว “แต่ข้าฯ ไม่เชื่อเท่าไร”

พ่อค้าน้อมศรีษะตนลงเล็กน้อยพร้อมกับพูดในน้ำเสียงที่เหมือนกับกำลังจะบอกความลับ

“ขอเดชะฯ ข้าพระพุทธเจ้าจะกราบทูลเพิ่มเติมว่า บิดาของข้าพระพุทธเจ้าเป็น

เพื่อนกับอเมริโก เวสปุชชี นักเดินเรือของกษัตริย์ดอม มาโนเอลแห่งโปรตุเกส ซึ่งประสบความสำเร็จในการเดินทางไปดินแดนที่อยู่ไกลโพ้นทางตะวันตก[5]  อเมริโก เวสปุชชี รับรองกับบิดาข้าพระพุทธเจ้าหลายครั้งหลายหนว่า ดินแดนเหล่านั้นมิใช่

อินเดียของพระเจ้าอโศก แต่เป็นดินแดนใหม่ที่ใหญ่กว่ายุโรปและเอเชียรวมกัน

ดังนั้น กษัตริย์ของข้าพระพุทธเจ้า จึงได้เร่งรีบเข้ายึดครองดินแดนนิรนามเหล่านี้ เป็นการแผ่ขยายจักรวรรดิของพระองค์ออกไปทั่วทุกแห่งหนในโลก”

“ช่างแปลกเหลือเกิน” พระเจ้าจักรากล่าว พลางชำเลืองพระเนตรไปยังพระอาสนะ

พระอาสนะทูลว่า

“แปลกและน่าเวทนามาก ในดินแดนประเทศที่อยู่ไกลโพ้นนี้ไม่มีเสรีชนผู้เป็นเจ้าของแล้วจัดตั้งรัฐปกครองขึ้นเลยหรือ”

 

อเมริโก เวสปุชชี (Amerigo Vespucci) นักสำรวจ นักเดินเรือ และนักทำแผนที่ชาวอิตาลี
ที่มา : WorldAtlas

กษัตริย์ดอม มานูเอล แห่งโปรตุเกส (Manuel I of Protugal) 
ที่มา : European Royal History

“มีบ้างเหมือนกัน” พ่อค้าโปรตุเกสตอบ “มีการกล่าวกันว่า มีอาณาจักรที่เข้มแข็งบางแห่ง ซึ่งร่ำรวยด้วยทองและของมีค่าอื่น ๆ แต่พวกนี้ก็ต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้าแผ่นดินที่มีอำนาจของข้าพระพุทธเจ้า พ่ะย่ะค่ะ”

“ถ้าเช่นนั้นจงบอกมาซิว่ามีเหตุผลอันใดที่ต้องไปยึดครองทรัพย์สมบัติและเอาสิทธิเสรีภาพเขามา” พระเจ้าจักราถาม

พ่อค้าโปรตุเกสหยุดคิดเล็กน้อย

“เพราะว่า เราต้องการนำพวกเขามาสู่อารยธรรม และที่สำคัญยิ่งคือเผยแพร่ศาสนา เพื่อช่วยคนเหล่านี้ให้พบความรอด นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่พระเจ้าแผ่นดินของข้าพระพุทธเจ้าทรงทำสงครามกับพวกอาหรับ ซึ่งยังเขลาต่อศรัทธาที่เที่ยงแท้ และด้วยเหตุผลประการนี้แหละที่ทำให้ประชาชนของเราต้องทำสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน พ่ะย่ะค่ะ”

ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ

พระเจ้าจักราสบพระเนตรกับพระอาสนะภิกขุผู้กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันสงบราบเรียบว่า

“เราได้รับการอบรมสั่งสอนว่า เพื่อให้เป็นที่รักใคร่โปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้า ดังเช่น พระเจ้าปิยทัสสี เทวนัมปิยะมหาราชนั้น เราจะต้องเคารพต่อทุกความเชื่อถือที่ต่างจากของเรา ขันติธรรมเป็นดั่งบุปผาอันงดงามประดับในคำสั่งสอนของพุทธศาสนาและเผ่าพันธุ์ของเรา เป็นการสอนมิให้เรารักศาสนาในทางที่ผิดหรือมิให้เราดูถูกหรือปรามาสศาสนาอื่น ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง การทำความดีนั้นเป็นกฎแห่งพุทธศาสนา เพราะเมื่อผู้ใดดูถูกคุณค่าของศาสนาอื่น ผู้นั้นย่อมเกิดความไม่ประสงค์ดีต่อศาสนานั้น และต่อศาสนาของตนเองด้วย ความสมานฉันท์เท่านั้นที่เป็นสิ่งที่ดี และจะทำให้เกิดความก้าวหน้ารุ่งเรือง เพื่อทุกฝ่ายจักได้สามารถเรียนรู้ถึงศาสนาของผู้อื่นและรับฟังข้อคิดเห็นของผู้อื่นอย่างพึงพอใจ”

พระเจ้าจักราทรงพยักพระพักตร์แสดงความเห็นชอบ และตรัสต่อว่า

“ขันติธรรมเป็นเพชรน้ำหนึ่งในมงกุฎของกษัตริย์ทั้งหลาย แห่งอโยธยา คุณธรรมข้อนี้ได้ให้วิญญาณแห่งการรักสันติแก่เรา ดังเช่นที่พระเจ้าอโศกมหาราชกล่าวไว้ในพระบรมราชโองการว่า ชัยชนะทางธรรมย่อมยิ่งใหญ่กว่าชัยชนะทางสงคราม ในการสงครามมนุษย์ต้องประสบกับความรุนแรง การสูญเสียชีวิต การพลัดพรากจากคนที่รัก พวกเรามีความปรารถนาเช่นเดียวกับพระเจ้าอโศกมหาราชในการรักษาสันติสุขแก่ทุกชีวิต เคารพต่อชีวิตและสันติภาพ การกระทำเช่นนี้คือชัยชนะแห่งธรรม เป็นชัยชนะที่กษัตริย์ผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพจะทรงปลื้มปิติ นี่แหละคือชัยชนะอันแท้จริง ซึ่งทรงคุณค่าทั้งในโลกนี้และโลกหน้า”

จบสิ้นกระแสพระดำรัส ก็เป็นการสิ้นสุดของการเข้าเฝ้า

เป็นพระจริยาวัตรของพระเจ้าจักรา ที่ในยามเช้าตรู่ระหว่างที่พระสงฆ์กำลังออกบิณฑบาต พระองค์จะเสด็จไปในอุทยานแห่งวิหารเทพีธรรม เพื่อทรงรับอากาศบริสุทธิ์ก่อนที่พระอาทิตย์จะเคลื่อนสูงขึ้นในท้องฟ้า

พระองค์ทรงโปรดปรานสถานที่อันสงบแห่งนี้ยิ่งนัก และมักจะไม่ทรงถูกรบกวนจากเด็กที่กำลังเล่นกัน เพื่อรอเวลาเข้าชั้นเรียนโดยพระสงฆ์เป็นผู้อบรมสั่งสอนให้รู้จักการเขียนอ่าน

พระเจ้าจักราทอดพระเนตรไปยังสีสันอันหลากตาของพระเจดีย์ ซึ่งมียอดแหลมพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า พระองค์ทรงชื่นชมภาพแสงอาทิตย์เรืองรองที่กระทบกับกระเบื้องเคลือบซึ่งงดงามด้วยลวดลายที่ฝังประดับ สีนั้นดูผสมผสานอย่างดียิ่ง ในแสงสว่างที่เจิดจ้า ทุกอย่างช่างดูกลมกลืนกันอย่างวิเศษสุด

ทรงประทับบนม้าหินภายใต้ร่มต้นมะม่วง ซึ่งกิ่งก้านสาขาเนืองแน่นไปด้วยผลอ่อนที่ในระยะฤดูนี้กำลังโตขนาดไม่เกินลูกหมาก

เด็ก ๆ เริ่มเข้ามาในลานวัด วิ่งไล่จับกันเหมือนเด็ก ๆ ทุกหนทุกแห่งในโลก พวกเขาไม่สามารถเห็นพระเจ้าแผ่นดิน เพราะมีก้อนหินตกแต่งบังไว้ บนก้อนหินเหล่านี้มีน้ำตกไหลตลอดเวลา ส่งความสดชื่นไปตลอดทั้งวัน

วันนี้เด็ก ๆ ส่งเสียงดังเหลือกำลัง !

ในท่ามกลางเด็ก ๆ เหล่านี้ มีเด็กคนหนึ่งซึ่งกระทำตนเป็นหัวหน้า และไม่ชอบอยู่เงียบ ๆ เด็กคนนี้ส่งเสียงดังที่สุด แทบจะได้ยินแต่เสียงเขาคนเดียว พระเจ้าจักราทรงเริ่มหมดความอดทน พระพักตร์เริ่มบึ้งไม่พอพระทัยในความไม่เรียบร้อยของเด็กในสถานศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้

พระองค์เกือบจะเข้าไปตักเตือนอยู่แล้ว พอดีทรงได้ยินเสียงเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งคงรำคาญเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็ก ๆ เช่นเดียวกับพระองค์เหมือนกัน ใครกันหนอที่กำลังพูดอยู่ ? พระเจ้าจักราทรงจำเสียงนี้ได้ น้ำเสียงฟังดูอ่อนเยาว์แต่ก็มั่นคง ฟังดูไพเราะแต่ก็จริงจัง…

“พวกเจ้าไม่รู้สึกละอายบ้างหรือที่ส่งเสียงดังในเขตพระอารามอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของกรุงอโยธยา ไม่รู้สึกละอายตนเองบ้างหรือ เงียบเดี๋ยวนี้นะ และมานั่งใกล้ ๆ กับฉัน ฉันจะเล่าให้ฟังว่าอะไรเกิดขึ้นกับเต่าตัวหนึ่งซึ่งพูดมาก เรื่องนี้มาจากชาดก”

ความเงียบเกิดขึ้นราวกับเวทย์มนต์สะกด พระเจ้าจักราเองก็มิได้ทรงเคลื่อนพระวรกาย เนื่องจากทรงรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

เสียงอันไพเราะกลมกลืนดังขึ้นต่อไป

“พระพุทธเจ้ามักจะตรัสต่อผู้ที่ช่างพูดทั้งหลายว่า พวกเขาจะเดือดร้อนเพราะลิ้นของตนและด้วยการใช้ลิ้นไปในทางที่ผิด พวกเขาจะทำลายตัวเอง

กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว มีกษัตริย์แห่งกรุงพาราณสีพระองค์หนึ่งโปรดการพูดตลอดทั้งวัน โดยไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นได้พูดบ้างเลย บรรดาเสนาบดีจึงไม่สามารถเสนอข้อคิดเห็นของตนต่อพระองค์ได้

ในเวลานั้น พระโพธิสัตว์ได้จุติในตระกูลสูงศักดิ์แห่งกรุงพาราณสีนั้นเอง และต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองคมนตรี เนื่องจากชาติสกุลและคุณงามความดี พระโพธิสัตว์มีความปรารถนาอย่างยิ่ง ที่จะแก้พระอุปนิสัยที่ไม่ดีของพระเจ้ากรุงพาราณสี

อยู่มาวันหนึ่ง ผู้คนบริเวณพระราชวังต่างแสดงความตื่นเต้นตกใจที่เห็นเต่าตัวหนึ่งหล่นมาจากท้องฟ้า และกระดองแตกด้วยเสียงอันดังเมื่อกระทบพื้นดิน ปกติเต่ามันบินไม่ได้นี่นา ทุก ๆ คนเลยร้องว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ยกเว้นเต่าตัวนั้นที่พูดอะไรอีกไม่ได้แล้ว

พระเจ้ากรุงพาราณสีทรงทราบถึงเรื่องดังกล่าว จึงเสด็จพระราชดำเนินตามบรรดาเสนาบดีไปยังสถานที่ที่เต่าตกลงมาตาย

“แปลกมาก” พระเจ้ากรุงพาราณสีตรัส “ข้าฯ อยากให้ใครช่วยบอกข้าฯ ในเหตุการณ์ผิดธรรมดาครั้งนี้ ข้าฯ อยากรู้ว่า…..”

จากนั้นพระองค์ก็ทรงพล่ามต่อไปเรื่อย ๆ จนพระโพธิสัตว์ยกมือขึ้น เพื่อบอกว่าท่านสามารถอธิบายได้ เพราะพระโพธิสัตว์นั้นจะรู้ความเป็นไปทุกสิ่งทุกอย่าง และรู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสให้บทเรียนแก่กษัตริย์ช่างตรัส

“ขอเดชะฯ ข้าพระพุทธเจ้าสามารถอธิบายได้ เรื่องเป็นอย่างนี้ พ่ะย่ะค่ะ เต่าตัวนี้อาศัยอยู่ในบ่อน้ำใกล้กับที่ลาดของภูเขาหิมาลัย เต่ารู้จักกับเป็ด ๒ ตัว สัตว์ทั้งสามตัวเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน อยู่มาวันหนึ่งเป็ดทั้งสองบอกกับเต่าว่า ตนจะย้ายไปอยู่ในที่อันวิเศษแห่งหนึ่งใกล้กับถ้ำทอง ซึ่งทำให้เต่าเสียใจมาก เป็ดจึงถามว่า “ทำไมเจ้าไม่มากับเราล่ะ” เต่าหัวเราะ “ไปไม่ได้ เพราะฉันคงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ ปีในการเดินทางไปถึงถ้ำทอง” เป็ดแสนฉลาดทั้งสองจึงเสนอว่า “ฟังทางนี้ เต่าเพื่อนรัก เราอยากจะพาเจ้าไปกับเราด้วย แต่มีเงื่อนไขว่าในระหว่างการเดินทาง เจ้าจะต้องไม่ปริปากพูดอะไรกับใครทั้งสิ้น”

 

คำภาพวาดสีน้ำ “เต่าและเป็ดสองตัว” (La tortue et les deux canards) โดย กุสตาฟว์ มอโร (Gustave Moreau) วาดในปี 1879 
ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับ “กัจฉปชาดก”
ที่มา : Wikipedia

 

เต่าไม่อยากให้เพื่อนจากตนไปจึงยอมสัญญาทุกอย่าง “ดีแล้ว” เป็ดว่า จากนั้นก็สอนเต่าถึงวิธีการคาบไม้ไว้ระหว่างฟันของตน เพื่อให้เป็ดคาบปลายไม้ทั้งสอง เวลาบินจะได้พาเต่าไปด้วย ในช่วงต้นของการเดินทางทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบร้อย แต่เมื่อมาอยู่เหนือกรุงพาราณสี ประชาชนชาวเมืองซึ่งปกติชอบแลดูท้องฟ้า เห็นเต่าบินได้ จึงตะโกนด้วยเสียงอันดัง “โอโห ไม่น่าเชื่อเลย เป็ดสองตัวหามเต่าตัวเดียวด้วยไม้ได้” ซึ่งคำพูดเช่นนี้ทำให้เต่าไม่พอใจเพราะคันปากมานานแล้วด้วย “การที่เพื่อนฉันจะพาฉันไปด้วยนี่มันเป็นธุระกงการอะไรของพวกเจ้า

ด้วย” เต่าพูดหรืออาจจะเป็นสิ่งที่เต่าอยากจะพูดแต่ไม่ได้พูด เพราะพออ้าปาก เต่าก็หลุดจากไม้ลอยละลิ่วลงมาสู่โลก ถึงแก่ความตายในบริเวณพระราชวัง” พระโพธิสัตว์จึงสรุปว่า “นี่แหละ คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคนช่างพูดที่ไม่รู้จักกาลเทศะว่าควรจะพูดเฉพาะในโอกาสที่จำเป็นเท่านั้น”

พระเจ้าแผ่นดินเคืองพระทัยเล็กน้อย แต่ด้วยความที่เป็นกษัตริย์ที่มีจิตใจเมตตา จึงประกาศว่า “ข้าเชื่อว่าท่านองคมนตรีผู้ชาญฉลาดกล่าวพาดพิงถึงตัวข้าฯ” พระโพธิสัตว์ทูลว่า “ถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ข้าพระพุทธเจ้ามิได้หมายถึงใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเพียงพระองค์เดียว ใครก็ตามที่พูดโดยไม่มีวัตถุประสงค์ก็อาจจะพบกับโชคร้ายแบบเต่าได้เหมือนกัน” นับแต่นั้นมาพระเจ้ากรุงพาราณสีเริ่มเรียนรู้ที่จะตรัสให้น้อยลง…”

เสียงของผู้เล่าหยุดลงชั่วขณะ และสรุปว่า

“ขอให้เด็ก ๆ จำนิทานเรื่องนี้ไว้ให้ดีนะ เอาละ ไปโรงเรียนกันได้ สำหรับฉัน ฉันจะกลับไปบ้านเพื่อดูแลการงานของคนรับใช้”

พระเจ้าจักราทรงพอพระทัยยิ่งนัก และทรงถามพระองค์เองอีกครั้งว่า พระองค์เคยได้ยินเสียงนี้ที่ไหนมาก่อน

หญิงสาวเดินตามทางไปยังประตูใหญ่ของพระอาราม ติดตามด้วยหญิงรับใช้ ๒ คนที่เดินตามถือร่มและสิ่งของของเธอไว้ ในตอนนี้เองพระเจ้าจักราทรงจำได้ว่าเป็นสาวงามอ่อนช้อยที่ทรงเคยพบมาก่อนนั่นเอง

“ใช่แล้ว” พระเจ้าจักราทรงบอกกับพระองค์เอง “เป็นนางฟ้อนรำในวันนั้นเอง เรณู บุตรีของสมุหราชมณเฑียร เธอเป็นคนที่รู้จักคิดมากกว่าบิดาของเธอเสียอีก และเธอน่าจะหาโอกาสเล่าชาดกเกี่ยวกับเต่าให้บิดาเธอฟังบ้าง…”

พระเจ้าจักราทรงแย้มพระสรวลกับความคิดของพระองค์ จากนั้นหญิงสาวก็หายลับไปโดยไม่ทันได้เห็นพระองค์ ทรงรู้สึกว่า เพียงได้เห็นตัวเธอก็ทำให้พระองค์ได้รับความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้ว

หมายเหตุ :

  • อักขรวิธีสะกดคงไว้ตามต้นฉบับ

บรรณานุกรม :

  • ปรีดี พนมยงค์, พระเจ้าจักราผู้รักสันติ, พระเจ้าช้างเผือก (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก, ๒๕๔๒), น. ๑๕-๒๙.

อ่านนวนิยาย "พระเจ้าช้างเผือก" ในรูปแบบ E-Book ได้ที่นี่

สั่งซื้อนวนิยาย "พระเจ้าช้างเผือก The King Of The White Elephant" ได้ที่นี่


[1]มิลินทปัญหา

[2]สิบโมงเช้า

[3]คำว่า “ฝรั่ง” แผลงมาจากคำว่า “Franc” ซึ่งประเทศแถบตะวันออกคิดว่าชาวยุโรปมาจากที่นั้น

[4]อัลมีดา (Almeida) ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอุปราชแห่งอินเดียในปี ๒๐๕๑ ต่อมาในปี ๒๐๕๔ เขาได้ส่งเรือไปโมลุคกะ และได้ต่อสู้รบพุ่งกับสุลต่านแห่งชวา ต่อมาในปี ๒๐๖๑ ได้มีการก่อตั้งเมืองเมเนซส์ (Menezes) ขึ้น ในเมืองมะละกา และได้ส่งทูตสันถวไมตรีหลายคนมายังราชสำนักพระเจ้าแผ่นดินแห่งสยาม

[5]พ่อค้าโปรตุเกสคนนี้ไม่ให้ความสำคัญต่อการค้นพบทวีปใหม่ของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เท่าใดนัก แต่ดูเหมือนว่าประชามติในขณะนั้นก็เป็นไปเช่นนั้นด้วย ดังจะเห็นได้จากความจริงที่ว่านับแต่ พ.ศ. ๒๐๕๐ เป็นต้นมา แผนที่ของวอลด์ซี-มูลเลอร์ ได้ขนานนามแผ่นดินที่เพิ่งได้รับการค้นพบใหม่ว่าอเมริกา (ตามชื่อของอเมริโก เวสปุชชี - ผู้แปล)